Castlevania - The Rancor's Funeral

10.0

เขียนโดย xanxussama1010

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 14.22 น.

  13 ตอน
  4 วิจารณ์
  14.54K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 14.27 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) บทที่ 8 - โพรมีเทียสและฟรานซิสก้า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

             “นี่คือ…ตัวตนของญี่ปุ่นสินะ…”

             ชายคนหนึ่งพูดขึ้นในขณะที่มองประเทศที่มีนามว่าญี่ปุ่นจากบนดาดฟ้าของตึกร้อยชั้น

             ชายผู้นั้นมีผมสีทองที่พองฟูออกมาจนดูคล้ายกับแผงคอของพญาราชสีห์ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มดั่งไพลินเผยออกมาให้เห็นเล็กน้อยจากแว่นกันแดดเลนส์ทรงรูปไข่ ใบหน้ารูปสามเหลี่ยมที่ยังคงไร้ร่องรอยแสดงออกถึงอายุที่เพิ่งจะผ่านเลขสองมาเพียงไม่นานนัก

             ชุดสูทสีน้ำตาลดำไร้ซึ่งการติดกระดุมจากสูทตัวนอกเผยให้เห็นเสื้อคอปกแขนยาวสีขาว และเนคไทลายเสือที่ถูกพันไว้อย่างหลวมๆ ซึ่งช่วยเพิ่มความเกรงขามของเขาได้เป็นอย่างดี

             “ขนาดแค่มองจากตรงนี้ก็สัมผัสได้ถึงวิทยาศาสตร์อันล้ำหน้าที่แผ่ออกมาไม่หยุดเลย…สุดยอดไปเลยแฮะ…”

             ชายคนนั้นยิ้มออกมาราวกับกำลังชมภาพศิลปะอันงดงามจนไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้

             “โฮ่ย ฟราน ลองมาดูตรงนี้สิ มันสุดยอดไปเลยล่ะ!!”

             ชายผมทองหันไปด้านหลังแล้วพูดกับหญิงสาวที่ยืนห่างออกไปประมาณสามเมตร

             หญิงสาวคนนั้นมีผมยาวสลวยสีชมพูอ่อนที่ฟูฟ่องเหมือนกับขนมสายไหมโดยถูกรวบไว้เป็นทรงหางม้า สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนบานขนาดเล็กจนเห็นโครงร่างเรียวบางจากภายนอกได้อย่างชัดเจน แขนทั้งสองข้างตั้งแต่ข้อศอกลงมาถูกปิดบังไว้ด้วยถุงมือยาวสีม่วงชมพู สวมกางเกงขายาวทรงบอลลูนสีแดงอ่อนซึ่งช่วยดึงเสน่ห์ของความเยาว์วัยได้เป็นอย่างดี

             นัยน์ตาสีชมพูอ่อนของเธอกำลังไล่ไปตามหน้ากระดาษของหนังสือในมือ ซึ่งเพียงแค่มองจากหน้าปกก็รู้ว่าเป็นนิยายแนวเลิฟคอมเมดี้

             “ฟราน? ได้ยินรึเปล่า? ฟราน?”

             ชายผมทองเรียกซ้ำอีกครั้ง เนื่องจากหญิงสาวตรงหน้ายังคงก้มหน้าอ่านหนังสือร่างไร้การตอบสนอง

             “ด…ดีจังเลย…”

             “ห…หา…?”

             “ดีจังเลย~!! ยินดีด้วยนะโคซากิจัง ในที่สุดก็ได้แต่งงานกับราคุคุงซะที~”

             หญิงสาวยกมือขึ้นปาดน้ำตาของตัวเองที่ไหลออกมาอัตโนมัติ ดูเหมือนว่าเธอจะอินกับนิยายในมือจนไม่ได้ยินเสียงเรียกของชายผมทองเลยแม้แต่น้อย

             ปึด!!

             “ยัยฟรานซิสก้า อัลลินโว้ย!!”

             ปั๊ก!!

             “โอ้ย!!”

             สันฝ่ามือแห่งความโมโหของชายผมทองสับเข้าไปกลางกบาลของสาวผู้อินไปกับนิยายเข้าอย่างจัง สาวผมชมพูปล่อยนิยายร่วงลงกับพื้นแล้วยกมือกุมหัวด้วยความเจ็บปวด

             “มันเจ็บนะ!! ทำอะไรของนายน่ะโพมี่!!” ฟรานซิสก้าโวยวายด้วยใบหน้าที่ยังคงหลงเหลือน้ำตาคลอเบ้า

             “ก็หล่อนมัวแต่อ่านนิยายน้ำเน่าจนไม่ได้ฟังที่ชั้นพูดเองนี่นา!!” ชายผมทองโวยวายกลับ

             “ไม่ใช่นิยายน้ำเน่าซะหน่อยนะ!! รู้มั้ยว่าเรื่องราวความรักของราคุคุงกับโคซากิจังน่ะมันแสนจะสุดซึ้งแค่ไหน!? ทั้งคู่สัญญาเอาไว้ตั้งแต่เด็กว่าจะแต่งงานด้วยกัน แต่พอผ่านไปสิบปีทั้งคู่กลับจำหน้าคนที่สัญญาด้วยไม่ได้ แต่ถึงกระนั้น ความรักของทั้งสองกลับไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย ทั้งที่มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย ทั้งที่พวกเขาจะตัดใจไปรักคนอื่นก็ได้ แต่พวกเขากลับไม่ทำ และยึดมั่นในความรักของตัวเองจนถึงที่สุด ในที่สุด ทั้งคู่ก็ได้พบข้อพิสูจน์ว่าอีกฝ่ายคือคนที่สัญญาเอาไว้ และแต่งงานกันอย่างมีความสุข เห็นมั้ย มันเป็นนิยายที่ถูกเขียนได้ดีจะตาย!?”

             “ใครเขาสนเรื่องนั้นกันเล่า!? เรื่องแบบนั้นจะเป็นยังไงก็ช่างหัวมันเถอะ!!”

             “ช่างหัวมันงั้นเหรอ!? โพมี่นี่ช่างไร้ซึ่งความโรแมนติกจริงๆ เลย!!”

             “โรแมนติกติกงั้นเหรอ!? ไอ้ของแบบนั้นน่ะ…”

             “โฮ่ย!! นี่พวกเธอเป็นใครกันน่ะ!?”

             เสียงแหบแห้งเสียงหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะคู่ชายหญิงที่กำลังทะเลาะกันอย่างเมามัน(?) ทั้งสองหันไปทางต้นเสียงที่มาจากลิฟต์ชั้นดาดฟ้า ก็พบกับลุงแก่ๆ ในชุดพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ขึ้นมาบนดาดฟ้าเพราะได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังลั่น

             “แย่ล่ะสิ!! หนีกันเถอะฟราน!!”

             “อ้ะ!! รอด้วยสิโพมี่!!”

             ชายผมทองวิ่งนำออกไปทางรั้วดาดฟ้าอย่างร้อนรนโดยมีฟรานซิสก้าไล่ตามมาติดๆ ทั้งสองคนกระโดดข้ามรั้วที่สูงกว่าห้าเมตรไปอย่างง่ายดายและปล่อยร่างของตัวเองร่วงตามแรงโน้มถ่วงอย่างอิสระ

             “เฮ้ย!! เดี๋ยวก่อน!? นี่มันดาดฟ้าของตึกร้อยชั้นนะ!?”

             ลุงยามตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า เขารีบวิ่งไปเกาะรั้วดาดฟ้าแล้วก้มหน้ามองข้างล่างทันที แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับมีเพียงความว่างเปล่า ไม่เห็นแม้แต่เงาของร่างของชายหญิงที่โดดลงไปเสียแล้ว

             “ไม่จริงน่า…ตกลงไปถึงพื้นแล้วเหรอ…ช…ชั้นไม่รู้เรื่องด้วยนะ!!”

             ลุงยามโวยวายอย่างตื่นตูมแล้วรีบหันหลังกลับออกไปทางประตูดาดฟ้าทันทีด้วยความกลัวว่าตัวเองจะถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกร

 

             “โธ่เอ้ย…ชั้นอยากจะดูญี่ปุ่นจากด้านบนนานกว่านี้ซักหน่อยแท้ๆ…” ชายผมทองบ่นอย่างผิดหวังในขณะที่กำลังเดินไปตามทางที่เต็มไปด้วยผู้คน “เป็นเพราะหล่อนคนเดียวเลย ยัยบ้า…”

             “อะไรยะ!? นี่นายจะโทษว่าเป็นความผิดฉันงั้นเหรอ!?” ฟรานซิสก้าที่เดินตามหลังมาโต้กลับอย่างฉุนเฉียว “คนที่หาเรื่องชวนทะเลาะก่อนมันนายไม่ใช่เหรอ!!”

             “นั่นมันก็เพราะหล่อน…”

             “ทำไมยะ!?”

             “ฮึ่ย~~~!!!”

             ใบหน้าของทั้งสองหันมาปะทะกันกัน นัยน์ตาทั้งคู่ประสานกันพร้อมกับแผ่รังสีที่บอกว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกอย่างไม่มีใครยอมใคร เสียงคำรามเล็ดลอดออกมาจากปากทั้งสองที่กัดฟันแน่นราวกับหมาสองตัวที่กำลังขู่แย่งอาหาร บรรยากาศเช่นนี้ดำเนินไปอยู่หลายวินาที จนกระทั่ง

             “เชอะ!!”

             เรื่องทั้งหมดจบลงด้วยการเชิดใส่กัน แล้วเดินต่อไปโดยไม่มีใครยอมหันมามองใครแทน

 

             “อ้ะ~ จริงด้วยสิ นี่~ โพ…อ้าว?”

             สาวผมชมพูนึกอะไรบางอย่างได้เลยหันมาเพื่อจะคุยกับหนุ่มผมทองตรงหน้า แต่ทันทีที่เธอหันมาก็ต้องประหลาดใจเล็กน้อย เพราะหนุ่มผมทองซึ่งควรจะอยู่ข้างหน้าเธอกลับไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว

             “โพมี่? ไปไหนซะแล้วล่ะ?” ฟรานซิสก้าเอียงคออย่างงงๆ พร้อมกับหันไปรอบๆ เพื่อมองหาอีกฝ่าย เธอคิดว่าเขาคงจะอยู่ไม่ไกลจากเธอมากนัก เพราะเมื่อไม่กี่นาทีก่อนเขาก็ยังอยู่กับเธออยู่เลย ซึ่งเธอก็เสียเวลาในการมองหาอีกฝ่ายไปไม่นานนัก

             “นี่มัน...ไม่ผิดแน่…”

             เพราะในเวลาต่อมา เธอก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดังมาจากจุดที่ห่างออกไปไม่มากนัก ทันทีที่เธอหันไปทางจุดนั้น ก็พบร่างของคนที่เธอมองหากำลังสนอกสนใจอะไรซักอย่าง

             “ใช่แน่ๆ…ใช่จริงๆ ด้วย…หุ่นยนต์ทำความสะอาดรุ่นใหม่ล่าสุด NG-2085 นี่นา!!”

             หนุ่มผมทองกู่ร้องออกมาดังลั่นจนคนที่อยู่รอบๆ หันมามองด้วยความตกใจ แววตาที่เปล่งประกายภายใต้แว่นกันแดดนั้นจ้องไปที่หุ่นยนต์ทำความสะอาดซึ่งเป็นของที่มีอยู่ดาษดื่นในทุกบริเวณของญี่ปุ่น

             “จ…จริงสิ…ถ้าเป็นเจ้านี่จริง แสดงว่าต้องมีระบบนี้อยู่แน่!!”

             ชายผมทองรีบควักกระเป๋าตังของตัวเองออกมาแล้วหยิบธนบัตรสองสามใบโยนออกไปรอบๆ บริเวณนั้น

             “ทำความสะอาด~ ทำความสะอาด~”

             เสียงสังเคราะห์ดังขึ้นพร้อมกับหุ่นยนต์ตัวนั้นที่เริ่มเคลื่อนตัว มันเคลื่อนที่ไปอยู่หน้าธนบัตรเหล่านั้นแล้วยืดมือเหล็กออกไปหยิบธนบัตรเหล่านั้นขึ้นมา จากนั้นมันก็เปิดช่องท้องของตัวเองออกมา แล้วทำการหย่อนธนบัตรเหล่านั้นเข้าไปในนั้นทันที

             หวอๆๆๆ!!

             แต่แล้ว จู่ๆ มันก็ส่งเสียงหวอออกมาราวกับมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น

             “ตรวจพบของมีค่า~ ตรวจพบของมีค่า~ ทำการสแกนหาเจ้าของ~ ทำการสแกนหาเจ้าของ~”

             เซนเซอร์ที่มีลักษณะเป็นดวงตาเปล่งแสงสีแดงเจิดจ้าออกมา ร่างของมันหมุนติ้วๆ พร้อมกับเคลื่อนที่ไปมาอย่างสะเปะสะปะซักพักก่อนที่จะมาหยุดอยู่ตรงหน้าของชายผมทอง

             “พบเจ้าของแล้ว~ พบเจ้าของแล้ว~ ทำการคืนของมีค่า~ ทำการคืนของมีค่า~”

             มันเปล่งเสียงสังเคราะห์ออกมาอีกครั้งพร้อมกับเปิดช่องท้องแล้วหยิบธนบัตรสามใบคืนให้ชายตรงหน้า

             “ม…มีจริงๆ ด้วย!! ระบบแยกของมีค่า และทำการส่งคืนเจ้าของที่สมบูรณ์แบบที่สุด!!” หนุ่มผมทองรับธนบัตรคืนมาด้วยท่าทางปลาบปลื้มสุดๆ “สุดยอดไปเลย!! ขนาดหุ่นยนต์ทำความสะอาดของรัสเซียยังแยกระหว่างใบไม้กับธนบัตรไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ที่ญี่ปุ่นกลับทำได้ขนาดนี้ อย่างที่คิดเลย วิทยาศาสตร์ของญี่ปุ่นนี่มันสุดยอดจริงๆ!!”

             หนุ่มผมทองชูมือตะโกนลั่นอย่างไม่หยุด จนผู้คนแถวนั้นเริ่มค่อยๆ ออกห่างเพราะคิดว่าชายคนนี้มันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ

 

             ปึด!!

             เสียงเส้นเลือดที่ปูดขึ้นมาเป็นรูปเครื่องหมายบวกดังออกมาจากหน้าผากของสาวผมชมพูที่ฟิวส์ขาดไปแล้ว เธอค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้หนุ่มผมทองจากด้านหลังพร้อมกับปล่อยรังสีอาฆาตที่ชวนให้ขนลุก เธอค่อยๆ ยกมือขวาที่กำหนังสือซึ่งหน้าปกเขียนว่าเจาะลึกญี่ปุ่นแบบโครตละเอียดซึ่งไม่รู้ว่าหยิบออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ขึ้นสูงเรื่อยๆ แล้วจากนั้น…

             “ทำบ้าอะไรของนายอยู่ยะ!? อีตาโพรมีเทียส แกรนดอร์ฟี่!!

             ผัวะ~!!

             “แอ้ก!!”

             ป้าป!!

             สันของหนังสือที่มีความหนาไม่ต่ำกว่าพันหน้ากระแทกเข้าที่หลังหัวของชายผมทองเข้าอย่างแรงจนร่างนั้นหน้าทิ่มลงไปโขกกับพื้น

             “เจ็บโว้ย~~~~~!!! หล่อนเป็นบ้าอะไรของหล่อนเนี่ย!?” โพรมีเทียสลุกขึ้นมาโวยวายโดยที่มือทั้งสองข้างกุมจุดที่ได้รับบาดเจ็บเอาไว้

             “นั่นมันคำพูดของฉันต่างหาก!! ไปตะโกนกับไอ้หุ่นกระป๋องยังกะคนบ้าแบบนั้น ไม่อายชาวบ้านเขาบ้างรึไงยะ!?” ฟรานซิสก้าดตวาดกลับอย่างสุดจะทน

             “ไม่ใช่หุ่นกระป๋องซะหน่อยนะ!! มันคือความภาคภูมิใจของวิทยาศาสตร์ต่างหากล่ะ!! การที่วิทยาศาสตร์สามารถสร้างของแบบนี้ได้ มันเป็นเรื่องที่น่าดีใจจะตาย!”

             “ไม่มีใครเขาดีใจเวอร์แบบนายหรอกย่ะ!! ตาบ้าวิทยาศาสตร์!!”

             “บ้าวิทยาศาสตร์แล้วไง!? มันก็ยังดีกว่าบ้าหนังสือแบบหล่อนล่ะน่า!!”

             “อะไรยะ!? นี่นายดูถูกหนัง…”

             “เอ่อ…ขอโทษนะครับ…แต่ว่าพวกคุณกำลังส่งเสียงดังรบกวนชาวบ้านเขานะครับ…”

             การทะเลาะกันของทั้งสองถูกขัดจังหวะขึ้นอีกครั้ง โดยนายตำรวจวัยกลางคนที่ทนเสียงของทั้งสองคนไม่ไหว จนต้องเข้ามาทำหน้าที่นี้ด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง

             “เอ้ะ…อ้ะ…เอ่อ…” โพรมีเทียสหันหน้าไปรอบตัวอย่างลอกแลก ก่อนที่จะหันมาสบตากับคุณตำรวจอีกครั้ง

             “อ…เอ่อ…ข…ขอโทษด้วยครับ!!”

             ฟิ้ว~!!

             ชายแว่นดำคำนับตำรวจตรงหน้าอย่างว่องไวก่อนที่จะกุลีกุจอใส่เกียร์หมาเผ่นอย่างรวดเร็ว

             “อ้ะ!! หนีเอาตัวรอดคนเดียวเหรอ!? ข…ขอโทษด้วยค่ะ! รอด้วยสิโพมี่!!”

             ฟิ้ว~!!

             สาวผมชมพูที่โดนทิ้งเองก็ไม่รอช้า เธอคำนับนายตำรวจตรงหน้าอย่างลนลาน แล้วรีบเผ่นตามหลังไปด้วยอีกคน

 

             “เฮ้อ…วันนี้มันวันซวยอะไรกันเนี่ย…”

             ฟรานซิสก้าถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย ขณะที่กำลังนั่งพักอยู่ที่น้ำพุในสวนสาธารณะ พร้อมกับงับเครปในมือที่ทั้งสองคนซื้อมากินหลังจากวิ่งหนีรอดจากตำรวจมาแล้ว

             “มันก็เป็นเพราะหล่อนเป็นต้นเหตุไม่ใช่เรอะ…” โพรมีเทียสบ่นพร้อมกับกัดเครปคำโต

             “อะไรยะ…นี่นายยัง…ช่างเถอะ…ฉันขี้เกียจทะเลาะกับนายแล้ว…”

             สาวผมชมพูที่เหนื่อยจนไม่อยากเสียแรงไปมากกว่านี้เป็นฝ่ายตัดบทด้วยตัวเอง ทั้งสองคนกลับไปแทะเครปของตัวเองโดยไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย จนกระทั่ง

             “…นี่…โพมี่…?” ฟรานซิสก้าเป็นฝ่ายชวนคุยอีกครั้งหลังจากเครปในมือหมดแล้ว

             “หืม?”

             “นายน่ะ…คิดจะทำจริงเหรอ…” เธอหันสายตาที่ฉายแววแห่งความกังวลไปยังคนข้างตัว “เป้าหมายในคราวนี้ไม่ใช่ปีศาจ แต่เป็นมนุษย์นะ…นายจะยอมมือเปื้อนเลือดฆ่าเธอจริงๆ เหรอ…?”

             “...จะมาพูดอะไรเอาป่านนี้เล่า…” โพรมีเทียสยืนขึ้นแล้วใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางข้างขวาดันตรงกลางแว่นกันแดด “คิดว่าพวกเราถ่อมาถึงญี่ปุ่นเพื่ออะไรกันล่ะ…?”

             “ต…แต่ว่า…”

             “ฟังให้ดีนะฟราน…”

             ชายผมทองยืนล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วแหงนหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า และปล่อยให้ตัวเองเหม่อลอยเช่นนั้นอยู่ชั่วครู่

             “ชั้นน่ะ ไม่เคยลืมมันเลยแม้แต่วันเดียว…” เขาเปิดปากพูดต่อด้วยเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย “ภาพที่เหมือนกับฝันร้ายตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน ชั้นก็ยังคงจำมันได้ดีเหมือนกับพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน…”

             เขาค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นมากุมที่ขมับตัวเอง ทำให้ดวงตาภายใต้แว่นดำถูกมือนั้นบังเอาไว้

             “ชั้นในตอนนั้นรู้สึกทั้งแค้นแล้วก็เศร้า แค้นที่เจ้านั่นทำลายสิ่งสำคัญของพวกเราจนสูญสิ้น และเศร้าที่เจ้านั่นยังมีชีวิตอยู่ และยังคงทำให้คนอื่นเจอเรื่องแบบเดียวกับพวกเรา เพราะฉะนั้น…”

             เขาค่อยๆ เอามือที่กุมขมับลงแล้วหันมาสบตากับเพื่อนร่วมทาง

             “ไม่ว่าจะด้วยวิธีการแบบไหนชั้นก็จะทำ เพื่อให้เจ้านั่นสาบสูญไปจากโลก…เพื่อให้พวกเราได้ล้างแค้นกับเหตุการณ์ในวันนั้น….และเพื่อไม่ให้ต้องมีคนที่ต้องเจอเรื่องโศกเศร้าแบบพวกเราอีก!!”

             “โพมี่…”

             ฟรานซิสก้าได้แต่จ้องมองดวงตาสีไพลิน ที่เปล่งประกายความแค้นที่ปะปนมากับความเศร้าอย่างเห็นได้ชัด แม้จะมีแว่นกันแดดมาคั่นกลางก็ตาม

             “นั่นสินะ…”

             เธอหลับตาลงแล้วปล่อยตัวเองอยู่ในภวังค์ซักพักก่อนที่จะพูดต่อ

             “ตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน พวกเราทำในสิ่งที่ฝืนตัวเองไปมากมาย ทั้งยอมทิ้งตัวเองในอดีตเพื่อให้พวกเรามีวันนี้ ทั้งยอมเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงกับความตายไม่รู้กี่ครั้ง ทั้งที่เจ็บปวดจนอยากจะตะโกนออกมาดังๆ แต่พวกเราก็ไม่เคยหยุด และไม่เคยนึกเสียใจทีหลังที่เลือกทางเดินเช่นนี้…และครั้งนี้ก็จะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน…”

             เปลือกตาของเธอเปิดออกเผยให้เห็นแววตาแห่งความสำนึกผิด

             “ฉันนี่มันแย่จริงๆ ดันเผลอปล่อยใจให้ลังเล แล้วลืมเรื่องสำคัญแบบนั้นไปซะได้…ขอโทษด้วยนะ…”

             “ไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอโทษอะไรซะหน่อย ยัยบ้า…”

             โพรมีเทียสยกมือขึ้นลูบหัวปลอบใจเพื่อนร่วมทาง สาวผมชมพูหัวเราะแหะๆ ออกมาพร้อมกับยิ้มเล็กยิ้มน้อย

             “ถึงจะเป็นเรื่องไม่ดีกับเธอคนนั้นก็ตาม แต่ยังไงชั้นก็ต้องทำ…เพื่อการสังหารแดร็กคูล่า…”

             “ใช่แล้ว…และเพื่อการนั้น…”

             ฟรานซิสก้าล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงพร้อมกับหยิบสิ่งหนึ่งขึ้นมา

             “แม้ว่าพวกเราจะไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับเธอ…แต่พวกเราจำเป็นต้องฆ่าเธอซะ…”

             มันคือรูปถ่ายของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งดูไร้ซึ่งพิษภัยอันตรายใดๆ ดวงตาของทั้งสองจับจ้องอยู่ที่ภาพนั้นอย่างไม่ละสายตา ราวกับต้องการที่จะฝังภาพนั้นเข้าไปในส่วนลึกของสมอง ภาพของหญิงสาวผมสีน้ำทะเลในชุดมิโกะ ที่เป็นเป้าหมายของพวกเขาในครั้งนี้….

 

              “นี่ๆ ไวเวิร์น ฉันทำข้อนี้ไม่ได้น่ะ ช่วยสอนหน่อยสิ”

             “ข้อนี้เหรอ? ก่อนอื่นก็แทนค่าเอ็กซ์เท่ากับรูทสามส่วนสองลงในสมการนี้ จากนั้นก็…”

             เสียงของปากกาขีดเขียนบนกระดาษดังออกมาอย่างต่อเนื่องพร้อมกับเสียงพูดของหนุ่มผมดำที่อธิบายวิธีแก้โจทย์ไปทีละขั้นตอน โดยมีสาวผมสีน้ำทะเลในชุดมิโกะมองตามมือนั้นพร้อมกับฟังคำอธิบายอย่างตั้งใจ

             นั่นคือภาพที่เกิดขึ้นยามบ่ายในวันอาทิตย์ของสัปดาห์ก่อนสอบ ซึ่งอาจารย์ส่วนใหญ่ก็ได้กำชับนักเรียนหลายต่อหลายครั้ง ว่าสอบครั้งนี้โหดที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทำให้นายอันดับหนึ่งของโรงเรียนกับมิโกะสาวหัวอ่อนต้องเตรียมตัวให้พร้อมล่วงหน้า เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่โดนข้อสอบทำร้ายจนบอบช้ำปางตาย

             “จากนั้นพอทำแบบนี้ ก็จะได้คำตอบว่าแซดเท่ากับสามเป็นไง แค่นี้เอง~”

             “โกหกน่า! ง่ายขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย!?” ซากุระจ้องไปที่โจทย์ที่ถูกแก้เรียบร้อยอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

             “โจทย์นี้อ่านแล้วมันจะดูงงๆ นิดหน่อย แต่ถ้าจับเอาเฉพาะตรงส่วนที่เกี่ยวข้อง ก็จะรู้ทันทีว่าควรใช้สมการไหนในการแก้ปัญหาน่ะ” ไวเวิร์นควงปากกาไปมาอย่างสบายๆ ราวกับจะบอกอ้อมๆ ว่าแค่นี้มันของกล้วยๆ

             “ไวเวิร์นนี่ฉลาดเหมือนเดิมเลยนะ แบบนี้คงได้ที่หนึ่งของโรงเรียนอีกแหงเลย” ซากุระพูดด้วยเสียงที่แฝงความอิจฉาเล็กน้อยแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะ “ชักกังวลแล้วสิ ครั้งนี้ฉันคงสอบไม่ผ่านแน่เลย”

             “อะไรกัน อย่าเพิ่งด่วนตัดใจสิ มีชั้นอยู่ทั้งคน ยังไงก็ต้องสอบผ่านอยู่แล้วน่า~”

             ไวเวิร์นยื่นมือไปลูบหัวอีกฝ่ายพร้อมกับยิ้มให้กำลังใจ มิโกะสาวเงยหน้าขึ้นมามองรอยยิ้มนั้นแล้วหัวเราะคิกๆ ออกมา

             “นั่นสินะ ฉันมีนายอันดับหนึ่งเป็นติวเตอร์ส่วนตัวให้นี่นา ไม่เห็นต้องกังวลเลยเนอะ~”

             “อื้ม~ เชื่อใจนายอันดับหนึ่งคนนี้ได้เลย~”

             ทั้งสองคนพร้อมใจกันหัวเราะคิกคักออกมาอย่างสนุกสนาน

             “อ้ะ~ จริงสิไวเวิร์น ฉันเพิ่งจะนึกเรื่องตลกอย่างนึงขึ้นมาได้ล่ะ~”

             มิโกะสาวประกบมือแล้วเริ่มเล่าเรื่องตลกให้ฟัง ชายหนุ่มตั้งใจฟังพร้อมกับนั่งดูท่าทางของเพื่อนสาวที่ทำมือประกอบการเล่าไปเรื่อยเปื่อย พอเธอเล่าจบ ทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาอย่างสนุกสนานอีกครั้ง

             ‘โล่งอกไปที ดูเหมือนว่าซากุระจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วสินะ’

             นั่นคือสิ่งที่ชายหนุ่มคิดในใจในขณะที่จ้องมองใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มของเพื่อนสาว ดูเหมือนว่าเรื่องกลุ้มใจที่เคยทำให้เธอผิดปกติไปจะหายไปจนหมดแล้ว ถึงแม้สุดท้ายเขาก็ไม่ได้รู้ว่าเธอกังวลเรื่องอะไร แต่แค่ได้เห็นเธอกลับมาเป็นเหมือนเดิมก็เพียงพอแล้ว ไวเวิร์นคิดเช่นนั้นพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะแห่งความสุขออกมา พลางคิดในใจว่าวันนี้คงจะเป็นวันที่เต็มไปด้วยความสุขอีกวันนึงแน่ๆ

             ซึ่งมันคงจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ถ้าหากว่าไม่มีเหตุการณ์ต่อไปนี้เกิดขึ้นกับพวกเขา

 

             กิ๊งก่อง~ กิ๊งก่อง~

             เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น เป็นสัญญาบอกว่ามีแขกมาเยี่ยมเยือนยามบ่าย

             “อ้ะ~ เดี๋ยวฉันไปดูเอง รอแปปนึงนะ”

             มิโกะสาวลุกจากที่นั่งแล้วก้าวเดินออกไปที่หน้าประตู

             “มาแล้วค่าๆ~”

             เธอเปิดประตูออกมา แล้วออกไปยืนตรงหน้าแขกผู้มาเยือนทั้งสอง

             “เอ่อ…มีธุระอะไรเหรอคะ?” ซากุระเอียงคอมองคนแปลกหน้าทั้งสอง

             “ผมสีน้ำทะเล…ชุดมิโกะ…ใช่เธอจริงๆ ด้วย…” ชายผมทองมองที่เจ้าของบ้านสลับกับรูปในมือเพื่อยืนยันตัวตนของคนตรงหน้า

             “ไม่ผิดตัวแน่…เธอคือเป้าหมายของพวกเรา…” สาวผมชมพูที่ยืนอยู่เคียงข้างจ้องมองคนตรงหน้าด้วยสายตาราวกับหมาป่าที่หาเหยื่อจนเจอ

             “เอ๋…?...อ…เอ่อ…พวกคุณ…มีธุระอะไรงั้นเหรอคะ…?” มิโกะสาวถามซ้ำอีกครั้ง เธอรู้สึกหวาดกลัวคนทั้งสองตรงหน้าเล็กน้อยจนเผลอก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว

             “ชั้นขอเข้าเรื่องตรงๆ เลยนะ…” โพรมีเทียสขยับแว่นแล้วจ้องไปที่มิโกะสาว “เรามาที่นี่เพื่อฆ่าเธอ…”

             “อ…เอ๋…เอ๋…?”

             ซากุระก้าวถอยหลังเข้าไปอีกสองสามก้าว

             “ว…ว่าไงนะคะ…?”

             เธอถามซ้ำอีกครั้ง โดยพยายามบอกตัวเองว่าที่ได้ยินเมื้อกี้คงแค่หูฝาดไปเอง

             “อย่างที่ได้ยินไปนั่นแหละ เรามาเพื่อฆ่าเธอ…”

             ฟรานซิสก้าย้ำคำพูดนั้นอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ไม่มีเค้าของการล้อเล่นอยู่แม้แต่น้อย ใบหน้าของซากุระเริ่มซีดเซียวลงเล็กน้อย

             “อ…เอ่อ…พวกคุณ…มาจาก…รายการ…วาไรตี้…ใช่มั้ยคะ…?”

             ซากุระพยายามคิดในแง่ดี ว่านี่คงจะเป็นรายการแกล้งคนที่เอาไปออกทีวีแน่ๆ แต่ดูเหมือนเธอเองก็ไม่ค่อยจะเชื่อความคิดนั้นของตัวเองเท่าไหร่นัก เพราะเท้าของเธอยังคงก้าวถอยหลังต่อไปอยู่เรื่อยๆ พร้อมกับร่างกายของเธอที่เริ่มออกอาการสั่นมากขึ้น

             “เสียใจด้วยนะ…เราไม่ได้มาจากรายการอะไรทั้งนั้น…” โพรมีเทียสขยับแว่นอีกครั้ง “ฟราน ขอแพนโดร่า…”

             “เข้าใจแล้ว…”

             ฟรานซิสก้าปิดเปลือกตาลงแล้วแบมือทั้งสองออกตรงหน้าตัวเอง

             “จงออกมา แพนโดร่า”

             แว้บ!!

             สิ้นสุดคำพูดนั้น ในมือทั้งสองของเธอก็ปรากฏวัตถุชิ้นหนึ่งออกมา วัตถุนั้นเป็นวัตถุทรงลูกบาศก์ซึ่งมีขนาดใหญ่พอๆ กับหมอนหนุนหัว ตัววัตถุมีสีทองเป็นสีหลักโดยมีบางจุดที่แซมด้วยสีแดง น้ำเงิน และขาวเล็กน้อย นอกจากนี้ มันยังมีจุดที่ดูเหมือนกับข้อต่อและร่องรอยการประกอบมากมาย ราวกับจะบอกว่ามันถูกสร้างมาจากชิ้นส่วนหลายชิ้นมาประกอบกัน

             “เอาล่ะนะ…”

             โพรมีเทียสหยิบวัตถุชิ้นนั้นมาอยู่ในมือขวาของตัวเอง

             “แพนโดร่า…lance mode”

             กื๊ด! แก๊ก! กิ๊ก!

             เสียงเหล่านี้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับลูกบาศก์ในมือที่เริ่มขยับตัวและเคลื่อนย้ายสลับชิ้นส่วนไปมาราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังจัดเรียงมันใหม่ ซึ่งผ่านไปเพียงไม่กี่วินาที ลูกบาศก์นั้นก็เปลี่ยนสภาพกลายมาเป็นหอกด้ามยาวทรงลูกศรสีทองได้อย่างไม่น่าเชื่อ

             “ม…ไม่…ไม่นะ…” ซากุระตัวสั่นจนก้าวขาต่อไปไม่ออก ตอนนี้เธอมั่นใจแล้วว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่ๆ

             “พวกเราไม่เคยมีความแค้นอะไรกันมาก่อน…แต่พวกเราจำเป็นต้องทำ…ขอโทษด้วยนะ…”

             ชายแว่นดำพูดเสร็จแล้วถีบตัวพุ่งเข้าใส่ทันที มิโกะสาวตัดสินใจฝืนตัวเองเปล่งเสียงตะโกนออกมา

             “ช่วยด้วย!! ไวเวิร์น~~!!”

 

             ควับ!! เคร้ง!!

             ในวินาทีก่อนที่หอกสีทองจะพุ่งทะลุร่างเป้าหมายนั้น ร่างของชายผมดำก็พุ่งออกมาจากด้านหลัง พร้อมกับแส้สีดำที่ถูกสะบัดออกไปปะทะกับหอกนั้น การปะทะนั้นส่งผลให้ร่างของผู้ใช้หอกกระเด็นกลับไปเล็กน้อย

             “อะไรกัน!?” ผู้เป็นเจ้าของหอกรีบยันตัวเพื่อไม่ให้ล้มอย่างประหลาดใจ.

             “ย๊าก~~~~~~~!!!!”

             ปั๊ก!!

             “อ้อก!!”

             หมัดขวาของผู้ใช้แส้พุ่งออกมาแล้วซัดเข้าไปที่กลางใบหน้าของแขกผู้ไม่เป็นมิตรเต็มๆ จนร่างนั้นกระเด็นหงายหลังไปพร้อมกับอาวุธคู่กาย

             “ไวเวิร์น!!”

             “โพมี่!!”

             สาวทั้งสองส่งเสียงร้องออกมา ซากุระรีบเข้าไปแอบที่แผ่นหลังของเพื่อนชายที่มาช่วยเธอได้ทันเวลา ส่วนฟรานซิสก้ารีบวิ่งเข้าไปพยุงร่างผมทองที่โดนหมัดซัดเข้าหน้าเต็มๆ

             “นี่แก!! เป็นสนุนของแดร็กคูล่างั้นเหรอ!?” ไวเวิร์นตวาดพร้อมกับตั้งท่าพร้อมสู้

             “อะไรกัน มีคนอื่นอยู่ด้วยเหรอเนี่ย…”

             โพรมีเทียสลุกขึ้นนั่งแล้วใช้แขนเสื้อข้างซ้ายเช็ดเลือดที่กลบปาก ก่อนที่จะใช้มือขวาหยิบแว่นกันแดดที่ร่วงอยู่ที่พื้นมาสวมอีกครั้ง

             “เข้าใจผิดแล้ว พวกเราไม่ใช่ปีศาจ แต่เป็นมนุษย์ แล้วก็ไม่ใช่สมุนของแดร็กคูล่า แต่เป็นศัตรูกับมันต่างหากล่ะ”

             “ว…ว่าไงนะ…”

             ไวเวิร์นมองไปที่ทั้งสองคนสลับไปมา ทั้งสองคนมีร่างกายที่เป็นไปตามปกติของมนุษย์ทุกประการ ไม่มีส่วนใดที่บ่งบอกถึงความเป็นปีศาจ แถมยังไม่มีจิตชั่วร้ายแบบที่เขาเคยสัมผัสได้จากคามิลล่า นอกจากนี้ แววตาของทั้งสองยังฉายแววออกมาอย่างเห็นได้ชัดว่าไม่ได้โกหก ไม่ผิดแน่ ทั้งสองคนเป็นมนุษย์จริงๆ

             “ด…เดี๋ยวก่อนสิ…ถ้าพวกคุณเป็นมนุษย์…แล้วยังเป็นศัตรูกับแดร็กคูล่า…แล้วทำไม…”

             “ทำไมพวกเราถึงพยายามฆ่าเธอคนนั้นน่ะเหรอ?” ฟรานซิสก้าพูดแทรกราวกับรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ “พวกเรามีเหตุผลจำเป็นที่ต้องทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…”

             “ม…หมายความว่าไง…?” ไวเวิร์นมองอีกฝ่ายอย่างสับสน

             “…โพมี่ ดูเหมือนว่าพวกเราจำเป็นต้องอธิบายให้พวกเขาฟังนะ”

             “…เข้าใจล่ะ จะให้ฆ่าเธอโดยไม่อธิบายอะไรเลยก็คงจะโหดร้ายเกินไปสินะ…”

             โพรมีเทียสลุกขึ้นยืนแล้วใช้มือปัดฝุ่นที่เลอะ ก่อนที่จะขยับแว่นอีกครั้งแล้วเริ่มพูดอธิบายเรื่องราวออกมา

 

             “อย่างที่บอกไป พวกเราคือศัตรูของแดร็กคูล่า พวกเราออกเดินทางไปทั่วทุกแห่งบนโลกเพื่อคอยกวาดล้างสมุนของมัน และคอยพยายามหาโอกาสที่จะเข้าถึงตัวแดร็กคูล่า เพื่อที่จะสังหารมันให้ได้ เพื่อการนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเราเลยพยายามทำทุกวิถีทาง แต่น่าเจ็บใจที่ต้องบอกว่าพวกเราแทบไม่ได้อะไรเลย ไม่เจอแม้แต่หนทางที่จะช่วยพวกเราเข้าใกล้แดร็กคูล่าได้มากขึ้นด้วยซ้ำ…”

             “แต่แล้ว…” ฟรานซิสก้าเป็นฝ่ายพูดบ้าง “เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา พวกเราก็ได้พบกับกุญแจสำคัญที่อาจทำให้พวกเราเป็นฝ่ายชนะได้”

             “ก…กุญแจสำคัญ…เหรอคะ?” ซากุระโผล่หน้าออกมาถาม

             “ใช่แล้วล่ะ กุญแจสำคัญนั้นก็คือ ความจริงของแดร็กคูล่าไม่เคยมีใครได้รู้มาก่อนเลยแม้แต่คนเดียว”

             ฟรานซิสก้าพักหายใจเล็กน้อยก่อนที่จะพูดต่อ

             “เมื่อสามปีก่อน ในตอนที่แดร็กคูล่าพยายามเรียกพลังแห่งความมืดกลับคืนมา ได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นกับเขา เพราะพลังพลังแห่งความมืดทีเขาเคยเป็นเจ้าของกลับพยายามต่อต้านร่างกายมนุษย์ในปัจจุบัน และส่งผลให้วิญญาณของเขาถูกฉีกออกเป็นสองส่วน”

             “เขาฝืนตัวเองรับพลังแห่งความมืดและรักษาวิญญาณครึ่งนึงให้คงอยู่ในร่างกายได้สำเร็จ แต่กลับไม่สามารถรักษาวิญญาณอีกครึ่งนึงเอาไว้ได้ และได้แต่ปล่อยให้มันกระเด็นหลุดลอยหายไป”

             “ตลอดเวลาที่ผ่านมา แดร็กคูล่าตามหาวิญญาณอีกครึ่งนึงอย่างลับๆ มาตลอด โดยไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้ใครรู้เลย ไม่แม้แต่กับเจ็ดปีศาจบริวารของตัวเอง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครล่วงรู้ถึงวิญญาณส่วนนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าชีวิตครึ่งนึงของตัวเองจะไม่ถูกทำลาย…”

             “ซึ่งบังเอิญพวกเราได้ไปรู้ความจริงเรื่องนี้เข้า และยังรู้อีกด้วยว่าตอนนี้วิญญาณอีกครึ่งนั้นอยู่ที่ไหน…” โพรมีเทียสกลับมาเป็นฝ่ายพูดอีกครั้ง พร้อมกับส่งสายตาไปยังผู้ใช้แส้ “นายคงจะรู้ใช่มั้ยว่าชั้นหมายถึงอะไร…?”

             “น…นี่พวกคุณ…จะบอกว่า…”

             ดวงตาของไวเวิร์นเบิกโพลงขึ้นด้วยความช็อก ใบหน้าของเขาหันไปหาเพื่อนสาวที่แอบอยู่ข้างหลังในทันที

             “ใช่แล้วล่ะ…”

             โพรมีเทียสชี้นิ้วไปทางมิโกะสาวที่แอบอยู่ข้างหลัง พร้อมกับพูดประโยคที่ไวเวิร์นไม่อยากได้ยินที่สุดในตอนนี้ออกมา

             “วิญญาณอีกครึ่งนึงของแดร็กคูล่า…อยู่ในร่างของเธอคนนั้นไงล่ะ!!”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา