ผจญภัยในสุสานกษัตริย์ ตอน สุสานจิ๋นซี

-

เขียนโดย Lunalily

วันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 09.49 น.

  11 บท
  2 วิจารณ์
  12.95K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 เมษายน พ.ศ. 2558 10.27 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

11) จุดรวมตัว

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

บทที่11

จุดรวมตัว

 

เสียงยังดังต่อเนื่องเป็นช่วงๆ เหมือนมีบางอย่างกลิ้งไปทั่วห้อง พร้อมๆกับเสียงสะท้อนอะไรบางอย่างฟังดูโหยหวนน่ากลัว อาลี่หางควักปืนสั้นออกมาขึ้นลำเอาไว้ แล้วให้ผมมายืนอยู่ข้างหลังเขา

ตอนนี้เหงื่อผมแตกพลั่ก รู้สึกหวาดวิตกอีกแล้ว ใจคอนี่จะไม่ให้พักกันเลยหรือไง ไม่รู้ว่าจะมีอะไรโผล่ออกมาอีก พวกเราสามคนจ้องมองไปตามเสียงด้วยความกดดัน เสียงนั่นยังคงดังต่อเนื่อง ตามด้วยเสียงครึกครึก แล้วก็เงียบเสียงไป จากนั้นก็ดังขึ้นมาใหม่เป็นจังหวะ คล้ายเหมือนหนูกำลังวิ่งเล่นตามขื่อคานของสุสาน

เสียงเงียบไปสักพัก จนอาลี่หางคิดว่าคงไม่มีอะไรแล้วจึงลดปืนลง แต่หยางหยางยังคงจดจ่อไปข้างหน้า ตรงเสียงลั่นสุดท้ายที่ดังเมื่อครู่ มองตาแทบไม่กระพริบ

"นั่นมันเสียงอะไรน่ะ" ผมบ่น เสียงนั่นยิ่งทำให้รู้สึกตกประหม่าอย่างแรง  

"เสียงกลไกกำลังทำงาน มีบางอย่างอยู่ด้านหลังผนังพวกนั้น" พอหยางหยางพูด อาลี่หางก็ยกปืนขึ้นมาอีก คราวนี้แหละไม่ต้องพักหายใจกันเลย จ้องผนังด้านนั้นให้ตายกันไปข้าง

"คุณคิดว่ามันคืออะไรเสี่ยวเกอ บ๊ะจ่างหรือเปล่า" ตาแก่ถาม หยางหยางส่ายหน้าอีก ผมล่ะเบื่อพวกชอบให้คิดเอง พูดออกมาเลยไม่ได้หรือไง หรือน้ำลายเขาผลิตด้วยทองคำแท้หายากกันนะ มัวแต่วางท่ามากอยู่ได้

หยางหยางยกนิ้วแตะปาก สื่อว่าให้พวกเราเงียบเสียงลง ผมว่าหมอนี่พาให้สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดมากขึ้นกว่าเดิม เวลาที่เขาทำสีหน้าจริงจังแล้วพาลให้คิดว่า เรากำลังจะเจอในสิ่งที่อันตราย

 ความเงียบ ยิ่งสร้างความกดดันให้ประสาทสัมผัสตึงเครียด จนพวกเราไม่กล้าขยับตัว เหงื่อที่หลังผมแตกเป็นเม็ดๆ ใจเต้นแรงจนเสื้อกั๊กผมมันกระเพื่อมไม่เป็นจังหวะ สิ่งที่ผมเกลียดที่สุดในตอนนี้ คือการอยู่ในความเงียบ แล้วรู้ว่าความเงียบนั้นมีสิ่งที่น่าหวาดกลัวซ่อนอยู่ ถ้ามันมีเสียงพอให้เรารู้ตัวได้บ้างก็ยังพอไหว ยังพอหาทางหนีทีไล่ได้ถูก แต่เงียบไปซะดื้อๆแบบนี้ มันไม่ดี ไม่ดีเลยจริงๆ

สุสานฉินสือหวงไม่ใช่กระจอกอย่างที่คิด มันเป็นสถานที่ดักโจรดีๆนี่เอง แทบไม่มีคำว่าปราณีเลย ในเมื่อเข้ามาแล้ว เจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้เดินลอยหน้าออกไปง่ายๆ ไม่ว่ายุคไหนความโหดเหี้ยมนี่ก็ข้ามสหัสวรรษมาให้ได้ประจักษ์ แต่มาคิดได้ตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว บทเรียนแรกเริ่มในก้าวนี้ ห้ามดูถูกสมองของคนโบราณเชียว

เสียงลั่นของกลไกดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ล่ะรู้ทิศทางของมันสมใจ พวกเรามองไปตามทิศทางของเสียง มันวิ่งไปตามผนังห้องทางด้านหน้าของพวกเรา จากนั้นก็หยุด สายตาของผมจ้องไปทางรูปวาดสัตว์เทพบนผนังซึ่งเป็นรูปหงส์เพลิง  

ทีแรกผมไม่ทันมองรูปภาพเหล่านั้นอย่างละเอียด แต่เมื่อได้มองนิ่งๆอยู่อย่างนี้ จึงรู้ว่าภาพลายพู่กันบนผนังไม่ใช่หงส์เพลิงธรรมดาอย่างที่คิด แต่มันคือหงส์ตัวสีแดงขนาดใหญ่ กางปีสยายเหมือนกำลังเกรี้ยวโกรธ ยืนอยู่บนแท่นพิธี ใช้กรงเล็บเหยียบย่ำมนุษย์คนหนึ่ง

ที่นี้ล่ะผมตื่นเต็มสองลูกตา มองภาพเหล่านั้นอย่างละเอียด ภาพบนผนังคล้ายกับสัตว์เทพก็จริง แต่ในสัตว์เทพเหล่านั้นกลับมีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเหมือนกับรูปมนุษย์ กำลังกราบไหว้สักการะอะไรบางอย่าง หรือว่าจะเป็นหงส์เพลิงตัวนั้นกันล่ะ? ซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจ อยากจะเดินเข้าไปดูให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่ย่ามใจไว้ สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ใช่เวลามาอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวในอดีตกาล สิ่งที่สำคัญกว่า คือรู้ก่อนว่าหลังผนังพวกนั้นมีอะไรวิ่งอยู่

"มันเงียบไปอีกแล้ว" อาลี่หางค่อนข้างหงุดหงิดกับการป่วนประสาทของเสียง ที่เดี๋ยวมาเดี๋ยวหาย เขาตัดสินใจจะเดินเข้าไปดูให้รู้แล้วรู้รอด แต่หยางหยางกลับดึงตัวออกมาซะก่อน

ขณะนั้นเอง เสียงกลไกนั่นก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ดังมาก ผมได้ยินเสียงดังปัง! คล้ายกับเสียงของปืน แต่มันทึบอยู่อักฝั่งของห้อง จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังโครมอยู่ใต้พื้นเรา แม้ว่ามันจะไม่ดังมาก แต่ก็พอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเรามองหน้ากัน แล้วนั่งลงฟังเสียง

"หรือจะเป็นคนอื่นๆที่เหลือ" ผมสันนิฐาน อย่างน้อยก็คิดในแง่ดีเอาไว้ก่อน ที่นี่ดูเหมือนเป็นศูนย์กลางของกลไก ไม่ว่าจะเกิดเรื่องห้องไหน เสียงกลไกก็จะดังชัดเจน หากลองคำนวณดูคร่าวๆ วาดภาพแผนผังเอาไว้ในความคิด คาดว่าที่นี่น่าจะอยู่ด้านหน้าของท้องพระโรง ฝั่งใดฝั่งหนึ่งของประตูต้องเป็นท้องพระโรงที่เชื่อมไปยังห้องสุสานหลักแน่ๆ

ตอนนี้ก็มานึกเจ็บใจตัวเอง ถ้าหากเอาเข็มทิศติดมือเข้ามาด้วยก็คงจะหาทิศทางได้ถูก เหตุการณ์เมื่อก่อนหน้า มันฉุกละหุกจนหลงทิศไปหมด ไม่รู้แล้วว่าเราอยู่ฝั่งไหนกันแน่    

อาลี่หางพยักหน้า บอกว่าอาจเป็นไปได้

เหมือนว่าหยางหยางได้ยินเสียงเคลื่อนไหวข้างใต้เรา เขาลุกขึ้นยืนเดินไปตามเสียง ไปทางแท่นพิธี ผมรีบตามเขาไปและหยุดอยู่ข้างหลังเขา ห่างจากแท่นพิธีนั่นสองก้าว  

เมื่อมองไปทางรูปหงส์เพลิง แล้วมองแท่นพิธีที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนว่ามันจะเป็นที่ๆเดียวกัน แท่นพิธีนี่สร้างด้วยหยกสีขาวขุ่น ดูเรียบๆไม่มีอะไรพิเศษ แต่ด้านข้างสลักภาพนูนต่ำคล้ายรูปมังกรสิบหกลีลาในสมัยจ้านกั๋ว ฝีมือประณีต พอบ่งบอกได้ถึงสภาพเศรษฐกิจที่รุ่งเรืองในยุคนั้น

พอมาถึงตรงนี้ ผมก็พ่นลมหายใจด้วยความตื่นเต้น นึกเสียดายอย่างน้อยก็น่าจะพกกล้องติดตัวมาบ้าง เมื่อนึกถึงกล้องก็นึกได้ รีบดึงมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง โชคดีที่ยังพอมีแบตเหลืออยู่หนึ่งขีด ยังพอให้เก็บภาพพวกนี้ได้ ถ้ารอดออกไป หลังจากนี้คงต้องศึกษาอย่างหนักแล้ว ดูเหมือนที่นี่จะเป็นจุดศูนย์รวมศิลปะทั้งหมดเลยหรือเปล่านะ

พออาลี่หางเห็นแท่นหยก ก็ร้องว่า "อื้อหือ นี่มันหยกทั้งแท่นเลยไม่ใช่หรือ" จากนั้นก็ลูบคลำไปที่แท่นพิธี นัยน์ตาลุกวาว ความหวาดกลัวหายไปจนหมด นี่ถ้าตาแก่แหงนคอขึ้นไปมองข้างบน คงไม่ใช่แค่มอง อาจจะลงทุนปีนเสามังกรพวกนี้ขึ้นไปเลาะเพชรออกมาก็ได้ ดีที่ว่าแท่นนี้มันใหญ่ ไม่อย่างนั้นก็คงเสร็จตาแก่เซี่ยนี่อีก  

ผมตั้งท่าจะนั่งดูลายละเอียดเพื่อเชยชมความงามของมันบ้าง หยางหยางก็โพล่งขึ้นมาว่า "ใต้แท่นนี้มีกลไก" พอพูดถึงกลไก ผมก็โดดเหยงออกมาเลย เรื่องหงส์ฟ้านั่นยังรู้สึกขยาดไม่หาย จึงไม่กล้าแตะอะไรอีก   

เมื่อเรามองให้ดี ใต้ฐานของหยก ดูเหมือนจะมีรอยต่อเป็นเส้นเล็กๆเท่าเส้นด้าย ถ้าไม่มองสังเกตก็คงมองไม่เห็น อาลี่หางถามว่า "ข้างใต้นี้มีอะไร ห้องลับอีกห้องหรือ" หยางหยางพยักหน้า อาจเป็นไปได้

"แต่มันดูเหมือนไม่มีตัวสั่งการกลไกเลยนะ แถมแท่นนี้ก็ดูหนักมากด้วย" ผมแย้งขึ้นมา หรือว่าคำสั่งกลไกต้องเปิดขึ้นจากด้านล่าง เหมือนกับห้องของสนมลี่เฟยที่ผ่านมา กลไกที่นี่ค่อนข้างซับซ้อน เปิดปิดธรรมดาเสียที่ไหน

อาลี่หางลองเคาะไปที่แท่นหยก เหมือนเขารู้อยู่แล้วว่ามันไม่มีกับดัก หยกค่อนข้างแข็งเอาการ พอลองผลักก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาส่ายหน้าเบะปาก ไม่รู้จะเอายังไงกับมัน  

ทันใดนั้นเอง พลันแท่นพิธีเกิดแรงสั่นประหลาด อาลี่หางถอยตัวออกมา แล้วยกปืนป้องกันตัว สีหน้าที่ดูสบายดีเมื่อครู่เคร่งเครียดขึ้นมาทันตา อยู่ๆแท่นพิธีก็ขยับได้เอง ชักไม่เข้าท่าซะแล้ว

ผมจ้องไปที่แท่นพิธีนั่นตัวเกร็ง แทบไม่กระพริบตา ใจเต้นตึกตักคิดในใจว่าต้องมีตัวอะไรออกมาแน่ เสียงกลไกดังขึ้นกว่าเดิม จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังครืดยาวๆ แท่นพิธีนั่นเริ่มขยับออกไปทางด้านตรงข้ามพวกเราอย่างช้าๆ เผยให้เห็นช่องทางลับในมุมมืด

ผมหันไปมองหยางหยาง สายตาของเขาจดจ้องไปช่องทางนั้นตาไม่กระพริบ เหนี่ยวไกปืนเตรียมจะยิง ประมาณว่า จะอะไรก็ช่าง โผล่ขึ้นมาเมื่อไรเอ็งหัวเละแน่ ผมกลืนน้ำลายอึก หันกลับไปมองทางนั้น ลุ้นว่าจะมีตัวอะไรโผล่ขึ้นมาอีก พลางดึงมีดพกของตัวเองออกมาด้วย

ท่ามกลางความมืด ผมได้ยินเสียงของผู้คนโวยวาย มีเสียงของผู้หญิงแว่วขึ้นมาด้วย ไม่รู้ว่าตัวเองหูเผื่อนหรือไปเปล่า แต่เสียงหนึ่งเด่นชัดอยู่ในช่องดำมืดนั่นจนผมต้องย่นคิ้วแล้วเพ่งมอง

"พี่สาวคนสวย เบาๆหน่อยเถอะ นี่หัวคนนะไม่ใช่บันได เวลาปีนขึ้นไปน่ะให้เกียรติกันหน่อย" นั่นมันเสียงพี่ชินดงไม่ใช่หรอ?

"เอาน่า ก็ทางลับมันอยู่สูงนี่"

พวกเราสามคนมองหน้ากัน อาลี่หางกับหยางหยางรีบลดปืนลง พวกเราเดินไปทางแท่นพิธีนั่นทันที ชะโงกหน้าลงไปดูความวุ่นวายข้างล่าง พวกเขากำลังวุ่นกับการหาทางปีนขึ้นมา ความสูงดูท่าจะเอาเรื่องอยู่

"พวกคุณหาทางขึ้นไปเร็วๆหน่อยได้ไหม เดี๋ยวไอ้ตัวพวกนั้นก็มาอีก" เสียงเหว่ยถิงดูร้อนรน พอผมเห็นพวกเขายังปลอดภัยดีก็ร้องทักว่า "เหว่ยถิง!"

หมอนั่นร้อง "ฮะ!?" ตกใจที่ได้ยินเสียงผม แหงนหน้าขึ้นมามอง

พอพี่ชินดงเห็นผมก็ยิ้มหน้าบาน ทักว่า "ไอ้น้องชาย ปลอดภัยดีหรือนี่ พี่คิดว่าเอ็งเสร็จบ๊ะจ่างนั่นไปแล้วซะอีก" ผมพยักหน้าแล้วยิ้มดีใจจนลืมตัว

อาลี่หางผลักผมถอยออกมาจากช่องนั้น แล้วตะโกนลงไปว่า "อย่าเพิ่งมาคุยกันตอนนี้ รีบขึ้นมาก่อน" พอพี่ชินดงได้ยินก็นึกได้ เขาพยักหน้าแล้วยกมือส่งสัญญาณโอเค ก้มลงพยุงเหิงอี้ที่นอนบาดเจ็บอยู่ให้ลุกขึ้น สภาพเขาค่อนข้างแย่ พออาลี่หางเห็นก็ชักสีหน้าไม่ดี เขาดูเป็นห่วงลูกน้องของเขา จนต้องเร่งให้ขึ้นมาเร็วๆ โดนพี่ชินดงบ่นว่า "ตาแก่นี่ทำเป็นใจร้อนเหมือนวัยรุ่นไปได้ ตัวพี่ชายนี่ใช่จะเบานะโว้ย"  

ห้องชั้นล่างกับชั้นที่ผมอยู่ค่อนข้างสูง พวกเขาปีนขึ้นมากันลำบาก โชคดีที่ว่าในกระเป๋าของพี่ชินดงยังพอมีเชือกไนลอนอยู่ เขาหวี่ยงมันขึ้นมา ผมจึงรีบเอาเชือกไปคล้องไว้กับเสาเพื่อที่จะดึงพวกเขาขึ้นมาจากห้องด้านล่าง

สามคนช่วยขึ้นมาได้สำเร็จ ก็เผาผลาญพลังงานพวกผมไปมากโข คนสุดท้ายคือพี่ชินดง กว่าจะช่วยดึงเขาขึ้นมาได้นี่ถึงกับหืดขึ้นคอ ทุกคนนั่งหอบ สภาพแต่ละคนนี่ดูไม่จืดเลย  

พี่ชินดงตัวมีแต่ลอยขีดข่วน เลือดท่วมไปทั้งตัว พอๆกับเหิงอี้ แต่อาการของเหิงอี้นี่สาหัสกว่า แต่ก็ยังพอไหว ส่วนเหว่ยถิง หมอนั่นดูดีสุด เนื้อตัวแทบไม่มีรอยอะไรเลย แถมหน้ายังใสปิ๊งจนน่าหมั่นไส้ มีสาวติดมาด้วยนี่มันจะสบายเกินไปแล้ว ผู้หญิงคนนั้นเขาชื่อวิกตอเรีย ที่แขนของเขามีรอยขีดข่วนบ้างแต่ก็ไม่เยอะมาก

ผมเพิ่งจะรู้ว่า คว่ำกรวยนี่เขาให้ผู้หญิงลงกรวยได้ด้วยหรือ? มันดูจะหนักสำหรับผู้หญิงร่างบางอย่างเธอไปหรือเปล่า ใบหน้าของเธอมอมแมม แม้ผมเธอจะกระเซอะกระเซิง แต่มันก็ไม่ได้ลดความสวยของเธอลงเลย

พอผมเห็นแล้วก็โอดครวญในใจ ผมน่าจะได้ไปกับพวกพี่ชินดงดีกว่าเฮียฟานนะ รายนั้นปล่อยให้ผมอยู่ในดงปีเตอร์กับแม่นางลี่แทบเอาชีวิตไม่รอด แต่เหว่ยถิงมันกลับไม่เป็นอะไรเลย ใช่ว่ามันไม่ดีที่เห็นเพื่อนปลอดภัย แต่ต่อหน้าสาวๆ ใครบ้างไม่อยากดูดีในสายตานาง!

แต่พอนึกถึงเฮียฟาน ผมก็นึกขึ้นได้ ร้องถามว่า "เฮียฟานล่ะ เฮียไม่เจอเขาบ้างหรอ" พี่ชินดงหันมามองหน้าผมตื่นๆ ยื่นแขนให้เหว่ยถิงมันทายาให้ แล้วพูดกับผมว่า "เอ้า! พวกนายสองคนไปด้วยกัน มาถามพี่ แล้วพี่จะรู้ไหม แค่เอาชีวิตรอดจากไอ้พวกกอลั่มนี่ก็จะแย่แล้ว จะเอาเวลาไหนไปตามหาอี้ฟานมัน ว่าแต่... อี้ฟานมันหายไปเรอะ!"

พูดมาตั้งนานนี่เพิ่งจะรู้ตัวหรือไง พอได้ยินแบบนี้ผมก็รู้สึกห่วงเฮียฟานขึ้นมาทันที ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง

เหมือนอาลี่หางจะอ่านใจผมออก เขาพูดปลอบพร้อมตบไหลผมเบาๆ "ไม่ต้องห่วงหรอก เขาเอาตัวรอดเก่งอยู่แล้ว"

แล้วพี่ชินดงก็พูดขึ้นมาอีกว่า "ใช่ หมอนั่นมันเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว มีเราอยู่ด้วยรึจะเป็นภาระมันเปล่าๆ ทางที่ดีเราควรออกไปจากสถานที่นรกห่าเหวนี่ก่อนจะดีกว่า"

ผมได้ยินแล้วก็ไม่พอใจ สวนกลับไปว่า "นั่นเพื่อนเฮียทั้งคนนะ ทำไมพูดแมวๆแบบนี้ล่ะ เฮียมั่นใจได้ยังไงว่าเขาจะปลอดภัย ถ้าผมหาเขาไม่เจอ ผมไม่ออกไปจากที่นี่หรอก" พี่ชินดงพอโดนผมว่า ก็ฮึดฮัดใส่ พุ่งเข้ามาดึงคอเสื้อผมแทบจะแลกหมัด แต่ผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน หมัดมาก็หมัดกลับสินี่ลูกผู้ชายพอนะโว้ย เห็นพี่แกนิสัยดีมาตลอด ไม่คิดเลยว่าจะเห็นแก่ตัวทิ้งเพื่อนหนีเอาตัวรอดแบบนี้

เหว่ยถิงมันอยู่ใกล้พวกเราสุด รีบเอาตัวเข้ามาแยกผมกับพี่ชินดงออกจากกัน จากนั้นก็ลากผมไปอีกทาง "พอๆ มันใช่เวลาที่จะมาทะเลาะกันไหมเนี่ย" ผมสะบัดแขนออกไป แล้วนั่งลงข้างๆเหิงอี้ กอดอกอย่างหัวเสีย แต่สงสัยจะออกแรงมากไปหน่อยรู้สึกวิงเวียนขึ้นมาซะดื้อๆ

พี่ชินดงนี่ก็ยังไม่เลิกปากหมา ยังจะพูดออกมาอีกว่า "พี่ก็ไม่อยากจะทิ้งมันหรอกนะ แต่ต้องดูด้วยว่าเราอยู่ในสถานการณ์ไหน ลำพังตัวเองยังเอาตัวไม่รอดแล้วจะไปห่วงใคร พี่เป็นเพื่อนอี้ฟาน เห็นเอ็งเป็นน้องคนนึงเหมือนกัน ถ้าพี่เป็นอี้ฟาน พี่ก็ต้องพาเราออกไปจากที่นี่ก่อน ถ้ามัวแต่ตามหาคน ก็คงพากันตายยกทีม"

พอคิดดูแล้วก็ถูกของพี่เขา แต่สถานการณ์บ้าบอพวกนี้ทำให้ผมค่อนข้างกดดัน อารมณ์จึงไปก่อนความคิด สภาพแต่ละคนดูไม่ได้ ถ้าตามหาเฮีย ก็คงพากันไปตายจริงๆ พอได้สติก็รู้สึกผิด หน้าสลดลงทันที  

"ไม่ต้องเสียใจไปหรอกนายน้อย คนคว่ำกรวยย่อมรู้ตัวดีอยู่แล้วว่าต้องเอาชีวิตมาเสี่ยง ถ้าคุณมาลงกรวย ก็ต้องทำใจยอมรับตั้งแต่เนิ่นๆ มานั่งเสียใจตอนนี้มันก็ไม่มีประโยชน์ขึ้นมาหรอกนะ" อาลี่หางเตือนผมเบาๆ เหว่ยถิงบีบไหล่ผมทีนึงเพื่อปลอบผมให้ใจเย็นลง

พอหลายๆเสียงเข้า ตาผมก็สว่าง ถอนลมหายใจออกมา พยักหน้าตอบเนิบๆ หันไปทางพี่ชินดงแล้วบอกเขาว่า "เฟิงของโทษนะเฮีย" พี่ชินดงยิ้มออกมาที บอกว่า "ไม่เป็นไร เราเพิ่งจะคว่ำกรวยครั้งแรก มันมีบ้างที่จะหัวเสียกัน เป็นเรื่องธรรมด๊า" พอเห็นพี่เขาไม่ถือสาเอาความก็โล่งใจขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังห่วงเฮียฟานอยู่ดีนั่นล่ะ

เมื่ออาลี่หางเห็นว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วก็พูดออกมาอีกว่า "นี่น่ะ มันแค่ด่านแรกเท่านั้นนายน้อย ยังมีสาหัสกว่านี้เตรียมใจได้เลย" จากนั้นก็หันไปทางผู้หญิงคนนั้นกับคนที่ชื่อหยางหยาง ถามว่า "พวกคุณคงจะมาด้วยกันสินะ งั้นช่วยบอกเราหน่อยได้ไหมว่าพวกคุณมาทำอะไรกัน ส่วนพวกผม ขุดดินเป็นอาชีพอยู่แล้วคงไม่ต้องอธิบายให้ฟังมาก"

ผู้หญิงที่ชื่อวิกตอเรีย เขานั่งเงียบอยู่นาน พอโดนถามก็หน้าตึงขึ้นมาทันที เธอตอบว่า "ฉันก็พอรู้อยู่หรอกว่าพวกคุณมาทำอะไรกันที่นี่ แต่ถ้าฉันตอบพวกคุณไปแล้วคุณจะเชื่อไหมล่ะ" อาลี่หางยิ้ม กอดอกตอบว่า "มันก็แล้วแต่คำตอบของคุณ"

ถึงแม้ว่าเธอจะตอบคำถามมาในรูปแบบไหน อาลี่หางก็ไม่เชื่ออยู่ดีนั่นล่ะ ตาแก่นั่นเคยเชื่อใครซะที่ไหน แต่มันก็น่าสงสัยนะ ผู้หญิงบอบบางอย่างคุณวิกตอเรียมาทำอะไรในที่อันตรายแบบนี้ ถ้าบอกว่ามาคว่ำกรวย เธอคงเป็นผู้หญิงที่มีฝีมือพอตัว ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าลงมาลุยงานเอง

หรือเธอจะคิดว่าภายในสุสานคงไม่มีกับดัก หรือไม่ก็คิดว่า ผ่านมาหลายพันปีกับดักกลไกคงขึ้นสนิมไม่ทำงานแล้ว ถึงได้ใจกล้าลงมาในสุสาน ถ้าคิดอย่างนั้นคงเป็นเรื่องที่ซวยน่าดู

ผมคิดในใจคร่าวๆ เธอเป็นนักคว่ำกรวยจากสำนักไหนกันนะ ถึงได้ใจกล้าแบบนี้ พร้อมกับจับตาดูพิรุธของเธอไปด้วย

วิกตอเรียหยุดคิดก่อนตอบ จากนั้นเธอก็พูดออกมาว่า "ก็ได้ ฉันบอกก็ได้ จริงๆแล้วฉันเป็นนักโบราณคดี ทำวิจัยเรื่องสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้อยู่ คุณก็รู้นี่ว่าทางการเขาไม่ให้ขุดค้นที่นี่ นอกจากวิธีนี้แล้วคงไม่มีทางอื่นที่ฉันจะหาข้อมูลเพิ่มจากหุ่นดินพวกนั้น"

เธอหลุบตาลงต่ำ เม้มปากทีนึง แล้วก็พูดออกมาอีก "แต่... แต่ฉันคิดผิด การลงมาในสุสานนี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ฉันคิดว่าจะเก็บข้อมูลแค่สองสามเรื่องที่ฉันตั้งเป้าหมายไว้ เข้ามาถ่ายรูป จากนั้นก็ออกไป แต่ฉันกลับพาคนในคณะต้องมาตาย ฮึก ฉันนี่แย่จริงๆ"

ผมย่นคิ้ว มองเธอที่กำลังนั่งน้ำตาคลอหน่วย พอเห็นแล้วก็รู้สึกได้ถึงคำว่าหัวอกเดียวกัน เธอมาหาข้อมูลทางโบราณคดี ส่วนผมมาคว่ำกรวยหาสมบัติ แม้ใจอยากจะสำรวจความเป็นมาของที่นี่อยู่บ้าง แต่ก็คงไม่มีอารมณ์ที่จะทำแบบนั้นแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่สัมพันธ์กัน ความรู้สึกผมมันบอกแบบนั้น

 เหิงอี้นอนอยู่ข้างๆผม สะกิดแขนเรียกเบาๆ ผมจึงหันไปมอง อ่านปากเขาว่า 'เธออาจโกหก อย่าเชื่อน้ำตาของเธอ' ผมเหลือบมองเธออีกครั้ง เห็นนั่งหน้าเศร้าอยู่ดูไม่เหมือนคนที่แกล้งทำเสียเท่าไร แต่พอมองไปทางคนชื่อหยางหยาง อาลี่หางบอกว่าเขาเคยทำงานด้วยกัน ก็แสดงว่าเป็นนักคว่ำกรวย เรื่องนี้ไม่ชอบมาพากลจริงๆ ผมจึงพยักหน้าให้เขารับรู้ ว่าผมเองก็สงสัยในตัวพวกเขา

เมื่อมองไปทางอาลี่หาง ดูปฏิกิริยาว่าเขาจะทำยังไงต่อจากนี้หลังจากที่ได้ฟังคำตอบ ตาแก่นั่นนิ่งเงียบเหมือนครุ่นคิด จากนั้นก็ถอนลมหายใจ พูดออกมาว่า "มันก็คงไม่แปลกหรอกนะ ที่จะพบนักขุดดิน หรือแม้แต่นักโบราณคดีที่นี่ ในเมื่อสุสานฉินสือหวงเป็นที่เก็บของวิเศษตั้งมากมาย ย่อมต้องมีคนอยากรู้อยากเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เอาเป็นว่าผมเชื่อคุณ"

     ผมได้ยินแล้วก็ต้องอาปากค้างแบบทึ่งๆ ดูเหมือนตาแก่นี่จะเชื่อใจคนง่ายเกินไปหน่อยหรือเปล่า เหิงอี้ชักสีหน้าไม่พอใจใหญ่ แต่เขาก็ไม่กล้าเถียงพี่ใหญ่ของเขา สงสัยจะเป็นโรคแพ้ผู้หญิงกันหมด

วิกตอเรียยิ้มออกมาได้เล็กน้อย เธอตอบว่า "ขอบคุณค่ะที่เชื่อใจฉัน ไม่อย่างนั้นฉันคงทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะอธิบายยังไงแล้ว" แล้วเธอก็ลุกขึ้นก้มหัวให้อาลี่หางแสดงความขอบคุณ ตาแก่ไม่แสดงอารมณ์อะไร เขาแค่พยักหน้าแล้วสั่งให้เหว่ยถิงมันเข้าไปดูแผลที่แขนของเธอ หมอนั่นก็ทำหน้าที่หมอได้ดีมาก ตาแก่สั่งยังไม่ทันจบประโยคก็ถึงตัวเธอแล้ว

ผมเหลือบมองไปทางหยางหยาง สองคนนี้มาด้วยกันก็ดูจะขัดกันเกินไปหน่อย ผมยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งสงสัยคงต้องคอยจับตามองให้ดีแล้วล่ะ ยิ่งหมอนั่นดูเป็นคนลึกลับ ไม่รู้ว่ามาทำอะไรที่นี่ น่าสงสัยชะมัด นี่ผมจะขจัดความสงสัยที่อัดแน่นเต็มอกไปยังไงดีกันล่ะเนี่ย ถ้าเฮียฟานอยู่ด้วย เรื่องทุกอย่างมันคงจะง่ายขึ้น

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายฟิคชั่นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา