The alloy

9.3

เขียนโดย nash

วันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 11.39 น.

  3 บท
  4 วิจารณ์
  5,782 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 เมษายน พ.ศ. 2557 23.29 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) Freedom

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 Freedom 

 

 

          เช้าวันนี้หิมะหนากว่าปกติ   หรือบางทีแนชอาจจะคิดไปเอง   เค้ามองดูตัวเองในกระจก   เสื้อสูทดูหลวมไปหน่อยแต่ก็ทำให้เขาดูดีไม่น้อย   เครื่องแบบนักโทษสี้ส้มพาดอยู่บนอ่างล้างหน้า   เขาต้องใส่แต่ชุดแบบนี้มาตลอดหกปี   แต่ความจริงมันก็ไม่แย่เท่าไหร่ถ้าเทียบกับสิ่งอื่นที่เขาต้องเจอข้างในนี้

          “แต่งตัวเสร็จหรือยัง   ถึงเวลากำหนดปล่อยตัวแล้ว”

          เสียงผู้คุมตะโกนเข้ามา   เขาสำรวจตัวเองอีกครั้งก่อนจะหยิบเครื่องแบบนักโทษแล้วเปิดประตู

          “เร็วๆ   ญาติมารอรับอยู่หน้าประตูแล้ว”

          เขาส่งชุดที่อยู่ในมือให้ผู้คุมคนหนึ่งแล้วเดิมตามผู้คุมอีกคนไป   ระหว่างที่เดินออกมาจากตึกนักโทษ   เขามองขึ้นไปบนชั้นสองและเห็นคนหกคนกำลังยิ้มให้เขา   บางทีในความโหดร้ายก็มีเรื่องดีๆอยู่บ้าง   เขาได้เจอกับเพื่อนดีๆหลายคน    เพื่อนแบบที่เขาไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต   เมื่อก้าวพ้นประตูเรือนจำออกไปแล้ว   เขาก็ไม่รู้ว่าในชีวิตนี้จะได้เจอกับเพื่อนดีๆแบบนี้อีกหรือเปล่า

          เขาเดินผ่านลานกว้างที่มีไว้ให้นักโทษออกกำลังกาย   บางทีก็มีการทำโทษเกิดขึ้นที่นี้เพื่อเป็นการขู่ไม่ให้ใครทำผิดอีก   แต่ก็เกิดขึ้นไม่บ่อย   เขาเดินมาเรื่อยๆจนหยุดอยู่หน้าประตูเหล็กบานใหญ่ที่เป็นเหมือนประตูเปิดออกสู่อิสรภาพที่เขารอมานานเหลือเกิน   หกปีสำหรับเขามันมากเกินพอ   เขาได้แต่นึกสงสัยว่าคนที่อยู่ที่นี่เป็นสิบยี่สิบปีนั้นทนได้ยังไง   ผู้คุมคนที่อยู่ข้างหน้าเขาไขกลอนออกด้วยลูกกุญแจอันเกือบเท่ากำปั้น   เมื่อเปิดมันออกก็เผยให้เห็นประตูเหล็กอีกบานที่หน้าตาเหมือนกันทุกอย่าง   มันทำให้เขานึกถึงหนังสยองขวัญเรื่องหนึ่งที่เมื่อเปิดประตูออกก็จะเจอกับประตูแบบเดิมต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด   โชคดีที่ชีวิตของเขาอยู่ในหนังคนละเรื่องกัน

          ประตูอีกบานถูกไขออก   แค่เปิดเพียงนิดเดียวก็รู้สึกเหมือนโดนแสงแดดสาดเข้าใส่เวลาเปิดม่านในห้องที่ปิดไฟมืดทึบ  แล้วเมื่อเขามองออกไป

          ก็จะพบกับคนสามคนที่ยืนรอเขาอยู่บนถนนอีกฟาก

 

 

 

          แซคกำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานของพ่อเขา   บริษัทนำเข้าอุปกรณ์กีฬาที่เปิดเป็นฟิสเนตและยิมไปในตัว   มันทำเงินได้มากในแต่ละเดือน   แต่ความจริงก็คือรายได้ส่วนใหญ่ที่ทำให้ครอบครัวเขาร่ำรวยนั้นไม่ได้มาจากช่องทางเหล่านี้    อะไรก็ตามที่ต้องแบ่งกำไรเป็นค่าพักร้อนให้กับตำรวจประจำรัฐที่คอยตรวจสอบธุรกิจผิดกฎหมายทุกๆเดือน   นั่นแหละสิ่งที่ทำเงินของจริง

           พ่อของเขากำลังตรวจดูผลกำไรของร้านอาหารที่เปิดเป็นบาร์ในตอนกลางคืนที่ยกให้เขาเป็นคนดูแล   อาจจะดูไม่น่าเชื่อที่เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดจะได้ถือหุ้นในกิจการอะไรสักอย่างถึงแปดสิบเปอร์เซ็นหรือจะให้พูดกันตามตรงพ่อยกกิจการนี้ให้เขาแล้วรวมถึงเงินกำไรทั้งหมดในแต่ละเดือนด้วย    พวกเศรษฐีส่วนใหญ่จะให้ลูกดูแลกิจการเป็นของตัวเองตั้งแต่ยังอยู่ในโรงเรียน   นั่นคือความจริงที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้   ผู้คนมักจะคิดว่าคนพวกนั้นวันๆไม่ต้องทำอะไร   มีหน้าที่ก็แค่ใช้เงินที่พ่อแม่หามาให้และรักษาภาพลักษณ์ทางสังคมให้ดูดี   แต่ในความเป็นจริงชีวิตคนเรามันไม่ง่ายอย่างงั้นหรอก   ทุกคนย่อมมีบทบาทหน้าที่เป็นของตัวเอง

          “ฉันยังไม่ค่อยพอใจกับตัวเลขกำไรเท่าไหร่นะ   ยิ่งพอโรงเรียนเปิดมันจะยิ่งลดลงไปมากกว่านี้อีก”

          “เรื่องนั้นผมรู้ครับ   มันเป็นเรื่องปกติ”

          “เรื่องปกติคือสิ่งที่น่ากลัวสำหรับการทำธุกิจ   มันยังดีกว่านี้ได้อีกไม่ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาไหน”

          “ผมจะพยายามทำให้ได้มากกว่านี้”

          “ฉันไม่อยากจะกดดันแกหรอกนะ   แต่ร้านกาแฟเล็กๆของเพื่อนฉันที่เขายกให้ลูกชายดูแลยังทำเงินได้มากกว่านี้เลย”

          “ลูกชายเขาอาจจะแอบเปิดหลังร้านเป็นซ่องแต่ไม่ได้บอกพ่อเขาก็ได้”

          “ฉันไม่ตลกนะ   แกจะเปิดหลังร้านเป็นอะไรก็ช่าง   แต่ถ้าอีกสามเดือนกำไรยังอยู่แค่นี้ฉันจะยกร้านให้คนอื่นดูแล”

          “มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นสักหน่อย   พ่อดูตัวเลขในบัญชีสิ   ร้านเพิ่งเปิดได้ไม่นานได้เท่านี้ก็ถือว่าโอเคแล้ว”

          “แต่ถ้าเป็นฉัน   ฉันจะทำให้ได้มากกว่านี้”

          “โอเค  ผมจะลองไปหาไอเดียดูแล้วกันว่าจะเปิดหลังร้านเป็นอะไรดีแล้วค่อยมาดูว่าอีกสามเดือนร้านจะเจ๊งอย่างที่พ่อคิดไว้หรือเปล่า   แต่ตอนนี้เป็นเวลาของผม   แล้วผมก็ทำเต็มที่แล้ว   หมดธุระที่จะคุยแล้วใช่ไหมครับ”

          แซคลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเตรียมจะออกจากห้อง

          “แกมีนัดดินเนอร์คืนนี้กับลูกสาวของมิสเตอร์วิลเลียม”

          “มิสเตอร์วิลเลียมไหน   ผมไม่รู้จัก”

          “เขาเป็นลูกค้าคนสำคัญ   และยังเป็นเจ้าของกิจการสนามกอล์ฟที่ใหญ่ที่สุดในบอสตันด้วย   ซึ่งไม่จำเป็นว่าแกจะรู้จักหรือเปล่า   แต่คนที่ฉันอยากให้แกรู้จักคือลูกสาวของเขา”

          “ผมไม่มีวันยอมโดนจับคู่กับใครหรอกนะ   แล้วผมก็จะไม่ไปดินเนอร์กับคนที่ผมไม่ได้เป็นคนนัดเองด้วย”

          “แต่แกต้องไป   เพราะฉันมั่นใจว่าคนนี้จะต้องทำให้แกชอบแน่ๆ   เธอผมบลอนด์   หุ่นดีและมีเสน่สุดๆ   ฉันรู้ว่าสเป๊กแกเป็นแบบไหน   และแกจะต้องเสียใจถ้าไม่ไปเจอเธอ”

          “ดูท่าทางพ่อจะมั่นใจมากเลยนะว่าผมจะต้องชอบ   จริงๆผมมีนัดแล้วแต่จะโทรไปยกเลิกก็ได้ถ้าคนที่พ่อบอกมาเธอสวยจริง”

          “แกเคยเห็นฉันแนะนำสาวคนไหนให้แกไหมหละ”

          เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งเพราะคนที่เขานัดไว้ก็สวยไม่เบาเหมือนกัน

          “เธอผมบลอนด์ใช่ไหม”

          “ใช่”

          “ตาเธอสีอะไร”

          “เขียวเหมือนมรกตเลยหละ”

          เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรไปหาคนที่นัดไว้

 

 

 

          แนชมองออกไปนอกหน้าต่างรถ   เขารู้สึกไม่คุ้นเคยกับเส้นทางนี้เลย   นี่ไม่ใช่ทางที่เคยมา   คริสไม่ค่อยพูดอะไร   ส่วนทรอยยิ่งแล้วใหญ่   มีแต่พ่อของเขาที่คอยชวนคุยเป็นระยะๆ   พ่อเลี้ยวเข้าไปในหมู่บ้านหนึ่ง   เขาไม่ได้ทันสังเกตว่าชื่อหมู่บ้านอะไร

          “ที่นี่สงบ   เป็นส่วนตัว   เพื่อนบ้านก็ดี   มีสโมสรให้ว่ายน้ำและเล่นฟิสเนต   ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ใหญ่เหมือนบ้านหลังเก่า   แต่พ่อก็คิดว่าลูกน่าจะชอบนะ”

          “ผมชอบครับ”  แนชตอบ

          “เรามีแป้นบาสอยู่หน้าบ้านด้วย   พ่อเพิ่งให้คนมาติดเมื่อห้าวันก่อน   ไม่รู้ว่าลูกยังชอบเล่นบาสอยู่หรือเปล่า”

          “ผมคิดถึงกีฬานี้ที่สุดในโลก   แต่คงจะโยนไม่ลงห่วงเหมือนแต่ก่อนแล้ว   กล้ามผมหายไปเยอะเลย”

          “พ่อว่าแบบนี้ก็ดูดีนะ   เมื่อก่อนหุ่นลูกอย่างกับนักเพาะกายแหนะ”

          “น้ำหนักผมน่าจะลดไปสักสิบโลได้”

          บ้านเกือบทุกหลังมีหลังคาเป็นสีน้ำตาล   จะมีก็เฉพาะบางหลังที่เจ้าของบ้านน่าจะทาสีไหม่   และตอนนี้เขาก็กำลังสงสัยว่าบ้านหลังคาสีฟ้าที่อยู่ไม่ไกลนั่นใช่บ้านของพวกเขาหรือเปล่า   ชายที่เดินจูงสุนัขผ่านไปยิ้มให้พ่อด้วย   แถวนี้เพื่อนบ้านน่าจะดีอย่างที่พ่อบอกจริงๆ   รถเริ่มชะลอ   พ่อเลี้ยวเข้าไปในลานจอดรถที่เปิดโดยระบบรีโมท   ใช่อย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ   พ่อทาสีหลังคาใหม่เป็นสีฟ้า   แล้วคนที่ชอบสีฟ้าในบ้านนี้ก็มีอยู่คนเดียว   นั่นก็คือเขา

          ทันทีที่ลงจากรถเขาก็ได้ยินเสียงสุนัขเห่าดังมาจากในบ้าน   คริสเปิดประตูเข้าไป   สุนัขพันธุ์ไซบีเรียนฮักส์กี้วิ่งเข้ามาหาทรอย

          “พ่อซื้อตัวใหม่มาเหรอ   ผมชอบนะ   ตามันสองสีด้วย”

          มันกระโดดขึ้นพยายามตะกุยเสื้อของทรอย                                

          “พ่อซื้อมาหลังจากที่บั๊คตาย”

          แนชชะงักเมื่อได้ยิน   บั๊คเป็นสุนัขพันโกลเด้นฯที่พ่อซื้อให้เขาเป็นของขวัญวันเกิดตอนอายุครบสิบสามปี

          “มันตายแล้วเหรอ   ตั้งแต่เมื่อไหร่”

          “เมื่อปีที่แล้ว   มันวิ่งไปหน้าบ้านแล้วพ่อจับไว้ไม่ทัน   มีรถขับมาพอดี   พ่อเสียใจ”

          “มันป่วยอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนที่จะโดนรถชน”   ทรอยพูดขึ้น  “มันแก่มากแล้ว   ถึงรถไม่ชนก็ต้องตายอยู่ดี”

            แนชรู้ว่าที่ทรอยพูดออกมาเพราะไม่อยากให้พ่อรู้สึกผิด

            “เลิกคุยเรื่องนี้เถอะ   ตอนนี้เรามีสุนัขตัวใหม่แล้ว   และเราจะดูแลมันเหมือนกับที่ดูแลบั๊ค”   คริสบอกแล้วก้มลงไปลูบหัวมัน   “มันชื่อว่าไมโล”

          ตาของมันสวยมาก   ข้างนึงเป็นสีเทาและอีกข้างเป็นสีฟ้า   ที่จริงเขาก็ไม่ได้เสียใจสักเท่าไหร่   คงเป็นเพราะไม่ได้อยู่กับบั๊คมานาน             

          แนชนึกอะไรขึ้นได้   ตั้งแต่เข้ามาเขายังไม่ได้เจอแม่เลย   ทีจริงเขาแปลกใจตั้งแต่ไม่เห็นแม่ที่หน้าเรือนจำแล้ว

          “แม่หละครับ   ผมยังไม่เห็นแม่เลย”

          สีหน้าของพ่อเปลี่ยนไป

          “แนช   ใจเย็นๆนะ   นี่คือเหตุผลที่ลูกถูกปล่อยตัวก่อนกำหนด   แม่อยู่ข้างบน   เดี๋ยวพ่อจะพาขึ้นไปหา”

          เขาเริ่มใจไม่ดี   พ่อพาเดินขึ้นไปชั้นบน   บ้านหลังนี้เป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นธรรมดาทั่วๆไป   เมื่อก่อนเขาเคยอยู่บ้านสามชั้นและใหญ่กว่านี้มาก   แต่จริงๆเขาชอบบ้านแบบนี้เพราะมันทำให้ไม่เหงาเวลาต้องอยู่คนเดียว

          พ่อเปิดประตูห้องหนึ่งที่อยู่ซ้ายมือติดกับบันได   แม่เขานอนอยู่บนเตียง   สวมเครื่องช่วยหายใจ   มีสายให้น้ำเกลือและอาหารเหลวแขวนอยู่บนเสาเหล็กข้างๆเตียง   คลื่นหัวใจขยับขึ้นลงอยู่บนจอคอมพิวเตอร์   เหมือนห้องในโรงพยาบาลไม่มีผิด

          “เกิดอะไรขึ้นกับแม่” 

             

 

 

 

          มิเชลเดินออกจากร้านชาแนลกับแพทธิเซียเพื่อนสาวของเธอ

          “เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ   เธอเจอคริสเหรอ”  แพทธิเซียถาม

          “ใช่   เขานัดให้ฉันไปเจอเมื่อสามวันที่แล้ว”

          “นี่พูดจริงใช่ไหมเนี่ย   ฉันนึกว่าเขาตายไปแล้วซะอีก   ไม่มีใครได้ข่าวเขาเลย”

          “ตอนแรกฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน   แต่อยู่ดีๆเขาก็โทรมา   ฉันตกใจแทบแย่ตอนที่ได้ยินเสียงเขาทางโทรศัพท์”

          “แล้วเธอคุยอะไรกับเขาบ้าง   ให้ตายสิ   เล่ามาให้หมดเลยนะ”

          “ก็ไม่มีอะไรมากหรอก   เขาขอโทษที่อยู่ดีๆก็หายตัวไป   บอกว่าปัญหาชีวิตมันมากมายซะจนอยากจะตัดตัวภาระอย่างฉันออกไปจากชีวิตก็เท่านั้น”

          “แล้วเขาได้พูดอะไรอีกไหม   อย่างเช่นเราเป็นเพื่อนกันได้ไหมหรือว่าเรากลับมาคบกันอีกได้หรือเปล่า   อะไรทำนองนั้นหนะ”

          “เขาขอโอกาสจากฉัน”

          “โอกาส    นี่แสดงว่าเขาอยากจะกลับมาคบกับเธอหนะสิ   แล้วเธอว่าไงหละ”

          “เธอคิดว่าฉันจะให้อภัยคนที่ทิ้งฉันไปแบบไม่ใยดีอย่างงั้นเหรอ   ความรู้สึกอะไรที่ฉันมีให้กับเขาหนะมันหมดไปตั้งนานแล้ว   แล้วอีกอย่างฉันก็มีแดนอยู่แล้วด้วย   เธออย่าลืมสิ”

          “แดนหนะเหรอจะทำให้เธอมีความสุขได้จริงๆ   ฉันหนะดูออกนะว่าเธอเริ่มเบื่อเขาแล้ว   เขาน่าเบื่อออกจะตายไป”

          “คนเราก็ต้องมีช่วงอิ่มตัวกันบ้าง   เราสวีทกันสุดๆในช่วงแรกๆที่คบกัน   บางทีก็มากเกินไปจนมันเริ่มอึดอัด   เราเริ่มเว้นระยะห่างให้กันและกันบ้าง   ทำตัวสบายๆและไม่ต้องตัวติดกันตลอดเวลาเหมือนแต่ก่อน   แล้วรู้อะไรไหมแพท   แบบนี้แหละมันจะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของเราสองคนยั่งยืนยิ่งขึ้น   ไม่ได้แปลว่าฉันเบื่อเขาอย่างที่เธอคิดซะหน่อย”

          “บางทีฉันอาจจะไม่เชี่ยวชาญเรื่องความรักเหมือนเธอก็เลยไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่   แต่ก็เอาเถอะ   ถึงฉันจะไม่ค่อยชอบเขา   แต่ก็เอาใจช่วยให้ไปกันรอดก็แล้วกัน   ถ้าคนนี้เธอจริงจังจริงๆ”

          “ฉันจริงจังมาก”

          แพทหยุดเดินแล้วมองไปทางผู้ชายที่กำลังเดินออกมาจากร้านขายของสะดวกซื้อที่อยู่ถัดไปไม่ไกล           

          “นั่นแซค  เรย์โนลด์นี่”

          “ใครนะ”

          “แซค  เรย์โนลด์ไง   คนที่เคยมีข่าวว่าเดทกับยัยดาวคณะการละครแล้วไม่โทรกลับมาหาเจ้าหล่อนอีกเลยหลังจากมีอะไรกันหนะ”

          “เดี๋ยวนะ   ฉันพอจะนึกออกแล้ว   คนนี้หนะเหรอที่ทำให้ยัยเสียงปรอทแตกนั่นอาละวาดกลางมหา'ลัย”

          “ใช่   คนนี้แหละ   เค้าฮอทมากเลยนะ   ฉันได้ยินมาว่าเค้าเปลี่ยนผู้หญิงควงด้วยทุกอาทิตย์เลย”

          “แบบนั้นไม่เรียกว่าฮอทหรอกนะ   มันเรียกว่าเลว”

          “แรง   แต่เขาก็ดูดีมากจริงๆแหละ   บางทีฉันยังอยากจะออกเดทกับเขาบ้างสักครั้งนึงเลย”

          “แล้วเขาก็จะไม่โทรกลับมาหาเธอหลังจากมีอะไรกันเหมือนที่ทำกับผู้หญิงคนอื่นหนะเหรอ   เธอมีค่ากว่านั้นเยอะนะแพท   อย่าไปยุ่งกับผู้ชายแบบนี้เลย”

          แซค  เรย์โนลด์   มิเชลจำชื่อนี้ไว้ขึ้นใจ   ผู้ชายที่เห็นผู้หญิงเป็นแค่ของเล่น   เธอเคยเห็นพ่อทำกับแม่แบบนี้มาแล้วจนแม่ต้องฟ้องอย่า  

          เธอจะไม่มีวันเข้าไปยุ่งกับผู้ชายแบบเขาเด็ดขาด 

 

 

.......................

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา