ลิขิตจันทรา ภาค มายาแห่งดวงใจ (注定月下老人 )

8.0

เขียนโดย Wuzhenni

วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 22.20 น.

  22 ตอน
  9 วิจารณ์
  26.44K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 20.59 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) (แก้ไขเสร็จแล้ว)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

ปวงโชคในชุดเสื้อกล้ามสีขาว เผยให้เห็นกล้ามแขนล่ำๆบวกกับหน้าอกกว้างหนาพอเหมาะพอดีของคนที่ชอบเข้าฟิตเนตอยู่เป็นประจำ ใบหน้าเรียวคมยื่นเข้าหากระจกก่อนจะเบี่ยงตัวให้เห็นโหนกแก้มข้างซ้ายอย่างชัดเจน คิ้วหนาได้ทรงขุดขมวดเข้าหากัน  นื้วหยาบกระด้างเอื้อมไปแตะบาดแผลที่ถูกปิดปลาสเตอร์เอาไว้เป็นอย่างดี แต่มิวาย...พอแตะจับทีไหร่ สะดุ้งโหยงยังกับถูกไฟฟ้าสิบโวลต์ช็อตเข้าใส่หน้า

 

แม่งเอ๊ย....หน้าหล่อๆกู เสียหมด

 

จะได้ตอกบัตรเข้าวุฒิศักดิ์คลินิกอีกรอบซะละม้างเนี่ย  แผลยาว...น่ากลัว ประเดี๋ยวจะกลายเป็นแผลเป็น

 

ที่นี้ละ....ยุ่งฉิบหายหมาตายยกครอกแน่

 

เขาบ่นงึมงำไปเรื่อย พลางนั่งไขว่ห้าง เอนกายอันบึกบึ้นระนาบเข้ากับพิงพนักโซฟาหนังหมีควายอย่างแช่มช้า

 

เปลือกตาที่ถูกประดับด้วยขนตาสีดำเรียงสวยเป็นระเบียบน่ามองค่อยๆพริ้มลง ประกบหนังตาล่างให้ประกบแนบชิดกัน

 

ความเหนื่อยล้าที่ถูกสะสมมาทั้งวัน  ค่อยๆปลดปล่อยจากกล้ามเนื้อที่คลายตัวลง

 

มุมปากแย้มเล็กน้อย เมื่อมโนจิตมโนฝันฉายภาพของคนคุ้นเคย

 

หญิงสาวร่างปราดเปรียว สวยเฉี่ยว เด็ดขาด

 

สีหน้าในยามที่มันเฉาะเลาะ โครตน่าหมั่นไส้ แต่ก็ดูน่ารักน่าหยิกในเวลาเดียวกัน

 

แปลก...ที่คนสวย ทั้งหน้าตาและความรู้ จะไม่มีหนุ่มใดชายตามอง

 

ถึงแม้จะอารมณ์เหวี่ยง ขี้วีน ปากตลาดจัดจ้านไปบ้างตามเวลาที่องค์ลง

 

แต่ก็ไม่คิดว่า จะเป็นสาวทึกทึนไม่มีใครเอาอย่างที่ใครหลายคนว่าไว้จริงๆ

 

" สาวทึกทึน ไม่มีใครเอา โบราณว่า...เป็นสาวดุ หยิ่งทระนง รักศักดิ์ศรีของตัวเอง ประเภทยืนใกล้ตัว หัวหลุดบ่า.... "

 

เสียงภายในใต้ทรวงดังแทรกขึ้นมา ชายหนุ่มยิ้มรับพร้อมส่งเสียงตอบกลับด้วยอารมณ์เพลินใจเป็นที่สุด

 

"ยืนห่างกันแค่คืบ  หัวก็ยังอยู่ไม่ได้หลุดไปไหน  "   

 

" แล้วรู้ได้ยังไง...ว่าเขาจะไม่อยากเด็ดหัวแกออก"  เสียงปริศนายังคงดังแทรกซ้อนเข้ามาอีก

 

เขาหยุดนิ่ง สั่นหัว แต่รอยยิ้มกลับฉายชัดถึงสิ่งที่มั่นใจในความคิดของตน

 

" ถ้ามันอยากจะฆ่าฉัน มันคงไม่ปล่อยให้ฉันลอยหน้าลอยตาใส่อยู่ทุกวันหรอก อารมณ์ว่า ถ้าไม่มีคู่ซ้อมแล้วจะนอนไม่หลับ เหมือนมีแฟนแล้วถ้าไม่โทรหาจะคิดถึง"

 

เขาหัวเราะเสียงเบาๆ คล้ายกับอยากจะให้ความสุขมีอยู่ที่เขาคนเดียวเท่านั้น

 

" หัวเราะไปเถอะ! คิดเองอยู่ฝ่ายเดียว เดี๋ยวแห้วจะลง..."   เสียงปริศนานั้นเย้ากลับ  ชายหนุ่มหยุดยิ้ม เปลือกตาทั้งสองเบิกกว้างออก ก่อนจะกลอกลูกตาไปที่ประตูหน้าห้องทันที

 

 “คุณปวงโชคครับ คุณท่าน เรียกพบครับ"

 

เด็กหนุ่มในชุดของคนใช้ประจำบ้านเปิดประตูห้องตะโกนเรียกคำสั่งด่วนจากบุคคลที่เรียกว่า “พ่อ”  

 

 “ ขี้เกียจ...จะนอนแล้วเว้ย!! ”

 

เขาลุกขึ้น ทำท่าบิดขี้เกียจ เตรียมจะก้าวเท้าเดินไปที่เตียงนอนหนานุ่มขนาดบิีกไซส์ แต่ทว่า..เจ้าเด็กคนใช้กลับมองเขาด้วยสีหน้าสงสัยยิ่ง

 

“ คุณปวงโชค หน้าคุณ...ไปโดนอะไรมา ทำไมถึงเป็นแผลใหญ่น่ากลัวอย่างงั้น”

 

“ปากกาข่วนหน้ามั้ง? เอ้อ! จะเสือกอยากรู้อะไรด้วยนักหนา? ไปไป จะนอนแล้ว วู้...”

 

“นอนไม่ได้นะครับ....คุณท่าน เรียกพบตอนนี้ครับ”

 

“ เรียกทำไม?” ชายหนุ่มหันหน้ามาถาม เจ้าเด็กน้อยอายุเพิ่งแตกหนุ่มสั่นหน้า บ่งบอกถึงความไม่รู้อะไรเลย 

 

ปวงโชคเกาหัวแกรกๆ ร้อยวันพันปี คนที่มีตำแหน่งเป็น พ่อ  ไม่เคยจะเอ่ยเรียกหาเขาเลยซักครั้ง

จะเรียกไปตักเตือนเรื่องที่ก่อเหตุไว้เมื่อเย็นก็คงไม่ใช่  เพราะคำว่า "ใส่ใจ" และ "ห่วงใย" ไม่เคยจะถูกแสดงออกให้เขาได้ซาบซึ้งถึงมันเลยซักครั้งเดียว

 

เด็กหนุ่มในชุดพ่อบ้านกึ่งคนสวนเล็กน้อย โน้มตัวเดินผ่านร่างยักษ์สุวรรณที่ตอนนี้กำลังยืนกอดอก สีหน้าปั้นปึ่ง บ่งบอกอารมณ์ในยามนี้ได้เป็นอย่างดี

 

" ทำไมปิดม่านไว้ล่ะครับ....เช้าแล้ว เปิดม่านออกจะดีกว่านะครับ แสงจะได้เข้าห้อง ห้องจะได้ไม่อบ"

 

ปวงโชคหัวเราะหึๆ อยู่ในใจ

 

ตัวกระเปี๊ยกเดียว แต่พูดจายังกับคนแก่สอนเด็ก ดีนะ...ที่วันนี้เพลียจัด เลยขี้เกียจคิดหาคำถากถางใส่มัน

 

" ฉันอยากจะนอนต่อ ก็เลยปิดม่านไว้อย่างนี้แหล่ะ..."   เสียงของชายหนุ่มบ่งบอกอาการเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะตบท้ายอ้าปากหาวหวอดๆให้เห็นเป็นของแถม

 

" ถ้าจะหาวก็ต้องปิดปากด้วยสิครับ  ทำแบบนี้....ไม่ดีเลยนะ คุณปวงโชค"

 

" ฉันเป็นผู้ชายนะเว้ย!!! ไม่ใช่ผู้หญิง จะให้ทำตัวชะม้ายคล้ายนางสาวไทยทำไม?  ยิ่งอ้าปากกว้างๆตอนหาวน่ะ อ๊อกซิเจนจะได้เข้าไปเลี้ยงในสมองเยอะๆ จะได้หายง่วง"

 

" นั้นละครับ...มันดูไม่สุภาพ"   ยังคงตอกย้ำด้วยสีหน้าพ่อบ้านหน้าอ่อนตามเดิม

 

ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับมันจริงวุ้ย.....นิสัยก๊อปปี้มาจาก ลุงนนท์ พ่อบ้านคนก่อนไม่มีผิดเพี้ยน

 

หรือไม่ก็อาจจะมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ!

 

" คุณปวงโชค รีบอาบน้ำแต่งตัวลงไปหาคุณท่านที่ข้างล่างเถอะครับ  อย่าปล่อยให้คุณท่านรอนานเลย เห็นท่านว่า จะมีแขกมาเยี่ยมบ้านน่ะครับ"

 

" อ้าว..แล้วไหนตอนแรกฉันถามว่า เรียกทำไม  ธุระอะไร ทำไมสั่นหัวล่ะ.ห่ะ!! ถ้าบอกว่ามีแขกมา ฉันจะได้รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วๆ"

 

" ก็คุณปวงโชคถามว่า  เรียกทำไม? ไม่ได้ถามว่า ใครจะมา? หนิครับ  ถ้าตั้งคำถามใหม่ เป็น..เรียกทำไม ใครจะมา....แบบนี้ ผมถึงจะตอบได้ถูก"

 

ปวงโชคมองตาปริบๆ นี้ควรจะยกเท้าถีบมันออกจากห้อง หรือ เอากรรไกรเสียบพุงมันดีว่ะเนี่ย

 

สอนเลยข้ามหัวผู้ใหญ่บ่อยเหลือเกินนะ  ไอ้เด็กบ้า!! 

 

เหน็บแหนมเก่งดีทีเดียว มันน่าจะลองลากไอ้พ่อบ้านหน้าอ่อนนี้ไปประชันฝีปากกับนังหน้าสวยนั้นซักหน

 

คงจะนั่งดูกันมันส์หยดชนิดเหมือนนั่งดูมวยลมปากระหว่าง คุณครูหน้าใสกับพ่อบ้านวัยกระเตาะ เป็นแน่...

 

" เออๆ  เดี๋ยวลงไป...."  เขาโบกมือไล่คุณพ่อบ้าน ก่อนจะคว้าผ้าขนหนูผืนโตพาดไว้บนบ่า พลางยืนเท้าเอว สีหน้าครุ่นคิด  เอ๊ะ..เรียกไปทำไมกัน

 

แขกคนสำคัญที่มาเยี่ยม..ก็มีแต่พวกนักธุรกิจ ข้าราชการชั้นแนวหน้า

 

ถ้าไม่มาเยี่ยมจริง ก็ลากเจ้าของบ้านออกไปเยี่ยมเยียนทักทาย "นังบ้านเล็ก" เป็นประจำสม่ำเสมอ

 

น้อยครั้งนัก....ที่จะเรียกหาให้เขายืนเป็นแจกันประดับบ้านไว้คอยต้อนรับแขกจริงๆจังๆ

 

เอาเถอะ!!! เดี๋ยวก็รู้ว่าใครมา

 

แต่ถ้าเป็น อีนังบ้านเล็กบ้านน้อยที่อยากไต่เต้าเป็นคุณนายบ้านนี้ล่ะก็

 

พ่อจะจับคว่ำ ถลกหนังหน้า ถอดหนังหัว ให้คุณพ่อบ้านหน้าอ่อนเอาไปชำแหละโยนทิ้งข้างคลองเลย  ยังจะดีกว่ามาเสียเวลาอาบน้ำอาบท่ามาต้อนรับมันแบบนี้!!

 


 

ปวงโชครีบเดินออกจากห้องนอนในสภาพที่เกือบจะดูดี

 

เพราะแฟชั่นการแต่งตัวของเขา ไม่ใคร่จะดูมีมาดคุณหนูคุณชายของบ้านเท่าที่ควร

 

เสื้อเชิ้ตสีขาวปล่อยชายกับกางเกงยีนส์สีน้ำเงินแบรนด์ AIIZ ตัวโปรด พร้อมเครื่องประดับที่ตีวงล้อมซอกคอ

 

สร้อยเชือกสีแดง แขวนเนื้อหยกแท้ที่ถูกแกะสลักเป็นลายมังกรคู่คล้ายดั่งกำลังเหาะเหินท่ามกลางหมู่เมฆที่ถูกสลักไว้เป็นวงรอบ  

 

เนื้อหยกเป็นสีเขียวเข้มแต่สว่างตาหน่อยๆเพราะมีเนื้อหยกสีขาวอ่อนแทรกปะปนอยู่ภายใน

 

คนอยู่ไกลหากมองดูเผินๆอาจไม่สะดุดตา แต่ถ้าได้เดินเฉียดเข้าใกล้แบบประชิดตัว....

 

ถึงจะรู้ได้ว่า..นี้คือ ผลงานอันวิจิตรซึ่งมิได้สรรค์สร้างจากน้ำมือของช่างไทยอย่างแน่นอน

 

คุณพ่อบ้านวัยเพิ่งพ้นเลขสิบห้า กำลังเดินนำหน้านายน้อยของบ้านด้วยกิริยาเสงี่ยมเจียมตัว แต่ดูสุภาพในคราวเดียว

 

ในขณะที่คนเดินตามดูเหมือน นักเลงตัวโต แต่ไร้ซึ่งอำนาจแบบคุณหนูคุณชายตามฐานะเสียจริงๆ

 

เมื่อเดินเข้าใกล้ถึงจุดนัดพบ คือ ห้องรับแขกกลางโถงบ้าน กลับไร้คนที่เป็นทั้งแขกและเจ้านายใหญ่ของบ้าน 

 

อ้าว....เบี้ยวธุระกันรึไง..หายไปไหนกันหมด

 

" ทางนี้ครับ"  คุณพ่อบ้านผายมือให้เขาเดินไปยังอีกห้องหนึ่ง

 

ห้องนั่งเล่นส่วนตัวที่เชื่อมต่อกับห้องทำงานของผู้เป็นบิดาในตำแหน่ง 

 

ห้องที่เอาไว้ใช้รับแขกที่สนิทชิดเชื้อมากที่สุด....

 

" คุณปวงโชคมาแล้วครับ"  คุณพ่อบ้านเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงผู้ใหญ่เกินตัว ก่อนจะมีเสียงห้าวๆสะท้อนกลับออกมา

 

" เข้ามาได้"

 

คุณพ่อบ้านเปิดประตูเดินนำหน้าเข้าไปก่อน แล้วเบี่ยงหลบตัวไปยืนอยู่หลังประตู ปล่อยให้เขายืนจังก้า สบตากับผู้เป็นพ่อ และแขกอีกสองคนที่นั่งอยู่

 

แขกสำคัญที่เขาคิดเอาไว้ว่า...ไม่เพื่อนร่วมตำแหน่ง ก็เป็นพวกนังแม่เนื้ออ่อนทั้งหลายที่คอยกระดี้กระดานั่งไขว่ห้าง มารยาทแย่ยิ่งกว่าเขาเสียเป็นไหนๆ

 

ทว่า....ผู้มาเยือนทั้งสองกลับเป้นสิ่งที่เขาไม่นึกไม่ฝันว่าจะกล้าเข้ามาเหยียบที่บ้านหลังนี้ของเขาได้

 

" อาปวงโชค"  เสียงแหบแห้งของหนึ่งในแขกคนสำคัญขานชื่อเขาออกมาเบาๆ 

 

ชายชราหนวดงามบนรถเข็นกำลังมองเขาด้วยสีหน้าปกติสุข พร้อมรอยยิ้มที่เจือจางตรงมุมปากทั้งสองข้าง แต่เขากลับไม่เห็นว่า นั้นคือรอยยิ้มแห่งความเป็นญาติมิตรแต่อย่างใด

 

ปวงโชคยืนนิ่ง ไม่ยกมือไหว้ตามธรรมเนียม แต่ยังคงยืนสบตา ไม่หวาดหวั่น  จิตใจเริ่มร้อนรุ่มดุจดั่งเหมือนถูกวางเพลิงตรงกลางอก ทั้งๆที่อากาศภายในห้องนั้นเย็นเฉียบ

 

“ มีอะไรเหรอ พ่อ ”   ชายหนุ่มหันไปเอ่ยปากถามผู้เป็นพ่อ  ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวไม่ห่างจากพ่อของเขาเท่าไหร่นัก

 

" จางกง  มาเยี่ยมน่ะ"  ผู้เป็นพ่อเอ่ยคำตอบแต่ยังคงก้มหน้าอ่านรายละเอียดอะไรบางอย่างในมือ พร้อมทั้งคาบซิการ์ราคาแพงไว้ในปาก

 

"เหรอ..."  เขาเหยียดมุมปากนิดๆ ก่อนจะปล่อยให้ความเงียบเข้าทักทายผู้มาเยือนแทน

 

ความอึดอัดภายในห้องเริ่มมีมากเป็นทวีคูณ แต่อาคันตุกะที่ไม่พึงประสงค์สำหรับตัวเขา กลับดูสงบนิ่ง ดูสง่าตามวัย 

 

อีกคนสภาพแห้งเหี่ยวแต่แววตาฉายชัดถึงอำนาจและบารมีที่ยังคงมีอยู่อย่างมากล้น ในขณะที่อีกคนซึ่งนั่งถัดออกไปไม่ไกลจากกันมากนัก

 

เป็นชายหนุ่มในชุดสูทสีดำเรียบร้อย ดูเป็นผู้ใหญ่สมวัยกับใบหน้า เหตุเพราะเริ่มมีร่องรอยอารยธรรมที่กำลังถูกจารึกไว้รอบๆดวงตาและมุมปากบ้างเป็นบางแห่ง

 

ผิวพรรณขาวซีดมองไม่เห็นแม้แต่เลือดฝาด  

 

ริมฝีปากบางจนเห็นรอยหยักคล้ายดั่งคันศรวางระนาบกับฝีปากล่างที่อวบอิ่ม 

 

แถมยังโชคดีสองต่อกับสันจมูกและปลายจมูกที่โด่งเป็นสันเงาวาว หากมองแบบอคติก็คงจะคิดว่าไปเข้าคลินิกให้หมอยัดแท่งซิลิโคนใส่

 

ยกเว้นก็เสียแต่ดวงตาที่แข็งกระด้าง ไร้ความรู้สึกนั้น

 

ช่างน่ากลัว...

 

หากเมื่อเหลียวตากลับไปมองชายแก่คนข้างๆ 

 

" จางกง กับ จางกู๋ เป็นพ่อลูกกัน....ไม่ผิดหรอกถ้าลูกจะถอดแบบมาจากพ่อ"  เสียงๆหนึ่งกระซิบอยู่ข้างหู แต่ไร้ตัวตนที่มาของเสียงนั้น

 

แน่นอน...ผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างจางกง และกำลังนั่งหันมามองเขาด้วยสายตาเย็นชาแกมดุดันเล็กน้อย

 

ความเย็นชาในแววตาบดบังรัศมีความหวานละมุนในดวงหน้างาม

 

หากแต่แววตาทั้งสองคู่ ทำให้หวนระลึกถึง "ภาพหลังของอดีต"

 

บุรุษที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาจากความแค้นของเขาเอง.....  

 

จางกู๋.......ไอ้ฆาตกร!!!

 

ชาตินี้ทั้งชาติ.....จะไม่ขอนับญาติกับมัน จะไม่ยึดถือว่ามันเป็น  "อา"   น้องชายของแม่

 

คนที่ทำให้แม่ต้องทิ้งเขาไป......คนที่ทำให้แม่เขาจากเขาไปไม่มีวันหวนกลับอีก

 

ไม่วันหวนกลับมาทั้งร่างและ...วิญญาณ!!

 

“ อั๊ว  ได้ข่าวว่า ลื้อเรียนจบแล้ว.....”   ชายแก่เอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

 

" ก็เรียนจบแล้ว เหลือแค่รอรับปริญญา"  คนตอบก็ส่งตอบด้วยน้ำเสียงเรียบราบไม่แตกต่าง จนอาจจะเป็นการเฉยเมยต่อผู้มากวัยเสียด้วยซ้ำ

 

" อั๊วยินดีด้วยนะ อาหลานชาย" 

 

" อืม...."  น้ำเสียงที่ไม่พึงจะรับคำยินดีใดๆทั้งสิ้น ทำให้ผู้อาวุโสนั่งนิ่ง ไม่ซักถามอะไรให้เกิดอคติกับอีกฝ่ายต่อไป

 

 

คุณพ่อบ้านหน้าเด็ก เฉลียวตามองไปทีเงาประตู เงาสีดำที่กระทบส่องกับแสงในห้องกำลังเคลื่อนไหวไปมาอยู่ที่นอกประตูอยู่

 

"นั้น..ใครมายืนลับๆ ล่อๆ อะไรแถวนี้ ไปดูหน่อยสิ นันทิน...."  

 

เสียงคำสั่งจากประมุขของบ้าน คุณพ่อบ้านที่เห็นเงานั้นตั้งแต่แรกก้มศรีษะรับคำสั่งก่อนจะหันหลังก้าวเท้าเดินไปเปิดประตูทันที

 

"  อ่อ...รตา  มีอะไรรึเปล่า?"   คุณพ่อบ้านเอ่ยถามหญิงสาวร่างบางที่อายุไม่ใกล้ไม่ห่างจากชายหนุ่ม 

 

" เห็นถือแก้วน้ำมาเยอะซะขนาดนี้  เอามารดน้ำต้นไม้มั้ง?"  สาวเจ้าชูถาดแก้วน้ำให้เขาเห็น พลางทำท่าซวนเซเหมือนจะทรงตัวไม่ไหว

 

คุณพ่อบ้านนันทิน หรืออีกฉายาว่า คุณพ่อบ้านหน้าทมิฬ ยื่นนิ้วไปดีดหน้าผากสาวเจ้าตัวน้อย ก่อนจะคว้าถาดน้ำจากมือมา

 

" นี้แหน่ะ ทำไมไม่ให้คนอื่นขึ้นมาเสิร์ฟแทนเล่า เดี๋ยวก็ทำแก้วน้ำแตกหมด คุณท่านจะได้ด่าเข้าให้ มา..เดี๋ยวพี่ถือเข้าไปเอง  เราน่ะ ลงไปช่วยป้าโอ่งทำครัวเถอะ... ตรงนี้ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว"  

 

พูดจบประโยคก็เดินกลับเข้าไปในห้องพลางปิดประตูใส่เด็กหญิงที่ยืนหน้าบึ้งหน้างอนอยู่ข้างนอก

 

หากแต่เสียงประตูที่ปิดลง เบาจนแทบจะเงียบกริบ ไร้เสียงกึกกักให้ประมุขของบ้านและแขกที่มาเยือนนั้นตกใจ นับว่าเป็นคุณพ่อบ้านที่รักษามารยาทได้เป็นอย่างดีทีเดียว

 

 

"  โอเค...ผมอ่านเอกสารของจางกู๋แล้ว  อ่อ..ต้องขอประทานอภัย ผมไม่ชอบเรียกคนแบบมียศมีตำแหน่งนำหน้า  ผมอยากเรียกแบบใกล้ชิดสนิทสนมกันซักหน่อย   ไหนๆเราก็นับญาติกันแล้ว  จริงมั้ย?"

 

คุณท่านประมุขของบ้านเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสารที่อยู่ในมือ ซิการ์มวนงามราคายังคงคาบอยู่ในปาก ควันสีเทาๆลอยคลุ้งปะทะเข้าปลายจมูกคมสันของชายบุรุษที่นั่งอยู่ตรงหน้าอย่างพอดิบพอดี

 

" ก็แล้วแต่อานึ้ง "  

 

ชายหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นน้องเขย  หากนับตามอายุ ก็ห่างจาก นายธงชัย สินรเจริญ หรือ ผู้ว่าฯธง บุรุษผู้มีซิการ์ราคาแพงเป็นของชำร่วยในปากแค่แปดปีเท่านั้น เอ่ยพูดกับพี่เขยของตนด้วยสีหน้าปกติ ไม่สะทกสะท้านอะไรกับคำกล่าวที่ออกจะแฝงวาจาเยาะเย้ยอยู่ในประโยคนั้น

 

หากแต่ดวงหน้าของคนทั้งสองช่างแตกต่างกันอย่างลิบลับ....

 

คุณพ่อบ้านเสิร์ฟน้ำให้แขกอย่างรวดเร็ว คล่องแคล่วดี แต่มิวายสายตาจอมสำรวจอย่างเขาอดที่จะแอบชื่นชมในความสง่าของอาคันตุกะพิเศษคนนี้ไม่ได้

 

ถึงตัวเลขจะปาข้ามเลขหลักสี่บวกกับเลขสี่อีกตัว ผู้ชายที่ชื่อว่า "จางกู๋" หรือ "จางอี้เซียว"  ก็ดูเหมือนจะสวนกระแสธาราแห่งกาลเวลานั้นได้

 

ดวงหน้าเฉิดฉายละม้ายคนแก่ที่แก่แต่อายุ ทว่ากลับดูอ่อนเยาว์ยิ่งกว่าเจ้านายใหญ่ของคฤหาสน์หลังงามเรือนนี้

 

วันๆก็ไม่เห็นทำอะไรมาก นอกจากนั่งสูบซิการ์คลอเคลียกับนังบ้านเล็กบ้านน้อยไปเรื่อย

 

ถ้าวันใดกลับมาแบบคน "เนื้อตัวสะอาด" ไร้คราบโลกีย์  คงกลายเป็นข่าวเมาธ์สนุกปากของวันนั้นเป็นแน่

 

ผมเผ้าที่แลดูขาวโพลนจนล้นหัว ผิดกลับ "จางกู๋"  ที่อาจมีแซมบ้างเล็กน้อย แต่ไม่มากไม่มาย พอสมวัย

 

ท้ายสุดหากต้องกรอกคะแนนรูปลักษณ์ภายนอกโดยไม่ถามไถ่ถึงอายุ  คงมิต้องนึกนั่งเฉลียวครุ่นคิดให้นาน

 

แค่มองสำรวจแบบผิวเผิน ก็พอจะรู้ว่าใครจะได้บัตรส่วนลดพิเศษเข้าคอร์สทำสปาหน้า  มาร์คทองคำก่อนกัน 

 

 

" ขอบคุณ...."  เสียงห้าวต่ำลึก บวกกับแววเนตรที่มีอำนาจ เฉียบขาด ทำให้คุณพ่อบ้านชะงัก ก้มหน้าลงในทันที  ก่อนจะเคลื่อนกายถอยกลับไปยืนอยู่ที่มุมห้องเหมือนเก่า

 

" เอกสารที่ขอให้ผมไปเป็นประธานในงานวันพ่อของโรงเรียน......ทำไมอยู่ๆ จางกู๋ ถึงอยากเชิญผมไปนั่งแท่นตีคู่กับคุุณพ่อของคุณเสียล่ะ ?

 

พ่อแม่ผู้ปกครองก็มีกันตั้งเยอะ....ให้ผมเจียดเวลาไปนั่งอยู่ในพิธี มันผิดเวลาราชการของผมนา แบบนี้ก็เสียเวลาแย่"

 

" สรุปว่า...'ท่าน'  ไม่ว่างที่จะมาเป็นประธานในงานวันพ่อของโรงเรียนเรา ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็แล้วแต่ท่านสะดวก"

คำว่าท่าน บ่งบอกถึงความสุภาพและความห่างเหินได้ในคราวเดียวกัน

 

คนที่เป็นพี่เขยในตำแหน่งสูงของจังหวัดกับน้องเขยในตำแหน่งแถวปลายล่างของจังหวัด 

 

แต่ชื่อเสียง กับการกล่าวขานจากปากของชาวบ้านกลับผิดแผกแตกต่างอย่างสิ้นเชิง

 

คนมีอำนาจที่สุด ในท่านั่งวางกราม แววตาหยิ่งแกมผยอง ปากที่คาบซิการ์ไว้ เมื่อดึงมันออก มธุรวาจาที่ถูกปล่อยพ่นออกมากลับเหม็นหืดยิ่งกว่า กลิ่นควันซิการ์ที่ลอยฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง

 

ผู้ชายคนนี้...มีปากไว้กอบโกยผลประโยชน์โดยแท้ ถึงแม้จะไม่เอ่ยออกมาตรงๆ

 

คนวัยเกือบใกล้เคียงบวกกับวุฒิภาวะทั้งทางด้านร่างกายและสมองที่ถูกบ่มเพาะมาตลอด

 

มีรึ? ที่จะไม่รู้ว่า ค่าตอบแทนการ "เสียเวลา"  นั้นจะเป็นสิ่งใด

 

คงไม่ใช่พวงมาลัยคล้องมือหรือกระเช้าดอกไม้ธรรมดาๆอย่างแน่นอน

 

" จางกู๋ พูดยังกับไม่แยแสฉันเท่าไหร่เลยนะ แต่ก็เอาเถอะ....เรามันคนไม่คุ้นเคยกัน พูดอะไรไปก็คงจะไม่รื่นภิรมย์โพรงหูซักเท่าไหร่นัก 

 

คนเป็นข้าราชการ งานมันก็เยอะ...จะหาเวลาพักผ่อนสบายๆเหมือนกับคนอื่นเขา อย่าหวังเลย...

แล้วยิ่งให้ไปรับงานนอก สิ้นเปลืองเวลาชะมัด!!"

 

" ผมเข้าใจ...คนวัยใกล้เกษียณ ชั่วชีวิตนี้ทำงานไม่เคยได้พักได้ผ่อน คงเห็นเวลาทุกอย่างเป็นเงินเป็นทองไปเสียหมด"

 

ประโยคสุดท้ายสะกิดให้คนที่กำลังนั่งต่อไฟซิการ์มวนใหม่ต้องเหลือบตามอง 

 

ปวงโชคที่กำลังนั่งเล่นคุ๊กกี๊รันอย่างเมามันหยุดมือลงและเงยหน้าขึ้น พร้อมๆกับบุรุษในชุดสูทสีดำ ที่หันมาสบตามองเขาอยู่พอดี

 

แววตาที่เย็นเยือก  ไม่ถึงกลับกระด้างหยาบชาเหมือนเหล็กเหมือนหิน

 

ดวงตาที่ไม่ได้เหมือน "สายน้ำที่เอาไว้คอยปลอบประโลมใจ" 

 

หากแต่เป็น "สายน้ำที่ก่อตัวเป็นคลื่นแล้วซัดเข้าใส่" คู่สนทนาตรงข้ามเสียมากกว่า

 

น่าแปลกที่ผู้ชายคนนี้ มีดวงตาที่ลึกลับ ดูน่าค้นหา

 

ความโกรธ ความเกลียด ความเศร้าและความดีใจ ถูกถ่ายทอดให้เห็นได้ชัดจากแววตาของคนทุกคน

 

ทว่า...แววตาของคนที่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ไม่สามารถชี้ชัดได้ว่า คนๆนั้นกำลังตกอยู่ในสภาวะอะไร  มีความคิดหรือปราถนาในสิ่งใดอยู่

 

คนที่พับเก็บอารมณ์ของตนได้ดี ล็อกความรู้สึกมิให้ผ่านเข้าประตูม่านตากลมสีดำ แต่ผ่านทางคำพูดที่เรียบลุ่ม แต่แฝงนัยยะสำคัญอยู่อย่างมากมาย

 

นี้สินะ....คนที่น่ากลัวที่สุด คือ คนที่ไม่แสดงความกลัวที่สุดออกมาให้เห็น

 

" อันที่จริง...ไม่ใช่ว่าฉันคนเดียวที่ไม่ว่าง ปวงโชค...ก็ไม่ว่างด้วยเหมือนกัน ใช่มั้ย?"

 

" อ่อ..ใช่"  ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่เต๊ะท่ายียวนกวนประสาทเหมือนกับพ่อของเขามากนัก  แต่ก็ไม่ถึงกับเรียบร้อยตามมารยาทที่ดีระหว่างเด็กและผู้ใหญ๋ด้วยการก้มหน้าพูดตอบ พลางนั่งเล่นเล่นโทรศัพท์อย่างสบายอารมณ์ 

 

" ช่วงนี้ผมต้องซ้อมพิธีรับปริญญาที่มหาลัย ไหนจะเลี้ยงส่งรุ่นน้องรุ่นเพื่อนอีกเยอะแยะ  "

 

คนแซ่จางทั้งสอง นั่งนิ่ง เสียงถอดถอนหายใจของชายชราดังขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่ชายหน้าน้ำแข็งที่นั่งอยู่ข้างกัน กลับไม่รู้สึกหนักอกหนักใจอะไร

 

" ถ้าอย่างงั้น ผมกับอาป๊าก็คงไม่รบกวนอะไรอีก ขอบคุณนะครับสำหรับการต้อนรับที่เป็นเกียรติของวันนี้"

 

ชายหนุ่มโค้งศรีษะเล็กน้อยพลางเก็บแฟ้มที่วางอยู่บนโต๊ะและเข็นรถเข็นร่างของชายชราออกจากห้องนี้ไป

 

แววตาอ่อนระโหยโอยแรงแกมอ้อนวอนของชายชรา 

 

สะกิดใจปวงโชคอยู่บ้าง

 

ดวงตาสีหม่น เหมือนแฝงความหวาดกลัวและความไม่แน่นอนในบางอย่าง

 

ผิดกับแววตาของผู้เป็นลูกชายคนเล็กของตระกูล "จาง"

 

ยิ่งมองเข้าลึก ก็ยิ่งลึกลับ

 

สิ่งที่ลึกลับนอกเหนือไปจากแววตาของมัน 

 

ก็เหมือนดั่งพระพายหลังฝนแผ่วผ่านเนื้อผิว 

 

ทั้งหนาว ทั้งเย็น เสียดแทง ฝังลึกเข้าหัวใจ

 

 

 

ผู้ชายคนนี้....

 

เพียงแค่ก้าวเท้าเยือนเยี่ยมที่ชานบ้านของเขา

 

แม่ ผู้เป็นดั่งเจ้าของกล่องดวงใจดวงน้อย

 

ต้องหายจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ

 

ไหนจะ จางอี้เหริน ลูกชายคนโตของตระกูลจาง 

 

ก็หายสาบสูญไปโดยไม่พบร่องรอยอะไรเลยซักนิด

 

" **ตั่วจาง หายตัวไปหลังจากที่ **จางกู๋กลับมาจากไต้หวันแค่เดือนสองเดือนเท่านั้น"

คำบอกเล่าจากหัวหน้าพ่อบ้านคนเก่า ลุงนนท์ พ่อของนันทินเคยพูดเอาไว้ก่อนลุงแกจะเสีย

 

" คุณหญิง คุณแม่ของคุณโชคกับคนขับอีกคนหนึ่ง เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำตอนที่ท่านกำลังเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนของท่านที่หัวหิน ตอนนั้นทางตำรวจเขาบอกว่ามันเกิดจากควาประมาทที่คนขับรถไม่ตรวจสอบเช็คเครื่องยนต์ให้พร้อม แต่คุณท่านไม่เชื่อว่ามันจะเกิดจากอุบัติเหตุจริงๆ" 

 

"ทำไม?"  เด็กหนุ่มวัยละอ่อน ร่างอวบอ้วนชวนน่ารักน่าชังในคราวเดียว หันมาถามคุณพ่อบ้านที่ดูแลระบบกิจการงานบ้านทุกอย่างรองจากแม่ของเขาด้วยสีหน้าเศร้าหมอง

 

คราบน้ำตายังคงเกาะติดอยู่ที่สองข้างแก้มของเขา แม้จะพยายามปาดมันออกไปแต่ดูเหมือนต่อมน้ำตาจะทำหน้าที่ได้ดีต่อหน้าแขกและผู้คนในงานฝังศพร่างที่ไร้วิญญานของแม่

 

การสูญเสียที่มาพร้อมกับการเริ่มต้นครั้งสำคัญในชีวิต

 

วันที่เขาได้สวมเสื้อชุดนักศึกษาคณะวิศวะกรรมฝ่ายช่างกล ครั้งแรกที่เขาจะได้เริ่มต้นการเป็นเฟรชชี่  เป็นหนเดียวและหนสุดท้ายที่แม่ของเขาจะได้เห็นลูกชายสุดที่รักคนนี้ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอีกก้าวหนึ่ง

 

 

" ม๊าจะไปไหนเหรอครับ?" คำถามที่เขาได้เอ่ยเอื้อนออกมา ไม่นึกว่ามันจะเป็นบทสนทนาระหว่างแม่ลูกครั้งสุดท้ายจริงๆ

 

 

" ม๊าจะไปหาเพื่อนที่หัวหิน  เพื่อนม๊าเขาไม่สบาย อาการหนักมาก เขาอยากให้ม๊าไปเยี่ยม"

 

" เขาโทรมาบอกหรือครับ?" 

 

" เหมือนจะเป็นญาติเขาที่โทรมาบอก. ม๊าอยากจะไปเยี่ยมเขาซักหน่อย" 

 

"แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่ละครับ"

 

" อาทิตย์หน้าๆนะจ๊ะ"  

 

คำสุดท้ายที่ยังคงดังก้องวนเวียนอยู่ในหัว   อาทิตย์หน้าๆ  ไม่ได้ยาวนานเป็นปีเสียหน่อย รอนานกว่านี้ก็เคยรอ

 

แต่ไม่นึกว่าการรอครั้งนี้....จะเป็นการรอที่ไม่มีวันเป็นจริง!!

 

เพียงแค่เกือบตะวันใกล้ตกดิน

 

ร่างของแม่ก็กลับมาหาเขา

 

แม่ไม่ได้ไปนานอยากที่ว่าไว้  แม่กลับมาหาเขาจริงๆ

 

แต่ทำไมถึงไม่นำพาวิญญาณและลมหายใจกลับมาด้วย

 

แม่กลับมาหาเขา  แม้จะเร็วเกินกำหนด แต่ก็เหมือนไม่ได้กลับมาอีก

 

ไม่มีแม้แต่จะกล่าวลาหรือคำสั่งเสียใดๆ  ไม่มีสายตาที่ห่วงใยจับจ้องมาที่ใบหน้าซีดเผือกของเขา

 

 

" เขาว่าเป็นฝีมือของ...จางอี้เซียว"

 

คุณพ่อบ้านคนเก่าคนแก่ของตระกูลกระซิบที่ข้างหูเขาอย่างแผ่วเบา 

 

" แต่ไม่มีหลักฐานอะไรที่โยงตัวถึงเขาได้ เขาอ้างว่า ช่วงเวลานั้นตัวเขากำลังติดเรียน ป. เอก อยู่ที่คณะ ซึ่งพยานก็มีพร้อมทุกอย่าง...แต่ก็ไม่แน่ ถึงเขาจะทำเองไม่ได้ จะยืมมือคนอื่นฆ่าเสียจะเป็นไรไป"

 

" จาง..อี้...เซียว"

 

คำพูดที่ถูกสะกดออกมาอย่างแช่มช้า ดวงตาของเด็กหนุ่มจากที่เศร้าหม่นจนม่านตาแทบจะเลื่อนลอย  ดวงตางามชะง่อนกลับถูกแทนที่ด้วยกลุ่มเปลวไฟสีเพลิง

 

เมื่อได้ยินชื่อของฆาตกรที่ภายหลังกลายมาเป็น ญาติของเขาเอง

 

แต่ก็คงเป็นญาติแค่ในความคิดของคนอื่น

 

สำหรับเขาแล้ว คงไม่มีใครอยากจะสืบเชื้อร่วมสายกับคนที่ได้ถูกตราหน้าว่า เป็นฆาตกรเพียงหนึ่งเดียว

 

นิ้วเรียวทั้งห้ากุมหัวไหล่ของผู้ใหญ่วัยไม้ใหญ่ที่ใกล้จะผุกร่อน เตรียมหักโค่นตามนายหญิงของตน

 

" คุณปวงโชค ลุง...ไม่อยากให้นายหญิงต้องทิ้งคุณไปแบบนี้เลย ทำไม....ยมทูตถึงไม่พาร่างแก่ๆมีแต่โรครุมเร้าอย่างลุงไปเสียเล่า ทำไมถึงต้องพรากแม่พรากลูกให้ตายจากกันแบบนี้"

 

คำคร่ำครวญที่มิอาจห้ามสิ่งใดได้อีก แม้แต่น้ำตาใสๆที่ไหลลงตามร่องลึกของผิวหน้าก็มิอาจเก็บกักกั้นห้ามมันได้

 

"ลุงนนท์"   เสียงอีกฝ่ายเอ่ยขึ้น อย่างช้าๆ หลอดเสียงที่สั่นพร่า หากแต่เอ่ยประโยคถัดไปด้วยสำเนียงแข็งกร้าว ชัดเจนยิ่ง

 

" ผมอยากรู้ว่า...ระหว่างเวรกรรมกับลูกปืน ลุงคิดว่าอะไรมันจะพาคนเลวไปนรกได้ดีกว่ากัน?

 

ไม่ใช่อะไรหรอก....ผมแค่อยากจะช่วยแบ่งเบาภาระให้กับท่านยมทูตเขาบ้าง

 

จะได้ไม่หยิบลากกระชากวิญญานมั่วซั่วกันแบบนี้อีก!!!"

 

 

 

จบตอนที่หก

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา