FYC! ค่ายนี้มีแต่...

8.8

เขียนโดย แคมป์

วันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 23.53 น.

  14 ตอน
  17 วิจารณ์
  18.96K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2556 21.23 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) ชื่อเต็มของค่าย?

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

FY9

 

 

 

          “อะไร? นี่คุณกำลังจะพูดอะไรน่ะคุณเจแซค?”

 

          ทารุณ? ทารุณอะไรกัน!?

 

          นายเจแซคมองหน้าฉันก่อนจะถอนใจออกมาอีกเป็นรอบที่ล้านของวัน โอยยย!! นี่เขาไม่รู้เลยรึไงนะว่าการถอนหายใจของเขามันทำให้ฉันกลัวน่ะ! กลัวอะไรบางอย่างที่เขากำลังจะพูดออกมา

 

          “Fervidly Yearn Camp”

 

          “หะ?” ฉันต้องอุทานเสียงสูงทันทีที่เขาพูดภาษาอังกฤษออกมา ฉันกระพริบตาปริบๆ “อะไร เฟอร์ๆ เยินๆ นะ?”

 

          “Fervidly...Yearn...Camp นี่คือชื่อเต็มของค่าย” แม้เขาจะพูดทีละคำ ช้าๆ ชัดๆ เพื่อให้ฉันได้ฟังทัน แต่นั่น...นั่นก็ยังคงทำให้ฉันงงอยู่ดีนั่นแหละ เห่อ = =lll นี่เขาคงไม่รู้สินะว่าฉันอ่อนภาษาอังกฤษขนาดไหน =O=;;

 

          “อินฮยอง”

 

          “หะ =O=?”

 

          “ไอ้ที่ทำหน้าแบบนี้เนี่ย อย่าบอกนะ...ว่าเธอไม่รู้ว่ามันแปลว่าอะไรน่ะ?”

 

          “อ่าฮะ =O=;;”

 

          ฉันพยักหน้าหงึกๆ ตอบแบบพาซื่อในเมื่อเขาถามมาฉันก็ตอบไปตรงๆ นายนั่นถึงกับแยกเขี้ยวขาวทันที

 

          “ซี้ด...เธอนี่มัน ทั้งบื้อ! ทั้งโง่! ใช้ไม่ได้สักอย่าง!”

 

          “เอ้าเฮ้ย! นี่คุณกล้าดียังไงมาว่าฉันเนี่ย เออ บื้อแล้วไง โง่แล้วไงหะ! ใครจะไปเหมือนพวกคุณกันล่ะ ที่ทั้งฉลาดหลักแหลม...มีความคิดที่โตเป็นผู้ใหญ่ แต่ดันเอามาใช้ทำร้ายเด็กอย่างพวกเราน่ะ! นี่ฉันถามจริงๆ เถอะ พวกคุณต้องการอะไรจากพวกเรากันแน่???”

 

          ฉันที่มาถึงจุดนี้ได้ หลุดปากพูดแบบร่ายยาวออกไปโดยที่ไม่กลัวเลยว่าผลลัพธ์มันจะออกมาเป็นยังไง...เขานิ่ง...อึ้ง...มองหน้าฉันด้วยสายตาแปลกๆ ส่วนฉันก็จ้องหน้าเขาเขม็ง รู้สึกอารมณ์ของตัวเองมันเดือดปุดๆ ขึ้นมา ปี๊ดจี๊ดจ๊าดจนฉุดไม่อยู่

 

          หึ! ก็ใครใช้ให้เขามาตำหนิฉันต่อหน้าอย่างนี้ล่ะ = =* ก็รู้อยู่หรอก รู้มานานแล้วด้วยว่าตัวเองโคตรของโคตรโง่ๆๆๆๆ ขนาดไหน ใช่...ซื่อบื้ออีกต่างหาก - -* ฮือออ TOT มันก็ถูกทั้งสองอย่างนั่นแหละที่เขาพูดมานั่นน่ะ แต่ก็...ก็แล้วทำไมอ่ะ! ถึงฉันจะโง่ บื้อ แต่ก็ไม่เคยทำร้ายใครอ่ะ ไม่เคยทำให้คนอื่นเดือดร้อน (นอกจากตัวเอง T-T) แล้วนี่เขาเป็นใคร...นายเจแซค ไอ้คนชื่อแปลก! เขาก็แค่เป็นคู่ของฉันที่เราสองคนจะต้องมาอยู่คู่กันเพื่อร่วมกิจกรรมบ้าบออะไรนั่นน่ะ ใช่! เขาเป็นแค่นั้นจริงๆ แล้วเขามีสิทธิ์อะไรมาด่าฉันแบบนี้!!!

 

          “ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น...”

 

          “หะ?”

 

          ฉันกระพริบตาปริบๆ เมื่อจู่ๆ เขาก็บอกว่าเขาไม่รู้ด้วยเสียงที่เบาหวิว พร้อมกับเบือนหน้าไปทางอื่น ร่างสูงถอนหายใจ เดินทอดน่องออกไปยืนนิ่งอยู่ชิดริมกระจกบานใหญ่ที่เผยให้เห็นทัศนียภาพด้านนอกของห้อง ภาพตรงหน้าที่มีทั้งต้นไม้สูงลิ่ว มีภูเขาเล็กๆ ล้อมรอบ ไกลออกไปอีกเป็นผืนน้ำทะแลสีครามที่หม่นสีลงตามแสงพระอาทิตย์ในยามเย็นอ่อนๆ เช่นนี้

 

          ฉันเดินตามเขามาหยุดอยู่ด้านหลัง ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ไหนเขาบอกเองว่าเขามีเรื่องสำคัญจะมาบอกฉัน และ...ฮ่าๆๆๆ และมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่เรื่องสำคัญของเขาคือการมาบอกแค่ชื่อเต็มของค่ายน่ะ

 

          “ฉันไม่เชื่อ”

 

          ฉันพูดเสียงกระด้าง

 

          “ก็ไหนคุณบอกฉันมาแล้วไงว่ามีเรื่องสำคัญจะมาบอกอ่ะ แล้วคุณจะมาแก้ตัวทีหลังว่าไม่รู้นี่...มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ?”

 

          เขาหันมาแว้บหนึ่ง ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่แล้วก็ชะงัก มองหน้าฉันด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนที่เขาจะหันกลับไปแล้วทุบกำปั้นกับกระจกด้วยท่าทางเหมือนคนกำลังมีเรื่องเครียด มีเรื่องให้คิดอยู่มากมายจนอยากจะระเบิดออกมา

 

          “นี่อินฮยอง เรื่องที่ฉันจะบอกเธอน่ะมันสำคัญมาก! และมันก็เป็นความลับมากด้วย!”   

 

          เขาหันกลับมาด้วยใบหน้าดุดันเคร่งเครียด มือหนายกขึ้นมาบีบไหล่ฉันอย่างแรง จนฉันต้องเผลอร้องออกมาด้วยความเจ็บ

 

          “รู้อะไรมั้ยอินฮยอง ว่าไอ้ค่ายบ้านี่มันมีกฎระเบียบว่ายังไง”

 

          ฉันที่กำลังเจ็บ และตกใจกับท่าทีของเขาจึงได้แต่ส่ายหน้าไปมาเร็วๆ มองเขาอย่างหวาดกลัว

 

          “เธอฟังนะ กฎของที่นี่ก็คือ! หนึ่งเลย...พวกเธอที่หลงเข้ามาสมัครเป็นหนึ่งในค่ายนี้แล้วน่ะ จะไม่มีใครหน้าไหนก็ตาม! ถอนชื่อออกจากค่ายนี้ได้หรอก ข้อสอง...ถ้าเกิดว่าพวกเธอรับมือกับชะตากรรมที่นี่ไม่ได้ ทนอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ เหอะ...ก็อย่าฝันเลยว่าจะมีใครหนีออกไปได้น่ะ และก็นะ...ใครที่บังอาจคิดอยากจะหลบหนี คนพวกนั้นจะต้องถูกพิจารณาตัดสินโทษ โดยไม่มีการเมตตาหรืออะไรทั้งนั้น และข้อสาม...ถ้าหากว่าพวกเธอคนไหนคิดต่อต้าน หรือจงใจไม่เข้าร่วมกิจกรรมที่ไอ้ค่ายบ้านี่มันจัดไว้ให้แล้ล่ะก็ มันจะทำโทษพวกเธอขั้นรุนแรงเหมือนกัน”

 

          “หมด...หมดรึยัง” ฉันที่ฟังมาตั้งนาน เริ่มมีอาการความหวาดกลัวแสดงออกมาอย่างชัดเจน ฉันตัวสั่นเทิ้ม น้ำตาคลอเบ้าจนแทบจะกลั้นไว้ไม่อยู่ ไม่กล้ามองหน้าเขา ไม่กล้าที่จะหันไปมองอะไรทั้งนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนี้ล้วนดูน่ากลัวสำหรับฉันไปเสียหมด  

 

          “และข้อสุดท้าย...ถ้าเกิดว่าใครก็ตามที่อยากจะถอนชื่อออกจริงๆ ถอนชื่อออกโดยไม่ต้องถูกลงโทษใดๆ ทั้งสิ้น ถอนชื่อออกแล้วก็สามารถกลับบ้านได้เลย สบายๆ...คนผู้นั้น...จะต้องเสียค่าปรับให้กับค่ายนี้...”

 

          “เท่าไหร่?”

 

          ฉันตาลุกวาว ถามออกไปทันทีด้วยความหวังที่เริ่มจะเปล่งแสงขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่เป็นไร เสียแค่ค่าปรับ พ่อแม่ฉัน...ครอบครัวของฉันที่ก็ไม่ได้จนอะไรคงมีเงินพอที่จะจ่ายค่าปรับให้กับค่ายนี้ล่ะนะ โอเค...ดีแล้ว ดีแล้วล่ะ ฉันจะรีบโทร. ไปบอกพ่อแม่ทันทีว่าฉันอยากกลับบ้าน และให้นำเงินพวกนั้นมาจ่ายให้ค่ายนี้ด้วย...

 

          แต่...แล้วมันกี่วอนกัน???

 

          ฉันเงยหน้าขึ้นมองหน้าคนตัวสูงกว่าที่มองฉันอย่างรู้ทันและเหมือนกับสายตานั้นจะดูสงสารฉันยังไงไม่รู้

 

          “สามล้านวอน...กับการที่เธอจะได้ออกไปจากค่ายนี้”

 

          “อะไรนะ!!!” ฉันเสียงสูงด้วยความตกใจ ความหวังที่มีอันน้อยนิดได้พลังทลายลงไปแล้วอย่างไม่เหลือซากอะไรทั้งสิ้น...สามล้านวอน??? บ้า!!! ใคร...ใครจะบ้ามีเงินเยอะขนาดนั้น...

 

          ร่างของฉันทรุดลงทันที น้ำตาที่คิดว่าจะเหือดหายไปแล้วกลับทะลักออกมาเป็นสายราวกับทำนบแตกพัง ภาพเบลอๆ ตรงหน้า...ภาพที่เบลอไปด้วยม่านน้ำตา รอยเสียงสะอื้นที่เริ่มดังขึ้น...และดังขึ้น ความหวาดกลัว โกรธแค้น และหัวใจดวงน้อยที่คิดถึงพ่อแม่จนอยากจะกลับไปซบอกร้องไห้กับอกพวกท่าน มันประดังประเดเข้ามาตียุ่งกันอยู่ในหัวสมอง จนฉันต้องยกเข่าขึ้นมากอดไว้แนบแน่นก้มหน้าร้องไห้สะอื้นฮักอยู่คนเดียว

 

          ฮือ...ฉัน...ฉันคิดถึงพ่อกับแม่ พ่อจ๋า...แม่จ๋า...หนูอยากกลับบ้าน หนูคิดถึงพ่อแม่ ฮือๆๆๆ หนูกลัว หนูไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว หนูกลัว ฮือๆๆๆ

 

          ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ฉันต้องนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวแบบนี้ นั่งคิดมากอยู่คนเดียว นั่งอยู่ท่ามกลางความโดดเดี่ยวที่อ้างว้างและร้างคนที่จะมาปลอบใจ...พ่อ...แม่...หนูจะเห็นแก่ตัวไปมั้ยถ้าเกิดว่าอยากให้พ่อแม่หาเงินมาจ่ายให้ที่นี่ แล้วพาหนูออกไปที หนูอยากออกไป อยากออกไปจากค่ายที่นี่เหลือเกิน ฮือๆๆๆ

 

          “อินฮยอง...”

 

          เสียงเรียกทุ้มที่ดังอยู่เหนือหัวขึ้นไป ทำให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้น และก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเขาได้ทรุดกายลงมาแล้วดึงร่างฉันเข้าไปกอดแนบแน่น อ้อมแขนแข็งแรงที่โอบรัดตัวฉัน...มันไม่ใช่โอบ ไม่ใช่แค่กอดตามมารยาท แต่เป็น...อ้อมกอดที่อบอุ่นมากๆ ต่างหากล่ะ นายเจแซคอิงศีรษะกับฉัน ฝ่ามือหนาลูบปลอบอย่างอ่อนโยนและอ่อนหวานเหลือเกิน...

 

          “อย่าร้องเลยนะ อย่าทำให้ฉันต้องเป็นอย่างนี้ อินฮยอง”

 

          ฉันเบะหน้า ร้องไห้หนักมากกว่าเก่าเมื่อเสียงทุ้มนั้นพูดจาแปลกๆ และถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร ทว่าเสียงนั้น...เสียงของเขา แค่เสียงของเขาก็ทำให้ฉันต้องหันหน้าซุกกับอกกว้าง ยกมือกอดร่างหนาทันทีอย่างห้ามไม่อยู่

 

          “ฮึก...ฉันคิดถึงพ่อแม่...ฉันอยากออกไปจากที่นี่ คุณ...คุณช่วยฉันทีได้มั้ย ฉัน...ฉันอยากออกไปจริงๆ ฮือๆๆ”

 

          ฝ่ามือหนาเลื่อนขึ้นมาลูบหัวฉันแผ่วเบา

 

          “ฉันรู้ รู้ว่าเธอคิดถึงบ้าน แต่ฉัน...”

 

          เมื่อเห็นเขาเงียบไปแบบนี้ ความกลัวของฉันก็เริ่มก่อตัวขึ้นจนต้องผละหน้าออกมาถามเขาอย่างไม่ต้องการรออะไรทั้งนั้น!

 

          “คุณทำไม...คุณ...คุณช่วยฉัน...???”

 

          “ไม่ได้...ฉันช่วยเธอ...ไม่ได้จริงๆ”

 

          ฉันขมวดคิ้ว ผลักอกเขาอย่างแรงจนร่างหนานั้นเซหงายหลังไปทันที ฉันมองหน้าเขาราวกับคนที่ไม่รู้จัก มองเขาด้วยสายตาแข็งกร้าว

 

          “ฉันว่าแล้ว...เหอะๆ ฉันว่าแล้วเชียว” ฉันหัวเราะเสียงน่าเกลียด กลอกตาไปมาด้วยความน้อยใจ แค้น และทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังผสมกันมั่ว

 

          “อินฮยอง...”

 

          “เหอะๆ ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจคุณ เพราะที่คุณมาที่นี่ได้ก็คงต้องมีเหตุผลบางอย่างเหมือนฉันนั่นแหละ และดูท่า...คุณก็คงจะเป็นนักธุรกิจผู้ร่ำรวยคนหนึ่ง...” ฉันมองเขาด้วยรอยยิ้มหยัน แค่นหัวเราะออกมากับตัวเองด้วยความน้อยใจในโชคชะตาที่กำหนดให้ฉันตกมาอยู่ในสภาพแบบนี้

 

          “อินฮยอง...”

 

          “เพราะผลประโยชน์สินะ...”

 

          ฉันพูดประโยคนั้นขณะที่ตาอันพร่าเลือนด้วยม่านน้ำตาก็เห็นว่าเขากระตุกไปด้วยความตกใจ หึ...ไม่ผิดแน่ ที่เขายอมเสียเวลาจากการงานมาร่วมกิจกรรมบ้าบอที่นี่มันก็มีอยู่เหตุผลเดียวสำหรับพวกนักธุรกิจ ซึ่งมันก็สามารถพูดได้คำเดียวสั้นๆ แต่เข้าใจต่อไปได้ง่ายๆ ว่า...ผลประโยชน์ สำหรับพวกนักธุรกิจ ไม่มีคำไหนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเขานอกจากคำว่าผลประโยชน์!

 

          “ไง ฉันพูดถูกใช่มั้ยล่ะ นี่...” ฉันกลัวหัวเราะทั้งน้ำตา “ถึงฉันจะโง่จริง บื้อจริงอย่างที่คุณว่ามาอ่ะนะ แต่ฉันก็...” ฉันเม้มปากทันควัน กลั้นรอยสะอื้นไว้อย่างยากลำบากจนรู้สึกเจ็บที่กรามและปวดที่ขมับ “แต่ฉันก็รู้ว่าคุณ...มันก็ไม่ต่างอะไรไปจากพวกนั้นหรอก! เหอะ นักธุรกิจผู้หิวผลประโยชน์ จนต้องลดตัวลงมาทำอะไรไร้สาระพรรค์นี้...เหอะ ผลประโยชน์? เลวที่สุด...”

 

          “เธอว่าไงนะอินฮยอง?”

 

          ฉันเม้มปากกับน้ำเสียงที่ดูจะเปลี่ยนไปของเขา จึงได้เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหล่อคมที่ดุตึงเครียดให้ชัดๆ สบตาเขาอย่างตัดพ้อ ก่อนจะโพล่งออกไป ตอบออกไปอย่างที่เขาต้องการ!

 

          “ฉันบอกว่าพวกคุณมันสารเลว...เลวยิ่งกว่าพวกสัตว์นรกซะอีก!!!”

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา