Tale of Utopia

6.9

เขียนโดย The_Paper

วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.12 น.

  15 บท
  8 วิจารณ์
  16.98K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556 12.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) บทที่ 8 บางสิ่งที่ไม่มีวันเหมือนเดิม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 8 บางสิ่งที่ไม่มีวันเหมือนเดิม

 

 

“ทำไมถึงเปิดไม่ออกสักทีนะ!”  ฉันร้องออกมาอย่างขัดใจ  หลังจากที่ใช้ความพยายามและเวลาในการเปิดหนังสือเล่มนี้มานานพอสมควร

 

 

“เดอะมิลเลอร์ต้องการหนังสือไปทำไมกัน?   ต้องเป็นเพราะเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้แน่ๆ  เพราะฉะนั้นฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่าในหนังสือมีอะไรบันทึกไว้อยู่  บางทีนี่อาจจะเป็นหนทางที่ฉันจะสามารถทำภารกิจให้สำเร็จได้ก็เป็นไปได้”  ฉันออกแรงเปิดหนังสืออีกครั้ง   แต่มันกลับไม่ขยับอยู่เช่นเคย

 

 

“เปิดได้สักทีซี่!” ฉันร้องออกมาจนใจ  จนในที่สุดก็โยนหนังสือนั้นลงกับพื้น

 

 

แต่ทว่าทันทีที่หนังสือนั้นกระทบกับพื้น หนังสือก็เปิดออกอย่างง่ายดาย   ฉันเหลือบไปมองด้วยความแปลกใจ   ใจของฉันเต้นตึกตักขณะที่หยิบหนังสือขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับก้มมองลงไปอ่านสิ่งที่อยู่ภายในหนังสือนั้น

 

 

“ว่างเปล่า...”  ฉันกระซิบในใจเมื่อมองไปบนหน้ากระดาษ   แล้วจึงพลิกหน้าหนังสือเล่มนั้นไปเรื่อยๆอย่างบ้าคลั่ง

 

 

“ไม่จริง...มันต้องมีสิ   ต้องมีอะไรสักอย่างอยู่สิ”  ฉันพูด  ชั่วขณะนั้นฉันรู้สึกราวกับว่าทุกอย่างกำลังพังทลาย

 

 

ทันใดนั้นเองฉันก็เหลือบไปเห็นจุดสีดำเล็กๆจุดหนึ่งที่กลางหน้ากระดาษ  ฉันหรี่ตามองสิ่งนั้นด้วยความแปลกใจก่อนจะพลิกหน้าถัดไปอย่างระมัดระวังมากขึ้น   กระดาษหน้าถัดไปก็มีจุดสีดำอยู่ที่ตรงกลางหน้ากระดาษเหมือนกัน  ฉันค่อยๆพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆ  จึงสังเกตเห็นได้ว่าจุดสีดำนั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นทุกทีๆ    ในที่สุดกระดาษหน้าหนึ่งก็กลายเป็นสีดำสนิท  ฉันหยุดพลิกหน้ากระดาษ  ในขณะที่สายตาจ้องมองไปในความมืดดำนั้นด้วยความกระหายใคร่รู้

 

 

สายลมพัดมาพลิกกระดาษให้ไปหน้าถัดไปอีก  ทันใดนั้นใบหน้าของหญิงสาวผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืดนั้น  ใบหน้านั้นซีดดูราวกับซากศพ หญิงสาวในภาพนั้นมีผมสีดำสนิทเช่นเดียวกับฉัน   ผิวของเธอขาวราวกับหิมะที่ดูไร้ชีวิตชีวาริมฝีปากบางเฉียบ   เธอกำลังหลับตาลงราวกับคนที่ตายแล้ว

 

 

ฉันจ้องมองใบหน้านั้นอย่างละเอียด  จู่ๆฉันก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ

 

 

อะไรกันนะความรู้สึกนี้....  ทำไมเราถึงรู้สึกกลัวนะ.... 

 

 

ตอนนั้นเองดวงตาของหญิงสาวในกระดาษก็เบิกโพลงขึ้นเผยให้เห็นดวงตาสีแดงก่ำดั่งเลือดกำลังจ้องมองมาดูราวกับกำลังโกรธแค้นใครอยู่  ฉันกรีดร้องออกมาเสียงดังพร้อมกับปล่อยให้หนังสือร่วงหล่นจากมือในทันที    ทันใดนั้นกระดาษของหนังสือเล่มนั้นค่อยๆหลุดลอยออกมาเรื่อยๆทีละแผ่นๆ     กระดาษทุกแผ่นที่เคยว่างเปล่าตอนนี้กลับมีใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นปรากฏอยู่เต็มไปหมด     ใบหน้าของหญิงสาวที่ซีดเซียวราวกับซากศพ  แววตาสีเลือดที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น   ไม่ว่าฉันจะมองไปทางไหนก็มองเห็นแต่ใบหน้านั้น

 

 

“หยุดนะ...เธอเป็นใครนะ  หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”  ฉันร้องบอกออกไปอย่างสิ้นหวัง

 

 

“แกจะไม่มีวันทำภารกิจสำเร็จ   ฉันจะเป็นคนจัดการแกเอง  เดอะเปเปอร์น่ะ..มีแค่คนเดียวก็พอแล้ว ฮ่าๆๆๆ”  เสียงที่แสนเย็นเฉียบดังก้องในหัวฉันจนฉันต้องยกมือขึ้นมาปิดหูทั้งสองข้างเอาไว้

 

 

“เดอะเปเปอร์...เธอเป็นใครกันแน่?”

 

 

“จงตกลงสู่ความมืดมิดซะ....ผู้ถูกเลือกผู้โง่เขลาเอ๋ย”

 

 

พร้อมๆกันนั้นความมืดมิดก็ค่อยๆเข้ามาปกคลุมสถานที่แห่งความฝันแห่งนี้   ฉันกรีดร้องออกมาสุดเสียงด้วยความหวาดกลัวเอามือกุมศีรษะพร้อมกับทรุดตัวนั่งลงอย่างหมดแรง    ราวกับว่าฉันกำลังจะตกลงสู่ความมืดมิดตามที่เสียงนั้นบอกจริงๆ

 

 

ไม่นะ...ฉันไม่อยากอยู่ในความมืดมิด   นี่มันเรื่องอะไรกันแน่...ให้ฉันออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้นะ!

 

 

“ชิน...โมโมะ...” ฉันร้องเรียกคนทั้งสองแม้จะรู้ว่าไม่มีหวัง

 

 

“ช่วยด้วย!” ฉันพูดทั้งน้ำตาก่อนที่โลกทั้งใบของฉันจะดับวูบลงไป

 

 

 

********

 

 

 

 

เสียงกรีดร้องขอความเมตตาไม่ได้ช่วยให้เหล่าทหารเหล่านั้นมีชีวิตยืดยาวออกไปมากเท่าไหร่นัก   หญิงสาวฟันดาบลงบนร่างที่คุกเข่าอยู่ต่อหน้าเธอได้อย่างไร้ความปราณี       สีแดงของเลือดถูกละเลงไปทั่วภายในโบสถ์แห่งนั้นภายในเวลาไม่นาน   ทหารที่ยังเหลือรอดชีวิตพากันวิ่งหนีสุดชีวิต....ยามนี้ทุกคนรู้สึกราวกับอยู่ในฝันร้ายขณะที่กำลังเผชิญหน้าอยู่กับมัจจุราช         แต่ถึงจะหนีไปไกลสักเท่าไหร่มีดกระดาษของหญิงสาวก็ยังคงตามไปเอาชีวิตอยู่ดี   กระดาษนับพันที่แอนนาบรรจงเสกขึ้นมา....ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถรอดชีวิตออกไปจากที่นี่ได้อย่างเด็ดขาด

 

 

พวกพ่อแม่มดที่เหลืออยู่รวมกลุ่มกันพร้อมกับกำไม้เท้าของตนเองเอาไว้แน่น     ดูเหมือนว่าภายในกลุ่มนี้จะมีอยู่คนหนึ่งที่มีพลังแก่กล้าเป็นพิเศษ    เขาทำหน้าที่เป็นผู้นำ...กลุ่มของพ่อมดแม่มดกลุ่มนี้เป็นกลุ่มสุดท้ายที่ยังรอดชีวิตอยู่   พวกเขาพยายามที่จะร่ายเวทย์เพื่อต่อกรกับหญิงสาว

 

 

มังกรสีแดงขนาดยักษ์โผล่ขึ้นมาภายในโบสถ์นั้นเพราะมนตราของเหล่าพ่อมดแม่มดที่ช่วยกันเสกมันขึ้นมา      แต่ทว่าแอนนา เบลล์กลับยืนมองนิ่งไม่แสดงปฏิกิริยาอันใดก่อนที่ชั่วพริบตาถัดมาเธอจะเสกกระดาษขึ้นมานับไม่ถ้วนอีกครั้ง  กระดาษเหล่านั้นพุ่งเข้าไปเกาะทั่วร่างของมังกรนั้นมากมายเสียจนสุดท้ายมันก็ไม่สามารถขยับไปไหนได้     เมื่อนั้นแววตาของหญิงสาวก็เพ่งมองไปที่ร่างของมังกรนั้นด้วยความแน่วแน่   ทันใดนั้นเองมังกรก็ส่งเสียงร้องออกมาดังก้องร่างของมังกรค่อยๆสลายไปกลายเป็นเศษกระดาษแบบเดียวกับที่หญิงสาวเสกขึ้นมา

 

 

พลังของแอนนาสามารถต้านทานเวทมนต์ของเหล่าพ่อมดแม่มดได้อย่างสมบูรณ์แบบ!

 

 

พ่อมดแม่มดที่เหลืออยู่ต่างพากันตะลึงงันไปกับพลังอันมหาศาลของหญิงสาว   ช่องว่างนั้นแอนนา  เบลล์ไม่รอช้า   เธอบังคับกระดาษให้เข้าไปจับร่างของพ่อมดแม่มดเหล่านั้นทันที    พ่อมดบางคนรู้ตัวแต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว  พวกเขาส่งเสียงร้องโหยหวนให้กับวาระสุดท้ายของชีวิต กระดาษที่หญิงสาวเสกเหล่านั้นยังคงพุ่งไปเกาะอยู่ตามร่างกายของเหล่าพ่อมดแม่มดพวกนั้นมากขึ้นทุกที   กระดาษทวีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดทุกคนก็ถูกห่อหุ้มอยู่ในกระดาษสีขาวโพลนเหล่านั้น     กระดาษเหล่านั้นบีบตัวเข้ามาเรื่อยๆตามความต้องการของหญิงสาว    ยิ่งแอนนากำมือแน่นเท่าไหร่กระดาษก็ยิ่งบีบอัดขึ้นเท่านั้น    เสียงอึกอักของพ่อมดแม่มดค่อยๆเงียบเสียงลงไปเรื่อยๆ   บางคนก็ถึงกับกระอักเลือด   เมื่อหญิงสาวบังคับให้กระดาษคลายตัวออกร่างของพ่อมดแม่มดเหล่านั้นก็ล้มลงกับพื้นและนิ่งสนิทไปอย่างเงียบเชียบ

 

 

“กึก....”

 

 

แต่แล้วก็ยังมีเสียงเคลื่อนไหวเบาๆภายในโบสถ์หลงเหลืออยู่เสียงหนึ่ง   หญิงสาวหันขวับไปมองอย่างเฉยชา  พ่อมดคนสุดท้ายยังคงรอดชีวิตแต่ทว่ายามนี้เขาแทบไม่มีพลังเหลือเสียแล้ว   เขาเพียงแต่นั่งทรุดลงกับพื้นที่นองไปด้วยเลือดเพียงเท่านั้น   มือทั้งสองยังคงกุมไม้เท้าเอาไว้แน่น   พ่อมดคนนี้คือคนที่เป็นผู้นำกลุ่มนั้นเอง...เขาคือคนที่มีเวทมนต์แก่กล้าที่สุด   นาทีนี้หน้าอกของเขายังคงสะท้อนขึ้นลงแรงอย่างเห็นได้ชัด   พลังของเขาอ่อนลงเต็มที   และเขาเองก็กำลังจะหมดสติไปภายในไม่ช้านี้   แม้แต่แรงที่จะลุกยืนขึ้นเขาก็ยังไม่สามารถทำได้   เขาจ้องมองมาที่หญิงสาวพลางนั่งรอคอยวาระสุดท้ายของตนด้วยความสงบนิ่ง

 

 

แอนนาเดินเข้าไปใกล้ร่างของพ่อมดผู้นั้นอย่างช้าๆ  เมื่อถึงระยะหนึ่งเธอก็หยุดเดินพลางยกดาบสีเลือดขึ้นจ่อไปที่หน้าผากของพ่อมดคนนั้น

 

 

“แอนน์  หยุดนะ!”    ทันใดนั้นเองชินก็โผเข้ามาภายในโบสถ์พร้อมกับส่งเสียงห้ามดังลั่น  เขาจะต้องไม่เชื่อแน่ๆว่าแอนน์จะเป็นทำเรื่องทั้งหมดนี้ถ้าไม่ได้มาเห็นแบบจะๆตาเช่นนี้

 

 

แอนนาชะงักมือขณะที่หันกลับมามองหน้าของผู้มาใหม่นิ่ง   เธอยังไม่ได้ลดดาบของตนเองลง

 

 

“ดันมาขวางตอนสำคัญซะได้...”  เดอะมิลเลอร์ที่แอบซุ่มอยู่ร้องขึ้นมาอย่างขัดใจ

 

 

ร่างของหญิงสาวยังคงยืนนิ่ง   เธอไม่ได้ลงมือสังหารพ่อมดคนนั้นแต่อย่างไรแต่ก็ไม่ได้ถอยห่างออกไป   พ่อมดคนนั้นหันมามองดูชินด้วยสายตาประหลาดใจด้วยความที่แทบจะไม่เชื่อในสายตาของตนเอง  อย่างไรก็ตามในที่สุดพลังเฮือกสุดท้ายของเขาหมดสิ้นไปจนได้      พ่อมดปล่อยมือจากไท้เท้านั้นพร้อมกับล้มลงแล้วหมดสติไป

 

 

“แอนน์...”  ชินค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ร่างของหญิงสาวอย่างช้าๆ    เขาสังเกตเห็นว่าเวลาที่เขาเรียกชื่อเธอเปลือกตาของเธอกระตุกอยู่วูบหนึ่ง   แต่แล้วดวงตาคู่นั้นก็กลับกลายเป็นเหม่อลอยอยู่เช่นเดิมไป   เมื่อนั้นชินถึงรู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติไป 

 

 

เกิดอะไรขึ้นกับแอนน์ในตอนนี้กันแน่?

 

 

“เกิดอะไรขึ้น  แอนน์เธอได้ยินฉันรึเปล่า?”  หญิงสาวยังคงไม่โต้ตอบอะไรชายหนุ่มเช่นเดิม     เมื่อนั้นชินก็จับไหล่ทั้งสองข้างของหญิงสาวเอาไว้บีบแน่น    เขาเขย่าร่างของหญิงสาวอย่างแรงเหมือนจะเรียกให้สติของหญิงสาวกลับคืนมา

 

 

“แอน์...ตอบฉันสิ  เกิดอะไรชึ้น  เธอเป็นอะไรไป...”   น้ำเสียงของชินเต็มไปด้วยความหวาดกลัว  ถ้าเขาเรียกแอนน์คนเดิมกลับมาไม่ได้ล่ะ   ถ้าแอนน์ต้องเป็นแบบนี้ตลอดไป เขาจะทำอย่างไร...

 

 

จู่ๆดาบในมือของแอนนาตกลงกับพื้น   ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลรินออกมาจากดวงตาอันไร้จิตวิญญาณของเธอ

 

 

ชินรู้สึกหวาดกลัวยิ่งขึ้นไปอีก   เขารั้งเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอดพลางกระซิบเบาๆที่ข้างหูของเธอ

 

 

“แอนน์ไม่เป็นไรนะ   ฉันอยู่นี่แล้ว  นี่ฉันเอง  ชินไงล่ะ” เสียงของเขาช่างอ่อนโยน

 

 

“กลับมาเถอะนะ  แอนน์กลับมาสิ” แล้วเขาก็ก้มลงสัมผัสริมฝีปากของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา

 

 

“กลับมา  กลับมา” เสียงของชินดังขึ้นในหัวของฉัน  ฉันมองไปในความมืดรอบๆอย่างมีความหวัง

 

 

“กลับมา!” เสียงของชินดังขึ้นอีกครั้ง  

 

 

ฉันรีบลุกยืนขึ้น  “ฉันอยู่นี่  ช่วยฉันด้วย  ชินช่วยฉันด้วย!”  ฉันตะโกนออกมาอย่างคนสิ้นหวัง

 

 

“ฉันอยู่นี่แล้วไงล่ะ...” เสียงของชินดังตอบกลับมา    วินาทีนั้นฉันก็รู้สึกราวกับถูกน้ำเย็นราดใส่  ฉันสะดุ้งสุดตัว  และแล้วฉันก็พบว่าจนเองกำลังอยู่ในอ้อมกอดของชินพร้อมกับที่ริมฝีปากของเขาอยู่ชิดกับริมฝีปากของฉัน

 

 

“ชิน....” ฉันกระซิบ

 

 

ชายหนุ่มดันตัวของฉันออกห่างเพื่อจะได้มองดูฉันได้ชัดเจนในทันที

 

 

“เธอกลับมาแล้ว!”  เขาร้องออกมาด้วยความดีใจ    เขาจำแววตาที่แสนสดใสและเต็มไปด้วยชีวิตชีวานั้นได้ดี 

 

 

“เธอกลับมาแล้วจริงๆ” ชินเอ่ยราวกับจะย้ำกับตนเองก่อนที่เขาจะฉันไปกอดจนแน่นอีกครั้ง

 

 

“เกิดอะไรขึ้น?” ฉันถาม    นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวฉันกันแน่?

 

 

“ไม่มีอะไรหรอก  เธอแค่ฝันร้ายน่ะ”  ชินตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก  นั้นทำให้ฉันรู้สึกสงสัย

 

 

“ว่าแต่...ที่นี่ที่ไหนกัน?”  ฉันใช้มือทั้งสองข้างผลักแผ่นอกของชินเพื่อที่จะได้หลุดพ้นจากอ้อมกอดนั้น  แต่เขากลับไม่ยอม....ชินกลับกอดฉันเอาไว้แน่นกว่าเดิมเสียอีก  แน่นเสียจนฉันไม่เห็นอะไรนอกจากแผ่นอกของชิน

 

 

“โบสถ์แห่งหนึ่งน่ะ”  คำตอบของชิน  ทำให้ฉันสงสัยขึ้นอีกเป็นทวีคูณ

 

 

“โบสถ์...  แต่ฉันได้กลิ่นเลือดนะ” ฉันพูด    ตอนนั้นเองฉันเหลือบไปมองที่ฝ่ามือทั้งสองข้างของฉันเอง  ฉันก็ต้องตกใจสุดขีด “เลือด!   แต่นี่ไม่ใช่เลือดฉันนิ”  เมื่อนั้นเองที่ฉันรู้ว่าต้องมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นแน่ๆ  ชินบาดเจ็บอย่างนั้นหรือ...หรือว่ามีใครเป็นอะไรไป  โมโมะ?

 

 

ฉันใช้แรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ผลักชินออกไป  แล้วในที่สุดฉันก็ได้เห็น.....

 

 

ภาพของความทรงจำหลั่งไหลเข้ามาในหัวของฉันราวกับสายน้ำที่ไหลริน   ดาบกระดาษที่อาบไปด้วยเลือด  ภาพของบรรดาทหารที่ถูกฉันฆ่าตายอย่างทารุณ    เสียงของคนนับไม่ถ้วนพากันร้องขอชีวิตจากฉัน   เลือดที่ไหลนองไปกับพื้น  เลือดที่สาดกระจายไปตามฝาผนัง  กลิ่นคาวของเลือดที่คละคลุ้งไปทั่ว  ภาพทุกภาพ  การกระทำทุกๆอย่าง  สัมผัสทุกสัมผัส  เหมือนกับมีดคมที่หันกลับมาทำร้ายตัวของฉันเอง   ฉันรู้สึกเจ็บปวด  ขยะแขยงตัวเองขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก  

 

 

นี่คือความจริงที่เกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ...  ฉันเอง  ฉันเป็นคนฆ่าเอง  มือของฉัน  ด้วยมือของฉันนี่ล่ะ

 

 

ฉันทำลงไปได้อย่างไร   ฉันทำเรื่องโหดร้ายอย่างนี้ลงไปได้อย่างไรกัน  ฉันไม่อาจทนยืนอยู่ตรงนั้นได้อีกต่อไป   ร่างของฉันทรุดฮวบลงกับพื้นที่นองไปด้วยเลือดที่เกิดจากเงื้อมมือของฉันเอง

 

 

“ไม่นะ!  ฉันฆ่าทุกคน  ฉันเป็นคนทำ  ฉันเอง” ฉันร้องออกมาน้ำตาพรั่งพรูไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของฉัน   มือทั้งสองกุมศีรษะเอาไว้   ฉันอยากจะลืมทุกสิ่งทุกอย่าง  ไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว  ให้ฉันกลับไปอยู่ในความมืดมิดเมื่อครู่นี้ก็ได้   เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องจริง....เป็นไปไม่ได้

 

 

“แอนน์ ทำใจดีๆไว้”  ชินพยายามจะฉุดฉันให้ลุกขึ้น   แต่ฉันกลับไม่มีเรี่ยวแรงใดๆเหลืออยู่

 

 

“ฉัน...  ฉันไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยซ้ำ  ทำไมฉันถึงมาอยู่ตรงนี้ล่ะ...”  ฉันรู้สึกเลื่อนลอย   ยามนั้นพลังพุ่งออกมาจากตัวฉันอย่างไร้การควบคุม   ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีชีวิตต่อไปอีกเพียงวินาทีได้อย่างไร   ขณะนั้นเองร่างของชินถูกพัดกระเด็นไปชนกับกำแพงของโบสถ์เข้าอย่างแรง

 

 

“แอนน์!” เขาร้องเรียกด้วยน้ำเสียงตระหนกตกใจ

 

 

“มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว...” ฉันพึมพำ “พอกันที  หายไปให้หมด  ทุกสิ่งทุกอย่างจงให้หายไปให้หมดเลย!”  กระดาษถูกเสกขึ้นนับจำนวนไม่ถ้วน   มันลอยเป็นวงล้อมรอบร่างของฉันเอาไว้จนทำให้ฉันดูเหมือนกำลังอยู่ท่ามกลางกระดาษที่กำลังโหมกระหน่ำ

 

 

ชินพยายามจะเข้ามาใกล้ฉันแต่ก็ไม่อาจทำได้เพราะพายุกระดาษที่พลังของฉันสร้างขึ้นกั้นเอาไว้   ฉันเหม่อมองไปที่ชินอย่างเศร้าๆ  “ฉันไม่อาจให้อภัยตัวเองได้  ฉันจะต้องชดใช้ความผิดอย่างไรจึงจะเพียงพอกัน”

 

 

ชินเอามือทุบกำแพงด้วยเจ็บใจ 

 

 

นี่เขาจะไม่สามารถทำอะไรได้เลยงั้นหรือ     เขาจะช่วยแอนน์ได้อย่างไรกัน       พลังของแอนน์มหาศาลถึงเพียงนี้เชียวหรือ.....?

 

 

ร่างของแอนน์ค่อยๆเรืองแสงขึ้น  และแล้วแสงเหล่านั้นก็รวมไปทอยู่ที่กลางทรวงอกของฉัน  บางสิ่งบางอย่างกำลังจะเผยออกมา  แต่ฉันไม่สนหรอก  ฉันไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว

 

 

“อืม...ผิดคาดแฮะ  การปรากฏตัวของเจ้าชายเงานั้นก็ช่วยเราอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน   หนังสือกำลังจะออกมาแล้วสินะ  แต่พายุกระดาษนั้นก็ใช่ว่าจะผ่านไปได้ง่ายๆ          ถ้าผู้ถูกเลือกใช้พลังจนหมดเมื่อไหร่หนังสือก็จะเป็นของเราเองล่ะ...หึหึ” เดอะมิลเลอร์พูดขึ้นอย่างเหี้ยมเกรียม

 

 

ชินพยายามคิดหาทางออกเพื่อที่จะช่วยหญิงสาว  แต่กลับไม่มีวิธีใดเลยที่เขาสามารถทำได้    ช่วงที่เขากำลังหมดหวังนั่นเองเขาก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ถ่ายทอดมาจากฝ่ามือของใครสักคนกำลังวางอยู่ไหล่ข้างหนึ่งของเขา   ชินตกใจวูบ...แต่พอเขาพยายามที่จะหันหลังกลับไปมองเขากลับขยับตัวไปไหนไม่ได้ราวกับถูกสะกดไว้อย่างไรอย่างนั้น

 

 

“อย่าเพิ่งตื่นตระหนกเกินไปนัก  ถ้าเจ้ายังอยากช่วยหญิงสาวผู้นั้นไว้  จงทำตามที่ข้าบอก...”  เสียงนุ่มนวลของหญิงสาวผู้หนึ่งดังขึ้นข้างๆหูของเขา

 

 

“ใครน่ะ?”

 

 

“ทำตามที่ข้าบอก   ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะต้องใช้มนตราเงาแห่งรัตติกาล”

 

 

“มนต์นั้น....” ชินเบิกตากว้างด้วยความตกใจ  คนๆนี้....

 

 

“ข้ารู้ดีว่ามนต์บทนั้นเป็นบทต้องห้าม  แต่บางทีมันก็จำเป็นนะ  ถ้าขืนเจ้ายังปล่อยผู้ถูกเลือกทิ้งไว้แบบนี้  หญิงสาวคนนั้นจะต้องตายนะ  หรือไม่เช่นนั้นเธอก็จะถูกขโมยวิญญาณไปตลอดกาล”

 

 

“อึก....” ชินอับจนด้วยคำพูด “ท่านเป็นใครกันแน่?”

 

 

“เทพธิดา...” เสียงตอบนั้นเบาเสียจนชินต้องเงี่ยหูฟัง  พอได้ยินดังนั้นเขาก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง  เขาหันหลังกับไปด้วยความตกใจ     น่าแปลกที่ตอนนี้เขาขยับตัวได้แล้ว  แต่สิ่งที่เขาพบกลับมีแต่ความว่างเปล่าเพียงเท่านั้น

 

 

เจ้าชายใช้เวลาตัดสินใจเพียงไม่ถึงนาทีเท่านั้น    ชินหันกลับมาเผชิญหน้ากับพายุกระดาษด้วยแววตาที่มั่นคงพร้อมกับรวบรวมพลังเอาไว้ในฝ่ามือ 

 

 

ฉันต้องทำได้  ฉันเคยทำได้มาแล้วนี่...

 

 

“จงออกมาเงาแห่งเรา!”  ชินตะโกนก้อง เมื่อนั้นแสงสีดำพุ่งออกมาจากฝ่ามือของชิน   แววตาของชินเต็มไปด้วยสมาธิและไม่ได้ละไปจากหญิงสาวตรงหน้าที่เขาต้องการช่วยเหลือไปเลยแม้แต่วินาทีเดียว   แสงสีดำเหล่านั้นพุ่งออกมาเรื่อยๆพร้อมกับที่ร่างกายและใบหน้าของชินก็ค่อยๆปรากฏรอยสักสีดำขึ้นมา   รอยสักสีดำนั้นค่อยๆรุกลามไปเรื่อยๆราวกับเป็นโรคร้าย

 

 

“เงาแห่งรัตติกาลเอ๋ย...จงแผ่ความมืดมิดออกไปและควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างให้อยู่ภายใต้การควบคุมของเรา  ผู้ใช้เงาคนนี้ด้วยเถิด  ในนามของเดอะชาร์โดว์!”

 

 

ทันใดนั้นบรรดาเงาสีดำเหล่านั้นก็พุ่งเข้าไปยังพายุกระดาษของหญิงสาวอย่างไม่กลัวเกรง   แสงสีดำเหล่านั้นแปรเปลี่ยนกระดาษของแอนน์ให้กลับมาเป็นสีดำสนิทเช่นเดียวกับตัวมัน   ราวกับว่าเงาดำของชินในครั้งนี้แตกต่างไปจากครั้งอื่น....เงาดำเหล่านั้นกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างตามที่เจ้านายเป็นคนสั่งจนในที่สุดกระดาษที่แอนน์เสกออกมานั้นพลันหยุดนิ่งลงทั้งหมด  เงาของชินเกือบจะพุ่งเข้าไปกลืนกินร่างของแอนน์อยู่แล้วถ้าชินไม่บังคับให้มันหยุดเสียก่อน  เจ้าชายรีบอาศัยจังหวะนั้นพุ่งเข้าประชิดตัวของหญิงสาวในทันที

 

 

“เงาแห่งรัตติกาลเอ๋ย  จงขับกล่อมให้เธอหลับใหลไปภายใต้มนตราแห่งเราด้วยเถิด” เงาสีดำพุ่งออกมาจากริมฝีปากของชินทันทีที่เขาเอ่ยจบ    ตอนนี้ทั้งร่างกายของเขาแทบจะกลายเป็นสีดำสนิททั้งหมดอยู่แล้ว   แต่ทันทีที่ชินเอ่ยประโยคนั้นอกมาร่างของแอนนาร่วงผล็อยลงอย่างง่ายดาย   แสงที่บริเวณหน้าอกของเธอค่อยๆจางหายไป  ชินรีบรับแอนน์มาไว้ในอ้อมแขนอย่างไม่รอช้า

 

 

“....”  เมื่อทุกอย่างสงบแล้วชินก็พลันหลับตาลง   เขาต้องรีบถอนมนตราบทนี้ออกจากร่างกายให้เร็วที่สุดก่อนที่ตนเองจะถูกกลืนกินไปในความมืดมิดของเงานั้นด้วย

 

 

บรรดากระดาษที่กลายเป็นสีดำเพราะพลังของชินค่อยๆสลายตัวไป   รอยสักสีดำที่เขาครอบงำชินก็ค่อยๆเลือนรางหายไปเช่นกัน  เจ้าชายแห่งเงาใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะถอนมนตราได้จนหมดสมบูรณ์   เมื่อทุกอย่างปลอดภัยแล้วชินก็ไปมองใบหน้าของหญิงสาวด้วยความโล่งอก    ใบหน้าของแอนน์ยังคงเปื้อนไปด้วยน้ำตา  แต่ยามนี้เธอก็หลับใหลไปเสียแล้ว

 

 

“แอนน์...” เขากระซิบ  เขาช่วยเธอในตอนนี้ไว้ได้ก็จริง   แต่นับจากนี้ไปเขาจะช่วยเธออย่างไรดี

 

 

“พลาดซะได้...ไม่นึกเลยว่าไอ้เจ้าชายนั้นก็จะใช้มนต์ดำแบบนี้ได้  แถมยังเป็นมนต์ดำขั้นสูงซะด้วยสิ”  เดอะมิลเลอร์พูดออกมาด้วยความหงุดหงิด   ตอนนั้นเองเสียงของคนกลุ่มหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากภายนอกโบสถ์ 

 

 

“เฮ้อ...เราอุตส่าห์ลงทุนไปตั้งมากสุดท้ายก็ต้องกลับมือเปล่าหรือนี่   แต่คราวนี้คงต้องพอแค่นี้ก่อน....  ถือว่าฉันแพ้พนันแล้วกันนะท่านเทพธิดา  หึ....”  ในไม่ช้าเดอะมิลเลอร์ก็เร้นกายไปจากที่แห่งนั้นอย่างไร้ร่องรอย

 

 

 

**********

 

 

 

“ชิน  เกิดอะไรขึ้น?”  โมโมะพุ่งเข้ามาภายในโบสถ์ก่อนใคร พอมันมองไปรอบๆก็ทำหน้าตระหนกตกใจ

 

 

“ใครกันที่ทำเรื่องแบบนี้?” โมโมะถามโดยเร็ว  แต่แล้วพอมันมองไปเห็นร่างของแอนน์ที่สลบไสลอยู่ในอ้อมแขนของชินก็ร้องออกมาทันที “แอนน์!”

 

 

“ได้โปรดอย่าเพิ่งถามอะไรฉันตอนนี้เลยนะ....”  ชินตอบเสียงเครียด

 

 

ทหารที่โมโมะพามากรูเข้ามาภายในโบสถ์ตามหลังโมโมะแค่ไม่กี่นาที   ภาพสะเทือนขวัญภายในโบสถ์ทำให้ทหารบางคนถึงกับเข่าอ่อน

 

 

“ชิน... นี่มัน...”  อาเรนเองก็ตามเข้ามาภายในโบสถ์ด้วย  ร่าของเขาก็เปื้อนเลือดอยู่  แต่ส่วนใหญ่เป็นเลือดของศัตรูเกือบทั้งนั้น

 

 

“ขอร้องล่ะ....อย่าเพิ่งถามอะไรเลยนะ” ชินชิงพูดก่อนที่อาเรนจะเอ่ยปากถามสิ่งใด

 

 

ก่อนที่ใครจะเอ่ยปากพูดอะไรออกมาอีกชายหนุ่มก็อุ้มร่างของแอนน์ขึ้นมาแล้วพาออกไปจากโบสถ์ในทันที     

 

อย่างไรก็ตามก่อนที่จะไป...ชินยังหันไปบอกกับอาเรนด้วยน้ำเสียงที่เพื่อนรักของเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า “พ่อมดคนหนึ่งรอดชีวิต  ฝากด้วยล่ะ”

 

 

อาเรนหรี่ตาพร้อมกับพยักหน้าอย่างเงียบกริบ  เขานิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะสั่งให้ทหารนำตัวพ่อมดที่หมดสติมาควบคุมตัวเอาไว้   สั่งการให้ทหารที่ติดตามมาเก็บกวาดสถานที่ก่อนที่จะรุดตามชินไปเช่นเดียวกัน

 

 

ร่างของแอนน์ที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดนั้นได้รับการทำความสะอาดและเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเรียบร้อยแล้ว   ตอนนี้เธอกำลังนอนหลับอยู่บนเตียงโดยไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย     ชินเองก็ยืนอยู่ข้างเตียงแบบไม่ยอมไปไหน  โมโมะเองก็เช่นเดียวกัน  มันทำได้เพียงส่งสายตาห่วงใยมาที่หญิงสาวด้วยความรักยิ่งเพียงเท่านั้น

 

 

“นายพอจะบอกฉันได้รึยังว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”  สายตาของโมโมะบ่งบอกอย่างชัดเจนว่ามันต้องการจะรู้เรื่องที่เกิดในตอนนี้

 

 

“...” ชินพยักหน้าแล้วจึงเดินนำโมโมะออกไปที่นอกระเบียง

 

 

เมื่อโมโมะเดินตามออกมาและพร้อมที่จะรับฟัง  เขาก็เล่าเรื่องทั้งหมดออกมาโดยไม่ปิดบัง

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่ฝีมือของแอนน์หรอก” โมโมะโพลงออกมาทันทีที่เขาเล่าจบ

 

 

“อาเรนบอกว่าจะส่งหมอคนหนึ่งมาดูอาการของแอนน์...หมอคนนี้มีฝีมือมาก  เขาคงจะให้ความกระจ่างแก่เราได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแอนน์กันแน่”  ชินพูดขึ้น  เขายังคงรู้สึกผิดที่แอนน์ต้องเจอเรื่องอะไรแบบนี้ ทั้งๆที่เขาบอกว่าจะคอยปกป้องเธอแท้ๆ

 

 

“ชิน...” อาเรนก้าวเข้ามาภายในห้องอย่างเงียบเชียบ  เขากลัวว่าจะทำให้หญิงสาวตื่น

 

 

“ว่าไงอาเรน?”  ชินกับโมโมะรีบเดินเข้าไปหาในทันที

 

 

“หมอจะมาถึงที่นี่ในเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น  คืนนี้เราคงทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ”

 

 

“งั้นเหรอ...” ชินยอมรับแต่โดยดี

 

 

“นายพร้อมที่จะเล่าเรื่องให้ฉันฟังหรือยังว่าเกิดอะไรที่โบสถ์แห่งนั้น?”  อาเรนถาม  ชินสั่นหน้า

 

 

“วันนี้นายคงจะยังไม่พร้อมที่จะเล่าให้ฉันฟัง  แต่พรุ่งนี้ฉันต้องได้ฟังเรื่องนี้จากปากของนายนะ”

 

 

ชินพยักหน้า

 

 

“คืนนี้นายจะอยู่ที่นี่ใช่ไหม?”  อาเรนถามทั้งๆที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว

 

 

“ฉันจะอยู่ที่นี่  นายไม่ต้องห่วงฉันหรอก....  แล้วเรื่องที่ถูกบุกโจมตีล่ะ?” ชินเอามือแตะที่ขอบเตียง

 

 

“เราตีพวกนั้นแตกพ่ายไปแล้วล่ะ  นายอย่าเป็นกังวลเรื่องนี้เลย ปล่อยให้ฉันจัดการเถอะ” อาเรนกล่าวพร้อมกับตบไหล่ของชินเบาๆเพื่อให้กำลังใจ  ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป

 

 

โมโมะขอตัวไปทำความสะอาดเลือดที่ติดอยู่ตามตัวก่อนที่มันจะแปลงร่างกลับมาเป็นจิ้งจอกตัวเล็ก  มันกระโดดขึ้นไปบนเตียงของหญิงสาวก่อนที่จะซุกกายแนบชิดอยู่กับแอนน์   ในขณะที่ชินยืนมองร่างนั้นอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่จะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง   มือทั้งสองข้างของเขากุมมือของหญิงสาวเอาไว้แน่น

 

 

“เธอต้องไม่เป็นไรนะ” เขากระซิบผ่านฝ่ามือของหญิงสาว

 

 

เวลาในค่ำคืนนั้นผ่านไป  ชินผล็อยหลับไปทั้งๆที่ยังคงกุมมือของหญิงสาวอยู่เช่นนั้น

 

 

 

**********

 

 

 

แสงอาทิตย์แรกของยามเช้าปลุกให้ชายหนุ่มลืมตาขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก  เมื่อเขามองไปที่หญิงสาวก็ยังคงเห็นว่าเธอนอนหลับสนิทอยู่   โมโมะลืมตาขึ้นมามองเขาเล็กน้อยก่อนที่ซุกตัวหลับไปอยู่ข้างๆกายแอนน์เช่นเดิม      ชินถอนหายใจก่อนที่จะลุกยืนขึ้น      เขาเดินออกไปที่ระเบียงด้านนอกเพื่อสูดอากาศยามเช้าก่อนที่ในไม่ช้าเขาก็รู้สึกตื่นเต็มตา  พอเขาเดินกลับเข้ามาในห้องก็เห็นประตูค่อยๆแง้มเปิดออก    ร่างที่ปรากฏต่อสายตาของเขาคือ อาเรน และชายหนุ่มแปลกหน้าผู้หนึ่ง

 

 

ชายหนุ่มคนนั้นมีเรือนผมสีเทาหม่น  เช่นเดียวกับดวงตา  ชายหนุ่มหันมาสบตาและพยักหน้าให้เขา  ชินรู้ทันทีว่าผู้นี้คือใคร   เขารีบพยักหน้าตอบไปในทันที  จู่ๆเขาก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด

 

 

“ไปคุยที่ห้องข้างๆกันเถอะ” อาเรนเสนอขึ้น  ซึ่งชินเองก็เห็นด้วย   ก่อนที่จะออกจากห้องไปเขาก็บอกให้โมโมะอยู่ที่นี่คอยเฝ้าแอนน์เอาไว้

 

 

“จิ้งจอกเก้าหางมักจะแผ่ไอเวทย์ที่ดีต่อสุขภาพของผู้ที่อยู่ใกล้อยู่เสมอ  เจ้าชายโชคดีมาก”  ชายหนุ่มแปลกหน้าพูดขึ้นขณะที่ทรุดตัวนั่งลง

 

 

“ครับ  ท่าน....เอ่อ”

 

 

“ฉันมีนามว่าเอเรียส  ยินดีที่ได้พบกันนะเจ้าชายชิน  อาเชอร์”

 

 

“ท่านเอเรียสเป็นพ่อมดที่เก่งกาจคนหนึ่งนะ  เขาเป็นแพทย์มือดีที่สุดเท่าที่เราเคยมีมาเลย  เพราะฉะนั้นชินไว้ใจคนๆนี้ได้เลยนะ  แอนน์จะต้องไม่เป็นไรแน่...”  อาเรนออกปากแนะนำมาอีกคน   ชินทำหน้าประหลาดใจ  ชายหนุ่มชื่อเอเรียสคนนี้ดูอายุไม่น่าจะมากกว่าเขาเท่าไหร่กันนัก  แต่ทำไมอาเรนถึงให้ความสำคัญถึงเพียงนี้นะ  แถมยังเป็นพ่อมดอีกด้วย

 

 

ดูเหมือนเอเรียสจะอ่านสายตาของชินออก “ถึงจะเห็นฉันเป็นแบบนี้ก็เถอะนะ  อายุของฉันก็ปาเข้าไปครึ่งร้อยแล้วล่ะ”

 

 

“ว่าไงนะ!”  ชินโพลงออกมาด้วยความตกใจ ตอนที่เห็นหน้าครั้งแรกเขาคิดว่าจะมากกว่าเขาไม่กี่ปี่เท่านั้นด้วยซ้ำ

 

 

อาเรนหัวเราะออกมา “ท่านเอเรียสเขาดูแลสุขภาพได้อย่างยอดเยี่ยมเลยใช่ไหมล่ะ”

 

 

“ฉันมีความสามารถทางด้านการแพทย์นิดหน่อยน่ะ  เอาล่ะ...เจ้าชายช่วยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เราฟังหน่อยสิครับ   สิ่งที่เจ้าชายรับรู้มาอาจจะทำให้เราสามารถไขปริศนาว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของท่านผู้ถูกเลือกได้นะครับ”

 

 

ชินจำต้องเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ทั้งสองฟัง  โดยที่มีอาเรนช่วยเล่าเหตุการณ์บางช่วงที่ชินไม่อยู่อีกด้วย   เมื่อทั้งสองเล่าเรื่องจบ ทั้งชินและอาเรนต่างก็นั่งไม่ติดต่างจากเอเรียสที่ยังคงนั่งฟังด้วยความสงบ

 

 

“มีทางช่วยอะไรบ้างไหมครับ?” ชินอดไม่ได้จึงถามขึ้น

 

 

“พาฉันไปหาเธอคนนั้นหน่อยจะได้ไหม   ฉันกำลังสงสัยอะไรบางอย่าง”  ประโยคหลังดูเหมือนเอเรียสจะพึมพำกับตัวเองเสียมากกว่า

 

 

ชินกับอาเรนหันมาพยักหน้าให้แก่กัน    ยามนี้เอเรียสยืนอยู่ที่ข้างเตียงของหญิงสาว   เธอยังคงหลับสนิทราวกับเจ้าหญิงนิทรา  เอเรียสค่อยๆรวบรวมพลังก่อนจะค่อยๆหลับตาลง  ทันใดนั้นก็มีหมอกสีขาวมาคลุมร่างของหญิงสาวเอาไว้

 

 

ระหว่างนั้นอาเรนก็ถูกมาริคตามตัวไปประชุมด่วน  อาเรนจึงจำต้องขอตัวออกไปก่อนอย่างช่วยไมได้

 

 

“แล้วฉันจะกลับมาอีกทีนะ”  อาเรนพูดกับชินก่อนที่จะจากไป  ชินเพียงแต่พยักหน้ารับเท่านั้น

 

 

หลังจากที่อาเรนออกไปครู่ใหญ่   ในที่สุดเอเรียสก็ค่อยลืมตาขึ้นอย่างช้าๆพร้อมๆกับที่หมอกสีขาวค่อยๆจางหายไป

 

 

“ดูท่า.....เดอะมิลเลอร์จะเป็นคนที่ทำร้ายเธอจริงๆนั่นแหละ”  เขาพูดขึ้นด้วยเสียงเครียดๆ   “เธอบอกว่าก่อนหน้านี้แอนนา เบลล์ก็ไม่สบายใช่ไหม?”

 

 

“ครับ  แต่พอถึงเมื่อวานอาการของเธอก็ดีขึ้นมากแล้ว”

 

 

“อืม...เธอเคยบอกเจ้าชายไหมว่าตัวเองเคยเจอกับเดอะมิลเลอร์มาก่อนหน้านี้อีกหรือเปล่า?”

 

 

“เอ๊ะ!  หมายความว่าอย่างไรกัน?”

 

 

“ฉันคิดว่าต้นตอของพฤติกรรมที่ผิดปกติไปของแอนนา เบลล์น่าจะมาบางสิ่งบางอย่างที่เดอะมิลเลอร์ตั้งใจให้ผู้ถูกเลือกได้ซึมซับเข้าไปโดยไม่รู้ตัว   ตัวอย่างเช่น...เศษกระจก”

 

 

“เศษกระจก?” ชิน...เขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน

 

 

“ฉันเองก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอกนะ  แต่ก็เคยได้สัมผัมกับคนที่ถูกพลังของเดอะมิลเลลอร์เข้าครอบงำมาก่อนเหมือนกันดูเหมือนว่าจะเป็นการใช้เวทย์รูปแบบหนึ่งของเดอะมิลเลอร์    เศษกระจกที่เดอะมิลเลอร์สร้างขึ้นมาหากถูกส่งเข้าไปในร่างกายของฝ่ายตรงข้ามล่ะก็.....น่าจะสามารถใช้ในการควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของฝ่ายตรงข้ามได้”

 

 

“ทำแบบนั้นได้ด้วยหรือครับ?” ถ้าเป็นแบบนี้ต่อจากนี้ก็ต้องยิ่งระวังเดอะมิลเลอร์ให้มากกว่านี้ซะแล้ว

 

 

“เวลาที่เราส่องกระจก  อะไรที่กระจกสะท้อนกลับมาล่ะ เจ้าชาย...”  จู่ๆเอเรียสก็ถามขึ้น

 

 

“ภาพของเรามั้งครับ”

 

 

“ใช่เลย  ภาพของเรา  เศษกระจกก็เช่นเดียวกัน   มันสะท้อนพฤติกรรมบางอย่างของแอนนาออกมายังไงล่ะ  การที่ผู้ถูกเลือกแสดงพฤติกรรมที่โหดเหี้ยมออกมาแบบนั้น    อาจเป็นเพราะเศษกระจกพวกนั้นสะท้อนอีกด้านหนึ่งของจิตใจของเธอออกมา....ด้านมืดของหล่อน”

 

 

“ว่าไงนะ!”

 

 

“ฉันกำลังจะบอกว่าสิ่งที่หล่อนแสดงออกมานั้นล่ะคือด้านมืดของหล่อนยังไงล่ะ  ด้านตรงข้ามกับพฤติกรรมที่เธอใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบัน”

 

 

“เดอะมิลเลอร์จะทำอย่างนั้นไปทำไมกัน?”

 

 

“นั้นสินะ  สิ่งที่แอนนา เบลล์แสดงออกมานั้นบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า ไร้การควบคุม  ไร้สติ  ไร้การยับยั้งชั่งใจ  ไร้สามัญสำนึก   แน่นอน...แสดงถึงพลังอันมหาศาลของหล่อนด้วย  พลังมหาศาลจนสามารถทำให้บางสิ่งบางอย่างในตัวเธอเสียสมดุล”

 

 

“อะไรกัน?”

 

 

“ไม่รู้สิ  แต่ที่แน่ๆ เจ้าชายมาทันเวลาพอดี  ทันเวลาก่อนที่วิญญาณของเธอคนนี้จะเสียสมดุลลงไปจริงๆ  ก่อนที่ผู้หญิงคนนี้จะต้องสูญเสียอะไรไปมากกว่านี้”

 

 

“โธ่....แอนน์”   แต่ถึงอย่างนั้นชินก็ยังไม่เข้าใจการกระทำของเดอะมิลเลอร์อยู่ดี

 

 

“แล้วเดอะมิลเลอร์มีวิธีส่งเศษกระจกเข้าไปในร่างของแอนน์ได้ยังไงครับ?”

 

 

“อาจจะผสมในน้ำดื่ม ทางใดก็ได้ที่สามารถนำเศษกระจกเข้าไปในร่างกายได้  หรือไม่ก็ทางตรงเราคงไม่มีทางทราบได้   นอกจากถามเจ้าตัวล่ะนะ”  เอเรียสหยุดไปครู่หนึ่งเพื่อที่จะจิบน้ำชาที่อยู่ใกล้ๆ  “แอนนาคงได้รับเศษกระจกมาก่อนหน้านี้แล้ว   เจ้าชายบอกว่าเธอป่วยตั้งแต่ออกจากมิดไนท์ใช่ไหม  ฉันคิดว่าเธอคงได้รับเศษกระจกครั้งแรกมาจากที่นั่น”

 

 

“มันเกี่ยวข้องกับอาการป่วยของเธอด้วยหรือครับ?”

 

 

“แน่นอน   อาการเจ็บปวดทางร่างกายจะทำให้สามารถแสดงด้านอ่อนแอของเราออกมาได้ง่ายขึ้น  แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามแอนนามีอาการดีขึ้นหลังจากนั้น          ฉันคิดว่าปริมาณเศษกระจกคงจะไม่มากพอ  และนั่นคงเป็นเหตุให้เดอะมิลเลอร์กลับมาหาแอนนา  เบลล์อีกครั้ง”

 

 

“บ้าจริง!  เจ้าหมอนั่นมายุ่งกับแอนน์ด้วยเหตุผลอะไรกันแน่นะ”  ชินรู้สึกว่าตนเองไม่ได้แก้ไขปริศนาอะไรได้เลย   ในเมื่อครั้งนี้เดอะมิลเลอร์ทำไม่สำเร็จ   แล้วเขายังจะกลับมาเล่นงานแอนน์อีกหรือเปล่า    คิดได้ดังนั้นหัวเขาก็แล่นอื้อไปด้วยโทสะ  เดอะมิลเลอร์ทำแบบนี้กับแอนน์ได้ยังไงกัน  เขาจะไม่มีวันยกโทษให้มันเด็ดขาด  จะต้องไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งที่สองอีกแน่!

 

 

“ตอนนี้แอนน์ปลอดภัยแล้วใช่ไหมครับ?”

 

 

“อืม...ปลอดภัยแล้ล่ะ   แต่ไม่รู้ได้ว่าเศษกระจกออกไปหมดจากตัวเธอหรือยัง  เพราะบางทีอาจจะเหลือเศษกระจกอยู่แต่ปริมาณคงน้อยเกินกว่าจะทำอะไรหญิงสาวได้อีกแล้วก็เป็นได้”

 

 

“แล้วท่านพอจะกำจัดเศษกระจกที่เหลืออยู่ได้ใช่ไหมครับ?” ชินพยายามควบคุมน้ำเสียงให้กลับมาเป็นปกติ

 

 

“ภายนอกร่างกายนะได้  แต่ที่ยังหลงเหลืออยู่ภายในร่างกายนี่ฉันจนปัญญาจริงๆ   เจ้าชายโปรดอย่ากังวลให้มากเลย”

 

 

“ไม่มีทางที่จะกำจัดมันออกไปอย่างถาวรเลยรึ”

 

 

“ไม่แน่บางทีมันอาจค่อยๆสลายตัวไปเองก็ได้   แต่ถ้าจะให้แน่ใจเจ้าชายคงต้องลองพาเธอไปที่โอเวอร์โซล  ที่นั่นทุกสิ่งจะได้รับการชำระล้าง....”

 

 

“.....” ชินนิ่งอึ้งไปในความคิด

 

 

“จริงสิครับยังมีอีกเรื่องหนึ่งนะ เจ้าชาย....”  ด้วยน้ำเสียงของเอเรียส  ชินก็ชะงักงันไปในทันที

 

 

“ครับ?”

 

 

“ที่ตัวของหล่อนยังมีร่องรอยของมนต์ดำด้วยนะ  เจ้าชายทราบเรื่องนี้หรือไม่?”  ชินใจหาย  เอเรียสสัมผัสได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ....

 

 

ชินหลบสายตาไปอีกทาง  ไม่ได้เอ่ยตอบคำถามนั้นแต่อย่างไร

 

 

เอเรียสหรี่ตามองชายหนุ่มด้วยแววตาที่จริงจัง  “เจ้าชายก็รู้ดี.. ว่ามนต์ดำ”

 

 

“ฉันรู้ดี...   แต่ตอนนั้นฉันไม่มีทางเลือกจริงๆ”

 

 

“เฮ้อ...” เอเรียสถอนใจ

 

 

“เอาเถอะ  ดีนะ ที่มนตราบทนี้ไม่ได้ส่งผลอะไรที่ร้ายแรงมากนัก  ในฐานะพ่อมดคนหนึ่ง ฉันขอชมว่าเจ้าชายเก่งมาก ที่สามารถใช้มันได้อย่างคล่องแคล่ว   แต่ในฐานะหมอฉันคงต้องต่อว่าเธอ  ถ้าหากเกิดความผิดพลาดใดๆขึ้นล่ะก็...  เธอคนนี้อาจจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลยนะ   พลังของศาสตร์มืดนั้นมันน่ากลัวเกินกว่าที่ใครจะควบคุมมันไว้ได้   คนที่ใช้มันมีแต่จะโดนครอบงำเอาซะเอง  เดอะเปเปอร์คนก่อนก็เป็นตัวอย่างที่เธอก็เห็นอยู่ไม่ใช่รึไง”

 

 

“ฉันขอโทษจริงๆ  ฉันเองก็หวังว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันต้องใช้มนต์ต้องห้ามบทนี้”  ชินรู้สึกผิดจริงๆ 

 

 

ใช่แล้ว...เรื่องที่เอเรียสพูดมา เขารู้ดีอยู่แล้ว

 

 

“อีกไม่นานเธอก็คงจะตื่น”

 

 

“เธอจะไม่เป็นไรจริงๆใช่ไหมครับ..ท่านเอเรียส”

 

 

“ทางร่างกายนะใช่” เอเรียสพูดขึ้นอย่างหนักใจ “แต่ทางจิตใจน่ะเป็นแน่  เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนยังไงๆก็เป็นฝีมือของแอนนา  เบลล์”

 

 

“แต่....”

 

 

“ร่างกายยังคงจดจำสัมผัสเหล่านั้นได้  จิตใจของเธอเองก็เช่นเดียวกัน  เธออาจจะไม่ได้เป็นคนทำโดยตรงก็จริง  แต่ด้านมืดของเธอก็เป็นคนทำอยู่ดี”

 

 

“....” ชินเถียงไม่ออก

 

 

“ฉันขอพูดตรงๆเถอะนะเจ้าชาย    แต่ท่านคงไม่อยากให้หญิงสาวผู้นี้ต้องกลายเป็นเหมือนอย่างเดอะเปเปอร์คนก่อนหรอกใช่ไหม?”

 

 

ชินตะลึงเขาไม่คิดจริงๆว่าเอเรียสจะพูดประโยคนี้ออกมา

 

 

“ตอนนี้จิตใจของเธอคนนี้กำลังอ่อนแอ   เจ้าชายต้องคอยดูแลผู้ถูกเลือกอย่างใกล้ชิดนะครับ  ช่วงนี้เจ้าชายจะต้องให้กำลังใจกับเธอมากๆ  อย่าให้หล่อนต้องตกอยู่ในความมืดที่ถูกเดอะมิลเลอร์นำพามาเด็ดขาด!”

 

 

“เข้าใจแล้วครับ”

 

 

“จิ้งจอกเก้าหางเอ๋ย....”  เอเรียสหันไปพูดกับโมโมะที่นิ่งฟังอยู่เงียบๆมาโดยตลอด

 

 

“เจ้าเองก็มีบทบาทที่สำคัญเช่นเดียวกันนะ” โมโมะก้มหัวลง

 

 

เอเรียสลุกขึ้นก่อนที่จะพูดออกมาเป็นประโยคสุดท้ายว่า “พวกเธอสองคนเป็นบุคคลที่สำคัญต่อหญิงสาวผู้นี้ยิ่ง    จะช่วยเธอได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับพวกเธอทั้งสองคนแล้วล่ะนะ”

 

 

เอเรียสจ้องมองมาที่หญิงสาวอยู่ชั่วขณะหนึ่งก่อนที่จะเดินออกจากห้องไปทิ้งให้ภายในห้องเต็มไปด้วยความเงียบงันชวนน่าอึดอัด    ชินเดินไปนั่งที่ข้างเตียงพร้อมกับจ้องมองหญิงสาวอยู่นาน  โมโมะกระโดดขึ้นมาเกาะไหล่ของชินแล้วจ้องมองไปที่หญิงสาวเช่นเดียวกัน   ทั้งสองกำลังรอในสิ่งๆเดียวกันอยู่

 

 

ในที่สุดขนตาของหญิงสาวก็พลิ้วไหว  เธอค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ

 

 

“ฉันอยู่ที่ไหน...” เสียงของฉันแหบพร่า  แถมยังรู้สึกเวียนหัวไปหมด

 

 

“ปราสาทแห่งเดอะลาสเดสติเนชั่นไงล่ะ  รู้สึกเป็นยังไงบ้างละแอนน์  ดีขึ้นบ้างหรือยัง?”  ชินถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

 

 

“.....”  ฉันกำลังพยายามเรียบเรียงเรื่องราวในหัวอย่างช้าๆ

 

 

“ตอนนี้แอนน์ไม่เป็นไรแล้วล่ะ  หิวไหม?  อยากทานอะไรก่อนหรือเปล่า?” โมโมะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริง

 

 

“ฉันรู้สึกอยากอยู่คนเดียว” ฉันพูด

 

 

ฉันจำเรื่องทั้งหมดได้แล้ว.....  นี่ฉันหลับไปทั้งๆที่เกิดเรื่องขึ้นตั้งมากมายอย่างนั้นหรือ...   คราวนี้ฉันไม่ได้ฝันอะไรเลย  ความรู้สึกของฉันเหมือนแค่กระพริบตาเท่านั้นเอง   ภาพสุดท้ายในความทรงจำของฉัน คือ ใบหน้าของชินที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน   และมีฉากหลังเป็นกระดาษที่ฉันเสกขึ้นหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ   ฉันจำทุกอย่างได้แล้ว     ตอนนี้ฉันทำได้แค่เพียงหลบตาของชินกับโมโมะที่จ้องมองมาที่ฉันด้วยความห่วงใยเท่านั้นเอง

 

 

“เข้าใจแล้ว”  ชินพูดขึ้นในที่สุดเมื่อเห็นฉันนิ่งเงียบไปนาน  ชายหนุ่มพยักหน้าให้โมโมะที่ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรออกมา เขาลุกยืนขึ้น  “เดี๋ยวจะมีคนยกอาหารเข้ามา  เธอต้องทานด้วยนะ”

 

 

“อืม”

 

 

“แอนน์  ให้ฉัน...”  โมโมะพยายามจะพูด

 

 

“ได้โปรดเถอะ  ฉันอยากอยู่คนเดียวจริงๆ”  โมโมะไม่พูดอะไรอีก  ในไม่ช้าฉันก็ได้อยู่ในห้องเพียงลำพัง   และแล้วน้ำตาก็ไหลมาอาบแก้มของฉันอย่างเงียบๆ

 

 

                คงปฏิเสธไม่ได้แล้วสินะ...ว่าฉันเป็นคนทำมันลงไปจริงๆ

 

 

 

*********

 

 

 

“นับจากวันนั้นชินและโมโมะก็มาเยี่ยมฉันทุกวัน   อาเรนก็เหมือนกัน  แต่ฉันไม่แปลกใจหรอกที่แคทเธอรีนไม่ได้มาด้วย    ฉันรู้ว่าทุกคนกำลังคิดจะทำอะไรเพื่อฉัน    แต่ในตอนนี้ฉันอยากอยู่คนเดียวจริงๆ  ฉันอยากจะเก็บตัวอยู่เงียบๆ  ออกห่างจากคนอื่นๆ   ฉันไม่อยากจะพูดใครลยจริงๆ

 

 

ทุกคนพยายามที่จะให้กำลังใจฉัน  ปลอบใจฉัน  พวกเขาบอกว่าไม่เป็นไร  และทุกอย่างจะลงเอยด้วยดี     ฉันพยักหน้า  ทั้งๆที่ในใจของฉันรู้ดีว่ามันจะไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว   จะให้ฉันกลับไปใช้ชีวิตอย่างเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไร

 

 

ในยามค่ำคืน...บางครั้งฉันก็ฝัน  แต่ไม่ได้ฝันเรื่องหนังสือเล่มนั้นหรอกนะ  ฉันฝันถึงเหตุการณ์ในคืนวันนั้น  ฉันพยายามที่จะต่อสู้กับตัวของฉันเองที่กำลังฆ่าคน  แต่ฉันไม่อาจห้ามตัวฉันเองได้  ทุกคนตาย  และนั้นก็เป็นความจริง ทุกคนตายด้วยมือของฉันจริงๆ

 

 

มีคนแปลกหน้าคนหนึ่งมาเยี่ยมฉันอยู่เป็นประจำ    เขาบอกว่าเขาเป็นหมอที่คอยดูแลฉัน  เขามีชื่อว่า เอเรียส    ไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะอายุมากขนาดนั้นแล้ว  แต่ใบหน้ากลับยังดูอ่อนเยาว์   เขาเป็นคนที่ใจดี   น่าแปลกนะ...เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องอาการป่วยของฉันเลย  หรือแม้แต่การรักษา    เราคุยกันเรื่องทั่วๆไป    เขาทำให้ฉันรู้จักยูโทเปียมากขึ้น   ฉันพึ่งจะรู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันอยู่ทางส่วนเหนือของยูโทเปียมาโดยตลอด   ถ้าอยู่ทางใต้อากาศจะเย็นกว่านี้มาก  แต่เรื่องความงามของธรรมชาติทางเหนือจะงดงามกว่า     เอเรียสเล่าให้ฉันถึงเดอะทรูท  อาณาจักรแห่งความจริง  ที่นั้นเต็มไปด้วยหนังสือ

 

 

ฉันอยากไปนะ...  ฉันคิดว่าสักวันฉันคงได้ไป  สักวันนะ....

 

 

ช่วงเวลาที่ฉันอยู่กับคนอื่นๆ ฉันก็ได้แต่พยายามคุยไปตามปกติเท่านั้น  อาเรนดูเหมือนจะหมดห่วงเรื่องฉันไปเยอะ  เขามีงานของอาณาจักรรออยู่อีกมาก  ฉันไม่อยากทำให้เขาเป็นห่วงเลย  ฉันอยากให้ทุกคนคิดว่าฉันไม่เป็นไรแล้ว  นั้นล่ะคือสิ่งที่ฉันต้องการ...   ชินกับโมโมะกลับบอกว่าฉันไม่เหมือนเดิม   อยากให้ฉันระบายทุกสิ่งทุกอย่างที่ค้างคาอยู่ในหัวใจให้พวกเขาฟัง   อยากให้ฉันไว้ใจเขา  ทุกๆครั้งที่ชินมาเยี่ยมฉันเขาจะเก็บดอกไอริสมาฝากฉันทุกครั้งเช่นเดียวกัน   มันทำให้ฉันยิ้ม  และรู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก   แต่ฉันจะกลับไปขาวบริสุทธิ์ดั่งดอกไอริสนี้ได้อีกอย่างไรกัน....

 

 

พลังของฉัน.....  ฉันไม่ได้ใช้มันอีกเลยนับแต่นั้น   ฉันรู้สึกหวาดกลัวที่ใช้มัน   ถ้าฉันเกิดควบคุมมันขึ้นมาไม่ได้อีกล่ะ   ถ้าเกิดฉันไปฆ่าใครอีก   บางทีอาจจะเป็นอาเรน  โมโมะหรือชิน  ฉันใจหายวูบ   ฉันจะยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นไม่ได้เด็ดขาด     ฉันไม่อยากใช้พลังนั้นอีกแล้ว  ฉันไม่อยากทำร้ายใครอีกแล้ว

 

 

ฉันลืมเรื่องของหนังสือไปเสียสนิท  ฉันไม่อยากรู้แล้วล่ะ ว่าข้างในมันคืออะไร  ฉันจำใบหน้าในหนังสือนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ   ถ้าเดอะมิลเลอร์ต้องการ  ฉันจะมอบให้ไปก็ได้นะ

 

 

ชินบอกกับฉันว่า  ดาร์คอาเธอร์รู้ดีว่าฉันอยู่ที่นี่  ในไม่ช้าเขาก็ส่งกองทัพมาบุกอีกครั้ง  คราวนี้เดอะลาสต์เดสติเนชั่นคงถึงกาลอวสานแน่    เพราะต้องรับศึกจากหลายทาง   อาเรนตัดสินใจว่าจะชิงลงมือก่อน   เขากับกองทัพหลวงจะบุกไปยังแพนดอร่าที่ดาร์คอาเธอร์ปกครองอยู่ผ่านทางลอราเซีย

 

 

ลอราเซียเป็นอาณาจักรที่ให้ความช่วยเหลืออย่างลับๆแก่เดอะลาสต์เดสติเนชั่นนานแล้ว   กองทัพจะไปตั้งมั่นอยู่ที่นั่นพร้อมออกรบ   ในขณะนั้นให้ฉัน  ชิน โมโมะ และเอเรียสเดินทางออกจากเดอะลาสต์เดสติเนชั่นไปเสียเพื่อความปลอดภัย

 

 

ชินบอกให้พวกเราไปยังโอเวอร์โซล   มันคือดินแดนอันศักสิทธิ์ที่ไม่ว่ายูโทเปียจะเปลี่ยนไปอย่างไร   ที่นั่นก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง  กลุ่มอารยชนที่อาศัยอยู่ที่นั่นว่ากันว่ามีเชื้อสายมาจากเทพองค์หนึ่งที่ปกป้องคุ้มครองยูโทเปียมาเมื่อกาลก่อน   พวกเขางดงาม  ผิวพรรณผ่องใส่  องอาจและสง่าผ่าเผยเกินใคร   ดาร์คอาเธอร์ไม่เคยคิดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโอเวอร์โซลเลยแม้แต่น้อย   โอเวอร์โซลเองก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวหรือให้ความช่วยเหลือใครเลยเหมือนกัน  ชนกลุ่มนั้นเป็นนายของตนเอง  พวกเขาคงความเป็นกลางเอาไว้อย่างแข็งแกร่ง  ที่นั้นเป็นสถานที่ปลอดภัยแห่งเดียว  ถ้าได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าไป

 

 

ชินบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องเสี่ยง   เขาไม่อาจนำฉันไปสู่สงครามได้  เทพธิดาเป็นหนึ่งในไม่กี่สิ่งที่โอเวอร์โซลยอมรับ  ฉันในฐานะผู้ถูกเลือกก็น่าจะได้รับการยอมรับเช่นเดียวกัน   ฉันถามชินว่าหลังจากที่เราผ่านโอเวอร์โซลมาได้แล้วจะทำอย่างไรต่อ

 

 

“รอข่าวจากอาเรน” เขาตอบอย่างไม่มั่นใจ

 

 

ฉันรู้แก่ใจดี  ฉันคือหัวใจสำคัญที่จะตัดสินว่าฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายชนะ  แต่ฉันจะทำอย่างไร  ฉันจะทำได้อย่างไรกัน  ฉันจะต่อสู้อีกครั้งได้อย่างไรกัน

 

 

เหตุผลที่เอเรียสตัดสินใจเดินทางไปกับฉันด้วยก็เพราะเขาเป็นหมอประจำตัวของฉัน   อีกทั้งในการเดินทางครั้งนี้เขายังทำหน้าที่เป็นผู้นำทางอีกด้วย

 

 

คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้วที่ฉันจะได้พักอยู่ในเดอะลาสต์เดสติเนชั่น 

 

 

นี่ฉันได้อะไร...และสูญเสียอะไรไปบ้างนะ  อนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไรต่อไป?”  ฉันวางปากกาลงแล้วปิดสมุดบันทึกลงอย่างช้าๆ   ดวงตาเหม่อมองไปที่ดอกไอริสในแจกันที่ตั้งอยู่ข้างเตียง   มือข้างหนึ่งลูบสร้อยไวท์ลีฟออฟสตาร์อย่างใจลอย

 

 

 

***********

 

 

 

เสียงแง้มประตูทำให้ฉันตื่นขึ้นจางภวังค์  ร่างๆหนึ่งเดินเข้ามาภายในห้อง   จากเสียงที่ได้ยินฉันคิดว่าคนๆนี้มีฝีเท้าที่ไม่มั่นคงนัก  ฉันจ้องมองด้วยความประหลาดใจ  แคทเธอรีน  ซาร่าห์กำลังสบตากับฉันอยู่

 

 

“พรุ่งนี้เธอจะไปแล้วสินะ”  แคทเธอรีนพูดด้วยเสียงที่เบาราวกับจะกระซิบ

 

 

“ใช่” ฉันตอบ   เธอมาหาฉันทำไมกันนะ

 

 

“ชินกับอาเรน.....สองคนนั้นจะไปกับเธอสินะ”

 

 

“ชินคนเดียวเท่านั้นที่จะเดินทางไปกับฉัน  แต่อาเรนจะอยู่ที่นี่เตรียมยกทัพไปยังแพนดอร่า” ฉันพอจะนึกเหตุผลที่แคทเธอรีนมาหาฉันขึ้นได้บ้างแล้วล่ะในตอนนี้   แต่ว่า...แคทเธอรีนไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยรึไง

 

 

“นั้นสินะ...” น้ำเสียงของเธอดังขึ้นเล็กน้อย 

 

 

“เธอต้องการอะไรกันแน่?”  ตอนนี้ฉันพอจะรู้แล้วว่ากำลังจะเจออะไรต่อไป   ฉันพร้อมแล้ว

 

 

“เธอทำให้ชินเปลี่ยนไป!”  ฉันแทบจะได้ยินเสียงปะทุของระเบิดดังมาจากอีกฝ่าย

 

 

“เธอกำลังหลอกชินใช่ไหม?”  ฉันยังคงเงียบกริบ

 

 

“เธอกำลังจะแย่งเขาไปเหมือนเดอะเปเปอร์ทำใช่รึเปล่า?”  แคทธเอรีนเอ่ยพลางน้ำตาคลอ

 

 

ฉันทำหน้าระคนสงสัยกับประโยคสุดท้ายที่เธอพูดออกมา  นี่มันเรื่องอะไรกัน?

 

 

“ชินหลงเสน่ห์เธอ  เหมือนกับที่เขาเคยหลงเสน่ห์เดอะเปเปอร์    เดอะเปเปอร์...หล่อนหลอกใช้ชิน   แล้วสุดท้ายก็ทิ้งชินไป  เธอคนนั้นทำให้ชินต้องเจ็บปวด  แล้วเธอ.....เธอก็กำลังทำแบบเดียวกันอยู่ใช่ไหม?”

 

 

“ฉันไม่เคยคิดจะทำอย่างนั้นเลย”  ฉันตอบเธอตามความจริงด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยจนตัวเองแปลกใจ   ชิน...นี่ชินเคยหลงรักเดอะเปเปอร์อีกคนอย่างงั้นเหรอ   แสดงว่าแคทเทอรีนก็รู้เรื่องราวบางอย่างที่ทุกคนพากันปิดบังฉันเหมือนกันสินะ

 

 

“ฉันไม่เชื่อเธอหรอก   เธอมันนังปีศาจร้าย  เธอจะทำลายทุกอย่าง  เหมือน...”

 

 

“ฉันไม่ใช่เดอะเปเปอร์คนนั้นนะ!”  ฉันไม่อาจรอให้แคทเธอรีนพูดจบได้   ฉันไม่อาจทนให้ตัวเองถูกนำไปเปรียบเทียบกับเดอะเปเปอร์อีกคนได้จริงๆ

 

 

“อย่าลืมสิว่าเธอมีพลังเหมือนเดอะเปเปอร์”  แคทเธอรีนพูดพร้อมกับจ้องเขม็งมาที่ฉัน “พลังของเธอมหาศาล  ฉันรู้ดี...   ฉันไม่ยอม  ฉันจะไม่....”

 

 

“ฉันมาที่นี่ด้วยการชักนำจากเทพธิดา”  ฉันลุกขึ้นยืนบ้าง  “เทพธิดาเป็นคนมอบพลังนี้ให้กับฉัน  และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม   ฉันก็ตั้งใจไว้ว่าจะทำภารกิจนั้นให้สำเร็จ”

 

 

“เพราะของสำคัญที่เทพธิดาให้สัญญาไว้ละสิ” 

 

 

“ตอนแรกฉันก็คิดแบบนั้นนะ  แต่ตอนนี้ฉันคิดจะทำเพื่อยูโทเปียมากกว่า”

 

 

“เธอโกหก!”

 

 

“ที่เธออยากจะพูดคือเรื่องอะไรกันแน่ แคทเธอรีน...   ฉันคงไม่สามารถแย่งชินไปจากเธอได้หรอกถ้าเขาไม่ยอม   เธอรักชินมากเลยใช่ไหมล่ะ?”

 

 

“ฉัน...”  แคทเธอรีนชะงักไปชั่วครู่  ก่อนที่จะพยักหน้าลงอย่างมั่นใจ “ใช่  ฉันรักเขามาก”

 

 

“แล้วเขารักเธอหรือเปล่าล่ะ?”  คำถามนี้หลุดออกไปจากปากของฉันก่อนที่ฉันจะยั้งตัวเองไว้ทัน

 

 

แคทเธอรีนที่บัดนี้น้ำตานองหน้า  เธอเหลือบไปมองเห็นดอกไอริสในแจกันที่ตั้งอยู่ข้างเตียง  เพียงเท่านั้นเธอก็ไม่อาจตอบคำถามของฉันได้

 

 

“แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ   ชินไม่เคยบอกฉันว่าเขารักฉันหรอกนะ    อีกอย่างพอฉันทำภารกิจนี้สำเร็จแล้ว ฉันก็ต้องกลับบ้านที่อีกดลกนึงอยู่ดี  ฉันจะจากไป  แล้วก็คงจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้วแหละ”

 

 

แคทเธอรีนยืนจ้องหน้าฉันอยู่นานก่อนที่จะพูดขึ้นว่า  “ฉันจะลองเชื่อเธอดูสักครั้ง”  เธอหันหลังกลับแล้วเดินออกจากห้องไป  โดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับมามองเลย

 

 

เสียงฝีเท้าที่ห่างออกไปของแคทเธอรีนในความรู้สึกของฉัน  แต่มันกลับทำให้ฉันได้ยินไปอีกอย่างหนึ่ง  ฉันกลับได้ยินเสียงของตัวเองตะโกนกลับมาว่า “เธอรู้ตัวรึเปล่า  ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป  แอนนา เบลล์!”

 

 

สุดท้ายก็ไม่ได้ถามเรื่องของเดอะเปเปอร์คนนั้นจากแคทเทอรีนจนได้....  แต่ตอนนี้เรื่องที่ทำให้ฉันหยุดคิดไม่ได้น่าจะเป็นเรื่องที่ฉันพลั้งปากให้สัญญากับแคทเธอรีนไปแบบนั้นเสียมากกว่า  คำสัญญาที่ว่าพอทุกอย่างจบลงฉันก็จะจากที่นี่ไปและจะไม่กลับมาอีกแล้ว

 

 

ชิน...ฉันรักเธอ   แต่ว่าเราจะรักกันได้อย่างไร?

 

 

“ฉันไม่รู้....”  ฉันกระซิบพร้อมกับทรุดนั่งลงกับพื้นห้อง  

 

 

สุดท้ายแล้วฉันก็ทำได้เพียงแค่ร้องไห้...ร้องไห้ให้กับการตัดสินใจของตัวเองเพียงเท่านั้น

 

 

 

**********

 

 ปล.  เดี๋ยวนี้มาลงตอนต่อแบบไม่แน่ไม่นอนเท่าไหร่ แหะๆๆ...แต่ก็จะลงจนจบให้ได้แหละเนอะ  หุหุ  ขอบคุณสำหรับคนที่ตามอ่านกันมาจ้า 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา