Castlevania - The Rancor's Funeral

10.0

เขียนโดย xanxussama1010

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 14.22 น.

  13 ตอน
  4 วิจารณ์
  14.55K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 14.27 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) บทที่ 6 - VADET VS คามิลล่า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

            “วันนี้จะเป็นวันตายของข้างั้นเรอะ….”

            คามิลล่าจ้องกลับไปที่ใบหน้าของชายผู้ชี้ดาบใส่เธอ นัยน์ตาของเธอแสดงออกถึงความโกรธจากการโดนดูถูกอย่างเห็นได้ชัด

            “โอหัง…คิดว่าคามิลล่าผู้นี้….จะมายอมตายด้วยน้ำมือมนุษย์ง่ายๆ งั้นเรอะ…ไม่มีทางซะหรอก!!”

 

            ครืน~~~~~~!!!!

            พื้นพิภพสะเทือนลั่นทันทีเมื่อสิ้นสุดคำพูดนั้น ทั้งเก็นยะ ไวเวิร์น และกลุ่ม VADET ต่างก็ตั้งท่าเตรียมตัวทันทีโดยสัญชาติญาณ เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา นี่เป็นลางบอกเหตุว่าจะมีฝูงปีศาจจำนวนมากโผล่ออกมาทุกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

            ร่างของสัตว์ร้ายค่อยๆ โผล่มาจากผืนปฐพีอย่างต่อเนื่อง โดยในคราวนี้ไม่ได้มีเพียงแค่แมนติคอร์เท่านั้น แต่มีทั้งฝูงกริฟฟอนที่บินขึ้นไปเต็มท้องฟ้า ชุดเกราะไร้คนใส่ที่เต็มไปด้วยอาวุธ และฝูงมนุษย์อีกาที่ปกคลุมไปด้วยขนสีดำ ซึ่งโดยปริมาณแล้ว ฝูงสัตว์ร้ายนั้นมีมากกว่ากองกำลังรบของ VADET ที่อยู่ในตอนนี้ถึงประมาณสี่เท่า แต่ถึงกระนั้น เก็นยะก็คาดไว้อยู่แล้วว่าเรื่องแบบนี้น่าจะเกิดขึ้น เขาเลยเตรียมแผนการที่จะรับมือเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

            “ทุกคน แบ่งกำลังออกเป็นสามส่วน!! กลุ่มอัลฟ่าวัน คอยป้องกันการรุกรานเข้าไปในเขตชุมชน กลุ่มอัลฟ่าทู คอยสนับสนุนและรักษาผู้บาดเจ็บ กลุ่มอัลฟ่าทรี จัดการศัตรูที่อยู่ตรงหน้า อย่าให้เหลือรอดไปได้!!”

            กำลังรบของ VADET ขานรับแล้วแยกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับสั่งมาทันที เก็นยะมองกำลังรบของเขาแยกตัวอยู่ซักพักก่อนที่จะหันกลับมาทางหนุ่มสาวทั้งสองคน

            “ซากุระ มากับชั้น ชั้นจะพาเธอไปยังที่ปลอดภัย ส่วนไวเวิร์น…รับไปซะ”

            เก็นยะยื่นของสิ่งหนึ่งให้กับไวเวิร์น ซึ่งสิ่งนั้นก็ไม่ใช่สิ่งแปลกตาที่ไหน แต่เป็นแส้สีดำคู่กายของชายหนุ่มนั่นเอง ไวเวิร์นรับมันมาแล้วหันกลับไปสบตากับเพื่อนสาวที่เอาแต่จ้องมองหน้าเขาอย่างไม่ละสายตา

            “ไวเวิร์น…” ซากุระจ้องมองตาคู่นั้นด้วยดวงตาสีมรกตที่แฝงไปด้วยความกังวล

            “ไม่เป็นไรหรอก…ชั้นจะต้องกลับไปหาเธอแน่ ชั้นสัญญา…”

            ไวเวิร์นพูดพร้อมกับลูบหัวเพื่อนสาวเพื่อให้เธอสบายใจขึ้น เธอจ้องมองใบหน้าเจ้าของมือนั้นประมาณ 2-3 วินาทีก่อนที่จะพยักหน้ารับแล้ววิ่งออกไปพร้อมกับชายผู้ใช้ดาบ เหลือไว้เพียงผู้ใช้แส้เพียงคนเดียวที่ยังคงยืนประจันหน้ากับร่างชุดแดงด้วยแววตาที่ไร้ซึ่งความหวั่นเกรง

 

            “แววตานั่น…เห็นแล้วไม่สบอารมณ์เป็นบ้า…” คามิลล่าจ้องมองแววตาของอีกฝ่ายด้วยสีหน้าชิงชัง “คิดจะดูถูกข้าคนนี้รึไง…เป็นแค่พวกเศษขยะแท้ๆ….อย่ามาบังอาจดูถูกกันนะ!!!”

            สิ้นสุดเสียงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดนั้น ร่างของสาวชุดแดงตรงหน้าก็เริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม เขี้ยวอันแหลมคมงอกออกมาพร้อมกับเล็บสีแดงที่แฝงไปด้วยอันตราย ปีกสีแดงสยายออกจากกลางหลังพร้อมกับกระพือสร้างกระแสลมแรงดั่งพายุ นัยน์ตาทั้งสองข้างเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำที่เพียงแค่จ้องมองก็ทำให้คนธรรมดาหวาดกลัวจนขยับไม่ได้ บัดนี้ คามิลล่า หนึ่งในเจ็ดปีศาจบริวารของแดร็กคูล่าที่แข็งแกร่งที่สุด ได้เผยร่างที่แท้จริงออกมาแล้ว

            “จงสำนึกเสียใจซะที่ทำให้ข้าต้องเผยร่างจริงเช่นนี้!!”

            คามิลล่าแบมือทั้งสองข้าง บนฝ่ามือนั้นมีพลังงานสีดำหมุนวนไปมาจนเกิดเป็นก้อนกลมสีดำทมิฬขนาดเท่าลูกฟุตบอล จากนั้นหล่อนก็ขว้างลูกบอลทั้งสองออกไป  ลูกบอลนั้นบินฉวัดเฉวียนไปมาราวกับนกที่กำลังมีความสุขกับการโบยบิน โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ผู้ใช้แส้ตรงหน้า แต่ไวเวิร์นก็ยังคงมองการเคลื่อนไหวนั้นออก ทำให้เขาเบี่ยงตัวหลบลูกบอลทั้งสองได้อย่างไร้รอยแผล และเริ่มพุ่งตัวออกไปทางแวมไพร์สาวทันที

            “ย้าก~~~~~!!!”

            ไวเวิร์นตวัดแส้ใส่คัตรูตรงหน้าไปมาหลายครั้ง แต่ความว่องไวของคามิลล่าเองก็ไม่ใช่น้อย หล่อนบินหลบการฟาดอย่างต่อเนื่องของอีกฝ่ายได้ครั้งแล้วครั้งเล่าและค่อยๆ เดินหน้าเข้ามาจนประชิดตัวอีกฝ่าย หล่อนง้างมือขวาที่มีเล็บแหลมคมขึ้นมา แล้วแทงเข้าไปตรงๆ อย่างเต็มแรงโดยมุ่งเป้าไปที่หน้าอกอีกฝ่าย

            ฉัวะ!!

            ไวเวิร์นเบี่ยงตัวหลบตามสัญชาติญาณ ทำให้มือนั้นสร้างได้แค่แผลตัดผิวหนังตื้นๆ ที่สีข้างเท่านั้น แต่ดูเหมือนหล่อนจะคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าอีกฝ่ายจะหลบได้ เธอจึงเผยรอยยิ้มราวกับจะบอกว่าเป็นไปตามแผน แล้วซัดลูกบอลสีดำที่แอบสร้างไว้ที่มือซ้ายเข้าใส่ผู้ใช้แส้ในทันที

            “แย่ล่ะสิ!! อั๊ก~~!!”

            ไวเวิร์นรีบกระชากแส้ที่มือมาป้องกัน เขาออกแรงตวัดแส้ปัดลูกบอลนั้นลอยไปอีกทางได้อย่างหวุดหวิด แต่กระนั้น ด้วยผลจากการโจมตี ทำให้ร่างของไวเวิร์นกระเด็นออกลอยไปด้านหลัง ไวเวิร์นหันไปมองตามทิศที่ตัวเองพุ่งไป และพบว่าร่างของตัวเองกำลังลอยไปกระแทกกับตู้คอนเทนเนอร์บรรจุสินค้า ผู้ใช้แส้รีบเรียกสติของตัวเองกลับมาพร้อมกับตวัดแส้รัดเสาไฟใกล้ตัว และอาศัยแรงดึงนั้นพาตัวเองลงสู่พื้นได้อย่างปลอดภัย

 

            “ก๊าซ~~~~~~~~!!!”

            แต่ดูเหมือนว่าคามิลล่าจะไม่ยอมปล่อยให้เขาได้พักหายใจง่ายๆ เพราะฝูงกริฟฟอนจำนวนมากเริ่มบินต่ำลงมาแล้วไล่โฉบผู้ใช้แส้อย่างไม่หยุด พร้อมกับเหล่าชุดเกราะเดินได้ที่เบนเป้าหมายหันมารุมล้อมเขา พร้อมทั้งถืออาวุธในลักษณะพร้อมโจมตีได้ทุกเมื่อ

            “โธ่เว้ย…ให้คนเขาพักหายใจหายคอกันบ้างเซ่!!”

            ไวเวิร์นโวยวายพร้อมกับตวัดแส้รัดคอกริฟฟอนที่บินเข้ามาโฉบในจังหวะนั้นพอดี ร่างของเหยี่ยวผสมสิงโตนั้นถูกแรงเหวี่ยงจากแส้ทำให้พุ่งเข้าไปชนกับทหารชุดเกราะที่ล้อมรอบอยู่ ชุดเกราะเหล่านั้นล้มระเนระนาดราวกับกำลังพิณที่ถูกลูกโบว์ลิ่งทำสไตรค์  ทำให้เกิดช่องว่างขึ้นท่ามกลางวงล้อมนั้น ผู้ใช้แส้ฉวยโอกาสนั้นวิ่งฝ่าออกไปอย่างไม่รอช้า เขาออกมาจากวงล้อมของชุดเกราะได้สำเร็จและประจันหน้ากับแวมไพร์สาวอีกครั้ง

            ผู้ใช้แส้หยิบมีดปราบปีศาจรังสีเซต้าออกมาหลายเล่มแล้วขว้างไปที่ศัตรูตรงหน้า แวมไพร์สาวเคลื่อนตัวหลบมันได้อย่างง่ายดาย แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ผู้แส้คาดการณ์ไว้แล้ว เขาจึงได้กระโดดพุ่งออกไปหมายจะโจมตีซ้ำตอนที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว

            “อ่อนหัด!!”

            คามิลล่าสะบัดปีกสร้างลมขึ้นมา สายลมนั้นมีความรุนแรงจนผู้ใช้แส้ไม่อาจเข้าถึงตัวหล่อนได้ และพัดพาร่างของเขากระเด็นกลับจนร่วงลงกระแทกพื้นเข้าอย่างจัง

            “บ้าชะมัด…”

            ไวเวิร์นลุกขึ้นยืนอีกครั้ง พร้อมกับปล่อยลมหายใจต่อเนื่องออกมาอย่างเหนื่อยหอบ ดูเหมือนว่าการบุกโจมตีอย่างต่อเนื่องจะส่งผลต่อร่างกายเขาเสียแล้ว

 

            “ว่าไง~ หมดแรงแล้วรึไงเจ้ามนุษย์~ นี่ข้าเพิ่งจะใช้ความสามารถไปแค่ครึ่งเดียวเองนะ” คามิลล่าหัวเราะเย้ยหยัน

            “ว…ว่าไงนะ!?”

            ไวเวิร์นร้องออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพราะตั้งแต่เริ่มต่อสู้กันมา เขาก็ออกแรงทุ่มสุดตัวมาตลอดจนถึงเมื่อครู่นี้แล้ว แต่ก็ยังสร้างบาดแผลให้แวมไพร์สาวไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ถ้าหากว่าเรื่องที่หล่อนพูดเป็นความจริง เท่ากับว่าเขาแทบจะไม่มีทางชนะเธอได้เลย

            “ทำหน้าแบบนั้นแสดงว่าคงไม่อยากจะเชื่อล่ะสิ ว่าแกกับข้าจะต่างชั้นกันถึงเพียงนี้” คามิลล่าหัวเราะเยาะอีกครั้ง

            “ก…แกโกหก!!”

            ไวเวิร์นตะโกนสวนกลับไป ทั้งที่ใจจริงแล้วก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับคำพูดของอีกฝ่าย

            “ไม่หรอก เรื่องที่เธอพูดเป็นความจริง”

            เสียงหนึ่งพูดขึ้นมาคัดค้าน ไวเวิร์นและคามิลล่าหันไปมองทางต้นเสียง ก็พบร่างของชายผู้เป็นเจ้าของดาบสีดำกำลังเดินเข้ามายืนเคียงข้างผู้ใช้แส้

            “ค…คุณอาริคาโด้…”

            “ขอโทษด้วยนะที่ต้องค้านคำพูดนั้น แต่ความเก่งกาจของคามิลล่าน่ะชั้นรู้ดี” เก็นยะมองไปที่ผู้ใช้แส้ซักพักก่อนจะหันไปมองแวมไพร์สาว “เมื่อสามปีก่อน เธอเคยเข้าปะทะกับหน่วยรบพิเศษของอิตาลี ซึ่งเต็มไปด้วยทหารชั้นแนวหน้าหลายพันคน และยุทโธปกรณ์ทางการรบที่ล้วนแต่ทรงอานุภาพ แต่ผลสุดท้าย กลับกลายเป็นว่าพวกเขาเป็นฝ่ายแพ้ ไม่มีผู้รอดชีวิตเหลืออยู่เลยแม้แต่คนเดียว และที่สำคัญ…เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นโดยฝีมือของคามิลล่าเพียงคนเดียวเท่านั้น”

            “ว..ว่าไงนะ!?” ไวเวิร์นตะโกนอย่างไม่อยากเชื่ออีกครั้ง ว่าศัตรูที่อยู่ตรงหน้าจะเก่งกาจถึงขนาดนี้

            “มีเรื่องแบบนั้นอยู่ด้วยเหรอเนี่ย…เอาเหอะ…คงจะมีอยู่ล่ะมั้ง~ ข้าเองก็ไม่ว่างขนาดมานั่งจำพวกสวะที่ฆ่าไปซะด้วยสิ~” คามิลล่าหัวเราะเป็นเชิงข่มอีกฝ่าย

            “ทีนี้เข้าใจรึยังไวเวิร์น นายในตอนนี้น่ะ ไม่มีทางชนะคามิลล่าได้หรอก”

            “ธ…โธ่เว้ย!!” ไวเวิร์นตะโกนออกมา เขาไม่อยากจะยอมรับมันเลย แต่อีกฝ่ายเป็นศัตรูที่แกร่งเกินไป แกร่งเกินกว่าที่เขาจะเอาชนะได้

            “แต่ว่า…ถ้าเป็นพวกเรา VADET ทั้งหมดล่ะก็…มันก็อีกเรื่องนึงนะ”

 

            “!!!”

            คามิลล่ารีบกางบาเรียสีดำออกมาทันทีเพราะสัมผัสได้ถึงอันตราย แล้วก็เป็นอย่างที่หล่อนคิดจริงๆ เสี้ยววินาทีที่บาเรียสร้างขึ้นมาเสร็จ การโจมตีเป็นชุดก็พุ่งเป้าใส่เธออย่างไม่ยั้ง ทั้งกระสุนแบบพิเศษสำหรับปราบปีศาจที่ระดมยิงใส่อย่างไม่ยั้ง ทั้งลูกไฟขนาดเท่าลูกบอลจำนวนมากซึ่งสร้างขึ้นมาจากเวทย์มนต์ และการโจมตีอื่นๆ อีกจำนวนมากซึ่งต่างมุ่งเป้าไปที่แวมไพร์สาวทั้งสิ้น

            เปรี๊ยะ!! เพล้ง!!

            “อ๊าก~~~!!!”

            บาเรียของแวมไพร์สาวแหลกเป็นเสี่ยงๆ จากการทนรับการโจมตีต่อเนื่องไม่ไหว หล่อนได้รับการโจมตีเข้าไปเต็มๆ หลายสิบครั้งก่อนที่จะสะบัดปีกอย่างแรงจนการโจมตีเหล่านั้นถูกพัดไปคนละทิศละทาง

            “ท…ทำไมกัน…เจ้าพวกนี้มันน่าจะวุ่นวายกับการจัดการสมุนของข้าอยู่นี่นา…แล้วทำไมพวกมันถึงมาอยู่ตรงนี้กันได้!!”

            คามิลล่าตะโกนพร้อมกับเอามือกุมหน้าอกตัวเอง น้ำเสียงของเธอบ่งบอกถึงความโกรธเกรี้ยวและประหลาดใจในคราวเดียวกัน เนื่องจากในตอนนี้ รอบตัวของเธอถูกล้อมไปด้วยเหล่ากลุ่มหน่วยรบของ VADET ที่เก็นยะพามาด้วยในตอนแรกนั่นเอง

            “ถ้าหมายถึงเจ้าพวกปีศาจของแกล่ะก็ จัดการไปหมดแล้วล่ะ” เก็นยะยิ้มออกมาอย่างพอใจ

            “ม…ไม่จริงน่า!?”

            คามิลล่ารีบหันไปมองรอบตัวเธอทันที หล่อนเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจอีกครั้งกับสิ่งที่เห็น  บนท้องฟ้านั้นไม่มีฝูงกริฟฟอนหรือมนุษย์อีกาเหลืออยู่เลยแม้แต่ตัวเดียว ส่วนบนพื้นนั้นก็เต็มไปร่างไร้ชีวิตมากมายของแมนคิตอร์ กริฟฟอน และมนุษย์อีกา และยังมีเศษชิ้นส่วนของนักรบชุดเกราะที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น จนไม่อาจนำมาประกอบกันเช่นเดิมได้

            “ไม่จริง…ทำไมกัน…เป็นไปไม่ได้!!” คามิลล่าร้องอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง

            “พวกเรา VADET ไม่ได้เอาแต่อยู่เฉยไปวันๆ หรอกนะ ทุกวันทุกคืน ทุกคนต่างก็พยายามมาตลอด พยายามที่จะทำให้ความหวังของมวลมนุษย์กลับคืนมาอีกครั้ง และแล้ว…วันนี้ก็มาถึง…วันที่พวกเรา…จะนำพาความหวังชิ้นแรกกลับคืนสู่มวลมนุษย์…”

            เก็นยะยกมือขวาขึ้นชี้หน้าอีกฝ่าย พร้อมกับกล่าวคำที่เป็นการประกาศชัยชนะล่วงหน้า

            “ซึ่งนั่นก็คือ…การสังหารหนึ่งในเจ็ดปีศาจบริวารอย่างแกไงล่ะ!!”

 

            คามิลล่าก้มหน้าและไร้ท่าทีว่าจะโต้ตอบใดๆ กลับมาหาอีกฝ่าย ความเงียบปกคลุมพื้นที่นั้นอยู่ชั่วครู ก่อนที่แวมไพร์สาวจะเปิดปากออกมาอีกครั้ง

            “หึๆๆ…ข้าเพิ่งจะเคยโดนดูถูกขนาดนี้เป็นครั้งแรกนี่แหละ…ให้ตายสิ…ทำได้เจ็บแสบจริงๆ นะ… ฮ่ะๆๆๆๆ..…ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!!!!”

            เปรี้ยงๆๆๆๆๆ!!!!!

            “อ๊ากๆๆๆๆๆ~~~~~~!!!”

            สายฟ้าสีดำผ่าลงมาดั่งห่าฝนอย่างไม่เลือกหน้า เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นอย่างต่อเนื่องปะปนไปกับเสียงร้องของหน่วยรบ VADET ที่หลบไม่ทันและเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของคามิลล่าโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุด

            “จองหองนักใช่มั้ย!? ได้ใจนักใช่มั้ย!? เป็นแค่พวกสวะแท้ๆ!! รีบๆ ตายไปซะให้หมดเลย!! ตายซะๆๆๆๆๆๆ!!!!!!”

            “ทุกคน!! ใจเย็นๆ เข้าไว้!! คอยจับตาดูการโจมตีของอีกฝ่ายให้ดี แล้วหาโอกาสสวนกลับซะ!! คนที่มีบาเรียก็คอยป้องกันคนอื่นจากการโจมตีด้วย!!”

            เก็นยะตะโกนสั่งการเหล่าลูกน้องที่กำลังแตกตื่น เหล่าลูกน้องตั้งสติขึ้นมาอีกครั้งแล้วเริ่มต่อกรกับอีกฝ่าย การต่อสู้นั้นดำเนินไปอย่างดุเดือด ระหว่างฝ่าย VADET ที่คอยหาจังหวะโจมตีและป้องกันไปพร้อมกัน  กับฝ่ายคามิลล่าที่อาศัยความเร็วหลบการโจมตีเหล่านั้นและโจมตีด้วยลูกบอลสีดำสลับกับสายฟ้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น

 

            “ไวเวิร์น มากับชั้น เร็วเข้า!!”

            เก็นยะคว้าแขนของไวเวิร์นพร้อมกับเริ่มออกวิ่ง เขาวิ่งออกห่างจากบริเวณการต่อสู้ เรื่อยๆ โดยมีไวเวิร์นที่โดนลากตามมาด้วยอย่างไม่ทันตั้งตัว

            “เอ้ะ? เดี๋ยวก่อนสิ…คุณอาริคาโด้!?”

            ไวเวิร์นงุนงงที่จู่ๆ ก็โดนลากออกมา แต่เก็นยะก็ยังคงพาเขาวิ่งต่อไป จนกระทั่งทั้งสองคนมาอยู่ที่หลังตู้คอนเทนเนอร์ เก็นยะจึงได้หยุดวิ่ง พร้อมกับปล่อยมือแล้วเริ่มพูดขึ้นอีกครั้ง

            “ไมมีเวลาแล้ว ชั้นจะพูดแค่รอบเดียว ตั้งใจฟังให้ดีนะ” เก็นยะพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

            “ฟัง? ฟังอะไรเหรอครับ?” ไวเวิร์นถามอย่างงุนงง

            “แผนการน่ะสิ…” เก็นยะกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “แผนการใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของคามิลล่า ทำให้พวกเราเป็นฝ่ายชนะยังไงล่ะ!!”

 

            “เฮอะ…ในที่สุดก็หมดพวกน่ารำคาญซะที…”

            คามิลล่าค่อยๆ บินต่ำลงมาบนพื้นเมื่อเห็นกลุ่มคนที่เธอเรียกว่าสวะต่างนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น โดยไม่มีท่าทีว่าจะลุกขึ้นสู่ต่อได้

            “ให้ตายเถอะ ดันมาทำให้ข้ามีบาดแผลซะได้…” คามิลล่าสำรวจร่างกายตัวเอง ร่างกายของเธอเต็มไปด้วยบาดแผลทั้งตัว แต่ไม่มีบาดแผลใดเลยที่ถึงขั้นมอบความตายให้กับเธอได้ “ช่างเถอะ…ทีนี้ข้าก็จะได้ไปจับตัวซากุระ…..”

            “คามิลล่า~~~~~~~~~~~~!!!!!!!!”

            เสียงตะโกนขัดจังหวะดังมาแต่ไกล พร้อมกับผู้ใช้แส้ที่วิ่งเข้ามาหาหล่อนอย่างเต็มกำลัง

            “อ้อ…ลืมไปเลย…ว่ายังเหลือพวกเศษสวะอีกตัวนึงนี่นา!!”

            คามิลล่าเผยรอยยิ้มสุดเหี้ยมแล้วเริ่มปล่อยสายฟ้าสีดำอย่างต่อเนื่องอีกครั้ง  ผู้ใช้แส้คอยใช้หูฟังเสียงสายฟ้า แล้วกะจังหวะเคลื่อนตัวหลบสายฟ้าอย่างคล่องแคล่ว เขาจะมาพลาดโดนไม่ได้แม้แต่อันเดียว เพราะนี่เป็นการเดิมพันครั้งสุดท้าย ถ้าเขาทำพลาด พวกเขาต้องเป็นฝ่ายแพ้แน่

            “ตอนนี้ล่ะ!! Holy Lighter!!”

            แว้บ!!

            “อุ้บ!! ต…ตาข้า”

            ไวเวิร์นเรียกแสงจ้าออกมาจากแส้ แวมไพร์สาวหลับตาลงในทันทีตามปฏิกิริยาตอบสนอง ทำให้การมองเห็นของหล่อนถูกปิดผนึกไปชั่วคราว ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผู้ใช้แส้ต้องการอยู่พอดี

            “เสร็จชั้นล่ะ!!” ไวเวิร์นกระโดดเข้าใส่ร่างตรงหน้า มือขวาที่กำแส้ยกขึ้นเหนือหัวเพื่อเตรียมใช้ท่าไม้ตายปิดฉาก

            “Holy…”

            “ซะเมื่อไหร่กันล่ะ~”

            ตูม!!!

            “อ๊าก~~~!!!”

            วินาทีก่อนที่ไวเวิร์นจะโจมตีสำเร็จ คามิลล่าซัดลูกบอลสีดำเข้าไปที่กลางอกของอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง ทำให้ไวเวิร์นกระเด็นออกไปและหล่นลงกระแทกพื้นเข้าอย่างแรง

            “ท…ทำไม…กัน…” ไวเวิร์นพยายามลุกขึ้นมาอีกครั้ง แต่ดูเหมือนเขาจะได้รับบาดเจ็บมากเกินไปจนยืนต่อไม่ไหวเสียแล้ว

            “คิดว่าข้ากระจอกขนาดไม่มีตาแล้วจะสู้ไม่ได้รึไง~? ถึงจะไม่มีตา แต่หูของข้าก็ดีกว่าพวกแกหลายร้อยเท่าเฟ้ย~!”

            คามิลล่าลืมตาพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ร่างที่บอบช้ำไปทั้งตัว ใบหน้าของเธอปรากฏรอยยิ้มที่เป็นการบ่งบอกว่าได้เวลาจบเกมกันเสียที

            “เอาล่ะ…ได้เวลากำจัดขยะให้หมดไปซะที~”

            แวมไพร์สาวเรียกลูกบอลสีดำออกมาอีกครั้ง จากสถานการณ์แล้ว ไม่ว่าจะมองมุมไหน ก็ไม่มีทางที่จะพลิกกลับมาเอาชนะได้เลย แวมไพร์สาวยังคงยิ้มอย่างมีชัย โดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่า……..หล่อนโดนล่อให้เข้ามาติดกับดักเข้าเสียแล้ว!!

 

            “ตอนนี้ล่ะ!!”

            ปังๆๆๆๆๆ!!!

            “อ…อะไรกัน!?”

            สิ้นสุดเสียงตะโกนของไวเวิร์น หน่วยรบของ VADET ที่ไม่น่าจะขยับตัวได้แล้วต่างก็พร้อมใจกันขว้างสิ่งที่มีลักษณะเหมือนลูกบอลใส่ศัตรูตรงหน้า ลูกบอลเหล่านั้นระเบิดออกและกลายเป็นตาข่ายสีขาวจำนวนมาก ทำให้ร่างของแวมไพร์สาวถูกคลุมด้วยตาข่ายจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้

            “น…นี่มันอะไรกัน!?” คามิลล่าโวยวายและพยายามดิ้นรนออกจากตาข่าย แต่ตาข่ายนั้นเป็นตาข่ายที่เหนียวเป็นพิเศษ แถมยังมีไฟฟ้าไหลเวียนเพื่อทำให้ศัตรูตัวชาตลอดเวลา ทำให้หล่อนไม่สามารถที่จะเอามันออกได้ง่ายๆ เลย

            “ทำได้ดีมากไวเวิร์น!!”

            ชายชุดสูทปรากฏกายออกมาทันทีที่เห็นอีกฝ่ายขยับไม่ได้ ร่างของเขาวิ่งตรงมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับดาบสีดำในมือ ดาบเล่มนั้นแผ่ออร่าสีดำอย่างต่อเนื่องราวกับต้องการบอกว่าพร้อมที่จะฟันศัตรูขาดเป็นสองท่อนได้ทุกเมื่อ

            “น…นี่แก…แกวางแผนแบบนี้เอาไว้แต่แรกแล้วงั้นเหรอ!?”

            คามิลล่ากัดฟันอย่างเจ็บใจที่ตัวเองดันเสียรู้ซะได้ ใช่แล้ว ทั้งหมดที่เหล่า VADET ได้ทำมาทั้งหมด…ล้วนเป็นไปตามแผนของบอสแห่ง VADET ทั้งสิ้น!!

 

            “ค…ความประมาท?” ไวเวิร์นทวนคำพูดของชายตรงหน้าอย่างงุนงง

            “ใช่ ความประมาทนี่แหละ คือจุดอ่อนที่ร้ายแรงที่สุดของคามิลล่า” เก็นยะพูดซ้ำอีกครั้ง

            “ท…ที่ว่าความประมาทคือจุดอ่อนนี่…หมายความว่าไงเหรอครับ?” ไวเวิร์นถาม

            “นั่นสินะ…ถ้าจะให้อธิบายล่ะก็…” เก็บยะนิ่งเงียบไปชั่วครู่เพื่อเรียบเรียงคำพูดในหัว “ไวเวิร์น ตอนที่นายสู้กับคามิลล่าเมื่อครู่นี้ นายโจมตีไม่โดนหล่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียวใช่มั้ย?”

            “ค…ครับ…” ไวเวิร์นตอบอย่างไม่อยากจะยอมรับ แต่ก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูที่มีทั้งพลังมหาศาลและปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วมาก ซึ่งพอรวมกับความว่องไวที่เหนือชั้นกว่าหลายขั้น ทำให้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างแม้รอยขีดข่วนให้หล่อนได้

            “แต่ถึงอย่างงั้น ถ้าชั้นจำไม่ผิด ก่อนหน้านั้นนายเคยสร้างบาดแผลให้คามิลล่าได้ด้วยมีดทำครัว ชั้นพูดถูกมั้ย?”

            “เอ๋? อ…เอ่อ…เคยมีเรื่องแบบนั้น…อ้ะ!!” ไวเวิร์นอ้ำอึ้งอยู่ซักพักก่อนที่จะถึงบางอ้อ ใช่แล้ว เก็นยะกำลังพูดถึงเหตุการณ์ที่เขาได้เจอกับคามิลล่าเป็นครั้งแรกนั่นเอง “จริงด้วย!! มีเรื่องแบบนั้นอยู่ด้วยนี่นา!!”

            “ใช่แล้วๆ” เก็นยะพยักหน้าอย่างพอใจ “ทั้งๆ ที่คามิลล่ามีปฏิกิรายาตอบสนองและความว่องไวที่เหนือกว่ามาก แต่หล่อนกลับโดนนายเอามีดฟันแขนได้อย่างง่ายดาย รู้มั้ยว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น?”

            “เอ๋?...เอ่อ…ก็…”

            ไวเวิร์นพยายามคิดหาคำตอบพร้อมกับทบทวนเหตุการณ์อีกครั้ง จะว่าไปแล้ว ก็ไม่ได้มีแค่ครั้งนั้นครั้งเดียวที่หล่อนได้รับบาดเจ็บอย่างง่ายดาย ไวเวิร์นพยายามนึกถึงเหตุการณ์เหล่านั้นทั้งหมด ตอนที่เจอกันครั้งแรก ตอนที่เขาขว้างมีดใส่แขนหล่อนได้อย่างง่ายดาย ตอนที่หล่อนโดนเก็นยะฟันจากข้างหลังโดยไม่รู้ตัว และตอนที่หล่อนถูกกระหน่ำโจมตีจนบาเรียแตก เมื่อนำทั้งสี่เหตุการณ์นี้มาหาจุดร่วมกัน คำตอบที่เป็นไปได้มีเพียงอย่างเดียว…นั่นก็คือ….

            “ร…หรือว่า…หล่อนจะประมาททุกครั้งเวลาที่เห็นว่าตัวเองเป็นฝ่ายเหนือกว่า!!”

            “ถูกต้องแล้ว” เก็นยะพยักหน้าสองครั้งอย่างพอใจ “คามิลล่าเป็นแวมไพร์ที่หยิ่งยโส และมองเห็นมนุษย์เป็นแค่เพียงแค่เศษขยะ เพราะอย่างงั้น ในช่วงเวลาที่เห็นว่าตัวเองเหนือกว่าพวกมนุษย์อย่างเห็นได้ชัด เธอก็จะคลายการป้องกันตัวลงโดยไม่รู้ตัว ซึ่งส่งผลให้ปฏิกิริยาตอบสนองของหล่อนช้าลง จนอยู่ในระดับเดียวกับมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น!!”

            “ย…อย่างนี้นี่เอง!!” ไวเวิร์นทำหน้าเหมือนคนที่เพิ่งแก้โจทย์คณิตศาสตร์แสนยากได้หลังจากที่นั่งหาคำตอบมาตั้งนาน “ล…แล้วแผนการที่บอกว่าจะใช้ประโยชน์จากความประมาทนี่ คือยังไงเหรอครับ?”

            “สำหรับเรื่องนั้น ตั้งใจฟังให้ดีนะ”

            เก็นยะสูดหายใจเข้าก่อนที่จะเริ่มอธิบายต่อ

            “ชั้นได้สั่งการพวกนั้นเอาไว้แล้ว ว่าให้ทุกคนหาจังหวะทำเป็นพลาดท่า และโดนอีกฝ่ายโจมตีจนไม่สามารถสู้ต่อได้”

            เก็นยะชี้มือไปทางหน่วยรบ VADET ที่กำลังปะทะกับคามิลล่าอย่างดุเดือด

            “เมื่อทุกคนทำตามแผนกันครบแล้ว ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของนายที่จะต้องไปสู้กับเธอ จากนั้น ก็ให้หาโอกาสที่ตัวเองเผลอเพลี่ยงพล้ำ และโดนอีกฝ่ายโจมตีจนเสียท่า ในตอนนั้น อีกฝ่ายจะต้องเผยช่องโหว่ออกมาแน่ ถึงตอนนั้นก็ให้ตะโกนส่งสัญญาณ แล้วพวกนั้นที่แกล้งทำเป็นเสียท่า ก็จะขว้างตาข่ายแบบพิเศษใส่เธอ ทำให้เธอขยับไม่ได้ไปชั่วครู่”

            เก็นยะยกดาบสีดำขึ้นมาในท่าขนานกับตัว

            “และเมื่อชั้นเห็นว่าเธอขยับไม่ได้แล้ว ชั้นจะโผล่ออกมา เข้าไปจัดการกับเธอซะ….”

 

            ใช่แล้ว ในตอนนี้ก็คือช่วงเวลานั้น เวลาที่เขารอคอย เก็นยะเงื้อดาบไปที่เอวในท่าเตรียมฟัน สายตาของบอสแห่ง VADET ฉายแววอันเฉียบคมออกมา ราวกับจะบอกว่าถึงเวลาจบเกมกันซะที!!

            “หึๆๆ…แกพลาดแล้ว เก็นยะ อาริคาโด้!!”

            เปรี้ยง!!

            วินาทีนั้น สายฟ้าสีดำผ่าลงมาที่ตาข่ายอย่างแม่นยำ ตาข่ายนั้นถูกสายฟ้าทำลายจนมอดไหม้ในพริบตา ร่างของแวมไพร์สาวสยายปีกขึ้นมาอีกครั้ง และใช้เวลาเสี้ยววินาทีในการทะยานขึ้นไปบนฟ้า ทำให้ดาบสีดำนั้นพลาดการผ่าร่างของอีกฝ่ายไปอย่างน่าเสียดาย

            “บ…บ้าน่า!! ทำไมถึง…”

            เปรี้ยง!! ตูม!!!!

            “อั๊ก!!!”

            สายฟ้าสีดำผ่าลงมาที่ร่างของผู้ใช้ดาบพร้อมกับลูกบอลสีดำที่โจมตีซ้ำเข้าไปทันที ร่างในชุดสูทลงไปนอนกับพื้นในพริบตาพร้อมกับดาบสีดำที่กระเด็นหลุดมือร่วงหล่นอยู่ข้างตัว

            “โง่เง่ายิ่งนัก คิดว่าข้าคนนี้จะดูไม่ออกเรื่องที่ตัวอันตรายอย่างแกแอบวางแผนเอาไว้รึไงกัน~?”

            คามิลล่าหัวเราะอย่างสะใจ ใช่แล้ว หล่อนรู้ตัวมาตลอดตั้งแต่วินาทีที่ไวเวิร์นออกมาสู้คนเดียว เพราะการที่เก็นยะไม่ได้ออกมาช่วยสู้ด้วยนั้นเป็นเรื่องที่ผิดปกติมาก หล่อนรู้ดีว่าชายในชุดสูทคนนี้เป็นตัวอันตราย จึงไม่มีทางที่เขาจะอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลย ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว ว่านี่คือแผนการที่จะล่อให้ตัวเองไปติดกับ หล่อนเลยจงใจแกล้งทำเป็นเสียท่า เพื่อที่จะล่อให้ตัวอันตรายของหล่อนออกมา และจัดการตลบหลังให้อยู่หมัดในทีเดียวซะ ทั้งหมดเป็นไปตามที่หล่อนคิด แผนการตลบหลังประสบความสำเร็จ และหล่อน…คือผู้ที่เป็นฝ่ายชนะ!!

            แต่แล้ว…

 

            บนใบหน้าของเก็นยะกลับปรากฏรอยยิ้มออกมา รอยยิ้มนั้นไม่ใช่รอยยิ้มของผู้ที่สูญเสียความหวัง และไม่ใช่รอยยิ้มของผู้ที่เศร้าใจกับความพ่ายแพ้ แต่เป็นรอยยิ้ม…ที่ราวกับจะสื่อออกมาให้อีกฝ่ายรู้ว่า…แกเป็นฝ่ายแพ้แล้ว

            “ร…รอยยิ้มนั่นมัน…อะไรกัน…”

            คามิลล่ารู้สึกหวาดกลัวอย่างไร้สาเหตุ ทำไมกัน หล่อนเป็นฝ่ายชนะแล้วนี่ แล้วทำไมถึงยังมีรอยยิ้มแบบนั้นออกมาอีก

            “Holy…”

            !!

            คามิลล่าสัมผัสได้ถึงบางอย่างจากด้านหลัง หล่อนรีบหันไปในทันที แล้วหล่อนก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความช็อก เพราะสิ่งที่อยู่ด้านหลังเธอนั้น คือร่างของผู้ใช้แส้ที่ลอยอยู่เหนือหล่อนประมาณสามฟุต แส้ในมือขวามีไฟสีฟ้าขาวลุกไหม้อย่างต่อเนื่อง ในวินาทีนั้น หล่อนตระหนักถึงความหมายของรอยยิ้มนั้นได้ทันที ใช่แล้ว หล่อนไม่ได้ทำลายแผนการของอีกฝ่ายได้สำเร็จ……แต่ถูกหลอกว่าทำลายแผนการได้สำเร็จแล้วเข้าไปติดกับดักอีกชั้นของอีกฝ่ายต่างหาก!!

 

            “แต่ว่า…เพียงแค่นั้นไม่อาจที่จะเอาชนะอีกฝ่ายได้แน่…” เก็นยะพูดแย้งคำพูดของตัวเอง

            “เอ๋? ทำไมล่ะครับ?” ไวเวิร์นถาม เพราะจากที่ฟังดูแผนนี้ก็ไม่มีช่องโหว่ที่ไหนอยู่เลย

            “เพราะว่าคามิลล่าจะระวังตัวจากชั้นเป็นพิเศษไงล่ะ” เก็นยะตอบ “สำหรับเธอ ชั้นคือตัวอันตราย การที่ชั้นปล่อยให้นายออกไปสู้คนเดียว เธอจะต้องรู้ตัวทันทีแน่ว่าชั้นแอบวางกับดักเอาไว้ และมีความเป็นไปได้สูงที่เธอจะแกล้งทำเป็นติดกับ และตลบหลังชั้นทันทีที่โผล่หัวออกมา”

            “ถ…ถ้างั้น…แผนการนี้…ก็ไม่มีทางสำเร็จเหรอครับ….” ไวเวิร์นพูดออกมาอย่างสิ้นหวัง เก็นยะส่ายหน้าให้กับคำพูดนั้นทันที

            “แต่ในวินาทีนั้น ชั้นจะทำเหมือนโดนแผนตลบหลังเล่นงานเข้าอย่างจัง ทันทีที่เธอคิดว่าแผนนั้นเป็นไปด้วยดี เธอจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายชนะแล้ว ซึ่งในเวลานั้น ความประมาทจะเกิดขึ้นในทันที เมื่อถึงตอนนั้น…”

            เก็นยะชี้ไปที่ผู้ใช้แส้ด้วยใบหน้าจริงจัง

            “ก็เป็นหน้าที่ของนาย…ที่จะใช้โอกาสนั้นเผด็จศึกเธอซะ”

            “ผ…ผมน่ะเหรอ!?” ไวเวิร์นร้องอย่างนึกไม่ถึง

            “ใช่แล้ว…มีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่จะนำชัยชนะมาสู่พวกเราได้!!”

            ไวเวิร์นยืนนิ่งและพูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะต้องรับหน้าที่อันหนักอึ้งเช่นนี้ หากเขาทำพลาด ทุกอย่างที่ทำมาก็จะสูญเปล่า แต่ว่า…นี่ไม่ใช่เวลาที่จะลังเลอีกต่อไปแล้ว เพราะถ้าหากเขาไม่ทำ โอกาสชนะก็จะเป็นศูนย์ในทันที เพราะฉะนั้น…ไม่ว่ายังไงก็ต้องทำเท่านั้น!!

            “เข้าใจแล้วครับ…” ไวเวิร์นตอบด้วยแววตาที่ไร้ความลังเล สิ่งที่เป็นตัวตัดสินแพ้ชนะ อยู่ในกำมือของเขาแล้ว

 

            แม้แวมไพร์สาวจะรู้ตัวตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว ปฏิกิริยาตอบสนองยามประมาทของหล่อนไม่อาจหลบการโจมตีนี้ได้ทันแน่ๆ การโจมตีสุดท้ายที่เป็นการปิดฉาก และเป็นการป่าวประกาศ ว่ามนุษย์ที่หล่อนมองว่าเป็นแค่เศษสวะ…เป็นฝ่ายชนะ!!

            “Fire!!”

            “อ๊าก~~~~~~~~~~~~~~~~!!!!!!!”

            เสียงกรีดร้องของแวมไพร์สาวดังขึ้นพร้อมกับไฟสีฟ้าที่ลุกไหม้ทั่วร่างกาย หล่อนบินไปมาอย่างทรมานเพื่อดิ้นรนหาทางเอาตัวรอด แต่สุดท้ายร่างนั้นก็ร่วงหล่นสู่พื้นพร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ค่อยๆ เบาลงจนหายไป

            “สำ…เร็จ…แล้ว…”

            ร่างของไวเวิร์นร่วงหล่นตามแรงโน้มถ่วงอย่างไร้การต่อต้าน ดูเหมือนว่าเขาจะใช้พลังเฮือกสุดท้ายหมดไปกับการโจมตีนั้นซะแล้ว เขาจึงได้แต่ต้องยอมทำใจ ว่าตัวเองจะต้องโหม่งพื้นโลกเข้าอย่างจังแน่ๆ แต่แล้ว…

            ดึ๋ง~~

            ไวเวิร์นสัมผัสได้ถึงสัมผัสอันยืดหยุ่นจากหลังของเขา เขาค่อยๆ หันหน้าไปมองว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเบาะลมขนาดใหญ่ ที่ช่วยรับร่างเขาไม่ให้กระแทกพื้นได้อย่างทันเวลา

            “น…นี่มัน…” ไวเวิร์นมองเบาะที่ตัวเองนอนอยู่อย่างประหลาดใจ

            “เบาะลมแบบพิเศษสำหรับเวลาฉุกเฉินแบบนี้ไงล่ะ”

            ผู้ใช้แส้ได้ยินเสียงของเก็นยะมาจากทางเหนือหัวเขา เขาเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนอีกครั้งและพบว่าตัวเองกำลังถูกชะโงกมองจากเก็นยะและสมาชิก VADET คนอื่นๆ ด้วยความเป็นห่วง

            “ค…คุณ…อาริคาโด้…”

            “ถ้าไม่ใช่เพราะนายล่ะก็ พวกเราคงไม่มีทางได้รับชัยชนะครั้งนี้มาแน่ ต้องขอขอบคุณจริงๆ นะ”

            เก็นยะโค้งให้เพื่อแสดงความความขอบคุณ เหล่า VADET คนอื่นเองก็ทำตามผู้เป็นบอสและกล่าวคำขอบคุณออกมาพร้อมกัน

            “ไม่หรอกครับ…ไม่ใช่เพราะผมคนเดียวหรอก…”

            ไวเวิร์นตอบปฏิเสธพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมา

            “แต่เป็นเพราะความพยายามของทุกคน…ที่ต้องการนำพาความหวังกลับคืนมาต่างหากล่ะครับ…”

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา