Decisive wars สู่จุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง

7.2

เขียนโดย CyCloEclipse

วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 11.46 น.

  44 ตอน
  5 วิจารณ์
  42.93K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 กันยายน พ.ศ. 2556 20.52 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

29) ดวงอาทิตย์ที่สาดแสงอีกครั้ง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ทรงผมสีฟ้าที่เจ้าตัวปล่อยยาวลงมาจนสัมผัสถึงช่วงเอวของมิรันพริ้วไสวไปตามแรงลมที่พล่านออกมาจากร่างกายของเธออย่างรุนแรงจนสะบัดออกไปทุกทิศทาง สาวน้อยเอามือทั้งสองข้างรวบผมของตัวเองเอาไว้ให้รวมกันเป็นกำก่อนที่จะเร่งพลังในมือขวาในการตัดส่วนที่ยาวจนเกินไปทิ้งให้เหลือยาวเพียงต้นคอเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพื่อความคล่องตัวที่มากขึ้นในการต่อสู้กับศัตรูที่จะเสียสมาธิไม่ได้แม้สักเสี้ยววินาทีเดียวนั่นเอง...



"โหมดต่อสู้จริงงั้นเหรอ... เธอคิดจะเลียนแบบฉันหรือไง"


"ก็คงงั้นมั้ง!?"



ฮานามิที่สังเกตได้ถึงสิ่งผิดปกติที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าสายตาของเธอนั้นเริ่มรู้สึกใจคอไม่ค่อยจะดีขึ้นมาบ้าง... เพราะเธอจำได้ว่านอกจากภายในร่างกายของแองเจลอยด์ที่ถูกสร้างขึ้นมาในรุ่นก่อนหน้าเธอแล้ว บรรดาseiriรุ่นที่ถือกำเนิดขึ้นมาหลังจากห้าปีที่ผ่านมานั้นไม่มีระบบที่สามารถสงวนพลังในร่างกายเอาไว้ใช้รวดเดียวแบบนี้เลย...


ถ้าจะมีก็เพียง"ระบบการสงคราม"ที่จะฝืนดึงเอาพลังซึ่งร่างกายมีอยู่ทั้งหมดออกมาใช้ในการต่อสู้ซึ่งเหมือนกับการฉีดยาโด๊ปฆ่าตัวตายทีละนิดๆเท่านั้น..!



นอกจากทรงผมที่ถูกตัดจนสั้นลงแล้ว... ร่างกายเกือบทุกส่วนของมิรันกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมราวกับการเจริญเติบโตไปถึงขีดจำกัดอายุของวิวัฒนาการระดับทีสองอย่างเร่งรัด อวัยวะทุกส่วนของมิรันเกิดการเต่งตึงขึ้นจนราวกับผู้หญิงอายุ16ปีที่กำลังอยู่ในช่วงแตกเนื้อสาว


ช่วงเอวและหน้าอกของเธอเริ่มขยายใหญ่ในระดับCช่วงท้ายๆจนเทียบเคียงได้กับคัพDระดับเริ่มต้นของฮิโรมิในขณะนี้จนสาวน้อยที่อยู่ข้างๆเกิดอาการพูดอะไรไม่ออก ผิดกับช่วงหน้าท้องที่ดูกระชับและเรียวขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือหรือสารอาหารเสริมใดๆในการเร่งดอกไม้ที่กำลังตูมให้ผลิบานออกมา



ทั้งนี้ก็เพราะในอาหารที่เธอยัดเข้าไปตลอดมานั้นเปี่ยมไปด้วยสารอาหารสำคัญที่จะทำให้สัดส่วนของผู้หญิงอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถเร่งเร้าอารมณ์ที่ซ่อนเร้นอยู่ในจิตใจของผู้ชายได้เป็นอย่างดีนั่นเอง!!




"เป็นไงล่ะ... ทีนี้เธอก็ล้อฉันเรื่องหน้าอกกับส่วนสูงของฉันไม่ได้แล้วล่ะนะ เพราะตอนนี้ฉันสูงกว่าเธอแล้วยังไงล่ะ! ฮิโรมิ!!"



กลับมาที่เทอร์รารอยด์ที่ตกอยู่ท่ามกลางห้วงแห่งความตะลึงจนกลายเป็นหุ่นขี้ผึ้งที่ไม่สามารถขยับร่างกายส่วนใดๆได้นอกจากหัวใจและปอดที่ยังคงทำงานไปตามปกติ ฮิโรมิที่พูดอะไรไม่ออกเพราะเห็นสัดส่วนที่สมบูรณ์ยิ่งกว่าที่เธอมีนั้นเริ่มรู้สึกอิจฉาในความตะกละแบบบันยะบันยังของมิรันจนรู้สึกมวนท้องขึ้นมากะทันหัน แต่ในระหว่างที่เธอกำลังนิ่งเฉยไม่แสดงอารมณ์อื่นนอกจากแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหงุดหงิดนั้นเอง...


ชายกระโปรงส่วนที่ยาวลงมาปกปิดช่วงเรียวขาของแอเจลอยด์ที่สร้างความหงุดหงิดให้กับฮิโรมิจนทนอยู่ไม่ได้ก็กลายเป็นละอองแสงสีฟ้าลอยไปยังมือและปลายเท้าทั้งสองข้างจนกลายเป็นเกราะสีฟ้าห่อหุ้มอวัยวะต่อสู้ของมิรันอย่างบางๆ


แต่ทันทีที่ละอองแสงทั้งหมดได้ไปรวมตัวกันในตำแหน่งที่เหมาะสมจนเสร็จสิ้น...ระดับพลังในร่างกายของมิรันก็เพิ่มขึ้นมากจนเหนือกว่าในระดับที่เธอเคยไต่ขึ้นไปถึงในโหมดสงครามไปแล้ว




"นี่คงจะเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของพวกเราแล้วล่ะนะ! ถึงฮิซาชิจะดำเนินสายประนีประนอมจนไม่ได้จัดการเธอร่วมกับพวกเราก็เถอะ...แต่ฉันได้รู้วิธีการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างพวกเราแล้วล่ะ!! ทั้งหมดฉันได้มาจากเธอยังไงล่ะ!!"


มิรันสะบัดร่างกายทุกส่วนจนเกิดอะอองแสงอ่อนๆหกระจายออกมาจากเกราะทั่วร่างกายของเธอเป็นเกล็ดหิมะที่สวยงามมาก แต่ภายในความสวยงามนั้นกลับแฝงไปด้วยอันตรายอย่างสุดคณานับที่พร้อมจะสังหารทุกสิ่งที่สัมผัสถูกอย่างเลือดเย็น ยกเว้นเพียงสิ่งที่มิรันอยากจะปกป้องเท่านั้น...


"เอาแต่พูดแบบนั้นมันไม่เห็นภาพหรอก ระหว่างฉันที่ต้องตาย...หรือจะเป็นเธอทีจะต้องตาย!? ถ้าคิดว่าฆ่าฉันได้ก็ลองเข้ามาดูหน่อยเป็นไร!!"




มิรันและฮานามิพุ่งเข้าหากันในทันทีที่ลมหายใจซึ่งบรรเลงเป็นบทเพลงเกริ่นนำท่อนสุดท้ายสิ้นสุดลงกลายเป็นลำแสงสีฟ้าสลับน้ำเงินตรงเข้าปะทะกันอย่างไม่หยุดหย่อน ลมกรรโชก...เสียงร้องเร่งกำลังใจ...แสงสว่าง...หยดเลือดที่กระเด็นออกมาจากการต่อสู้ในครั้งนี้ได้ทำให้เทอร์รารอยด์ที่ทำได้เพียงยืนมองและส่งกำลังใจช่วยเพื่อนของเธอต่อสู้กับศัตรูที่ร้ายกาจและทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยปรากฏตัวออกมาในอดีต,ปัจจุบันและอนาคตอย่างทัดเทียม


ด้วยระดับพลังที่สูสีกันในระดับวิวัฒนาการที่ต่างชั้นกันส่งผลทำให้มิรันสามารถปะทะหมัดกับฮานามิได้โดยที่กระดูกแขนไม่ส่งเสียงกรีดร้อง และในขณะเดียวกันนั้น...ทั่วทั้งร่างของมิรันก็กำลังตื่นตัวอย่างสุดขีดเมื่อได้รับรู้ว่ากำลังต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจในระดับที่เธอไม่เคยคิดว่าจะแลกหมัดกันได้อย่างสูสีมาก่อนอย่างทัดเทียม





และความเร่าร้อนที่แผ่กระจายออกมาผสมอยู่กับสายลมที่พัดโชยมาสัมผัสกับร่างของมนุษย์ผู้ชายที่กำลังหลบหลีกการโจมตีที่สามารถฆ่าเขาได้ในครั้งเดียวนั้นก็ได้ปลุกเร้าประสาทสัมผัสทุกส่วนของฮิซาชิจนแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วยเช่นกัน...



"นั่นสินะ... ขนาดยัยไขมันหน้าท้องยังมีใจสู้ขนาดนี้ แล้วทำไมเราถึงต้องกังวลกับการต่อสู้แล้วเล่า!? ย้ากก!!!!"


ฮิซาชิที่สัมผัสได้ถึงรอยยิ้มและคราบน้ำตาที่ผสมเจือปนอยู่ในสายลมที่อ่อนโยนและแข็งกร้าวที่พัดผ่านร่างของเขาไปเร่งพลังในร่างขึ้นสูงสุดเท่าที่จะสามารถทำได้ และในจังหวะที่พลังพุ่งขึ้นถึงขีดสุดนั้นเอง...ทั่วทั้งร่างของฮิซาชิก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่เขาไม่ได้สัมผัสมานานแสนนานที่ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง



"ฉันจะช่วยเหลือทั้งแก...และทุกๆคนบนโลกนี้..ให้จงได้!!!"



ฮิซาชิเหวี่ยงแขนขวาขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรุนแรงจนเกิดกลุ่มลำแสงสีแดงจ้าขึ้นมาบนใจกลางความรู้สึกที่แน่วแน่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แสงสีแดงที่ส่องออกมาจากฝ่ามือขวาของฮิซาชินั้นค่อยๆไล่ลงมาตามลำแขนจนปกคลุมไปทั่วทั้งๆร่างอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ก่อนที่ระดับพลังในร่างของฮิซาชิจะสูงขึ้นจนประเมินค่าไม่ได้...


กระบวนการแปลงเข้าสู่ร่างโคโรน่าของเด็กชายดำเนินไปอย่างราบรื่นดีเพราะประกายแสงสีแดงส้มที่เจิดจ้าออกมาจากทั่วทั้งร่างนั้นได้ไปบดบังทัศนียภาพของโซลเนลจนกลายเป็นความมืดขนาดใหญ่ตรงหน้าสัตว์ประหลาดร่างใหญ่ และเมื่อแสงสว่างจ้านั้นจางลงจนหายไปสิ้น...ชุดสีขาวที่ฮิซาชิได้รับมาตั้งแต่เกิดก็เปลี่ยนสีเป็นเปลวเพลิงแรงกล้าในที่สุด!!



"ที่ผ่านมาฉันนึกว่าการจะเข้าสู่ร่างโคโรน่าใช้เพียงแค่การเร่งพลังในตัวอย่างเดียว แต่จริงๆแล้ว...การที่จะใช้ร่างนี้ได้จำเป็นจะต้องใส่ความรู้สึกแรงกล้าในใจเข้าไปด้วย! เพราะงั้นฉันถึงแปลงเป็นร่างนี้ไม่ได้ตอนที่สู้กับโครทินอสยังไงล่ะ!!"



ฮิซาชิที่สลัดความลังเลออกไปจนหมดในขณะนี้จัดการตั้งท่าต่อสู้พร้อมทั้งกวักมือเรียกโซลเนลเข้ามาสู้อย่างท้าทาย ซึ่งสัตว์ประหลาดก็ให้ความร่วมมือแต่โดยดี...



"เบลซซิ่ง เวฟ..."


ในเมื่อสัตว์ประหลาดเปิดกระดองที่กลางหลังพร้อมปล่อยลูกไฟที่ประจุพลังทำลายมหาศาลซึ่งเคยใช้ทำร้ายคู่ต่อสู้ของมันจนได้แผลรุนแรงเป็นของแถมมาแล้ว ฮิซาชิก็สะสมพลังเปลวเพลิงเอาไว้ที่มือทั้งสองข้างที่กระแทกออกไปด้านหน้าอย่างรุนแรงจนกลายเป็นลูกบอลแสงอาทิตย์ที่มีสายรุ้งล้อมเอาไว้อย่างสวยงาม ในขณะเดียวกันเด็กชายก็วาดแขนทั้งสองเป็นวงกลมประคองพลังนั้นเอาไว้ให้อยู่ตัวและมีพลังมากขึ้นกว่าเดิม



"รับไปซะ...โซลเนล!!"


สัตว์สี่เท้าที่สามารถยิงลูกไฟออกจากร่างกายได้...มนุษย์ที่สามารถยิงลำแสงทำลายล้างออกมาจากมือทั้งสองข้างได้ สิ่งมีชีวิตที่เหนือชั้นกว่าที่ธรรมชาติเคยสร้างขึ้นมาทั้งหมดแผดเสียงร้องออกมาพร้อมกันก่อนที่จะเหนี่ยวไกปลดปล่อยพลังที่สะสมเอาไว้ออกมาโจมตีเข้าหากันอย่างรุนแรงจนเกิดคลื่นปะทะกวาดเอาซากไฟไหม้ออกไปจากสถานที่รกร้างแห่งนี้จนเหลือเพียงผิวดินสีน้ำตาลไหม้เท่านั้น...


พลังที่ร้ายกาจทั้งสองออกแรงดันซึ่งกันและกันอย่างหนักหน่วงและไม่มีใครคิดที่จะยอมแพ้ให้แก่กัน และเมื่อเห็นเป็นการสมควรแล้ว...ฮิซาชิก็พุ่งตรงเข้าหามวลพลังทั้งสองนั้นก่อนที่จะเหวี่ยงปลายเท้ากระแทกเข้าไปที่ด้านล่างของสิ่งที่ทำลายผิวดินจนเป็นหลุมกว้างให้พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นเสาลำแสงที่สามารถมองเห็นได้จากระยะห่างหลายกิโลเมตร



"ฉันจะไม่ขอให้แกยกโทษให้ฮานามิ... แต่อย่างน้อยขอแค่ให้แกเอาชนะความโกรธในใจของแกได้หรือเปล่า!!"



ท่ามกลางแสงสว่างที่เจิดจ้าซึ่งไม่สามารถมีสิ่งใดๆที่จะดำรงอยู่ได้นั้น ฮิซาชิยังคงวิ่งฝ่าลำแสงที่มีพลังทำลายสูงนั้นอย่างไม่เกรงกลัวจนเข้าประชิดตัวโซลเนลได้ในเวลาอันสั้น ซึ่งระหว่างทางนั้นก็ถูกโซลเนลยิงลูกไฟใส่อย่างต่อเนื่องจนคนธรรมดาไม่มีทางที่จะฝ่าเข้าไปได้โดยไม่เสียอวัยวะสักอย่าง...


และในจังหวะที่ลำแสงเพลิงซึ่งพุ่งออกมาจากมวลเปลวเพลิงภายในกระดองที่ปิดสนิททางช่องระบายความร้อนทางด้านข้างตรงเข้าหาเป้าหมายราวกับกระสุนแสง"อาร์เทมิส"ของมิรันนั่นเอง... ฮิซาชิที่ไม่ได้สักแต่ว่าวิ่งเข้าหาเป้าหมายก็กระโดดหมุนตัวปัดป้องลำแสงทั้งหกสายนั้นออกไปได้พร้อมทั้งใช้หลังเท้ากระแทกเข้าไปยังซอกคอของสัตว์ประหลาดซึ่งมีสิ่งที่ไม่สมควรจะมีอยู่จนแหลกคาเท้าร่วงลงสู่พื้นเป็นเศษโลหะสีเทาแทรกลงไปใต้พื้นดิน




"ในที่สุดสิ่งที่ควรจะออกมา...ก็ออกมาแล้วสินะ!"



พร้อมกับร่างกายของโซลเนลที่ทรุดลงไปกับพื้นเพราะการฝืนดึงเอาพลังในร่างออกมาของอุปกรณ์ที่ฮานามิติดตั้งเอาไว้ดำเนินไปถึงจุดยุติ ผิวดินบริเวณที่โลหะที่น่าจะเป็นอุปกรณ์ควบคุมสมองของสัตว์ประหลาดนั้นหล่นลงมาก็เกิดการนูนตัวขึ้นมาเป็นสิ่งมีชีวิตโลหะผสมต่อหน้าฮิซาชิ


ร่างกายของสัตว์ประหลาดที่ปรากฏขึ้นมาใหม่นั้นราวกับชุดเกราะอัศวินที่ถูกออกแบบมาให้มีความเพรียวมากขึ้นกว่าในยุคโบราณ แต่จะต่างออกไปจากชุดเกราะที่ต้องใช้มนุษย์เข้าไปสวมใส่นั้นก็ตรงบริเวณที่น่าจะเป็นดวงตากลับกลายเป็นแถบแสงสีเหลืองที่ดูเหมือนพวกหุ่นยนต์มากกว่า...





"งั้นสินะ... ที่แท้ยัยฮานามิก็อาศัยแกควบคุมสมองของโซลเนลเหมือนปรสิตสินะ..!? สัตว์ประหลาดโลหะจำแลงร่างรุ่นที่สอง อัลกิวรอส!!!"


อันที่จริงแล้วฮิซาชิก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากมิรันเลย... มิรันนั้นเป็นแฟนพันธุ์แท้"อัลตร้ามูน"เท่าไหร่ ฮิซาชิที่รับช่วงต่อในการดูแลและเป็นผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินและทรัพย์สินภายในที่อยู่อาศัยของเธอก็ติดซีรี่ส์นั้นด้วยเช่นกัน...



ทั้งสองยืนเผชิญหน้ากันราวกับเป็นศัตรูคู่อาฆาตราวแต่ชาติปางก่อน สิ่งมีชีวิตรูปร่างเหมือนเกราะอัศวินม้าดำในสมัยก่อนทีจะมีการประดิษฐ์กระสุนปืนที่ทำจากตะกั่วขึ้นมาใช้ในการต่อสู้แย่งชิงศักดิ์ศรีระหว่างเผ่าพันธุ์ตะวันตกและตะวันออกในสงครามโลกครั้งที่สามเมื่อร้อยกว่าปีก่อน กับ ลูกหลานของมนุษย์สายพันธุ์ชาวตะวันออกที่เหลือรอดจากการต่อสู้ล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่น่าจะเป็นผู้สวมชุดเกราะนั้นเสียเอง


ทั้งสองฝ่ายเดินวนซ้ายเวียนขวาเพื่อดูชั้นเชิงมวยซึ่งกันและกันก่อนที่จะเข้าปะทะกันอย่างดุเดือดในภายหน้า




                            ตึง..ตึง..ตึง  ครึ่ก..!



จังหวะก้าวเท้าได้สิ้นสุดลง ทั้งสองฝ่ายบดเท้าลงบนพื้นอย่างมุ่งมั่นก่อนที่จะเตะเท้าไปกับพื้นดินวิ่งเข้าหากันราวกับนักมวยที่ๆได้ยินเสียงระฆังเริ่มยกสุดท้ายที่ดังขึ้นเพื่อปิดฉากการต่อสู้ที่เสียเปรียบด้านคะแนนอย่างเต็มๆด้วยชัยชนะของตน


หมัดปะทะหมัด... ลำแขะปะทะลำแขน... เสียงกระดูกที่แข็งราวเหล็กกล้ากระแทกเข้ากับท่อนโลหะที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเกราะหุ้มรถถังที่ใช้ในสงครามโลกครั้งสุดท้ายก่อนจะตามมาด้วยสันติภาพที่แท้จริงที่ทุกคนบนโลกได้สัมผัสเรื่อยมาจนปัจจุบันเกิดเป็นเสียงกระแทกที่ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ก่อนที่ฮิซาชิจะเบนความสนใจของอัลกิวรอสไปห่างๆร่างของโซลเนลที่กำลังมองดูการต่อสู้ครั้งนี้อยู่ก่อนที่ดวงตาของมันจะหลับลงไปภายในความมืดมิดที่สงบที่สุดนับตั้งแต่ที่มันลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างไมาสบอารมณ์ที่สุด






ในระหว่างนั้นเองที่การต่อสู้ระหว่างสองแองเจลอยด์ที่เขม่นกันมานานแสนนานก็ใกล้จะสิ้นสุดลงเช่นกัน...



"ฉันจะให้โอกาสเธอสักครั้งนะ...มิรัน! แค่เธอยอมแพ้ฉันแล้วหันกลับไป ฉันจะไม่ฆ่าเธอ... สัญญาเลย"


"อย่าเอาความเมตตามาเกี่ยวข้องกับสันติภาพของโลกจะได้หรือเปล่า... ยัยพยาธิไส้ติ่ง!!"



ในขณะที่ใบหน้าสีขาวนวลซึ่งถูกฉาบไปด้วยสีเหลืองอ่อนของมิรันนั้นได้เปราะไปด้วยเลือดที่กระเด็นออกมาตามแรงหมัดที่กระแทกเข้ามาจากด้านข้าง ฮานามิที่ดูไม่ได้รับบาดเจ็บเท่าไหร่เนื่องจากได้ระบบการป้องกันร่างกายที่ดีกว่าของแองเจลอยด์ระดับสามช่วยเอาไว้พูดให้โอกาสตัดสินใจเพิ่มเติมเป็นครั้งสุดท้าย ในขณะที่คำตอบของมิรันนั้นได้ถูกเผยออกมาโดยไม่ใช้คำพูดเป็นที่เรียบร้อนแล้ว...



"งั้นเองเหรอ...ยังไงเธอก็จะสู้ต่อสินะ!? ถ้างั้นเธอก็ได้สมใจอยากแล้วล่ะ!! ริดิเคเตอร์!!!"


"พลาสม่า แสลชเชอร์!!!"



ลำแสงที่ประจุพลังทำลายมหาศาลจากทั่วทั้งร่างของมิรันและลูกบอลแสงที่อัดแน่นด้วยพลังครึ่งหนึ่งของฮานามิได้ถูกปล่อยออกมายังทางข้างหน้าจนตรงเข้าปะทะกันอย่างดุเดือด และด้วยพลังทำลายที่เกินกว่าระดับที่ฮิโรมิจะเข้ามายุ่งเกี่ยวในการต่อสู้ครั้งนี้ได้จึงทำให้เทอร์รารอยด์ที่สามารถทำได้เพียงยืนสังเกตการณ์อยู่ที่ขอบนอกนั้นได้หันหลังให้กับสังเวียนเลือดครั้งนี้แล้วมุ่งหน้าไปยังการต่อสู้ของฮิซาชิแทน





"ฉันจะไปตามฮิซาชิมาให้ เพราะงั้น...อย่าตายจนกว่าฉันจะกลับมาเชียวนะ! มิรัน..."

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา