[The Doppelganger] เงาลวงร่าง

4.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 09.42 น.

  4 ตอน
  23 วิจารณ์
  6,880 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 10.24 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) บทที่ ๑: เด็กชายสีเทา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

      

                พวกเขาไม่ใช่ <ดอปเปลแกงแกอร์>

                พวกเขาเป็นเพียงแค่ <เงา> ที่แสดงตัวตนได้

                มีเนื้อหนัง

                มีความคิด

                มีจิต…ใจ

                พวกเขาก็แค่หน้าคล้ายคุณ

                แต่ไม่ใช่คุณ

 

               

                ผมมองเงาตัวเองในหนองน้ำตามพื้นถนนด้วยสายตาว่างเปล่า เย็นแล้ว ได้เวลากลับบ้านแล้ว แต่ผมยังไม่อยากกลับเลย ภายในบ้านมีแต่สิ่งน่าเบื่อ ผมไม่อยากกลับ

                ผมเป็นลูกคนเดียวในบ้าน จะมีแอบเหงา ว้าเหว่บ้างมันก็ต้องเป็นของธรรมดา ไม่มีพี่ ไม่มีน้องที่จะเล่นด้วย คุยด้วย หรืออะไรก็ตามแต่ที่จะทำให้ผมรู้สีกหายโดดเดี่ยวในระหว่างที่พ่อกับแม่ไปทำงานจนดึกดื่น ผมเคยนึกปรารถนาที่จะมีใครสักคนมาอยู่เป็นเพื่อนผม ถ้าเกิดจะถามว่าทำไมผมไม่ซื้อสัตว์สักตัวมาเป็นเพื่อนเล่น ก็คงต้องตอบว่า มันเป็นภาระ ในความคิดของพ่อกับแม่ของผมน่ะนะ

                แต่ถ้าเกิดจะถามว่าทำไมไม่ไปเล่นที่บ้านเพื่อนล่ะ ผมก็คงต้องตอบว่าถ้าเกิดไปบ่อยๆ ผมก็ไม่มีกระจิตกระใจอยากกลับบ้านน่ะสิ

                ถ้าเกิดจะถามว่าทำไมผมไม่เล่นของเล่นหรืองานอดิเรกแก้เหงาล่ะ ก็คงตอบว่ามันไม่สนุกเท่าได้คุยพร้อมกับเล่นกับคนหรือสัตว์แล้วทำไม…

                พอแล้วๆ แค่นี้ก็ค่อนข้างเยอะแล้วนะ โอเค บอกได้แค่คำเดียวว่าผมอยากมีเพื่อน จะเป็นใครก็ตามแต่ พูดไปผมดูขี้เหงาเนอะ  แต่มันช่วยไม่ได้นี่ อยู่รร. แปปๆ เวลาก็ผ่านไปเร็ว เวลาเรียนก็เล่นไม่ได้ พอเวลาเล่นได้มันก็ผ่านไปเร็วจริงๆ

                ผมทอดน่องเดินหลังจากที่นึกรำพึงในใจมานาน …ถึงแม้ว่าจะยังอยากแวะคุยกับป้าที่รู้จัก ลุง หรือใคร ก็ตาม แต่ถ้าเกิดป้าที่อยู่ข้างบ้านผมซึ่งพ่อกับแม่ฝากให้ดูแลผมระหว่างที่ท่านทั้งสองไม่อยู่ เป็นห่วงขึ้นมาผมก็รู้สึกผิดน่ะสิ

                        เมื่อมาถึง ผมก็เปิดประตูเข้าไป มีแต่ความว่างเปล่าจากความความสว่างสลัวยามเย็น

                …ไม่มีใครอยู่

                        มีแต่ผมคนเดียว

                ผมเปิดไฟ ทั้งห้องก็สว่าง เหลือแต่ตรงห้องอื่นที่ผมยังไม่ได้เดินไปเปิด

                “แง้ว!”

                เสียงร้องของแมวดังข้างๆ บ้านผม ผมชะโงกหน้าจากหน้าต่างไปดู …แมวสีดำ…

                เหมือนลางร้ายยังไงก็ไม่รู้สิ

                “เฮ้อ…”

                ผมถอนหายใจก่อนจะเดินขึ้นข้างบนไปที่ห้อง

 

                กลางคืน

                ซ่าๆ!

                ฝนกระหน่ำตกลงมา แอบกลัวนะว่าต้นไม้ที่ปลูกจะหัก เพราะทั้งลมทั้งฝนมันแรงมากเลยล่ะ 

                ผมลุกขึ้นไปปิดหน้าต่าง ตอนแรกเปิดทิ้งไว้เพื่อให้ลมจากฝนมันถ่ายเทพัดเข้ามา นึกว่ามันจะเป็นแค่ฝนที่ตกธรรมดาๆ น่ะสิ แต่เปล่าเลย มันตกหนัก

                ครืน…!

                นั่นไง ฟ้าร้องระดับเริ่มต้น (?) เฮ้อ… แมวสีดำตัวนั้นเป็นลางร้ายจริงๆ สินะ

                ตึก…

                สะ เสียงอะไรน่ะ

                        เปรี้ยง!!

                “ว่ะ เหวอ!”

                เบื้องหน้าผม คือเด็กผู้ชายผมสีเทาอายุก็น่าจะเท่าๆ ผม (ดูจากส่วนสูงน่ะนะ) เสื้อนักเรียนเปียกปอนไปด้วยน้ำฝนเสื้อผ้าแนบเนื้อจนเห็นผิวกายลางๆโห โชกไปทั้งตัวเลยแฮะ

                เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน… ตามเนื้อตัวของเขา… มีแต่เลือดนี่

                “น่ะ นาย… เข้ามาก่อนสิ”

                “…”

                ไม่มีเสียงตอบอะไรจากเด็กคนนั้น เขาเดินผ่านผมไปเยี่ยงผมเป็นฝุ่นละออง เลี้ยวไปนั่งบนพื้น พิงประตูกระจกที่แทนหน้าต่างที่ผมเปิด เขาหลับตาหายใจอย่างหนัก

                        …ท่าทางจะเจ็บมากสินะ

                ตอนนี้ฝนก็ลดความแรงไปอีกระดับหนึ่งแล้ว อาจจะมีเสียงครืนๆ ตามมา แต่ก็ไม่ดังนัก ผมเดินไปหยิบกล่องยาที่ยัดๆ เก็บในตู้เสื้อผ้า เดินไปตรงที่เขานั่งก่อนจะลดตัวลงเข้าใกล้

                “เป็น ‘ไร มั้ย”

                “ไม่… ฉันไม่เป็นไร”

                ก็ดี… แต่…

                จะว่าไป

                 เขา… เป็นใครแล้วไปทำอะไรมาล่ะถึงได้มีบาดแผลเต็มตัวขนาดนี้

                ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าในมือข้างซ้ายของเขามีปืนขนาดใหญ่เกือบจะเท่าลำตัว (มันใหญ่ขนาดนี้ทำไมผมไม่เห็นมันนะ)

                “นี่…”

                “มีอะไรเหรอ”

                “มัวแต่จ้องฉันอยู่คิดอะไรเปล่านี่”

                เขาพูดในแง่ดีรึเปล่าน่ะ

                ผมส่ายหน้าก่อนจะตอบ “เปล่า… แค่สงสัยน่ะ ว่านายไปทำอะไรมาเลือดถึงท่วมขนาดนี้”

                “อ่อ แค่ไปมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ”

                นี่น่ะเหรอนิดหน่อย ถ้าเกิดเรื่องใหญ่มันจะขนาดไหนเนี่ย

                        “ว่าแต่ นายน่ะ ชื่ออะไรเหรอ” ผมถามเขา เด็กชายผมสีเทาใช้มือเสยผมให้ไปด้านหลัง หยดน้ำประปรายบนเส้นผมแล้วไหลหยดลงพื้น ดวงตาสีเทาใสแต่หม่นเพราะความรู้สึกบางอย่าง เด็กชายช้อนสายตาขึ้นมองอย่างเย็นชา ผมลอบกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากเพราะรู้สึกเหมือนถูกกดดัน เด็กชายผมสีเทาตอบ

                “ฉัน… ไม่มีชื่อหรอก”

                เอ๋ ไม่มี… งั้นเหรอ

                “มันจะเป็นไปได้ยังไง แล้วพ่อแม่นาย…”

                “พ่อหรือแม่ก็ไม่มี” เด็กชายเอ่ยแทรก “ถูกทิ้ง… งั้นเหรอ” ผมถามเขา ถามแบบนั้นเหมือนดูถูกเขาเลยแฮะ ---ผมรู้สึกผิดเมื่อรู้ว่าตนเองถามในสิ่งที่จะสร้างบาดแผลให้ฝ่ายตรงข้าม ดูเหมือนเขาไม่รู้สึกจึงตอบเรียบๆ

                “ฉันไม่ได้เกิดมาจากอะไรทั้งนั้นแหละ”

                “!”

                ผมเบิกตากว้างด้วยความตะลึง

                “---ก็ฉันน่ะ--- เป็นดอปเปลแกงเกอร์นี่ จะเกิดเหมือนนายได้ยังไง”

                “ดอปเปลแกงเกอร์นี่มันคืออะไรน่ะ” ผมแทบจะไม่เชื่อหูตนเอง ฟังดูเหมือนเรื่องโกหกชัดๆ ผมมองเด็กชายอย่างทำตัวไม่ถูก เขาตอบ “ดอปเปลแกงเกอร์เป็นภูตประเภทเงา… ใช่ ภูต ที่เหมือนกับคนๆ หนึ่ง นิสัยจะเหมือนหรือแตกต่างนั่นก็แล้วแต่ละคน”

                “เดี๋ยว! เรื่องแบบนี้มันมีด้วยเหรอ และถ้าเกิดเป็นอย่างที่นายพูดมาแล้วนายเป็นเงาของใครน่ะ” ผมจ้องมองเขาเขม็งอย่างเค้าคำตอบจากปากอีกฝ่าย ผมตรวจสอบใบหน้าไปด้วย ใบหน้าที่ขาวซีดผิดกับผมที่คล้ำสีผิวแทน ใบหน้านั้นมันคุ้นๆ….

                เด็กชายผมสีเทายิ้มมุมปากแล้วตอบ

                “ฉันเป็นเงาของนายยังไงล่ะ”

                “หา! นายเนี่ยนะ เงาของฉัน”พอได้ฟังตอบนั่นแล้วผมจึงรู้ว่าแท้จริงแล้วใบหน้าของเด็กชายมันเหมือนใคร

                เหมือนผมนั่นเอง

                เด็กชายคนนั้นถ้าให้เปลี่ยนสีตา ผมและสีผิวแล้วล่ะก็จะเหมือนผมราวกับเงาไม่มีผิด!

                เรื่องแบบนี้มันจะมีจริงได้ยังไง หรือว่าเจ้านี่มันจะเป็นชาวต่างชาติชนผิวขาวที่พลัดหลงกับพ่อแม่ที่มาเที่ยวประเทศไทยแล้วเกิดหลงทาง จึงอาศัยเรื่องภูตเงานั่นมาหลอกว่าเป็นเงาของคนใดคนหนึ่งเพื่อที่จะให้เขาเชื่อและยอมให้อยู่บ้านด้วย คิดได้ดังนั้นผมจึงยิ้มเย็นแล้วพูด

                “ย่ะ อย่ามาหลอกกันเลย นายไม่มีที่ซุกหัวนอนเลยมาหลอกฉันใช่ไหมล่ะ ร่ะ เรื่องแบบนี้มันจะไปมีจริงได้ยังไง…”

                “ถ้าจะคิดแบบนั้นก็ตามสบาย แต่เรื่องที่ซุกหัวนอนยังไงมันก็เรื่องจริงน่ะแหละ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปฉันจะอาศัยอยู่บ้านเดียวกับนาย” เด็กชายคนนั้นว่าพร้อมกับเอนกายพิงประตูกระจกก่อนจะหลับตา ผมรีบเดินเข้าไปเขย่าตัวเขาแล้วพูดอย่างร้อนใจ “จะบ้าหรือไง นี่ ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ! นี่!!”

                “…”

                เงียบ…

                ล่ะ หลับแล้วเรอะ ไวไปมั้ยเนี่ย!

                “อะไรของมันเนี่ย!”

                แกร๊ก!

                สัมผัสเย็นเยียบตรงคอแผ่ไปทั่วไขสันหลัง เหงื่อเย็นไหลถามผิวกาย เด็กชายเบื้องหน้าหายไปก่อนที่ผมรู้สึกตัวว่าเขาอยู่ข้างหลัง ผมหันไปมองด้วยความรู้สึกกล้าๆ กลัว พบกับปากกระบอกปืนสีดำที่จ่อลำคอ

                ---สายตาผมสบกับสายตาของเด็กชาย---

                “อึก…”

                “ตกลงนะ ฉันจะอยู่กับนาย” เด็กชายพูดเปรยๆ “อะ เออ ก็ได้ๆ แต่นายน่ะช่วยเอาปืนไปไกลๆ หน่อยได้มั้ยเดี๋ยวถ้าเกิดมันลั่นขึ้นมาฉันจะตายเอา”

                “อือ ตายไปเลย ชีวิตนายไม่ใช่ชีวิตฉัน… เอ๊ะ ไม่สิ”

                “หือ? อะไรล่ะ” ผมถามเขาที่มีทีท่าลังเลเหมือนจะลืมอะไร เด็กชายผมสีเทาส่ายหน้าก่อนจะตอบ “เปล่า”

                ว่าแล้วเขาก็ค่อยๆ ลดปืนลงแล้วเอื้อมันไปพิงวางที่ผนังก่อนจะเดินไปนอนบนเตียง… และหลับ

                อือ ว่าง่ายดีนะ

               

               

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
4.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
5.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา