Whial I : The Immortal Bladlei ไวอัล ล่าอสูรอมตะ

9.3

เขียนโดย Kuro~Ookami~Youkai~no~Nishi

วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เวลา 14.59 น.

  4 chapter
  17 วิจารณ์
  12.17K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ความมืดที่คลืบคลาน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

ณ หมู่บ้านเล็กๆภายใต้การปกครองของโรเซส นามธานอล หมู่บ้านที่เคยเงียบสงบ บัดนี้เต็มไปด้วยความโกลาหล แสงไฟจากเพลิงแดงฉานซึงกำลังลุกท่วมกังหันลมซึ่งกำลังหมุนอยู่ช้าๆและหักพังครืนลงมานั้นจ้ายิ่งกว่าแสงจันทร์สีน้ำเงินกว่าครึ่งดวงซึ่งกำลังทอแสงอยู่เสียอีก เหล่าผีดิบเข้าทำร้ายชาวเมืองและกัดกินอย่างไม่สนใจไยดี แต่ก็ยังเป็นแค่หมู่บ้านส่วนหน้า ส่วนท้ายนั้นผู้คนที่รอดชีวิตต่างพากันหนีไป ยกเว้น...... สาวร่างบางในคฤหาสน์หลังโตกลางหมู่บ้าน บาเซ็ต คาเรน แบล็ค เธอพยายามขดตัวให้เล็กที่สุด เพื่อมิให้ผู้ใดสังเกตเห็น

 

น้ำตาใสบางเอ่อล้นจากนัยน์ตาสีม่วงสดใสผ่านแก้มชมพูอ่อนเยาว์ เธอเป็นสาวอายุราว17 ร่างกายบอบบางอรชรเหมือนผู้ดีทั่วไป ใบหน้าสะสวยที่ยิ่งพิศดูใกล้ๆก็ยิ่งน่ารัก แต่บัดนี้เปี่ยมไปด้วยความหวาดหวั่น เรือนผมสีม่วงยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงเพราะเธอเพิ่งตื่นจากการนอนหลับด้วยเสียงรบกวนจากภายนอก และภาพอันโหดร้ายนั้น มนุษย์ผู้เคราะห์ถูกรุมกัดกินเนื้อสดๆจนเหลือเพียงเศษเนื้อและเลือดติดบนชิ้นกระดูกสีแดงฉานที่โดนแยกออกเป็นชิ้นๆ อัศวินแห่งความตายผู้มีเรือนผมขาวโพลนไล่เข่นฆ่าผู้คนไปทั่ว ทั้งฉุดคร่าหญิงสาวล่ามไว้กับเชือกราวทาสไม่มีผิด มันเป็นนรกบนดินชัดๆ แต่เธอก็ไม่อาจหนีไปไหนได้ เพราะคำสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อของเธอ พ่อที่เธอลืมหน้าตาไปแล้ว

 

“ฝากบ้านด้วยนะ คาเรน พ่อไปทำงานก่อนล่ะ” คำพูดนี้ยังติดอยู่ในหัวเธอ แม้สิบปีที่ผ่านมา เขาจะยังไม่กลับมาที่บ้านแม้แต่ครั้งเดียว เสียงเปิดประตูห้องอย่างแผ่วเบาปลุกเธอจากภวังค์ โซโน เบอร์นู ไคลเนอร์ พ่อบ้านชราผู้ภักดีนั่นเอง เขาเป็นชายสูงอายุ ใบหน้ามีริ้วร้อยตามวัย นัยน์สีน้ำเงินที่ดูกังวล ขณะเดียวกันก็ทอประกายน่าเกรงขาม ผมสั้นประบ่าสีขาวดูเรียบร้อย หนวดเรียวสีขาวเข้ากับบุคลิก ชุดพ่อบ้านของเขาดูเรียบสะอาด เขาเดินเข้ามาใกล้ๆและกระซิบเบาๆทันที ”คุณหนูขอรับ รีบหนีก่อนเถอะ ศัตรูกำลังบุกเข้ามา ผมจะถ่วงเวลาไว้ให้.....” หญิงสาวส่ายหน้าและกล่าวเบาๆ “แล้วถ้าคุณพ่อกลับมาแล้วไม่เจอชั้นล่ะ” “ลงไปที่บริงตัน ตามหาชายที่ชื่อเจค เขาจะช่วยคุณหนูตามหานายท่านได้ครับ แต่ตอนนี้รีบ.....” ‘กึง~!!...’ เสียงทำลายรั้วหน้าซึ่งทำจากเหล็กกล้าดังขึ้น “ไปเร็วครับ ม้าอยู่หลังบ้าน ออกไปทาง…” ‘กึง~~!!.....’ “ไปทางครัวเร็วครับ ผมจะช่วยเตรียมของเดี๋ยวนี้!!” ‘กึง~ง!’เสียงครั้งนี้บ่งบอกได้ว่ารั้วใกล้จะพังเต็มที่ โซโนรู้ได้จากสัญชาติญาณ เขาจึงรีบยัดเอาเสื้อผ้าและเงินทองทั้งของใช้จำเป็นใส่กระเป๋าทันที ก่อนจะหิ้วกระเป๋าโดยที่มีคุณหนูของเขาตามไปติดๆ เขาโยนมันขึ้นรถม้าแต่ไม่ทันไรก็มีเสียงที่บอกว่าเขาช้าเกินไป

 

‘โครม~~ม!!’เสียงรั้วใหญ่ล้มลงพื้นดังลั่น ชายชราผูกม้าเข้ากับรถและสะบัดแส้ทันที เจ้าม้าชราไกล้หมดแรงออกตัววิ่งเต็มแรงของมันและลากรถสวนกลุ่มวอร์ลอร์ดห้าตนที่เพิ่งพังรั้วเข้ามาและชนพวกนั้นจนแตกกระเจิง ทว่ากลับมีตนหนึ่งคว้าเพลารถไว้ได้ มันจึงดึงตัวเองไต่ขึ้นไปทันที และกำลังจะปีนสู่หลังคารถม้า

 

“ขอประทานอภัยขอรับ เจ้าม้าแก่นี้คงรับน้ำหนักขนาดนี้ไม่ไหว..... กระผมต้องขออนุญาตตัดทอนน้ำหนักส่วนเกินนะขอรับ”ชายชราว่า ขณะที่กำลังยืนอยู่บนหลังคารถม้าโดยคล้องสายแส้ม้าไว้กับเท้าขวา เขาใช้เท้าซ้ายยันเข้าที่หัวประดับเกราะเต็มแรง ทั้งยังสะบัดเท้าขวาเสริมแรงด้วย ทำให้ม้ายิ่งเร่งความเร็วมากขึ้นอีก วอร์ลอร์ดผู้สูงวัยในเกราะหนาสีดำจึงถึงกับร่วงลงไปกลิ้งกับพื้นในทันที พวกที่เหลือเห็นดังนั้นจึงรีบกระโดดขึ้นม้าของพวกตน ซึ่งมีทั้งม้าที่กลายเป็นอสูรกายน่าเกลียด และม้าที่มีขนเป็นไฟสีน้ำเงิน ไนท์แมร์ ความเร็วของพวกมันย่อมมากกว่าม้าแก่ธรรมดาตัวหนึ่ง แต่คงเป็นเพราะอดรีนารีนหรือสัญชาติญาณในการเอาตัวรอดอย่างหนึ่ง ที่ทำให้มันวิ่งเร็วทัดเทียมกับม้าอสูรเหล่านั้น

 

ท่ามกลางความมืดหลังจากกลุ่มผู้ลี้ภัยหลบซ่อนตัวหมดแล้ว มีเพียงรถม้าคันหนึ่งยังคงวิ่งบนถนนเปลี่ยวไปทางทิศตะวันออก ตามติดด้วยฝูงม้าอสูรอีกห้าตัว ผีร้ายบนหลังม้าอสูรเริ่มใช้ธนูทันที ลูกธนูแล่นฉิวผ่านอากาศไปลูกแล้วลูกเล่า  แต่ก็ยังไม่เข้าเป้าดี ชายชรานั้นก็ไม่ใช่พ่อบ้านธรรมดา เสียด้วย เขาหาทางหยุดยั้งศัตรูด้วยการทำอะไรบางอย่าง ด้วยเวทย์แขนงใดก็มีอาจทราบได้ เขาแยกร่างเสมือนซึ่งก่อจากน้ำออกไปขัดขวางผู้ไล่ล่าโดยไม่เอื้อนเอ่ยวาจาแห่งการสรรค์สร้างแม้แต่คำเดียว ร่างน้ำนั้นพุ่งไปเพื่อโค่นต้นสนสองข้างทางล้มลง และวิ่งตรงเข้าหาไนท์แมร์ของวอร์ลอร์ดผู้นำทัพ ซึ่งหมวกเกราะมีรูปทรงที่แปลกออกไป ร่างน้ำนั้นชนกับม้าจนกระจายหายไป ส่วนม้านั้นถึงกับกระเด็นเลยทีเดียว

 

“Akan!(บ้าชิบ!)”หัวหน้าผีร้ายสบถด้วยภาษาของผีร้าย ก่อนจะสั่งให้ลูกน้องไปต่อโดยไม่ต้องรอตน “Ne Zan Ka Wa Dei!(ไม่ต้องรอข้า)” ซึ่งไม่มีใครขัดขืน ทว่า ช่วงเวลาที่พวกเขาหยุดอยู่ครู่หนึ่งก็เป็นการเป็นโอกาสให้บุคคลที่พวกเขาตามล่าหนีไปแล้ว ในตอนนี้มองเห็นเพียงฝุ่นจากพื้นดินที่รับแสงจันทร์จางๆ ผีร้ายทั้งสามเปลี่ยนทิศทางทันที โดยควบม้าอสูรขึ้นเนินเขาไปทางแยกด้านซ้ายและควบอย่างรวดเร็ว

 

ด้านโซโนที่พาคาเรนหนีออกมาได้แล้วนั้นก็พยายามเร่งความเร็วสุดแรงกำลังเช่นกัน จนในที่สุดก็สามารถเห็นหุบเขาน้ำแข็งสีขาวโพลนอยู่ไกลๆ แสดงว่าน้ำพุเค็มคงจะอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้นมีหมู่บ้านเล็กๆอยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ในสภาพใดเช่นกัน แต่ก็ยังดีกว่าหลบหนีไปอย่างสิ้นหวัง เพราะป่าแถบนี้อันตรายยิ่งนักในยามค่ำคืน ขณะที่ชายชรากำลังใช้สมาธิกับการควบม้าอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงควบม้าจากด้านบน ‘พวกมันไล่มาแล้ว’เขาคิดในใจ ขณะที่คาเรนกำลังหมอบให้ต่ำที่สุดเพื่อไม่ให้ถูกลูกหลง

 

คราวนี้พวกผีร้ายเริ่มใช้ลูกเล่นใหม่ ลูกธนูสีขาวลงอักขระถูกใช้โดยผีร้ายซึ่งอยู่รั้งท้าย ขณะที่อีกสองตนใช้ลูกธนูที่มีสายโซ่และตะขอสามปลายเล็งมาที่ล้อรถม้า หน้าผาด้านซ้ายสูงพอที่จะเล็ง ส่วนด้านขวากลับเป็นป่าที่แสนอันตราย “Nei Del Las Tel Ma El Ra Ten Dei…..”ทันทีที่เริ่มร่ายคาถา ลูกธนูกระดูกสีขาวก็เรืองแสงสีน้ำเงินขึ้นมา มันถูกยิงพุ่งเข้ามาเป็นวิถีตรง ถากต้นแขนของคุณหนูผู้บอบบางไปเพียงนิดเดียว เธอร้องด้วยความเจ็บปวด ชายชราเห็นดังนั้นจึงตัดสินใจหยุดรถม้า แต่พวกเขาไม่ทันได้สังเกตแม้แต่น้อย ว่าแสงสีน้ำเงินนั้นได้ไหลเข้าสู่กระแสโลหิตที่ไหลเวียนทั่วร่างของคาเรนเป็นที่เรียบร้อย “เป็นอะไรมากมั้ยครับ”ชายชรากล่าวขณะที่ลงจากที่นั่งคนขับอย่างรีบร้อนและฉีกแขนเสื้อตนเพื่อพันแผลให้หยาบๆ ก่อนจะสั่งให้คุณหนูของตนรีบหนีเข้าไปในป่าพร้อมกับสัมภาระ”รีบเข้าไปก่อนครับผมจะถ่วงเวลาไว้.....อึก~ก!”ไม่ทันพูดจบลูกธนูสีดำก็ทะลุผ่านร่างของเขาไปเสียแล้ว เขาทรุดตัวลงนั่งข้างรถม้าก่อนจะแน่นิ่งไป “ลุง... โซ โน ....”หญิงสาวพยายามเรียกและกลั้นน้ำตาไว้ ก่อนจะตั้งสติ ขณะที่ผีร้ายทั้งสามกระโดดลงมาจากขอบผาเธอก็คว้ากระเป๋าและวิ่งเข้าไปในป่าสีดำอันมืดสนิทโดยไม่กลัวแม้แต่น้อย ตัวของเธอเบาโหวงราวอยู่ในอากาศ ความรู้สึกกดดันผนวกกับความเสียใจทำให้เธอรู้สึกเช่นนั้น แม้ว่าเธอจะไม่ร้องไห้ออกมาก็ตาม

 

เสียงใบไม้แห้งดังลั่นป่าที่แสนเงียบเชียบ ระยะทางที่เธอวิ่งมาไม่ใช่สั้นๆ แต่บรรดาผีร้ายกลับไม่กล้าตามมาตั้งแต่ต้นไม่รู้ว่าเพราะเหตุอันใดกันแน่ เธอจึงหลับใต้โคนต้นไม้ใหญ่ด้วยความเหนื่อยอ่อน เป็นการก้าวผ่านราตรีมืดมิดที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของเธอ.........

 

_____________________________________________________________________

 

แสงอาทิตย์อ่อนๆจากตะวันออกสานกับหมอกครึ้มทำให้บรรยากาศในป่าไอดาดูน่ากลัวยิ่ง แต่สิ่งที่ชายหนุ่มชื่อบิลลี่กำลังจะทำนั้นน่ากลัวยิ่งกว่า เขาแอบวางแตงโมสดๆไว้บนหมอนใบใหญ่สีน้ำตาล เละนำท่อนไม้เล็กใหญ่มาวางบนเตียงไม้กว้างใหญ่ก่อนจะทับด้วยผ้าห่มสีเขียวแก่ ดูเหมือนเขากำลังหลับอยู่บนเตียงไม่ผิดเพี้ยน และสุดท้ายก็สอดจดหมายไว้ใต้ผ้าห่มฉบับหนึ่งอย่างระมัดระวัง

 

‘ถึงท่านพ่อคงถึงเวลาแล้วที่ลูกควรจะออกไปศึกษาโลกภายนอกบ้าง เมื่อถึงเวลาแล้วลูกจะกลับมา ขอท่านพ่อโปรดเข้าใจ ทั้งนี้ก็เพื่อการเป็นผู้ปกครองที่ดีด้วย โปรดอย่าให้ผู้ใดติดตามลูกมาอีก ขอบคุณที่คอยเลี้ยงดูลูกมาตลอด

                                                                                                                               ด้วยรักและเคารพอย่างยิ่งยวด

                                                                                                                              บิลลี่ เบรเนอร์ เจ้าชายแห่งไอดา’

 

เขาผูกด้ายสีขาวกับกลอนประตู และไม่ได้เตรียมสิ่งใดเป็นพิเศษ นอกจากกระเป๋ายาเล็กๆใบหนึ่งและดาบซึ่งทำจากกระดูกสองเล่ม และเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุด ส่วนชุดที่เขาใส่นั้นเป็นชุดเดียวกับวันก่อน เพียงแต่ติดผ้าคลุมสีดำซึ่งทำจากขนกาไว้บนไหล่เท่านั้น เขานำของทั้งหมดออกมาพกติดตัว และปิดประตูก่อนจะดึงเส้นด้ายจนหลุดออกมา ประตูล็อคเรียบร้อย เขาจึงค่อยๆย่องออกมา ไม่มีข้าราชบริพาร อำมาตย์เสนาหรือขุนนางใดๆในราชวังแห่งไอดา ทุกคนมีส่วนร่วมในการปกครองตนเองทั้งสิ้น สำหรับบิลลี่แล้วก็ถือเป็นข้อดีอย่างยิ่งในการย่องออกมาโดยที่ไม่มีใครเห็น เขาเดินในหมู่บ้านเหมือนอย่างเคยจึงไม่มีใครสงสัยอะไรนัก และเขาเริ่มเดินห่างออกไปทางตะวันตกเรื่อยๆ จนพบหญิงสาวนางหนึ่งโบกมือให้ช้าๆ รีเซ่นั่นเอง เธอกำลังยืนพิงกระเป๋าสัมภาระที่มีขนาดใหญ่พอๆกับตัวเธอหรืออาจจะใหญ่กว่าด้วยซ้ำ ไม่มีใครรู้ว่าเธอนำมันมาได้อย่างไร นอกจากตัวเธอเองที่รู้ดี

 

ยังไม่ทันได้เดินเข้าใกล้ก็มีเสียงทักทายดังขึ้นมาเสียก่อน เป็นการทักทายที่เรียกได้ว่าไร้มารยาทเลยทีเดียว “งาย~บิลลี่ ทำไมวันนี้ตื่นเช้าได้ล่ะ ธรรมดาพวกในวังน่ะ กว่าจะตื่นก็ต้องรอให้เห็นดวงตะวันชัดเจน*ก่อนมิใช่หรืออย่างไร” ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีแดงเพลิงและผมยาวประบ่าสีดำทักเขาเป็นชายหนุ่มดูจากภายนอกคงมีอายุราว20กว่าปีมนุษย์ ใบหน้าโค้งคมมนได้รูป รูปพรรณสัณฐานดูเหมือนสามัญชนทั่วไป ไม่มีจุดดึงดูด นอกจากนัยน์ตาสีแดงร้อนแรงคู่นั้น “ไม่ต้องคิดอะไรมากเอล มาเป็นลูกหาบให้ชั้นซะ!” บิลลี่กล่าวเนิบๆ ก่อนจะพูดประโยคหลังอย่างรวดเร็ว

 

“แล้วถ้าไม่ล่ะ...”เขาถามแน่นอนว่าคนที่จะสามารถกล่าวเช่นนี้ได้ ย่อมต้องรู้จักกับบิลลี่เป็นอย่างดี “เอล.... ดูท่าหัวนายคงจะอยากหลุดออกจากบ่าสินะ หมิ่นประมาทราชวงศ์กับขัดราชโองการน่ะ ข้อหาหนักนะ” บิลลี่เริ่มขู่ขณะที่หญิงสาวเริ่มแบกสัมภาระทั้งหมดเดินเข้ามาอย่างหมดความอดทน ด้วยท่าทางก้าวเดินเหมือนปกติ บิลลี่ไม่แปลกใจนัก เพราะรู้ถึงกำลังมหาศาลที่รีเซ่มีอยู่ดีแล้ว “อาร์คอส”เอลเรียกชื่อของอะไรบางอย่างอย่างเสียมิได้ หมาป่าสีดำขนาดใหญ่กระโดดออกมาจากข้างทางทันที

 

“เตรียมเดินทางเถอะ”สาวหมาป่ากล่าวหลังจากเดินเข้ามาใกล้พอสมควรแล้วแน่นอนว่าเธอได้ยินทุกคำพูดอย่างชัดเจน ด้วยหูของเธอเอง บิลลี่ได้ยินดังนั้นจึงเปลี่ยนร่างจากมนุษย์เป็นหมาป่าสีขาวขนาดใหญ่พอๆกับอาร์คอส เป็นความรู้สึกที่ไม่น่าอภิรมย์นัก ความเจ็บพวกเมื่อกระดูกถูกบิดผันเปลี่ยนรูป และเส้นขนที่ทิ่มแทงเนื้อหนังผ่านรูขุมขนที่เพิ่มขึ้น ราวกับโดนเข็มเล็กๆทิ่มแทงทั่วร่างน่าแปลกที่เสื้อผ้าของเขาก็เปลี่ยนรูปตามร่างกายของผู้สวมได้เช่นกัน แท้จริงแล้วเพราะมันเป็นสมบัติของกษัตริย์แห่งดรูลนั่นเอง

 

“เอ้า! ทำอะไรอยู่เอล ผูกสัมภาระกับหลังชั้นซะที” บิลลี่ออกคำสั่ง เอลบ่นเล็กน้อย ก่อนที่จะทำตามทันที รีเซ่ค่อยๆถอดเสื้อผ้าออก เผยให้เห็นผิวขาวสะอาดอย่างโจ่งแจ้ง แต่ก็ไม่ได้เห็นอะไรมาก เมื่อเธอผูกผ้าคลุมเรือนร่างนั้นไว้ก่อนและค่อยๆปลดผ้าผูกเอวและถอดกางเกงที่สวมออกเพื่อใส่เข้าไปในกระเป๋าสัมภาระใบโต ก่อนจะกลายร่างเป็นหมาป่าสีดำไปอีกคน

 

“เอล....” รีเซ่เรียก “คร้าบ~~บ!!” เอลประชดและเดินรี่เข้ามาทันที รีเซ่คาบกระเป๋าแล้วจึงสะบัดใส่หลัง เอลผูกสัมภาระให้ทันที ก่อนจะวิ่งขึ้นหลังอาร์คอส ขณะที่บิลลี่หันมาถาม “พร้อมกันรึยัง” “ไปกันโลด~ คิดว่าชั้นไม่เบื่อที่นี่หรือไง ขอบใจนะบิลลี่ ที่หาข้ออ้างให้ชั้น**!” เอลกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส และควบอาร์คอสทะยานออกจากหมู่บ้านกลางป่าไม้ที่ปิดกั้นอิสรภาพเสมือนกรงขังที่สวยงามนี้ไป ผ่านสายหมอกที่กำลังจางลงเพราะแรงแผดเผาจากดวงอาทิตย์ซึ่งโผล่พ้นขอบฟ้า โดยหารู้ไม่ว่า’โลกภายนอก’ของพวกเขา กำลังถูกคุกคามจากอำนาจมืดที่แสนชั่วร้าย

___________________________________________________________________________

 

*ในไอดานั้น บ้านทุกหลังจะถูกสร้างขึ้นโดยการคว้านเนื้อไม้เข้าไปเป็นโพรง ด้วยการใช้เวทย์และพิธีประกอบ ทำให้ต้นไม้ยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่รอบต้นไม้พันปีซึ่งเป็นที่ตั้งของวังจะมีต้นไม้ล้อมอยู่เบาบาง จึงสามารถเห็นดวงอาทิตย์อย่างชัดเจนในช่วง8-10โมง

**หมู่บ้านไอดาค่อนข้างจะยึดกับธรรมเนียมเก่าแก่เรื่องแดนของบรรพบุรุษ จึงมิให้ผู้ใดออกจากหมู่บ้านนอกเสียจากผู้มีสายเลือดราชัน ซึ่งจะสามารถออกจากหมู่บ้านได้เมื่อมีเหตุจำเป็นต้องติดต่อทางการทูต ซึ่งไม่บ่อยนัก

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา