ลิขิตจันทรา ภาค มายาแห่งดวงใจ (注定月下老人 )

8.0

เขียนโดย Wuzhenni

วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 22.20 น.

  22 ตอน
  9 วิจารณ์
  26.45K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 20.59 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) แก้ไขเสร็จแล้ว

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

ในช่วงเวลาของชีวิตที่เหลือเพียงเศษเสี้ยวระรวยริน  

 

วันเวลาที่หมุนผ่านพร้อมกับเรื่องราวต่างๆมากมาย

 

คนที่แก่ ถึงอย่างไร้ก็มิมีวันหวนคืนความหลังได้

 

เสียงแก้วน้ำกระทบดังไกลแต่เนิ่นๆ  

 

พลอยทำให้คนที่นั่งอยู่บนรถเข็นต้องหนีห่างจากภวังค์ตน

 

" น้ำชาคะ จางกง"  แม่บ้านวางแก้วชากังไสลายสวยลงอย่างแผ่วเบา

 

" มันกลับมารึยัง?" 

 

เสียงที่เอื้อนเอ่ยแหบพร่าเล็กน้อย หากแต่คนฟังยังได้ยินแจ่มชัด

 

" ยังคะ...แต่คงจะกลับวันนี้แน่"

 

" ไม่กลับมาเลยก็ยิ่งดี!!" ชายแก่กระแทกกระทั้นเสียงใส่

 

" บ้านหลังนี้ไม่มีใครอยากจะอยู่ร่วมชายคาเดียวกับมัน"

 

" แต่ท่านรอง จาง เป็นทายาทคนเดียวที่ยังอยู่เคียงข้างท่าน นับว่าสวรรค์ช่วยที่ทำให้เขารอดมาได้"

 

" มันใช่ลูกอั้วซะเมื่อไหร่กัน!!"  จางกงเริ่มโวยวาย  มือไม้สั่นระวิง นิ้วทั้งห้าเกาะกุมแขนเก้าอี้แน่น

 

" มันไม่ใช่ลูกอั๊ว..."  

 

" แววตาของจางกู๋ มันไม่ใช่แบบนี้!  เจ้าเด็กขี้แยคนนั้น...แววตาที่ออดอ้อน  อบอุ่น"

 

จางกงเอ่ยเสียงค่อย รอยยิ้มจางๆแต่งแต้มให้เห็นบ้างประปราย

 

" ไม่มีเสียหรอก...สายตาที่เย็นชา เหมือนหุ่นปั้น ไร้จิตใจ  

 

ลูกอั๊ว...เป็นยังไง อั๊วรู้ดี

 

แต่กับมัน ..."  เขาหยุดชะงัก ก่อนที่แว่วเสียง ณ ดินแดนแห่งการระลึกถึง

 

วาทะวลีที่จะกึกก้องในโสตเสียง  

 

ภาพที่คล้ายแผ่นฟีล์มฉายให้เห็นเงาอดีตของวันนั้น  

 

วันที่เขายังมีเรี่ยวแรงเดินไหว เขาในอาภรณ์ที่งามสง่าสมฐานะ "ผู้อำนวยการ" โรงเรียนจงเหวินวิทยา

 

หากแต่เสียงฝีเท้าของใครซักคนยืนหยุดอยู่เบื้องหน้า

 

บุรุษร่างสูงโปร่ง สายตายะเยือกเย็นแฝงความดุที่ไร้เสียง 

 

ชายปริศนา แย้มยิ้มที่ดูเหมือนจะเยาะเย้ยให้เห็นไม่เด่นต่าง

 

เสื้อสูทสีดำทะมึนบนกาย ขับรัศมีความองอาจแลอำนาจในตัวตน  

 

ความน่ากลัวคงยังไม่มากมาย เท่ากับ  " ความกดดัน" ที่ถูกส่งผ่านใบหน้าอันขรึมขุ่น

 

" คงจะจำลูกตัวเองไม่ได้  

 

หรือไม่เคยนับว่าตัวเองมีลูกกี่คน!!"

 


 

ห้องมืดที่มีเพียงแสงสว่างจากหน้าจอคอมนับสิบเครื่อง  

 

เสียงพิมพ์บนตัวแป้นพิมพ์ที่ดังกรีดกราดไปทั่ว

 

ยังดีที่ไม่มีเสียงพูดคุยของเหล่าบรรดาเจ้าของเครื่องคอมทั้งหลาย 

 

ผู้คนมากมายทั้งชายหญิงในชุดสูทดำทับเชิ้ตสีฟ้าอ่อนข้างใน

 

ป้ายชื่อที่ห้อยระโยงระยาง พอแยกแยะออกว่า ใครเป็นใครกัน

 

หากจะมีแต่เขาในชุดสูทดำมะเมี่ยมเงาวาว กับ

 

บุรุษวัยไล่เลี่ย ที่แวะมาเยี่ยมเยือนอยู่เสมอ

 

หลวนอี้ชี  (หลวน 17) รหัสเรียกขานอันคุ้นเคย

 

หลวนอี้ชี กับ รหัสคู่ขา  !!

 

บุคคลทั้งสอง ยามใดที่พบเจอ ไม่ต่างอะไรกับเสือนั่งมองแมวร้องหง่าวๆ ร่ำไป

 

วันนี้ก็เหมือนเช่นทุกวัน...

 

ชายหนุ่มหน้าแป้นแล้นสวมชุดลำลองสบายตา เสื้อเชิ้ตลายดอกพรางพราว กับกางเกงขายาวสีขาวสะอ่าดเหลือ

 

เหมือนตัวโจ๊กหลุดออกจากโรงละครจริงๆ!!

 

" ว่าไง...ท่านรอง  เอ๋...จะให้เรียกว่ารองอะไรดีน๊า ตำแหน่งเยอะซะเหลือเกิน"

 

" มีตำแหน่ง แต่กินเงินเดือนน้อย"  เขาเอ่ยเสียงเรียบๆ

 

" กินเงินเดือนน้อย  หมายถึงที่ไทยหรือไต้หวันกันละ"  

 

" ทั้งสอง!"

 

เสียงหัวเราะของคนถามดังก้อง หากคนนั่งเคาะแป้นพิมพ์ไม่ยักจะหันมามองเลยซักแอะเดียว

 

" ลูกน้องนาย ตั้งใจทำงานกันดีมากนะ สมกับฉายาที่คนใหญ่คนโตเขาตั้งให้"

 

" อะไร"  คนถาม ถามห้วนๆใส่ เพราะกำลังไล่เลี่ยเปิดอ่านแฟ้มอันหนาเตอะอย่างจริงจัง

 

" ทีมเสืออึดไงละ  อึด ถึก ทน เยี่ยมสุดๆ"

 

คนบอกหัวเราะร่วน  ทว่า...คนนั่งนิ่ง ก็ยังคงนั่งนิ่งดุจภูผา ไร้เขยื้อน

 

" เฮ้..เป็นอะไรไป  เครียดเหรอ?"

 

" งานเยอะ"   คนถามถามตรง แต่คนตอบตอบเบี่ยง  

 

เป็นอย่างเนี่ยทุกที..ถามอะไร ตอบเฉไฉไปเรื่อย

 

" เฮ้อ...ถ้าไอ้หลี่หวังอยู่ด้วยคงจะดี  รายนั้น ถึงจะหน้าโหดไปหน่อย แต่ก็คุยจ้อดีทีเดียว แล้วก็ผู้หญิงตัวเล็กๆอีกคนหนึ่ง.."

 

ชายหนุ่มยังคงพร่ำบ่นอยู่ตลอด 

 

หากบางครั้งก็ยังเฉลียวตามามอง คนบนโต๊ะทำงานที่กำลังนั่งอยู่นิ่งๆในท่าเดิมตามเคย

 

เขาสั่นหัวเล็กน้อย

 

 

กี่ช่วงเข็มนาฬิกาที่  งานลับ ล่วงเลยผ่านมานานนับปี

 

งาน ที่ถูกส่งต่อมายังมือของเขา

 

หากเพียงภารกิจนี้มันหนักหนา เกินกว่าที่ใครจะยอมเสี่ยงตายกันง่าย

 

" ถ้านายไม่ทำ ฉันทำเอง"

 

เสียงๆหนึ่ง ดังแว่วมาจากทิศหลัง หลวนอี้ชี ยืนมองคู่รหัส ดวงตาเบิกโพลง 

 

แววตาเย็นนิ่ง ยะเยือกหนาวร้าวราน ขัดยิ่งนัก กับใบหน้าหวานผุดผ่องของมัน

 

" แต่งานนี้ นายต้องเสี่ยงมากเลยนะ อีกฝ่ายเป็นเป้าหมายที่น่ากลัวขนาดนั้น"  เขาเตือน แต่คนฟังก็ดื้อรั้นเสีย

 

" ฉันรู้... รู้ก่อนที่งานชิ้นนี้จะมาถึงมือนายเสียอีก"

 

เอ่ยเสร็จ ผู้กล้าหน้านิ่งก็คว้าใบคำสั่งนั้นมาไว้ในมือตน ก่อนจะเดินหายไปในความมืด

 

ทิ้งให้เพื่อนคู่สาย ยืนงง พะว้าพะวงใจอยู่เบื้องหลัง

 

หากบัดนี้ งานลับที่กล่าวถึงนั้น ดูเหมือนจะไร้อุปสรรคขัดขวาง คล้ายดั่งเตรียมการทุกอย่างไว้ล่วงหน้า ก่อนคำสั่งเบื้องสูงจะโยนทิ้งลงใส่

 

หลวนจ้องมอง ดวงตาสีอำพัน ที่เคยสร้างความปั่นป่วนแกมหวาดกลัวให้กับเขามาแล้ว

 

ไอเย็นยะเยือกจากอุณหภูมิห้องที่ลดต่ำลง คงมิอาจเทียบสู้กันได้

 

กับดวงพักตร์ที่ "นิ่งขรึม" คล้ายดั่งอาวุธ ไว้คอยฆ่าคนทุกคนให้ตายต่อหน้าเขาได้อย่างไม่ยากเย็น

 

เฉกเช่นตอนนี้..

 

ความนิ่งเงียบของชายที่เป็นคู่ขา บันดาลให้ห้องทั้งห้อง เหลือแต่เพียงเสียงก๊อกๆแก๊กๆของเเป้นพิมพ์ และเสียงลมหายใจของผู้คนทั้งหมด

 

หลวน นั่งไขว่ห้างอยู่ข้างหน้าต่างบานใหญ่ พลางหยิบแฟ้มสีดำที่บรรจุกระดาษหนาเท่าฝ่ามือมาเปิดอ่านสบายใจเฉิบ

 

" ใครหว่า? อ่านว่าไรเนี่ย.. อ่านไม่ออก"  เขายื่นให้คนนั่งโต๊ะตรงหน้า

 

ยังดีที่พอจะแลเหลียวหันมามองอ่านให้บ้าง 

 

" ฟารีย์ฎา อนันตมุริน..."  

 

ไม่มีใครรู้ว่า นายหน้านิ่ง ไปเรียนรู้ภาษาไทยได้กันตอนไหน

 

เพราะอยู่ที่นี้ ก็ไม่เคยที่จะเห็นมันง้างปากพูดออกมาเลยซักคำ

 

คราวถามเจ้าตัว คำตอบที่เหมือนจะไม่ใช่คำตอบก็บอกพียงแค่

 

"...จำมา"

 

แน่นอน...ย่อมเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่เพื่อนร่วมสายรหัสเดียวกัน

 

" เสียดาย..ที่กลุ่มองค์กรเราเป็นพวกล้วงความลับจากชาวบ้านเขาไปทั่ว แต่ก็มาพลาด ไอ้ตรง...ข้อมูลของสมาชิกในองค์กร เป็นใครมาจากไหน ไม่มีใครรู้....แม้แต่ชื่อ ก็ยังเป็นแค่ชื่อขานรหัส ไม่ใช่นามของคนแต่ละคนจริงๆ"

 

" ถ้าอย่างนั้นคนในองค์กร ใครซักคนที่นายอยากจะรู้ประวัติของคนๆนั้น...นายอยากจะเลือกใครมากเป็นพิเศษกันล่ะ"

 

เสียงคู่สนทนานิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะเอ่ยตอบออกมาด้วยคำพูดที่แผ่วเบา

 

 

"ศาสวัต"    

 

รหัสลับที่เรียกขาน  ภาษาที่แปลกประหลาดยามรับส่งทอดต่อกัน

 

นานๆครั้ง ที่รหัสของเขาจะถูกส่งต่อกับสายรหัสอื่น

 

หรือ หากใครได้รับอัขระรหัสนี้ เหล่าบรรดาผู้รับต่างต้องเป็นฉงนสงสัยอยู่บ่อยๆ

 

" รหัสของไอ้ท่านรองทีมเสืออึด"  นี้คือคำเฉลย ที่ผู้คนในที่ทำงานต่างรับรู้ร่วมกัน

 

" เรียกรหัสกันจนจะลืมชื่อจริงของตัวเองซะแล้วสิ"

 

กระนั้น..การเรียกขานรหัส นับว่าเป็น ความปลอดภัยที่ดีที่สุดสำหรับงานอันตรายของพวกเขา

 

การแฝงตัวในหมู่ชน คล้ายดั่งคนที่เหมือนจะมีตัวตน

 

ทว่า...เสรีที่โบยบิน คือ สิ่งที่คนเสี่ยงดวงอย่างพวกเขาต้องการเป็นหนักหนา

 

หากไม่ตายเพราะถูกจับได้ ก็คงถูกเก็บหลังจากคำประกาศิตของคนห้องสูงส่งต่อลงมา

 

ดังนั้น...งานใดที่เสี่ยงจะรอดยาก งานนั้นแทบจะไร้คนร่วม

 

งานลับ แต่ละชิ้น ตัวแทนที่ได้รับมอบหมาย 

 

วันใดที่สายรหัสขาดการติดต่อนานเกินหนึ่งเดือน

 

นั้นหมายถึง...ภารกิจล้มเหลว!!

 

 

หลวนพลิกหน้ากระดาษไปมา ข้อมูลของผู้หญิงที่ชื่อ "ฟารีย์ฎา" ดูเหมือนจะไม่มีส่วนสำคัญอะไรให้นึกถึง

 

ไม่เคยมีสายรหัสคนใดส่งข้อมูลเหล่านี้ให้กับเขา

 

รึเขารับมันแล้วแต่หลงลืมเก็บไว้ที่ไหนป่าวหว่า

 

" เป็นใครกันละ อยู่ในเป้าหมายของงานลับด้วยเหรอ ในบัญชีรายชื่อของฉันไม่มีชื่อของผู้หญิงคนนี้  ไม่มีรายงานฉบับไหนแจ้งให้ฉันทราบก่อนเลย"

 

" นายไม่จำเป็นต้องรู้"  เขาเอ่ยเสียงเรียบๆ มือไม้ยังคงกระดิกจิกตามองงานอยู่เหมือนเก่า "รู้ไปก็เท่านั้น"

 

" ทำไมฉันถึงรู้ไม่ได้"

 

คำถามที่ไร้ซึ่งเสียงคำตอบ ความนิ่งเงียบคือ คำตอบที่ใช่ที่สุด

 

 

" เจ้าตัวทำอาชีพอะไรอยู่ละเนี่ย หน้าใส๊ใส ผิวสีน้ำผึ้งซะด้วยสิ" 

 

" ยังไม่ทำงาน เป็นนักศึกษา"

 

หลวนเงยหน้ามองเพื่อนรหัสแกมฉงนสนเท่ห์ 

 

" เป็นนักศึกษาครู โรงเรียนที่ฉันดูแลอยู่กำลังมีปัญหา "  เขาพูดเสริม พลางปิดแฟ้มงานหนาเต๊อะวางกองไว้ข้างซ้ายมือ หลวนลอบมองดวงหน้าซ่อนอารมณ์ ที่ไม่มีวันแย้มพรายอาการเหนื่อยล้าใดๆให้เห็น 

 

" แต่เป้าหมายที่นายตามล่าอยู่ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับครู? "

 

" ใช่...ไม่เกี่ยวกับเป้าหมาย "

 

" ถ้านายรู้อย่างนี้ แสดงไอ้หลี่หวังทำงานพลาดแล้วสินะ"

 

" เปล่า" เขาปฏิเสธ  สีหน้าแน่นิ่ง

 

" ไม่มีการผิดพลาดอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างมันก็เป็นเกมที่ฉันกำลังควบคุมอยู่"

 

 

ท่านรองแห่งขุนเขาซอมบี้ เงยหน้า หรี่ตามองคนว่างงาน ที่กำลังนั่งเต๊ะท่าอยู่ตรงริมหน้าต่าง

 

รอยยิ้มที่บางเบาผุดขึ้นกลางดวงหน้าหวาน หากแววตาก็ยังคงชาด้านเช่นเคย

 

" แล้วงานลับของนาย เสร็จเรียบร้อยดีแล้วสิ? ถึงได้มาจุ้นกับงานของฉัน"

 

" ยัง..อีกสองสามวันเดี๋ยวฉันก็ต้องขึ้นเครื่องกลับไปที่สิงคโปร์เหมือนเดิม"

 

" แล้วคนอื่นๆ"

 

" พอกัน"  หลวนส่ายหน้า ก่อนจะเดินมาวางแฟ้มในมือเสียงดังปึ้ง!

 

" กระจัดกระจายกันไปคนละทิศคนละทาง  งาน...

 

ฉันชักเริ่มจะเบื่องานนี้แล้วสิ  "

 

" อย่าว่าแต่นาย...ฉันก็ไม่ต่างกัน"

 

ท่านรองเอนพิงพนักเก้าอี้ ชายตามองเพื่อนร่วมรหัสก่อนจะหลับตาทำท่าครุ่นคิดหนัก

 

" ยังดีที่ภารกิจของนายมันไม่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากนัก"

 

" ก็บอกแล้ว เป้าหมายคราวนี้..ใช่ว่าจะลากคอมันกลับมาได้ง่ายๆซะเมื่อไหร่ อยากจะรับงานนี้เองทำไมกันเล่า"

 

" แต่ฉันต้องรับ!"   สุ้มเสียงกระแทกกระทั่นดุดันของเขา ไม่มีใครรู้เหตุผล ไม่มีใครเข้าใจกับการตัดสินใจอันหนักแน่น

 

แม้นรู้ทั้งรู้ว่างานตามหา "เป้าหมาย" แต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย

 

โดยเฉพาะรายนี้ ยิ่งทวีความลำบากมากถึงสองเท่า!!

 

หากภารกิจโหดก็ต้องคู่เคียงกับคนมากชั้นด้วยปัญญา

 

งาน..ที่ถูกสั่งจากเบื้องบน คำสั่งที่กำชับย้ำนักย้ำหนา

 

" คนสุดยอดเท่านั้น ถึงจะรอดได้!"

 

สุดยอดแห่งคนในกลุ่ม ที่เห็นดีสุด ก็คงมีแต่มัน 

 

 

ส่วนสายรหัสที่เหลือ ถ้าไม่ชิวเฉียดเกือบตาย ก็อาจจะชีวาวาย นับใบกงเต๊กรอ...

 

" ฉันรู้ว่าแกเจ๋ง ในกลุ่มดงเสืออึด ทั้งนายทั้งลูกน้องทำงานไม่เคยพลาด"

 

คนกล่าวนั่งยันศอก สะบัดอาการเมื่อยล้าให้หายสิ้น

 

" แต่งานลับชิ้นนี้...บอกตรงฉันกลัวนายจะไม่ไหวกับภารกิจ คนที่นายตามล่า มันก็ใช่เล่นซะเมื่อไหร่ ก็คนในองค์กรเรา เคยเห็นหน้ากันมานาน ไม่นึกว่ามันจะกล้าทรยศ แอบหนีออกไปหาผลประโยชน์ใส่ตัว แถมคนที่เป็นแบล็คคอยปกป้องมัน ก็เป็นเศรษฐีในเมืองจีนที่มีอิทธิพลอยู่ในไทยด้วยเหมือนกัน ฉันกลัวว่าอิทธิพลนั้น มันจะทำให้นายต้องเดือดร้อนภายหลัง"

 

" ขอบใจ... แต่งานนี้ฉันยังไหว และก็ไม่เคยคิดที่จะกลัวอิทธิพลหน้าไหนทั้งนั้น"  

 

" ไหวไม่ไหวยังไงซะ เพื่อนก็ต้องเป็นห่วเพื่อนเป็นธรรมดา"

 

ท่านรองเงยหน้ามอง แววตาแม้นิ่งเรียบ แต่รับรู้ได้ถึงมิตรภาพที่ถูกถ่ายทอดออกมาให้เห็น

 

หากเป็นคนอื่นคงไม่รับรู้กระแสธารา "ห่วงใย" ที่รินหลั่งผ่านนัยนาคู่สวย

 

แต่ หลวน รับรู้และตอบรับมิตรน้ำใจของสหายสายรหัสของตนมาโดยตลอด

 

" ฉันพูดเลยว่า  ยิ่งนายไปทำภารกิจที่เมืองไทยนานเท่าไหร่ ยิ่งรู้สึกเราสองคนยิ่งห่างเหินกัน"

 

" มันจำเป็น  ...หน้าที่  ถึงอย่างไรก็ต้องมาก่อน ฉันคงยังไม่ถึงคราวชะตาขาดเหมือนกับรายที่ผ่านๆมาหรอก"

 

" เอาเถอะ...ระวังๆไว้ จะดีเป็นที่สุด"   

 

 

เพื่อนสายรหัสรำลึกนึกย้อนความทรงจำ...การพบปะกันเพียงแค่ไม่กี่วัน ก็ต้องหวนกลับไปสวมหน้ากากอำพราง

 

ใคร..ใครก็ตามแต่ที่เดินผ่านสวนทางกับพวกเขา

 

แม้จะไม่ใช่เป้าหมายที่ต้องออก "ล่า"

 

หากแต่เป็น "เครื่องกีดขวาง" ที่จะทำให้งานนั้นต้องล้มพังแลดับสูญ

 

สิ่งกีดขวาง เหล่านั้นเอง..ที่ควรพึงระวังไว้ให้ดี  

 

หูทั้งสองคล้ายได้ยินเสียงแว่วละอ่อง 

 

ภาพในห้องทำงานยามเย็น แสงอัสดงตกส่องมายังห้องปฏิบัติงานของเขา

 

" ตงฟาง แอลสาม ล้มภารกิจ...ตงฟาง แอลสาม ล้มภารกิจ"

 

เสียงตามสายวิทยุดังถี่เป็นระยะๆ  

 

ตงฟาง สายรหัสคนสำคัญที่เขามักชวนคุยหัวคุยเล่นด้วยเสมอ  

 

ชื่อรหัสที่คุ้นเคย ก่อนจะโดนพิรุณก่อกรุ่นพัดปลิวหาย

 

" เขาล้มภารกิจนี้เอง ส่วนเป้าหมาย...ก็ลอยนวล"

 

" ทำไมเขาถึงทำแบบบนั้น?"  สายตาของเบื้องบนทอดมองมายังเขา

 

คำตอบ คือ ไร้สรรพเสียงสำเนียงขาน 

 

มีเพียงเข็มกาลที่หมุนเวียนอยู่ในหอประชุมลับเท่านั้น

 

หลวนอี้ชี กับสีหน้าที่มาพร้อมเปลวเพลิงล้นอุรา  สายตาอันอ่อนโยนประดุจสายน้ำชะลอผ่าน แปรเปลี่ยนเป็นแววตาที่แข็งกร้าว ลุกโชน

 

อากัปกิริยาขี้เล่นเป็นกันเองในยามรายงานการประชุม ก็ถูกแผดเผากลืนหายไปกับไฟร้อนใต้ทรวงเสียสิ้น

 

" รายงานภารกิจ ล่า เป้าหมายใหม่ ตงฟางแอลสาม เป็น เป้าหมายลำดับที่ 145!!"

 

" ตงฟาง ไม่ได้ทรยศ!!"   เขาร้อง เริ่มโวยวาย หากระงับไว้เพราะคนที่อยู่เบื้องหน้า คือ เบื้องบนอันสูงสุดของคำสั่ง

 

" เขาต้องถูกใส่ร้าย ภารกิจของเขากำลังประสบความสำเร็จ จากรายงานล่าสุดเป้าหมายจะอยู่ในอุ้งมือของเขาแล้ว"

 

" แต่เขาก็ทำพลาด"

 

" เพราะมีคนทำให้งานของเขาพลาด ตงฟางไม่มีวันล้มภารกิจเอง คนอย่างมัน ไม่มีวันท้อถอยเด็ดขาด!"

 

" แต่คนอย่างคุณ คงอยากจะถอยลงไปหายมบาลเร็วๆกระมัง" น้ำเสียงประชดประชัน แต่ก็ไม่สะทกสะท้านอะไรกับคนที่ยืนเถียงฉอดๆอยู่ตรงหน้านัก

 

" หากท่านต้องการ ล่า ตัวเขากลับมา ก็มอบภารกิจนี้ให้กับผมเถอะ ผมจะตามหาเขา จะพาเขากลับมาเล่าเรื่องราวทุกอย่าง"

 

" คุณคิดว่า ผมอยากจะฟังคำแก้ตัวของเขาอีกงั้นหรือ?

 งาน..หากพลาด จะไม่มีโอกาสให้ลบล้างสิ่งที่ผิดพลาดได้  ลืมไปแล้วรึ?"

 

 

คำตอบที่แน่ชัด เป้าหมาย 145 โชคชะตาจะถูกลิขิตไว้เป็นเช่นไร

 

วันเวลา...แค่เพียงหนึ่งเดือน โชคชะตาก็นำพาข่าวร้ายมาเยือนถึงหน้าห้องในวันหนึ่ง

 

" รายงานฉบับล่าสุดค่ะ"

เลขาหน้าห้องเดินพุงกระเพื่อมเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า พลางยื่นเอกสารสำคัญที่กลายเป็นคำตอบของเบื้องบน

 

" เป้าหมาย 145 ตงฟางแอลสามถูกจัดการเรียบร้อย!!"

 

มือที่กุมกระดาษสั่นระริกรวนไร ฤทัยใต้ทรวงเต้นถี่ รุนแรง 

 

แม้นเขาจะพยายามวางกระดาษตัวซวยให้แนบสนิทติดพื้นโต๊ะ

 

แต่รอยอักขระกลับจดจำ มิลบเลือนหาย

 

เพื่อน...มิตรภาพความทรงจำที่หาได้ยากเต็มที กับสายงานที่ไม่ได้รับรองความปลอดภัยของชีวิต

 

ภารกิจ....กับเงามืดที่คล้ายฉากหลัง คอยกำหนดความเป็นไปในห้วงแห่งเวลา

 

หาก งานที่ได้รับมอบหมายสำเร็จลุล่วง 

 

รางวัลที่มอบให้....คือ ชีวิต

 

หาก งานที่กระทำ ล้มเหลว สิ่งที่น้อมรับได้ คือ เตรียมดิ่งเหวลงสู่นรกได้ทุกขณะที่ก้าวย่างไป

 

ไม่มีใครรอดพ้นจากความตาย..!!

 

ใช่..ไม่มีใครรอดแน่

 

ทว่า...ก็ไม่มีใครอยากเห็นคนที่เคียงกายเคียงใจ ต้องโดนพรากวิญญาให้หายจาก

 

แม้นแต่เสี้ยวดวงหน้าในยามยิ้มแย้ม ก็มิมีวันได้พบเห็น

 

 

ท่านรองลุกขึ้นยืน ก่อนจะหยิบแฟ้มงานที่วางกระจายอยู่โดยรอบ เก็บ "งาน" ยัดใส่ลงกล่องพัสดุใบใหญ่

 

ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง  กำลังวังชายังคงไหวอยู่ กับงานที่ต้อง เสี่ยงชีวิตที่มากมาย

 

ถึงตัวเลขอายุที่นับๆดู จะก้าวข้ามเลขสี่มาเยอะพอตัว  แต่ทั้งรูปร่าง หน้าตา แน่นอน...

 

เหมือนจะหยุดทุกสิ่งทุกอย่างไว้ ดั่งวันที่พบเจอกันใหม่ๆ

 

" ไอ้หน้าน้ำแข็ง มันไปสต๊าฟหนังหน้าที่คลินิกไหนวะ หน้านี้ใสวิ๊งเชียว!"

 

 

ท่านรอง...มองหน้าไอ้เพื่อนซี้ที่ดูจะเหม่อลอยไปไกล  มือไม้ไม่อยู่นิ่ง กวัดแกว่งแฟ้มงานของ

คนที่ไม่สำคัญมากนัก  

 

" จะไปแล้ว  ขอแฟ้มคืนด้วย"

 

" ในแฟ้ม..ไม่มีข้อมูลอะไรมาก นายจะเอาไปด้วยทำไม?"  คนถือแฟ้มลิ่วตาใส่ พลางยียวนกวนโมโห ด้วยการไพล่มือตน แอบแฟ้มไว้ข้างหลัง

 

" ไม่สำคัญ แต่ถ้าไม่มีมัน  ฉันก็ทำงานต่อไม่ได้"

 

" ไม่มีแฟ้ม หรือ คนในแฟ้ม ??"

 

" ไม่รู้"  เขาตอบเสียงห้วน แต่คนเล่น ก็ยังคงเล่นต่อไป ดั่งรู้ใจเพื่อนดี

 

" ไหนๆก็ให้มาอยู่ด้วยแล้ว ทำไมไม่ไปล้วงข้อมูลจากเจ้าตัวเลยเสียล่ะ แค่นักศึกษาตัวจ้อย คงไม่ทำให้หัวใจแข็งทื่อของนายคล้อยตามหล่อนได้หรอก จริงมั้ย?"

 

" หัวใจมีไว้ต่อชีวิตให้ยืนยาว ไม่ใช่เอาไว้ลดทอนอายุชีวิตของตัวเอง" เขาปรายตามองคู่หูสายรหัส แต่กระนั่น คำพูดก็ยังคงพริ้วผ่านไม่หยุดหย่อน

 

" ความรักที่ไร้สติ ก็ไม่ต่างอะไรกับคนบ้าผสมคนโง่ 

 

ไอ้พวกที่ชอบบูชาความรัก จนทุกอย่างต้องพังลง

 

เหมือนอย่างใครบางคน  ที่เคยทำภารกิจจนพลาดทั้งงาน

 

พลาดทั้งชีวิต.."  

 

ชายหนุ่มเงียบขรึมขุ่น สายตากึ่งเย้ยหยันกึ่งรัญจวนหวนไห้  คนนั่งอยู่ขอบหน้าต่างก็มิวายจะชำเลืองมอง

 

คนที่ไร้หัวใจเฉกเช่นบุรุษที่ยืนนิ่งท่ามเสียงสะท้อนที่วิ่งวนก่นก้องไปมาในโสตสมองของมัน  

 

" ความรัก... 

 

ก็มีแต่ยมทูตเท่านั้นแหล่ะ..ที่จะพรากสิ่งนี้ให้มันมอดไหม้ลงได้!"

 

จบตอนที่ 12

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา