ลิขิตจันทรา ภาค มายาแห่งดวงใจ (注定月下老人 )

8.0

เขียนโดย Wuzhenni

วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 22.20 น.

  22 ตอน
  9 วิจารณ์
  26.44K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 20.59 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

15) เขียนเสร็จแล้ว

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

“  ทำไมคำพูดคำจากับหน้าตาถึงไม่สัมพันธ์กัน  ปากคอเราะร้ายดีจริง” 

 

วลีที่เอื้อนเอ่ยจนเกือบจะเย้ยในคราวเดียวกัน

 

น้ำเสียงที่เปล่งออกมาดูนิ่งขรึม หากแต่...นัยยะของคำดังกล่าวกลับกระแทกแดกดันแบบผู้ดี

 

นั้นเองที่ทำให้ แม่หญิงนักบู๊ อดที่จะเหลียวคอกลับมามองเสียมิได้ ก่อนลิ่วตาใส่หาเรื่องตามสไตล์ หวงเฟยหางขาโหด 

 

ทำตัวโสดไว้ฆ่าผู้ชายโดยแท้

 

“ แค่นี้ก่อนนะเฮ้ย ไว้เดี๋ยวโทร.กลับ...ตอนนี้รู้สึกคันๆเท้าวะ อยากเตะคนฉิบ!”

 

หญ้าฟางกดวางสาย  ดวงตาคู่งามยังคงจดจ้องใบหน้านิ่งราวหุ่นปั้นนั้นอยู่

 

“ ขอโทษนะคะ  ขอเรียนถามหน่อยว่า..มันธุระอะไรของคุณไม่ทราบ ”

หญ้าฟางถลึงตาใส่คู่อริรายใหม่ ก่อนจะไล่เลื่อนลูกตาดำขลับซ้ายขวา พลางสำรวจเก็บข้อมูลของอีกฝ่ายอย่างละเอียดไปด้วยในทันที

 

เค้าโครงโฉมพักตร์ของศัตรูที่ออกลายไปทางฝั่งจีนแต่ก็คมแบบไทยให้เห็น

 

หากแต่ความสมบูรณ์ของดวงหน้าอันหาที่ติใดๆไม่

 

กลับมิสามารถมองเห็นเสน่หาที่ควรมี  

 

ถึงตัวหล่อนจะไม่ได้เล่นบทเป็นหมอดู แต่ก็คงจะเล่นได้ไม่ยากนัก

 

" หล่อเลอค่า แต่กายาไร้คนเคียง"

 

เครื่องแบบที่บ่งบอกว่าเป็นสูทสีดำ ตรงกระเป๋าเสื้อที่อกด้านซ้ายมีลายปักตัวชื่ออักษรย่อของโรงเรียน ไม่ต้องบอกก็ย่อมรู้ว่าต้องเป็นคนของที่นี้ แต่จะอยู่ฝ่ายไหนแผนกใด มิวายอาจจะเป็นพวกครูเคร่งตำราเรียน ถนัดมักคุ้นกับฝ่ายวิชาการหรือไม่ก็พวกครูฝ่ายปกครองหัวระเบียบจัด

 

ท่วงท่าดูสง่าผ่าเผย ดั่งคนอบรมบ่มเพาะมารยาทมาดี

 

ขนาดจะแลมองดูหลล่อน ยังเชิดสายตา ทำเป็นมิอยากเลียบมอง

 

แววตาซ่อนอารมณ์ม่านเนตรที่ถูกฉาบฉายคล้ายดั่งก้อนน้ำแข็งที่ผนึกติดไว้ มิแสดงอะไรให้ใครได้เห็น

 

...หล่อนอยากจะควักลูกตาออกมาแล้วผ่าดูเสียจริงเชียว

 

นี้มันลูกตาคนหรือก้อนน้ำแข็งราดชาเย็นผสมรากขิงกันแน่ฟ่ะ

 

หน้านิ่งเหมือนซอมบี้

 

แต่พอกลั่นวาจาออกมาที ยังกะปลูกสวนพริกไว้ในปาก

 

คิดไม่ถึงถ้าเวลายิ้ม หน้าจะเหมือนอะไรวะ?

 

ซอมบี้ในร่างผีแมนจูงั้นสิ ?

 

“ ธุระที่จะขออบรมเธอเสียหน่อย ”

 

ขายหนุ่มกระแทกหางตามอง ก่อนจะพูดสำทับอีกรอบ

 

“ เรื่องมารยาท  ”

 

“ มารยาทอะไรเหรอคะ  ”

หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นสูง ก่อนจะจำแลงกายเป็นแม่ป้ายืนกอดอก ไม่พอใจที่มีคนกล้ามากระตุกหนวดเสือเธอเข้าจนได้

 

“ ขอเรียนถามอีกซักข้อ ไม่ทราบว่า ใครสั่งให้คุณมาก้าวก่าย  อ่อ ถ้าพูดแบบภาษาชาวบ้านก็สอดรู้เรื่องของคนอื่นเขาน่ะ”

 

ไงล่ะ  อึ้งเลยสิ

 

เล่นกับใครไม่เล่น ชะ! มาเล่นกะอีฟาง

 

ไอ้เฒ่าซอมบี้ผีนรกเอ๊ย!!

 

 

" ไม่มีใครสั่งและไม่ได้อยากสอดรู้เรื่องของใคร นี้เป็นการตักเตือน เพราะเธอประพฤติตนไม่เหมาะสมในสถานศึกษา"

 

“ อะไรละคะที่ไม่เหมาะสม... ยืนคุยโทรศัพท์ นี้ถือว่าเป็นการประพฤติปฏิบัติตนที่ไม่เหมาะสมในความหมายของคุณ อย่างงั้นหรือคะ?" หญ้าฟางเถียงใส่ ไม่ยอมเช่นกัน

 

" ยืนคุยโทรศัพท์แต่แหกปากสบถคำด่าออกมาตรงหน้าประตูโรงเรียน มันก็คงดูเหมาะสมอยู่หรอก!"

 

คำประชดที่ดูง่ายๆ แบบคนมีการศึกษาที่ใช้คำหยาบคายไม่เป็น แต่เจ็บจิ๊ดถึงทรวงในอกของคนที่ยืนฟังอยู่

 

 

"เอ้า.. ก็ฉันร้องด่าคนในโทรศัพท์นี้ ไม่ได้ร้องด่าใครเขาซักหน่อย อีกอย่างคนเขาก็รู้แหล่ะคะ เด็กเขาก็รู้ ผู้ปกครองเขาก็คงจะเข้าใจดี และแยกแยะได้ว่า ไอ้สิ่งที่ฉันทำเนี่ยมันถูกรึมันผิดยังไง ”

 

“ คำว่าถูกผิด กับ คำว่ามารยาทมันไม่เหมือนกัน รึเธอจะแยกแยะมันไม่ออก? ” 

 

" แยกออกสิ ก็มันเขียนไม่เหมือนกันหนิ! "

 

หล่อนย้อนใส่ อันที่จริงหล่อนก็รู้แหล่ะว่า ไอ้สามคำที่ว่านั้นแตกต่างกันเช่นไร

 

แต่ขี้เกียจอธิบายความยาวสาวความยืดให้มันมาก

 

ก็รึมันไม่จริง....ก็สามคำนี้มันไม่ได้เขียนเหมือนกันนี้หว่า

 

 

เขาชำเลืองมองตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า ก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงแกมสงสัยหน่อยๆ

 

“ เป็นนักศึกษางั้นรึ?”

 

“นักศึกษาฝึกสอน ” หล่อนตอบห้วนๆใส่

 

สายตาที่จับจ้องเธอ คล้ายดั่งจะยิ้มเยาะ แต่อีกนัยก็ดูเหมือนจะปั้นหน้านิ่งไม่เผยอารมณ์อะไรให้เห็นจนเด่นชัด ก่อนที่ชายหนุ่มผู้กลายมาเป็น “คู่ฟัดคู่ฟาดรายใหม่” จะส่ายหัวเล็กน้อย พลาง

แง้มปากถามด้วยถ้อยคำสุภาพตามเคย

 

“ แล้วอีกคนไปไหน?”

 

“หืมห์ รู้ได้ยังไงว่ามีสองคน” 

 

เสียงหืมห์ขึ้นสูง จนอีกฝ่ายเกือบจะแย้มยิ้มออกมาให้เห็น  เพราะไม่ใช่แค่คำว่า หืมห์ ที่ดังถี่ในลำคอ

หากแต่เป็นนัยน์ตากลมโตที่หันมามองเขาไม่ต่างจากพวกอยากรู้อยากเห็นโดยแท้

 

“ คนที่ปากไม่นิ่ง สมองไม่ขยับยังมีอยู่ในโรงเรียนอีกเยอะ จะพูดจะนินทาอะไร ทำไมฉันจะไม่รู้ ”

 

“ เฮ้ยๆ นี้กำลังด่าฉันอยู่ใช่มั้ยเนี่ย?”

 

“ ก็คิดเอาสิ..น้ำเลี้ยงสมองไม่พอเลี้ยงรึไง”  

 

คนตอบบอกใบ้คำตอบได้อย่างน่าหมั่นไส้ที่สุดเท่าที่หญ้าฟางเคยเจอะเจอมากับตัว

 จะไอ้ลูกผู้ว่านั่น  ถ้ามันด่าก็ไม่อ้อมค้อม

ไหนจะไอ้หัวเผือกตัวเสือกเสาะเรื่องชาวบ้าน  พูดอะไรทีหาคำยกยอปอปั้นแทบไม่เจอ

 

บุรุษรูปงามยามพบเจอสตรีโฉมสะคราญงามพริ้งเพริศ เป็นต้องพูดอวยตัวเองให้หล่อเลิศไว้เสมอ

 

แต่กับไอ้หวงเฟยฟางจอมฉะคนนี้ ไม่มีเสียล่ะ ที่จะมาพูดจาหว่านเสน่ห์ใส่ให้กัน

 

ถ้าพูดคุยดีๆไม่เป็น มันก็ต้องเล่นมือเล่นเท้า เอาซักหมัดสองหมัดพอธรรมเนียม

 

ผู้ชายคนนี้ก็พอกัน...

 

แต่ดีกว่าก็ตรงที่ แก่จนเห็นเท้ากาโผล่ คิดๆว่าคงจะไม่สันทัดเรื่องด่าคนแบบพ่นไฟใส่หน้า

เอาเข้าจริง ด่าแบบหน้านิ่ง แต่เจ็บจิ๊ดทะลุติ่งกระเพราะเลยทีเดียวเชียว

 

“ เอาเถอะ  แต่ถึงฉันจะเป็นยังไง จะจำแลงกายเป็นแม่ค้าปากตลาดกลางหอประชุมโรงเรียนยังได้เลย   ฐานฉันมั่นคงดี มีคนพยุงเอาไว้ตลอด” 

 

“คนพยุงคงจะตัวใหญ่คับฟ้า บารมีเท่าเง็กเซียนสวรรค์.."

 

เขาเอ่ยเสียงเรียบๆ  นับว่าเป็นคำประชดที่ลื่นหูที่สุดเท่าที่เจ้าหล่อนเคยได้ยินมา 

 

คนหน้านิ่งๆ เย็นชาปานผีเข้าสิงแบบนี้ 

 

หลอกด่าคนอื่นเก่งนักเชียวล่ะ

 

 “ก็ประมาณนั้นหล่ะ คนใหญ่คนโตคุณก็คงพอจะเคยได้ยินอยู่บ้างหรอกนะ เป็นต้นว่า ท่านคณบดีที่มหาลัยของฉัน  อาจารย์ศิวราช ไงค่ะ รู้จักมั้ย? แล้วก็..อาจารย์หลี่หวัง  รายนั่น เป็นถึงหัวหน้าอาจารย์ฝ่ายปกครองพ่วงตำแหน่งอาจารย์ที่ปรึกษาของดิฉันเชียวนา  แต่ดูจากภูมิฐานการแต่งตัวของคุณแล้ว ฉันว่าตำแหน่งคุณคงจะสูงกว่าอาจารย์หลี่หวังอยู่หน่อยๆ ”

 

 แม้นจะไร้เครื่องประดับตกแต่ง นอกจากนาฬิกาโรแล็กซ์เรือนละพันกว่า กับเสื้อสูทเนื้อผ้าดีที่มีราคาเหยียบพัน น่าจะเป็นค่านิยมของพวกผู้ดีไฮโซโนว์วิชาการในโรงเรียน 

 

รวยล่ะซี๊ ถ้าเอาเงินไปซื้อแปบทีนบำรุงสมอง น่าจะดีกว่านี้เยอะ

 

“ แต่คงไม่สูงถึงขั้นกินตำแหน่งผู้บริหารโรงเรียนเพราะดูจากลักษณะ กิริยา คำพูดคำจาแล้ว คงจะบริหารปกครองใครเขาไม่เป็นหรอก”

 

หญ้าฟางหัวเราะยิ้มร่าในวาทะที่ถึงแม้จะไม่ได้เอ่ยเอื้อนคำหยาบคายใดๆออกมา ทุกเศษเสี้ยวของประโยคกลับแฝงความหมายไว้อย่างชัดเจน

 

หากเป็นคนอื่นคงจะวิ่งถลากำหมัดซัดใส่เบ้าตาคู่สวยของนางเสือจอมวุ่น

 

ทว่า.....เขา ผู้เปรียบเสมือนหุ่นนิ่งไร้ชีวิต

 

เพียงแค่เคลื่อนมุมปากให้ยกขึ้นอย่างแช่มช้า แต่มิได้รับรู้ว่านั้นคือ รอยยิ้ม หรืออะไร

 

ลูกตาดำขลับทอดมองคล้ายดั่งเลนส์กล้องที่ไร้ความรู้สึก

 

แววตาที่เย็นชืดกับแววตาลูกลิงที่สนุกสนานไปตามวัย

 

วัยรับอรุณในชีวิต....

 

ช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยสิ่งที่น่าค้นหามากมายบนโลกใบนี้

 

แต่กับตัวเขา

 

ผู้ชายที่เหยียบย่างผ่านเลยวงจรของชีวิตมามากพอควร

 

คำด่าเพียงเท่านี้ไม่สะทกสะท้านต้านทรวงที่กลวงลึกไม่เหลือใยใดๆให้คนึงหา

 

ลมปากของเด็กไม่รู้ผิดชอบชั่วดี

 

กับคำตัดสินชีวิตของผู้มีอำนาจในโลกหล้า

 

อะไรเล่าที่จะน่ากลัวกว่ากัน?

 

“ ถ้าหากท่านรอง ผอ. ได้ยินคำที่หล่อนพูด บางทีท่านอาจจะต้องพิจารณากันใหม่อีกซักรอบ”

 

“  โอ๊ยยยยย   คุณรอง ผอ. ที่ใครๆชอบบอกว่า ดุนักดุหนานะเหรอ?  อย่าเอามาขู่กันเล๊ย....ฉันไม่กลัวหรอก”

 

หญิงสาวหัวเราะหึๆ พลางชูคอยืดอก เดินกร่างๆเข้าไปหาบุรุษแปลกหน้าที่ตอนนี้คงจะเป็นแค่

คนหน้าแปลก” ในสายตาหล่อนไปแล้ว

 

“ เพราะอะไรคุณรู้มั้ย?"  ความเงียบคือคำตอบ 

 

" ก็เพราะท่านรองฯ เป็นแบล็คให้ฉันชูคยืดหน้ายืดตาใส่คุณอยู่นี่ไง

 

คิ้วหนาเข้มแต่เรียวรับเข้ารูปกับดวงเนตรอันคมกริบยกสูงขึ้นเป็นเชิงสงสัยระคนแปลกใจ ก่อนจะปรับสีหน้าให้เข้าสู่ภาวะดั่งเดิม

 

“ ไปเกี่ยวดองเป็นญาติกับท่านรอง ผอ. ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน  ธรรมดาท่านออกจะเก็บตัว ไม่ค่อยได้สุงสิงกับ พวก กร้านกล้า ” เขาหยุดชะงัก ก่อนจะพูดออกมาใหม่ด้วยสำเนียงเสียงที่หญ้าฟางพึงแน่ใจ

 

" แบบนี้...."   

 

แหม่ะ ....ไอ้คุณผีดิบ แบบนี้แล้วมันจะทำไมล่ะห่ะ!

 

กร้านกล้า คำสองคำ แต่กลับเฉือนความรู้สึกของคนฟังให้กลายเป็นเปลวเพลิงในอกเสียได้

 

“ ไม่ถึงกับเกี่ยวดองหรอกคะ  แค่เครดิตความรู้ฉันมันโด่งดังจนท่านรองสนใจเชิญให้ฉันมาเป็นนักศึกษาฝึกสอนที่นี้เอง ก็อย่างว่า คนเราถ้ารู้จักใช้สมองให้เป็น  ใครๆเขาก็อยากลากมาทำงานด้วย แต่ก็นะ..เดี๋ยวนี้ คนเรา โตแต่ตัว แต่ไส้หัวยังกะเม็ดแตงโม”

 

“ เม็ดแตงโมมันก็มีประโยชน์  มนุษย์ก็สมควรที่จะมีหน้าที่สร้างประโยชน์ให้กับตัวเอง” 

 

"หน้าที่? หน้าที่อะไร? สอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านเขางั้นสิ ทำไม...ใหญ่โตมาจากไหนมิทราบ ถ้าคุณคิดว่าจะมาทำหน้าที่ตักเตือนเรื่องมารยาทของฉัน คุณเองก็ควรจะตักเตือนตัวเองด้วยเหมือนกัน  ไอ้การที่คุณมาพูดจาเหน็บแหนมใส่ฉันเมื่อตะกี๊เนี้ย แถวบ้านฉันเขาเรียกว่า ยุ่ง จุ้นจ้าน รู้รึเปล่า?"

 

หญ้าฟางมองดูคู่อริที่ตอนนี้ดูจะนิ่งๆ ไม่ตอบโต้ว่ากล่าวอะไร ยกเว้น แววตาที่ให้ความรู้สึกราวกับภูตผีที่มองหล่อนยังไงยังงั้น 

 

ป้อมปราการที่ตระหง่านเทียมฟ้า ถึงจะทระนงตน ไม่น้อมเศียรให้ศัตรู แต่ถ้าเจอลูกปืนใหญ่ ยิงใส่รัวๆแบบนี้

 

ไม่หูชาก็หน้าบางลงมาซักครึ่งเซนต์ละหว๊า

 

หากแต่เจ้าหล่อนจะมองเห็น

 

เปลือกในความรู้สึกของฝ่าย

 

ความรู้สึกของชายหน้าน้ำแข็ง....ที่ตรงข้ามกับภายนอก

 

ความรู้สึกที่พลุ่งพล่าน ทั้งโมโห ทั้งขบขัน

 

ไอ้เด็กคนนี้.....คงจะมีดีแค่สมอง

 

แต่มารยาทคงต้องสั่งสอนชุดใหญ่!!!

 

“  เคยเห็น ท่าน รอง ผอ.  รึยัง?”  เขาเปลี่ยนคำถาม น้ำเสียงนิ่งเรียบ พลอยทำให้คนถูกคำถามนึกยิ้มกระหยิ่ม

 

นั้นประไร...ท่าทางหน้าจะบางลงจริงๆเสียด้วย แหม...  นี่ยังไม่เจอมือเจอเท้ากันซักหมัดสองหมัด ก็ทำท่าหง่อยไปเสียก่อนแหล่ะ เฮ้อ 

 

“ ยัง...เดี๋ยวจะได้เข้าปฐมนิเทศกับท่านวันนี้ตอนเช้า”  

 

การสนทนาสิ้นสุดลง เมื่อหญ้าฟางเห็นคนตัวกระปุกเดินตุ๊กๆ เข้ามาหาเธออย่างแช่มช้า  พอดีกับร่างของผู้เฒ่าซอมบี้ที่ค่อยๆเคลื่อนกายมุ่งหน้าเข้าสู่ตึกนาฬิกาเรือนเหลือง

 

คนไฮโซโนว์วิชาการกำลังเยื้องย่างผ่านบรรดานักเรียนทั้งหลายเหล่า สีหน้าที่ไร้อารมณ์ดั่งหุ่นปั้นที่ถูกเสกสรรค์แทนเนื้อหนังของมนุษย์

 

เด็กนักเรียนต่างวิ่งถอยกรู ใครใจกล้าเสียหน่อยก็ยกมือประกบโค้งก้มหัวไหว้

 

พรั่งพร้อมด้วยอาการสั่นเทาจากความกลัว

 

เพียงแค่ “ท่านผู้นั้น” เลี้ยวหันมารับไหว้ด้วยทีท่าเย็นยะเยือกดุจมัจจุราชแฝงเงาร่าง

 

จิตใจของเด็กนักเรียนก็หลุดลอยไปเพราะใบหน้านิ่งขรึมของท่านเจ้าตึกเหลืองเสียนี่

 

“ ตกใจหมดเลย.....นั่งคุยเล่นกันอยู่ดีๆ โผล่มาตอนไหนก็ไม่รู้  น่ากลัวชะมัด”

ถ้อยคำกระซิบกระซาบของนักเรียนหญิงคนหนึ่งดังขึ้นด้วยอารมณ์หวาดหวั่นไม่ต่างกับเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆนัก

 

“พูดอย่างนั้นไม่ถูกนา  ก็ตึกทำงานแกมันอยู่ตรงนู่น พวกเรานั้นแหล่ะ ชอบมานั่งตรงทางเดินหน้าตึกเองนี่หว่า ”

 

“ แต่จะทักทายกับนักเรียนหน่อยก็น่าจะดี นี่อาร้าย....ชอบทำหน้าบึ้งใส่อยู่ตลอด”

 

“แล้วถ้าอาจารย์แกหันมาคุยด้วย ถามหน่อยพวกมึงจะมีใครกล้าคุยกับอาจารย์เค้ามั้ย? โถ่ ทีเมื่อกื๊ เห็นไหว้มือสั่นยังกะเจ้าเข้า อวดดีกันจังนะ พวกมึงเนี่ย”

 

เสียงสนทนายังคงกักกรุ่นไปทั่วบริเวณหน้าหอตึกนาฬิกา อาคารโบราณทรงสง่า ที่ดูเข้ากันได้ดีกับเจ้าของโรงเรียนแห่งนี้

 

คนถูกนินทาจากเมื่อครู่กำลังก้าวข้ามขั้นบันได ผ่านลวดลายปูนสลักเนื้อขาวอันสะท้อนความเก่าแก่ ณ สถานที่ที่เปี่ยมไปด้วยธาราแห่งชีวิต

 

ชีวิตของผู้คนและทายาทคนสุดท้ายแห่งสายเลือดมังกร ”ตระกูลจาง”

 

ชายหนุ่มทอดมองรูปภาพบรรพบุรุษที่ถูกแขวนไว้ตามผนังทางเดิน

 

สายตาที่กระทบกับแววตาของบรรพบุรุษ

 

แววตาที่คล้ายดั่งมีคำถามค้างคาใจ

 

“ใช่หรือ?”  “นี้หรือ? สายเลือดของตระกูล”

 

คำถามที่ส่งผ่านทางแววตาของคนในรูปยังคงถาโถมใส่เขาไม่หยุดหย่อน

 

เสียงรองเท้าหยุดกึก ดวงตาสีหม่นจับจ้องไปยังรูปของชายคนหนึ่ง

 

ชายผู้ซึ่งยังคงมีชีวิตอยู่....

 

แต่คงจะเป็นเศษเสี้ยวสุดท้ายของชีวิตน่าจะดีกว่า

 

เขายิ้มเยาะนิดๆ ก่อนจะขยับฝีเท้าเดินผ่านห้องน้ำชา

 

ทอดน่องไปไกลจนสุดของมุมตึก

 

หากคนภายนอกที่ผ่านเข้ามาในอาณาเขตของโรงเรียน

 

เพียงเห็นตึกสีเหลืองที่ตั้งเด่นตระหง่านฟ้า คงจะคิดแค่ว่า 

 

“ตึกเก่าๆ ตึกเดียวเอาไว้เหลียวมองชม”

 

แต่หารู้ไม่....ตึกทำงานของผู้อำนวยการ ปัจจุบันยังคงเป็นเก้าอี้ว่าง เพราะตัวคนที่กินตำแหน่งกลับนั่งรถเข็นอยู่ที่บ้านเรือนใหญ่ฝั่งกระโน้น

 

....หน้าที่ทุกสิ่งอย่างในโรงเรียนถูกถ่ายโอนมายังมือเขาไว้หมดสิ้น

 

ตึกเก่าแก่ที่ไม่ต่างอะไรกับบ้านหลังเล็กๆหลังหนึ่ง

 

ฟากตรงข้ามของตึก บันไดเชื่อมที่สามารถเดินลัดไปยังอาคารคู่แฝดอีกหลัง

 

ระหว่างช่วงต่อของอาคารถูกกั้นไว้ด้วยโถงลานเล็กๆ

 

หากแต่จุดเด่นที่แท้จริง คือ นาฬิกาโรมันขนาดใหญ่ที่สร้างฝังไว้ใจกลางยอดจั้วของอาคารแห่งนี้

 

เข็มนาฬิกาสีเหลืองเนื้อทองกำลังหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปตามหน้าที่

 

คล้ายดั่งคอยเตือนให้ มนุษย์หน้านิ่ง เร่งรุดเข้าไปในห้องทำงานของตน

 

มนต์เสน่ห์ของอาคารที่ถูกสร้างขึ้นในรูปแบบโคโลเนียล ประกอบกับสวนหย่อมขนาดเล็กที่ปลูกไว้โดยรอบ  ทำให้เขารู้สึกรื่นรมย์ได้ดียิ่ง

 

แต่ก็แค่ยามเข็มนาฬิกาเดินเต๊าะหนึ่งเท่านั้น

 

 “ติ๊ด.... ติ๊ด”

 

เสียงสัญญาณจากวิทยุเครื่องเล็กที่ถูกตั้งไว้ระหว่างกองแฟ้มเอกสารกับชุดเครื่องเขียนอันมีค่ายิ่งนักสำหรับคนที่เสพงานการมิรู้เบื่อ

 

นิ้วมือยาวเอื้อมไปแตะปุ่มรับสัญญาณที่ยังคงส่งเสียงร้องระงมไปทั่วห้อง

 

เสียงที่คงมิอาจกล่าวได้ว่า เป็นเสียงที่ระรื่นชื่นหู

 

กลับกัน มันยิ่งทำให้คนนั่งบนโต๊ะตำแหน่งต้องปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่บ่อยๆ

 

ยามใดที่เสียงจากเจ้าเครื่อง ‘ปากไว’ มันเริ่มทำงาน

 

นั้นก็แปลว่า....เส้นประสาททั่วร่าง ต้องเตรียมพร้อม กับงานที่ ‘มาไว’ ไม่ต่างอะไรกับ  พิซซ่าจานด่วน

 

“ ท่านรองครับ....ไม่ทราบว่า ท่านอยู่ที่ห้องรึเปล่าครับ?”  เสียงครืดคราดเพราะสัญญาณไม่ใคร่จะชัดดีสักเท่าไหร่

 

แต่สำหรับเขาแล้ว เสียงทุกเสียงย่อมมีความแตกต่าง ไม่เหมือนกัน

 

“ อยู่...มีอะไร”คำตอบที่ออกจะห้วนๆ ตรงๆ เพราะอารมณ์คร้านจะตอบเสียซะมากกว่า

 

“ คือว่า...กระผมอยากจะเรียนถามท่านว่า วันนี้ท่านรองจะกล่าวให้โอวาทกับนักเรียนที่หน้าเสาธงรึเปล่าครับ? เอ่อ พอดีว่าอาจารย์ที่รับผิดชอบตรงจุดนี้ยังไม่มา กระผมก็เลยคิดว่าจะให้ท่าน เอ่อ อ่า ”

 

ดูเหมือนคนพูดก็คงไม่ได้ตระเตรียม ขัดเกลาวาจาให้ลื่นหูซักเท่าใดนัก  

 

ชายหนุ่มนั่งนึกคิด พลางละสายตามองมายังกองเอกสารที่มีทีท่าว่าจะไม่ได้หยุดอยู่แค่แฟ้มเอกสารที่วางเรียงรายเป็นแขกทักทายยามเช้ากับเขา

 

งานที่มากล้น....

 

ไม่ว่าจะงานหลวงงานราษฎร์  ก็มีมาให้เล่นทายปัญหาอะไรเอ่ยอยู่ในหัวไม่หยุดหย่อน

 

งานที่วางอยู่ตรงหน้า....

 

แม้จะเป็นเพียงแค่แผ่นกระดาษที่บรรจุตัวอักษรมากมายไว้หลากสัน

 

อาจมิต้องลงทุนลงแรงเหมือนกับงานพิธีการหรืองานกิจกรรมที่ตัวเขามีหน้าที่นั่งมองดู

เม็ดเงินที่ไหลลอยไปโดยเปล่าประโยชน์ของพวกเหล่าที่คอยแต่จะเอาศักดิ์ศรีมาอวดเบ่งบารมีให้เห็น

 

“ กระผมก็แจงให้พวกเด็กๆแล้ว เรื่อง งบประมาณในการจัดกิจกรรม แต่ทั้งครูประจำชั้นเอย ทั้งเด็กนักเรียนเอย ไม่รู้ไประเบิดถ้ำทองมาหรือยังไง เช่าชุดเดินขบวนที เสียเงินตั้งหลายหมื่น ท่านรองก็ทราบอยู่ไม่ใช่เหรอครับ..ว่าเด็กโรงเรียนนี้เขายอมกันซะที่ไหน”

 

คนหน้าดุแต่ยิ้มหวานหัวเราะหึๆในลำคอ ท่ามกลางมวลมหากองกระดาษที่วางสุ่มอยู่ข้างโต๊ะทำงานตัวโปรด

 

ภาพในวันที่ท่านรองและหัวหน้าครูฝ่ายปกครองกำลังนั่งนับ “ใบบิลค่าใช้จ่าย” หลังจากที่กิจกรรมทั้งหลายสลายหายเงียบไป

 

ทิ้งไว้แต่โศกนาฏกรรมของคนผู้เป็นเจ้าของโรงเรียนโดยแท้

 

 ลมหายใจที่ผิวผ่านโพรงจมูกรูปสวย  อาการคนคิดหนัก เพราะภาระและหน้าที่อันมากล้น

 

ถ้าไม่ตอบตกลงแล้วจะให้ตอบอะไรกันล่ะหนอ

 

ก็แค่พูดไปตามพิธีการ

 

แต่เอาเข้าจริงทั้งครูทั้งเด็ก  ไม่เห็นจะใส่ใจคำพูดของคนแก่อย่างตนเสีย

 

“เทศนาน้ำลายแตกฟอง  ได้แต่ทำท่ามอง ตาปริบๆ

มุมปากบ่นบุบยุบๆยิบๆ   แบมือขอทิป รอกินเงินเดือน”    

 

 บทกลอนที่เคยปรารภ กึ่งรำพัน กึ่งเสียดสี ในวาระการประชุมของโรงเรียน

นั้นแล....คำด่าที่ขัดเกลาเรียงร้อยเป็นถ้อยกลอนได้เจ็บแสบล้ำลึกนัก

 

“  ท่านรองครับ....อีกสิบนาทีจะเข้าแถวหน้าเสาธงแล้วนะครับ”  

 

สัญญาณจากปลายสายยังคงรอคำตอบอย่างอดทน

 

อารมณ์ที่เหนื่อยหนักจากภารกิจที่ใครจะหยั่งรู้ได้

 

ภายในห้องที่สลัวมัวหม่น มีเพียงแสงจากดวงอาทิตย์ที่ลอดผ่านช่องหน้าต่างที่แง้มออกเล็กน้อย

 

 

แสงสุรียัน ที่ผายผันให้เห็นมุมโครงหน้านิ่งประดุจหุ่นขี้ผึ้งที่ตั้งไว้กลางห้อง

 

ย่อมแน่....บรรยากาศที่อวลอับไปด้วยความตึงเครียดจากผู้เป็นเจ้าของ

 

ภาระที่ต้องทนแบกรับไว้ กับใจที่ต้องหาหนทางที่จะดับงานทุกสิ่ง

 

หนทางที่ไร้วี่แววทางออกใดๆ

 

อะไรบางอย่างวิ่งตัดผ่านดวงหน้าของเขา

 

"รายงานรหัส...หลวนอี้ชี"

 

แสงระเรื่อสีฟ้าที่ถูกปล่อยออมาจากแจกันลายครามขนาดย่อมที่ถูกตั้งไว้ในตู้ประดับ กับอีกหนึ่งใบที่ตั้งโชว์อยู่ในตู้อีกฟากหนึ่ง

 

แสง....ก่อตัวเป็นทรงสี่เหลี่ยมคล้ายหน้าจอสีฟ้าที่เต็มไปด้วยอักขระที่วิ่งเคลื่อนไหวไปท่ามกลางนภาอันเวิ้งว้าง

 

แต่ละตัว แต่ละคำ มิอาจเข้าใจได้

 

ยกเว้น...เขา!

 

" ท่านรองคร๊าบบ "  เขาหันไปมองไอ้เจ้าเครื่องปากไว 

 

งานทั้งสองฝั่ง...ต่างสถานที่ ต่างสถานะ

 

หากทว่า ความเหนื่อยยากมีค่าเท่ากัน

 

คงต้องปลดภาระอันใดอันหนึ่ง ไม่ให้ยุ่งกวนใจ

 

" ให้ครูคนอื่นจัดการไปก่อน"  เขาเอ่ย นิ่งเรียบสุขุม

 

เมื่อวลีสุดท้ายวิ่งผ่านทะลุสัญญาณให้อีกฝ่ายหวิวหวั่น 

 

" ถ้าทำไม่ได้ ก็เดินมาขอใบลาออกจากฉันได้เลย!!"

 


 

 

 

 

จบตอนที่ 15

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา