Castlevania - The Rancor's Funeral

10.0

เขียนโดย xanxussama1010

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 14.22 น.

  13 ตอน
  4 วิจารณ์
  14.55K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 14.27 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) บทที่ 10 - เรื่องโกหก และการเดิมพัน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

             “ป…แปลก…?” ชายแว่นดำทวนคำพูดอีกฝ่ายอย่างงุนงง “นี่นายกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่น่ะ…?”

             “เรื่องที่ว่าวิญญาณครึ่งนึงของแดร็กคูล่าอยู่ในร่างซากุระยังไงล่ะครับ” ไวเวิร์นตอบ “พวกคุณน่ะ รู้เรื่องนี้ได้ยังไงกันเหรอครับ?”

             “เอ๋? รู้ได้ยังไงน่ะเหรอ…”

             “พวกเรารู้เรื่องนี้มาจากคนคนนึงน่ะ” ฟรานซิสก้าเป็นฝ่ายตอบแทน

             “ใครกันงั้นเหรอครับ?”

             “ร…เรื่องนั้น…” สาวผมชมพูค่อยๆ ก้มหน้าหลบตาอีกฝ่าย “พ…พวกเราเองก็ไม่รู้…”

             “ม…ไม่รู้เหรอครับ…?” ไวเวิร์นมองอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจนิดๆ

             “ก…ก็…เขาไม่เปิดเผยหน้าตานี่…แถมยังไม่ยอมบอกชื่อจริงด้วย…” จอมเวทย์สาวค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตาชายตรงหน้าอีกครั้ง “ว…ว่าแต่…เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับที่ว่าแปลกด้วยเหรอ…?”

             “เกี่ยวเต็มๆ เลยล่ะครับ” ไวเวิร์นตอบอย่างหนักแน่น “คุณบอกผมว่าแดร็กคูล่าปิดบังเรื่องนี้มาตลอด  ไม่มีใครได้ล่วงรู้เรื่องนี้เลย แม้แต่พรรคพวกของตัวเองใช่มั้ยครับ?”

             “อ…อืม…แล้วมันแปลกตรง…อ้ะ…!!”

             “น…นี่นายจะบอกว่า…!!”

             แขกผู้ไม่เป็นมิตรทั้งสองอ้าปากค้างพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ดูเหมือนทั้งสองคนจะระลึกได้แล้วว่าสิ่งที่บุรุษผมดำต้องการจะสื่อคืออะไร

             “ใช่แล้วครับ…” ไวเวิร์นส่งสายตาอันเฉียบคมไปยังทั้งสองราวกับตัวเองเป็นโคนันที่กำลังพูดชื่อของคนร้าย “ในเมื่อเรื่องนี้ไม่ได้บอกให้ใครล่วงรู้เลย…แล้วทำไมถึงมีคนอื่นนอกจากแดร็กคูล่าที่รู้เรื่องนี้ล่ะครับ!?

             ฉึก!!

             ความจริงที่ถูกป่าวประกาศออกมานั้นเสียดแทงเข้าไปกลางอกของผู้ผิดพลาดทั้งสองอย่างจัง มันง่ายมากขนาดเด็กประถมยังเข้าใจได้ เรื่องที่เป็นความลับ ถ้าเจ้าตัวไม่บอกใครเลย ก็ไม่มีทางที่คนอื่นจะรู้ได้ ดังนั้น การที่มีคนอื่นรู้ในเรื่องที่เจ้าตัวไม่ได้บอกใครเลย จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!!

             “น…นี่พวกเรา…มองข้ามเรื่องนี้ไปได้ยังไงกันเนี่ย…”

             ชายผมทองกำมือแน่นพร้อมกับกัดฟันอย่างรู้สึกโกรธตัวเองที่มองข้ามช่องโหว่ที่แสนจะร้ายแรงอย่างไม่น่าให้อภัยไปซะได้

             “เดี๋ยวก่อนนะ…” จอมเวทย์สาวพูดขึ้นอีกครั้งด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อจากอาการช็อก “แล้ว…เรื่องที่พวกเราได้ยินมา…มันคืออะไรกันล่ะ…?”

             “คิดว่าคงเป็นแค่เรื่องโกหกน่ะครับ เป็นเรื่องโกหกที่คนคนนั้นแต่งขึ้นมาเพื่อหลอกพวกคุณ…”

             “ล…หลอกพวกเรางั้นเหรอ…? พ…เพื่ออะไรกันล่ะ…?”

             “ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ แต่ถ้าดูจากความเป็นไปได้แล้วล่ะก็…”

             ชายผมดำเว้นช่วงเล็กน้อยก่อนที่จะเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่ตึงเครียด

             “เพื่อที่จะหลอกใช้พวกคุณ…ให้มาฆ่าพวกเรายังไงล่ะครับ…”

 

             บรรยากาศอันหนักอึ้งแผ่ขยายออกไปทั่วศาลเจ้าฮาคุบะ ร่างทั้งสี่ได้แต่ยืนนิ่งโดยไม่มีใครปริปากพูดอะไรต่อเลย สายตาของเจ้าหนุ่มผู้จับผิดข้อขัดแย้งได้กับมิโกะสาวที่พึ่งหลุดพ้นข้อกล่าวหาได้แต่มองไปยังร่างทั้งสองด้วยความเห็นใจ ถึงแม้เมื่อครู่พวกเขาจะโดนเล่นงานจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่ภายในใจของหนุ่มสาว ม.ปลาย กลับไม่มีความโกรธแค้นต่อผู้ถูกหลอกทั้งสองอยู่เลย

             ในทางกลับกัน ผู้ถูกหลอกทั้งสองกลับเป็นฝ่ายที่เป็นทุกข์จากความโง่เง่าของตัวเอง ถ้าพวกเขาพิจารณาคำพูดของคนคนนั้นซะก่อน ก็คงรู้ได้ในทันทีว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวง และเรื่องแบบนี้ก็ไม่มีทางเกิดขึ้น แต่พวกเขากลับมองข้ามมันไป และหลงเชื่อเรื่องหลอกลวงนั้นอย่างง่ายดาย จนเกือบทำให้ตัวเองมือเปื้อนเลือดของผู้บริสุทธิ์ถึงสองคน ทำไมกันนะ…ทำไมพวกเขาถึงได้โง่เง่าถึงเพียงนี้…

             แต่ในขณะที่บรรยากาศหนักอึ้งกำลังดำเนินไปเช่นนั้น…

             แปะๆๆๆๆๆๆๆ~

             เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างต่อเนื่องทำลายบรรยากาศความเงียบนั้น ทั้งสี่คนหันไปทางต้นเสียงที่มาจากหน้าบันได้กว่าสองร้อยขั้น และพบกับร่างหนึ่งกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับตบมืออย่างต่อเนื่อง

             “ยอดเยี่ยมครับ คุณไวเวิร์นทำได้ดีกว่าที่ผมคาดไว้ซะอีกนะครับเนี่ย~”

             เสียงพูดอันนุ่มลึกกล่าวชมเชยออกมาจากใจจริง

             “เป็นอย่างที่ไวคุณพูดนั่นแหละครับ เรื่องวิญญาณครึ่งนึงของแดร็กคูล่า เป็นเรื่องโกหกทั้งหมดครับ”

             “ค…คุณคือ…”

             ไวเวิร์นมองร่างนั้นด้วยความประหลาดใจจนพูดไม่ออก เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะได้เจอชายคนนี้อีกครั้งในตอนนี้ เขายังคงจำทุกอย่างของชายคนนี้ได้ดี ทั้งน้ำเสียงอันนุ่มลึกและวิธีการพูดแบบสุภาพ ทั้งชุดคลุมสีดำที่ปกคลุมตัวตนที่แท้จริงเอาไว้ ทั้งการปรากฏตัวออกมาในจังหวะเหมาะเจาะราวกับรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า

             ไม่ผิดแน่ ชายคนนี้เป็นคนที่ช่วยชีวิตที่เกือบจะดับลงของเขา เป็นคนที่มอบ(ของเลียนแบบ)แวมไพร์คิลเลอร์ให้กับเขา เป็นผู้มีพระคุณที่ทำให้เขายังคงยืนอยู่ตรงนี้ได้

             และในตอนนี้ ชายปริศนาคนเดิม ก็กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้ง

             “ก…แกมัน…”

             โพรมีเทียสมองร่างผู้มาเยือนคนใหม่ด้วยสีหน้าประหลาดใจ แต่เพียงแต่ไม่กี่วินาที สายตาบนใบหน้านั้นก็เปลี่ยนเป็นสายตาแห่งความชิงชัง พร้อมกับริมฝีปากที่สั่นคลอนจากการกัดฟันแน่น

             “แกนะแก~~~~~~~~~~~~!!!!!!!”

             และในเวลาต่อมา ผู้ถือหอกก็ถีบตัวพุ่งออกไปหาร่างปริศนาในทันที ชายปริศนามองตามร่างที่ง้างหอกสีเหลืองขึ้นเหนือหัว หอกนั้นเปล่งประกายเปรี๊ยะๆ อย่างต่อเนื่องและพุ่งเป้าไปที่หน้าอกที่ถูกซ่อนอยู่ในชุดคลุมอย่างเต็มแรง

             ควับ~! กืดๆ!!

             และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่หอกถูกหยุดเอาไว้ก่อนที่จะได้ลิ้มรสเลือด โดยแส้สีดำอันเดิมที่ถูกตวัดไปอย่างลนลานมาจากเจ้าของด้านหลัง

             “ด…เดี๋ยวก่อนสิ…” ไวเวิร์นมองร่างผมทองอย่างตามสถานการณ์ไม่ทัน “นี่คุณ…คิดจะทำอะไรกันน่ะ…?”

             “คิดจะทำอะไรงั้นเหรอ…?” โพรมีเทียสชายตามามองร่างเบื้องหลังก่อนที่จะหันกลับไปมองร่างตรงหน้าอีกครั้ง “นั่นน่ะ…มันเป็นสิ่งที่ชั้นอยากจะถามไอ้หมอนี่ต่างหาก!!”

             “ใจเย็นๆ ก่อนสิครับ มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันก็ได้ครับ~” ชายลึกลับกล่าวอย่างใจเย็น ดูเหมือนเขาจะไม่ตื่นตระหนกกับสถานการณ์ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย

             “แกยังกล้ามาพูดดีอีกเหรอ!? ในเมื่อแก…”

             ร่างถือหอกกัดฟันถลึงตาใส่ใบหน้าที่ถูกปกปิดเอาไว้ ก่อนที่จะตะเบ็งเสียงดังลั่นออกมา

             “ในเมื่อแกเองไม่ใช่เหรอที่เป็นคนโกหกพวกเราเรื่องวิญญาณครึ่งนึงของแดร็กคูล่าน่ะ!?”

             “ว…ว่าไงนะ!?”

 

             นี่เป็นอีกครั้งที่ไวเวิร์นแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ไม่จริงน่า ชายที่เคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้เป็นคนหลอกพวกนั้นงั้นเหรอ เขาต้องหูฝาดไปแน่ๆ ชายผมดำหันไปสบตาสาวผมชมพูโดยหวังว่าเธอจะพูดอะไรบ้าง แต่ร่างนั้นก็ได้แต่จ้องกลับด้วยแววตาจริงจัง พร้อมกับพยักหน้าให้เพื่อยืนยันอีกฝ่ายว่ามันเป็นอย่างที่นายได้ยินนั่นแหละ

             “ไม่…ไม่จริงน่า…”

             “ไม่หรอก เป็นอย่างที่คุณโพรมีเทียสพูดนั่นแหละครับ” ชายปริศนาสารภาพออกมาแต่โดยดี “แต่ผมก็มีเหตุผลจำเป็นที่ต้องโกหกแบบนั้นนะครับ”

             “เหตุผลงั้นเหรอ!? เหตุผลบ้าบอกอะไรกันห้ะ!?” ชายผมทองตวาดอย่างเดือดดาล

             “ใจเย็นๆ ก่อนครับ ผมเองก็อยากจะบอกเรื่องนั้นเหมือนกัน แต่ว่า…”

             ชายลึกลับล้วงเข้าไปในเสื้อคลุมหยิบแล้วนาฬิกาคู่กายขึ้นมาดู

             “ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่พวกคุณต้องรู้เรื่องนั้นนะครับ”

             “นี่แก…คิดจะเฉไฉ…”

             ปิ๊ป!! ปิ๊ป!! ปิ๊ป!!

             แต่ก่อนที่คำตวาดจะหลุดออกมาจากปากผู้เดือดดาลมากไปกว่านี้ ก็มีเสียงดังขึ้นต่อเนื่องขัดจังหวะเขาซะก่อน ทุกคนหันไปมองทางต้นเสียงซึ่งมาจากนาฬิกาข้อมือสีดำของผู้ใช้แส้ ที่ส่งเสียงปิ๊ปๆ เป็นสัญญาณว่ามีการติดต่อมาจากทาง VADET

             “ส…สัญญาณการติดต่อ หรือว่า…” ชายผมดำยกแขนซ้ายขึ้นมาบริเวณอกแล้วใช้นิ้วจิ้มไปที่หน้าปัดทันที

             “ไวเวิร์น เขตตัวเมืองถูกโจมตี เราต้องการกำลังสมทบ” เสียงของบอสแห่ง VADET ดังขึ้นมาทันทีพร้อมกับหน้าจอสามมิติที่ฉายภาพใบหน้านั้น “เดี๋ยวชั้นกับ VADET คนอื่นจะล่วงหน้าไปก่อน นายช่วยรีบตามไปสมทบด่วนเลยนะ”

             “ค…ครับ เข้าใจแล้วครับ”

             ไวเวิร์นตอบรับในทันที จากนั้นภาพบนหน้าจอก็เปลี่ยนไปแสดงแผนที่ของเมืองนี้แทน

             “ตรงนี้มัน…อยู่ใกล้ๆ กับเขตชุมชนเลยนี่นา” ไวเวิร์นบ่นพึมพำพลางไล่สายตาไปตามแผนที่ “ถึงจะใช้เส้นทางที่สั้นที่สุด ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามสิบนาที…”

             “โฮ่ย…เดี๋ยวก่อนนะ…”

             แต่แล้ว ชายผมทองที่ได้ยินการสนทนาเมื่อครู่ก็เข้ามาจับหัวไหล่อีกฝ่าย ทำให้คนของ VADET ต้องหันกลับมาอีกครั้ง

              “นี่นาย…เป็นคนของ VADET งั้นเหรอ…?”

             “เอ๋…?” ไวเวิร์นเอียงคอมองอีกฝ่ายอย่างงุนงง “ก็…ใช่ครับ”

             “งั้นเหรอ...แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกล่ะว้อย~~~!!!!”

             เสียงตวาดที่กระแทกในระยะเผาขนทำเอาหนุ่มผมดำสะดุ้งจากการตามอารมณ์อีกฝ่ายไม่ทัน แต่ร่างผมทองก็ไม่ได้สนใจอาการนั้น แล้วคว้าแขนซ้ายของอีกฝ่ายดึงเข้ามาใกล้ตัวเอง

             “อ…เอ๋…? เดี๋ยวก่อน…”

             “อืม…ไปทางทิศเหนือประมาณสามสิบกิโลเมตรสินะ…”

             โพรมีเทียสเพ่งสมาธิไปกับแผนที่โดยไม่ได้สนใจเสียงเจ้าของข้อมือเลย

             “ฟราน!! ทางทิศเหนือสามสิบกิโลเมตร ชั้นจะล่วงหน้าไปก่อน รีบตามมาล่ะ!!”

             ร่างผมทองหันไปตะโกนบอกเพื่อนร่วมทาง แล้วเริ่มออกวิ่งไปข้างหน้าโดยที่ยังคงไม่ปล่อยมือจากแขนสวมนาฬิกาข้างนั้น

             “ห…หวา…เดี๋ยว…” ไวเวิร์นพยายามทักท้วงและออกแรงดึงต้าน แต่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจและเอาแต่ออกแรงลากร่างนั้นไปด้วยอยู่ท่าเดียว

             “แพนโดร่า Red Nature”

             ฟู่ว~!!

             เปลวเพลงสีแดงฉานลุกไหม้ท่วมหอกตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว โพรมีเทียสหันหัวหอกไปข้างหน้าแล้วกระโดดขึ้นไปกลางอากาศทันที

             “อย่าปล่อยมือล่ะ ตกลงไปชั้นไม่รู้ด้วยนะเฟ้ย!!”

             ฟู่ว~!!!

             “ว้าก~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~!!!!!!”

             ทันใดนั้น หอกนั้นก็บันดาลไอร้อนสีแดงพวยพุ่งออกมาจากด้านหลัง นำพาร่างของเจ้าของพุ่งตรงไปราวกับจรวด โดยมีชายผมดำที่ได้แต่ร้องเสียงหลงจากการถูกลากไปด้วยอย่างถูลู่ถูกังเป็นตัวแถมไปด้วย

             “ไวเวิร์น~~~~~~~!?” มิโกะสาวพยายามวิ่งตามและตะโกนไล่หลังเพื่อนชายที่ถูกฉุดไป แต่เพียงแค่ชั่วครู่เธอก็ต้องหยุดวิ่งและได้แต่มองร่างชายทั้งสองพุ่งไปจนลับสายตา

             “มัวทำอะไรอยู่!? เดี๋ยวก็ตามพวกนั้นไม่ทันหรอก!!”

             แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้พักหายใจ จอมเวทย์สาวก็ร่อนลงมาข้างกายเธอพร้อมกับไม้กวาดคู่ใจ แล้วเอามือตบท้ายไม้กวาดเพื่อเป็นการบอกให้อีกฝ่ายรีบขึ้นมา

             “เอ๋!? เอ่อ…ค่ะ!!”

             ซากุระยืนลอกแลกด้วยความลังเลเล็กน้อย แต่ก็ตัดสินใจขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายไม้กวาดนั้น

             “จับให้แน่นๆ ล่ะ!!”

             ฟิ้ว~~~!!!

             “กรี๊ด~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

             ทันทีที่ผู้โดยสารขึ้นนั่ง โชเฟอร์หัวชมพูก็ควบคุมไม้กวาดให้พุ่งทะยานตามชายทั้งสองที่ล่วงหน้าไปก่อนทันที โดยมีผู้โดยสารในชุดมิโกะที่กอดเอวเธอแน่นพร้อมกับส่งเสียงกรี๊ดไปตลอดทาง

 

             “ว้าก~~~~~~~~~~~~~~~~~!!!!”

             ตูม~!!

             หอกอัคคีนำพาร่างทั้งสองพุ่งดิ่งสู่พื้นราวกับอุกกาบาต ส่งผลให้เกิดฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณนั้น

             “แค่กๆ…แค่กๆ…”

             และฝุ่นนั้นส่งผลให้ไวเวิร์นที่อยู่ในสภาพนอนคว่ำหน้ากับพื้นจากการลงจอดที่แสนจะยอดแย่ถึงกับสำลักออกมาสองสามครั้ง ก่อนที่จะหลับตาและเอามือปิดจมูกเพื่อกันฝุ่นเข้าร่างกายไปมากกว่านี้

             “คิดจะนอนไปถึงเมื่อไหร่ รีบๆ ลุกขึ้นมาได้แล้วเฮ้ย”

             หนุ่มผมดำได้ยินเสียงกล่าวอันเย็นชาของผู้อยู่ข้างกาย จึงดันตัวเองลุกขึ้นมา และค่อยๆ เปิดเปลือกตาออกมาอีกครั้ง

             “น…นั่นมัน…”

             ใบหน้าของไวเวิร์นมีเหงื่อไหลออกมาเล็กน้อยเพราะสัมผัสได้ถึงรังสีอันตรายอันแรงกล้า เนื่องจากตรงเบื้องหน้าห่างจากจุดที่เขายืนอยู่ประมาณสิบเมตร ปรากฏสิ่งที่ดูเหมือนต้นไม้ที่มีความสูงประมาณสามเท่าของเสาไฟฟ้า ลำต้นมีผิวขรุขระและปกคลุมไปด้วยเมือกสีเขียวที่ชวนให้รู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก กิ่งก้านสีเขียวนับร้อยงอกออกมาจากแทบทุกส่วนของลำต้น

             ที่ปลายทุกอันของกิ่งก้านเหล่านั้นมีสิ่งที่มองเผินๆ แล้วคล้ายกับดอกทานตะวัน แต่ที่จริงแล้วมันคือปากขนาดเท่าดอกทานตะวัน ซึ่งเต็มไปด้วยฟันที่แหลมคมและของเหลวเหนียวๆ เหมือนน้ำลาย ชวนให้รู้สึกขยะแขยงและสยดสยองไปพร้อมกัน

             ซึ่งตอนนี้ กิ่งก้านที่มีปากอันน่ารังเกียจก็กำลังเคลื่อนไหวไปมาอย่างไม่หยุด เพื่อรับมือสิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่งที่บินว่อนไปมารอบๆ ตัวมันราวกับฝูงแมลงเม่าที่บินเข้าหาดวงไฟ

             ซึ่งสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นก็ไม่ใช่สัตว์ประหลาดที่ไหน แต่เป็นกลุ่มของมนุษย์ที่สวมสิ่งที่มีลักษณะคล้ายกล่องที่มีปีกแบบเครื่องบินไว้ที่หลัง ซึ่งมีตัวปล่อยไอพ่นช่วยทำให้พวกเขาบินไปมาได้อย่างอิสระบนท้องฟ้า  พวกเขาเหล่านั้นต่างก็กระหน่ำโจมตีต้นไม้ประหลาดตรงหน้า ด้วยอาวุธในมือและเวทมนตร์ต่างๆ มากมาย พร้อมกับคอยบินหลบกิ่งไม้อันดุร้าย ที่หมายจะกลืนกินร่างเหล่านั้นไม่ให้เหลือแม้แต่ตัวเดียว

             ซึ่งเพียงแค่มองก็สามารถคาดเดาได้ในทันที ว่าคนพวกนั้นคือคนของ VADET ที่ล่วงหน้ามาก่อนพวกเขานั่นเอง

 

             “นั่นน่ะเหรอ…ศัตรูในคราวนี้…”

             ไวเวิร์นปาดเหงื่อด้วยความรู้สึกกดดันเล็กน้อย แต่ใบหน้านั้นก็พยายามหันมองไปรอบๆ และจับจ้องไปยังการปะทะนั้นอย่างไม่ละสายตา เพื่อที่จะมองการเคลื่อนไหวของศัตรูอย่างแตกฉานให้ได้มากที่สุด

             และในขณะที่เขาหันมองไปรอบๆ นั้น…

             “อ้ะ…นั่นมัน…คุณอาริคาโด้นี่นา…”

             เขาก็ได้สังเกตเห็นร่างของบอสแห่ง VADET ที่ไม่ได้เข้าร่วมวงต่อสู้ แต่กลับเลือกที่จะมายืนในระยะที่ปลอดภัยจากต้นไม้นั้น โดยใช้สายตาจ้องไปที่หน้าจอสามมิติ ซึ่งฉายภาพการต่อสู้ตรงหน้าแบบสดๆ ร้อนๆ  เพื่อคอยติดตามสถานการณ์ปัจจุบันอย่างใกล้ชิด

             “คุณอาริคาโด้!!”

             ผู้ใช้แส้ตะโกนแล้ววิ่งไปหาบอสของตัวเองโดยมีผู้ถือหอกวิ่งตามมาติดๆ

             “ไวเวิร์น!? มาได้จังหวะพอดีเลย ตอนนี้ทางฝ่ายเราค่อนข้างจะเสียเปรียบ…”

             คำพูดของบอสแห่ง VADET หยุดชะงักกลางคันเมื่อสังเกตเห็นร่างถือหอกตรงหน้า

             “นายเป็นใคร…?” เก็นยะจ้องคนแปลกหน้าด้วยสายตาแบบเดียวกับตำรวจที่กำลังมองผู้ต้องสงสัย

             “โฮ่ยๆ…อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ชั้นไม่ใช่ศัตรูของนายซะหน่อย พวกเดียวกันต่างหากล่ะ” โพรมีเทียสเกาหัวแล้วทำน้ำเสียงหน่ายจิตใจ

             “พวกเดียวกันงั้นเหรอ!? พวกเดียวกันที่ว่านั่น…”

             “นั่นมัน…Bloodlust Sunflower(ทานตะวันกระหายเลือด)นี่นา!!”

             แต่การสนทนานั้นก็ถูกขัดจังหวะซะก่อน โดยเสียงอันแหลมใสที่ดังมาแต่ไกล ซึ่งมาจากจอมเวทย์สาวที่ร่อนลงสู่พื้นอย่างนุ่มนวล พร้อมกับมิโกะสาวที่กุมหน้าอกด้วยสีหน้าซีดเซียวราวกับว่าเพิ่งไปเจอเรื่องที่ทำให้หัวใจแทบวายมา

             “Bloodlust Sunflower งั้นเหรอ…?” ไวเวิร์นทวนคำอย่างงงๆ

             “ใช่แล้วล่ะ” ฟรานซิสก้าพยักหน้าแล้วยื่นมือขวาออกมาข้างหน้า

             “จงออกมา สารานุกรมพืชปีศาจ”

             แว้บ!!

             มือขวาข้างนั้นปรากฏหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา มันเป็นหนังสือหนาเตอะเก่าๆ ที่หน้าปกของมันปกคลุมไปด้วยวัตถุสีเขียวที่มีลักษณะคล้ายรา ซึ่งชวนให้รู้สึกน่าขยะแขยงจนแค่เห็นไม่อยากที่จะแตะต้อง แต่สาวหัวชมพูกลับเปิดมันออกมา และขยับมือพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็วราวกับว่าความน่าขยะแขยงนั้นไม่มีผลต่อเธอเลย

             “เจอแล้ว นี่ไงๆ”

             เธอแบหนังสือลงตรงหน้า   ร่างทั้งสี่เข้ามามุงรอบตัวเธอและก้มหน้ามองไปที่หนังสือเล่มนั้น บนหน้ากระดาษเก่าๆ ที่ถูกเปิดอยู่นั้น มีภาพเหมือนของต้นไม้ปีศาจของจริงที่กำลังอาละวาดอยู่ไม่ผิดเพี้ยน ใต้ภาพนั้นมีตัวอักษรที่ถูกเขียนด้วยหมึกเป็นสัญลักษณ์ต่างๆ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นภาษาอะไรซักอย่าง

             “ส…สัญลักษณ์พวกนี้มันอะไรน่ะ…” ไวเวิร์นรู้สึกตาลายกับสัญลักษณ์ที่ไม่เข้าใจความหมาย

             “อักษรเวทมนตร์น่ะ”

             ฟรานซิสก้าใช้นิ้วไล่ไปตามบรรทัดอักษรแล้วอ่านแปลความหมายให้ทุกคนเข้าใจ

 

             “Bloodlust Sunflower เป็นพืชปีศาจกินเนื้อ มันจะใช้กิ่งก้านที่เหมือนปากในการจับและกินเหยื่อ  จุดอ่อนของมันอยู่ที่หัวใจซึ่งถูกซ่อนไว้ตรงใจกลางลำต้น เปลือกนอกของมันมีความแข็งในระดับเดียวกับเพชร นอกจากนี้ยังมีระบบผลิตเมือก ซึ่งจะสร้างเมือกสีเขียวที่ช่วยกันความร้อนจากภายนอกอยู่ตลอดเวลา ทำให้มันไม่มีทางที่จะถูกเผาได้ แม้จะอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิงก็ตาม”

             เธอปิดหนังสือลงแล้วหันไปหาเพื่อนร่วมทางที่อยู่ด้านข้าง

             “คิดว่าไง โพมี่?”

             “อืม…เป็นศัตรูที่มีเงื่อนไขยุ่งยากเป็นบ้าเลย…”

             โพรมีเทียสเอามือนวดขมับตัวเอง

             “ก็อยากจะพูดแบบนั้นอยู่หรอก แต่ว่า…”

             แต่เพียงแค่ครู่เดียว เขาก็เอามือลงแล้วเผยรอยยิ้มออกมาทางมุมปาก

             “ถ้ามีดีเพียงแค่นั้นล่ะก็ มันก็ไม่เท่าไหร่นี่นา จริงมั้ยมั้ยฟราน~?”

             “อื้ม~ นั่นสินะ~” ฟรานซิสก้ายิ้มตอบ “ถ้าอย่างงั้น เรารีบไปจัดการมันให้จบๆ กันเถอะ~”

             “รู้แล้วล่ะน่า แต่ก่อนหน้านั้น…”

             ชายผมทองหันไปทางบอสแห่ง VADET ที่ได้แต่ยืนมองมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว

             “นี่ คุณบอสของ VADET”

             “เอ้ะ? มีอะไรเหรอ…?”

             “ช่วยออกคำสั่งถอนกำลังรบทีสิ” โพรมีเทียสขยับแว่นแล้วเริ่มเดินออกไปทางพืชปีศาจกระหายเลือด โดยมีสาวถือไม้กวาดเดินเคียงข้างไปด้วย “ชั้นกับฟรานจะไปจัดการเจ้านั่นแค่สองคนเอง”

             “ว่าไงนะ!? เดี๋ยวก่อนสิ แค่สองคนมันอันตรายเกินไปนะ!!”

             เก็นยะโต้แย้งในทันที เขาได้แต่คิดในใจว่าออกไปสู้กับสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์เพียงแค่สองคนมันไม่ต่างอะไรจากฆ่าตัวตายชัดๆ

             “ไม่ต้องห่วง พวกเราไม่ได้กระจอกขนาดนั้นซะหน่อย…อีกอย่างนะ…”

             คู่หูผมชมพูสอดไม้กวาดเข้าที่ช่องว่างระหว่างขาตัวเอง ไม้กวาดค่อยๆ เคลื่อนตัวสูงขึ้นและนำพาร่างนั้นลอยตัวจากพื้นเล็กน้อย  จากนั้นร่างผมทองก็กระโดดขึ้นไปเหยียบบนด้ามไม้กวาด และยืนทรงตัวอยู่บนนั้นได้อย่างน่าอัศจรรย์

             “ถ้ามีคนอื่นมาเกะกะล่ะก็ พวกเราก็เอาจริงไม่ได้กันพอดีน่ะสิ~”

 

             ฟิ้ว~!!

             สิ้นสุดคำพูดนั้น ไม้กวาดก็บันดาลพาร่างทั้งสองทะยานสู่ท้องฟ้า พุ่งแหวกอากาศไปยังร่างสูงใหญ่ในทันที

             “เฮ้ย!! เดี๋ยวก่อน…”

             เก็นยะพยายามไล่ตามหลังสองคนนั้น แต่ก็ถูกผู้ใช้แส้เข้ามาคว้าข้อมือห้ามไว้ซะก่อน

             “ว…ไวเวิร์น…?”

             “คุณอาริคาโด้ ทำตามที่พวกเขาบอกเถอะครับ”

             “ว่าไงนะ!? ไวเวิร์น นี่นายไม่คิดบ้างเหรอว่าแบบนี้มันบ้าระห่ำเกินไปน่ะ!?”

             “…ที่จริงแล้ว ผมก็แอบคิดว่ามันออกจะบ้าระห่ำเกินไปเหมือนกันครับ…”

             ใช่แล้ว ไม่ว่าจะมองยังไง การที่ไปสู้กับไอ้สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่แสนจะอันตรายขนาดนั้นแค่สองคนมันก็เป็นอะไรที่ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย ตามปกติแล้ว การบุกโจมตีเป็นกองทัพย่อมเป็นแผนที่ชาญฉลาดกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

             ทั้งอย่างนั้น ไวเวิร์นกลับรู้สึกว่าแบบนี้น่าจะเป็นหนทางที่ดีกว่า เหตุผลหนึ่งที่เขาคิดเช่นนั้น มาจากความรู้สึกอย่างนึงที่สัมผัสได้ตอนที่เข้าปะทะกับทั้งสอง ฝ่ายชายเป็นผู้ใช้อาวุธ ฝ่ายหญิงเป็นจอมเวทย์ และทั้งสองคนก็มีฝีมืออยู่พอสมควร ขนาดที่ว่าต่อสู้กับเขาได้อย่างสูสี ไม่สิ เหนือชั้นกว่าซะด้วยซ้ำ

 

             แต่ว่า…นั่นเป็นฝีมือทั้งหมดของพวกนั้นจริงๆ เหรอ…?

             นั่นคือข้อสงสัยที่ผุดขึ้นมาในสมองของผู้พ่ายแพ้ เพราะอันที่จริงทั้งสองคนก็ไม่ใช่คนไม่ดี แต่เพราะมีเหตุผลที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงต้องฝืนใจตัวเองหันคมหอกเข้าใส่ แต่ยังไงทั้งสองคนก็ยังคงเป็นมนุษย์ ยังคงมีจิตใจที่ไม่ต้องการสังหารผู้บริสุทธิ์ ซึ่งจิตใจนั้นอาจจะส่งผลกระทบ ทำให้ไม่อาจใช้ฝีมือได้อย่างเต็มที่ก็เป็นได้

             ซึ่งสิ่งที่เป็นตัวยืนยันว่าทฤษฎีนั้นถูกต้อง คือใบหน้าของทั้งสองในยามที่บอกว่าจะออกไปสู้เพียงแค่สองคน ใบหน้านั้นเป็นใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ไร้ซึ่งความหวาดกลัวและความลังเลโดยสิ้นเชิง ถ้าหากว่าสองคนนั้นฝีมือเพียงแค่เหนือชั้นกว่าตัวเขาเล็กน้อย คงไม่มีทางที่จะแสดงรอยยิ้มแบบนั้นออกมาได้แน่

             ดังนั้น จึงสรุปออกมาได้เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือพลังที่แท้จริงของสองคนนั้น เหนือชั้นกว่าเขาหลายเท่านัก…และเหนือชั้นซะยิ่งกว่าศัตรูตรงหน้าซะอีก!!

 

             “ถึงอย่างนั้น ผมก็มั่นใจว่านี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ครับ!!”

             ไวเวิร์นยืนกรานอย่างหนักแน่น เก็นยะจ้องนัยน์ตาสีดำที่เต็มไปด้วยความมั่นใจนั้นอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะถอนหายใจออกมา

             “เข้าใจแล้ว…”

             เก็นยะใช้มือขวาจิ้มไปที่หน้าจอสามมิติสองสามครั้ง

             “ทุกคน ตอนนี้กำลังมีพันธมิตรสองคนกำลังเข้าไปช่วยเหลือ ขอให้ทุกคนถอนกำลังออกมา แล้วฝากความหวังที่เหลือไว้กับสองคนนั้นซะ!!”

             สิ้นสุดคำสั่งนั้น  กลุ่มคนที่ถูกฉายผ่านทางหน้าจอสามมิติก็เริ่มค่อยๆ ทยอยบินถอยหลังออกห่างจากต้นไม้ยักษ์เรื่อยๆ กลุ่มคนค่อยๆ บินหายไปจากหน้าจอทีละคนๆ จนกระทั่งหายไปจากหน้าจอจนหมด เหลือไว้เพียงภาพของปีศาจกระหายเลือดอันสูงใหญ่ และพันธมิตรสองคนที่บินไปหาร่างนั้นอย่างไร้ความหวั่นเหรง

             “หวังว่าสิ่งที่นายเชื่อมั่นจะไม่ทำให้ชั้นผิดหวังนะ…”

             เก็นยะหันมาทำตาดุใส่เล็กน้อย

             “ผ…ผมเองก็หวังแบบนั้นเหมือนกันครับ…”

             สายตาของผู้เป็นบอสทำเอาชายหนุ่มถึงกับขวัญผวาเล็กน้อย แต่เพียงแค่ชั่วครู่เขาก็หันไปจับตาที่หน้าจอร่วมกับผู้เป็นบอสและเพื่อนสาวที่ได้แต่มองภาพบนหน้าจอด้วยแววตากังวล

             “ไม่เป็นไรน่า…ถ้าเป็นพวกเขาล่ะก็…ต้องทำได้แน่…”

 

             “นี่ ฟราน”

             “หือ? อะไรเหรอโพมี่?”

             “ชั้นจะพูดให้ฟังแค่รอบเดียว ตั้งใจฟังให้ดีล่ะ”

             “ไม่จำเป็นหรอก”

             “ห…หา?”

             ประโยคสุดท้ายของคู่หูทำเอาชายด้านหน้าต้องหันกลับมามองผู้ควบคุมไม้กวาดอย่างประหลาดใจ

             “ไม่จำเป็นหรอก โพมี่” ฟรานซิสก้าทวนคำพูดอีกครั้ง “แค่มองจากแผ่นหลังของนาย ฉันก็รู้แล้วล่ะว่าตอนนี้นายกำลังคิดอะไรอยู่”

             “โฮ่ย…เอาจริงดิ…” โพรมีเทียสหรี่ตามองอีกฝ่ายด้วยความทึ่ง “นี่เธอเป็นเอสเปอร์รึไงกัน…”

             “เอสเปอร์อะไรกันยะ!? นี่นายจะบอกว่าฉันพวกพิลึกทางวิทยาศาสตร์งั้นเหรอ!?”

             จอมเวทย์สาวยกมือโวยวายด้วยความฉุนเล็กน้อย

             “ฉันไม่ได้รู้เพราะอยากรู้ซะหน่อย แต่สามปีที่ผ่านมา มีนายเพียงคนเดียวที่คอยต่อสู้เคียงข้างฉันมาตลอด ดังนั้น…”

             เธอหยุดชะงักเล็กน้อยและค่อยๆ ก้มหน้าหลบตาอีกฝ่าย แก้มเปลี่ยนเป็นสีชมพูเล็กน้อย

             “ถ้าฉันจะรู้จักนายดีจนถึงขั้นเดาใจได้…มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้นี่นา…”

             เสียงอันแผ่วเบาเล็ดออกออกมาจากริมฝีปากที่ดูมีน้ำมีนวลพร้อมกับนัยน์ตาสีชมพูที่แอบมองอีกฝ่ายผ่านทางหางตา

             “…หึ…งั้นเหรอ…มันก็จริงของเธอแหละนะ~”

             ชายผมทองยื่นมือออกไปสัมผัสศีรษะที่เต็มไปด้วยเส้นผมอันนุ่มนวล ผู้ควบคุมไม้กวาดสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตาอีกครั้ง

             “พ…โพมี่…?”

             “ถ้าหยั่งงั้น…ครั้งนี้ชั้นก็ขอฝากด้วยนะ ฟราน~”

             รอยยิ้มที่อวดให้เห็นฟันเกือบทุกซี่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคู่หูชาย คู่หูสาวจ้องรอยยิ้มนั้นอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะเป็นฝ่ายยิ้มตอบ

             “อื้ม ฉันเองก็ขอฝากด้วยนะ โพมี่~”

             “ก๊าซ~~~~~~~!!!!”

             แต่แล้ว จู่ๆ ปีศาจกระหายเลือดก็ส่งเสียงคำรามดังลั่นด้วยปากนับร้อย ทำให้ทั้งสองคนต้องละสายตาออกจากกัน และเพ่งความสนใจไปที่ศัตรูตรงหน้าอีกครั้ง

              “แพนโดร่า…Twins Broadsword Mode Green Nature”

             อาวุธนามแพนโดร่าเริ่มทำการสลับชิ้นส่วนอีกครั้ง และทำการประกอบใหม่จนกลายเป็นดาบขนาดกลางสองเล่ม ซึ่งมีกระแสลมสีเขียวอ่อนคอยหมุนเป็นเกลียวรอบใบดาบอย่างต่อเนื่อง

             “ลุยกันเถอะ ฟราน!!”

             “โอ้~!!”

              ปากที่เต็มไปด้วยฟันแหลมคมเริ่มขยับตัวฉวัดเฉวียนไปมากลางอากาศ โดยมีเป้าหมายคือการขย้ำเหยื่อรายใหม่จนไม่เหลือแม้แต่ซาก จอมเวทย์สาวควบคุมไม้กวาดให้พุ่งเข้าไปหาปากเหล่านั้นอย่างไร้ความเกรงกลัว พร้อมกับร่างของผู้ใช้ดาบคู่ที่เริ่มกวัดแกว่งดาบเข้าใส่ปากพวกนั้นทันที

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา