RED STONE WAR

9.0

เขียนโดย nemon

วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 เวลา 21.50 น.

  86 ตอน
  9 วิจารณ์
  63.38K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 23.26 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ตอนแรก กำเนิดจุดเริ่มต้น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

  RED STONE WAR สงครามหินแดง

                  ณ ตรอกเล็กเล็กแห่งหนึ่งแถวตลาดบางกอกน้อย ตรงเข้าไปจนสุดซอยจะเห็นโรงงานหล่อพระขนาดใหญ่ มีเสียงเครื่องจักรโรงงาน และเสียงคนงานหล่อพระพูดคุยตะโกนโหวกเหวก เสียงดังกันจนอื้ออึงไปหมด ด้านข้างโรงงานมีซอยเล็กเล็ก พอดีจอดรถจักยานยนต์ได้ซักสองคัน เข้าไปจนสุดซอยเล็กเล็กนั้น มีบ้านเช่าเป็นบ้านไม้ทาสีแดงเป็นบ้านสองชั้นเก่าเก่า ด้านบนชั้นสองของบ้าน มีเด็กน้อยอายุเพียงแปดขวบเศษเศษ นั่งอยู่ริมระเบียงตรงขอบหน้าต่าง เด็กน้อยดูท่าทางเศร้าซึมแตกต่างจากเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน  

               เด็กน้อยมองดูภาพเบื้องหน้าของตน เห็นเพียงแต่กำแพงของโรงงานหล่อพระ บดบังทุกสิ่งทุกอย่างที่เด็กน้อยต้องการอยากจะเห็น เด็กน้อยอยากเห็นท้องฟ้าที่สวยงาม ต้นหญ้า ลำธาร และเด็กน้อยยังเฝ้ารอคอยบิดาของเขาที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวที่เขามี ซึ่งบิดาของเขาได้ออกจากบ้านไปทำงาน ตั้งแต่เช้าตรู่เหลือเพียงตัวเขาและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างต่าง ภายในห้อง ที่บิดาของเขาซื้อไว้ให้ นั้นก็คือ คอมพิวเตอร์ หนังสือการ์ตูนหลายเล่ม และ ซีดีหนังแผ่นจำนวนมาก ซึ่งเด็กน้อยเรียกสิ่งของพวกนี้ว่าเพื่อน เด็กน้อยนั่งมองกำแพงของโรงงานหล่อพระขนาดใหญ่ แล้วน้ำตาหยดน้อยน้อย ของเจ้าหนูก็ไหลออกมาจากสองตา ดวงตาเจ้าหนูน้อยแดงกล่ำ

             เนื่องจากเมื่อสองเดือนก่อนหน้านี้ เด็กน้อยยังมีมารดาอยู่ มารดาของเจ้าหนูน้อยได้เสียชีวิตลง เนื่องจากถูกโจรใจทรามปล้น และจี้เอาทองของมารดาเด็กน้อย แต่ทว่ามารดาของเด็กน้อยขัดขืนจึงถูกแทงจนเสียชีวิตที่กลางซอย ภาพสุดท้ายที่จำได้คือใบหน้าของมารดาคล้ายคล้ายนอนหลับไปนั้นเอง ไม่มีรอยยิ้มที่อบอุ่นของมารดาอีกแล้ว มองไปรอบรอบห้อง เด็กน้อยมองสิ่งของต่างต่างที่เคยได้ใช้กับมารดาของตน หนังแผ่นซีดีเรื่องโปรดที่เคยดูด้วยกัน โต๊ะกินข้าว ที่เคยกินด้วยกันครบครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตากัน ที่นอนที่แม่เคยนอนกอด ผ้าห่มผืนน้อยที่เคยแย่งกันห่มกับมารดา เสียงหัวเราะที่แสนสุขมันไม่มีอีกแล้ว พอเห็นสิ่งเหล่านี้ เด็กน้อยรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ ปั่นป่วนไปถึงช่องท้อง ทรมานกับการสูญเสีย มันยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน พอแล้วความปวดร้าวพอแล้ว เด็กน้อยพูดกับตัวเองภายในใจ

ทำไมพระเจ้าใจร้ายกับเราเสียเหลือเกิน ทำไมโลกใบนี้ไม่น่าอยู่เสียเลย โลกแบบนี้ไม่น่ามีเสียดีกว่า ใครก็ได้มาทำให้โลกใบนี้หายไปเสียทีเถอะใครก็ได้ เด็กน้อยอธิฐานด้วยใจปราถนาอย่างแท้จริง 

กลางดึกคืนนั้นเอง

          ในคืนนี้บิดาของเขายังไม่กลับถึงบ้านเนื่องจากต้องไปกินเลี้ยงกับลูกค้า ซึ่งบิดาของเขาได้โทรมาบอกในช่วงหัวค่ำแล้ว เด็กน้อยตกใจตื่นขึ้นมาในเวลากลางดึก เนื่องจากได้ยินเสียงเรียกตนเองที่ไม่คุ้นหูเอาเสียเลย เป็นเสียงที่แหบแห้งคล้ายเสียงหญิงชราและเบามาก

“เจ้าหนู เจ้าหนู “

         เด็กน้อยตกใจลืมตาเบิกกว้างเหงื่อไหลท่วมใบหน้า แต่ทว่า ทุกอย่างภายในห้องกับมืดสนิทจนมองอะไรไม่เห็นเลย แต่ความรู้สึกของเด็กน้อยรับรู้ได้ว่า ตนเองยังอยู่บนเตียง เค้ายังอยู่ในห้องนอนของตนและเหมือนกับว่าภาพต่างต่างนั้น จะเริ่มเห็นชัดขึ้นเรื่อยเรื่อย เด็กน้อยขยี้ดวงตาของตัวเองเพื่อเรียกสติและเพ่งมองไปตรงด้านหน้าของตน สิ่งที่เห็นต่อหน้าของเด็กน้อยนั้น ทำให้น้ำตาหยดน้อยน้อย ของเด็กน้อยหลั่งไหลพรั่งพรูออกมา พร้อมกับโผเข้าโอบกอดร่างที่อยู่ต่อหน้าของเด็กน้อย

“แม่ แม่ แม่ แม่กลับมาแล้ว”

          ภาพที่อยู่เบื้องหน้าของเด็กน้อย คือใบหน้าและรูปร่างของมารดาของเขาจริง แต่เมื่อได้สัมผัสโอบกอดกลิ่นกาย กลับไม่ใช่สิ่งที่เด็กน้อยคุ้นเคย เด็กน้อยเกิดความสับสนภายในใจแต่เค้าไม่สนใจอีกแล้ว ขอเพียงได้แม่ของเขากลับมาก็เพียงพอแล้ว

“เจ้าหนู เจ้าหนู ข้าไม่ใช่แม่ของเจ้าหรอก ตัวข้านั้นคือภาพแสดงตนที่เจ้าอยากเห็นไงล่ะ” เสียงแหบแห้งคล้ายเสียงหญิงชราได้เอ่ยขึ้น

“ไม่จริง ไม่จริง เนี๊ยะคือแม่ของหนูแม่กลับมาแล้ว” เด็กน้อยกล่าว

“ ข้าไม่ใช่แม่ของเจ้า” เสียงแหบแห้งที่แผ่วเบาได้กล่าวขึ้นอีก ถ้าไม่เชื่อเจ้าหนูลองจับใบหน้าของข้าดูสิ เสียงในเงามืดกล่าว เด็กน้อยค่อยค่อยเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของมารดาเขาที่อยู่เบื้องหน้าอย่างเบามือและเมื่อมือน้อยน้อยที่สั่นอย่างกลัวกลัว เมื่อสัมผัสถูกใบหน้านั้น เด็กน้อยถึงกับผงะดวงตาเบิกกว้างตกใจสุดขีด เมื่อเห็นใบหน้าที่เด็กน้อยได้สัมผัส ใบหน้านั้นเริ่มบิดเบี้ยวเปลี่ยนรูปร่างทันที ใบหน้าที่เด็กน้อยเห็น ที่คุ้นเคยได้เปลี่ยนเป็นใบหน้าของตัวเด็กน้อยเอง เด็กน้อยตกใจสุดขีดถีบตัวหนีจากจุดนั้นทันที แต่ทว่าเด็กน้อยไม่สามารถขยับตัวได้แม้แต่น้อย เด็กน้อยได้แต่เพียงจ้องมองเพียงสิ่งที่อยู่ด้านหน้าของตนเพียงเท่านั้น เด็กน้อยพยายามจะตะโกนเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ดูเหมือนเสียงของเด็กน้อยนั้นกลับไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้แม้แต่น้อย ปากของเจ้าหนูไม่สามารถขยับได้เลย สิ่งมีชีวิตด้านหน้าของเด็กน้อย ก็เริ่มเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้อีก

“เจ้าหนูอย่ากลัวข้าเลย ตัวเจ้านั่นแหล่ะที่เรียกตัวเรามาเจ้าจำไม่ได้รึ“เสียงแหบแห้งนั้นเอ่ยขึ้น

เด็กน้อยหยุดนิ่งไม่ดิ้นรนอีก แต่กลับจ้องมองใบหน้าของตัวเองที่อยู่เบื้องหน้าอย่างตั้งใจ ข้าคือสิ่งที่เจ้าร้องขอไงล่ะ

“สิ่งที่ผมขอเหรอครับ” เด็กน้อยคิดภายในใจ

“ใช่แล้วข้าคือสิ่งที่เจ้าร้องขอ” เสียงแหบแห้งนั้นตอบอย่างช้าช้า

เด็กน้อยตกใจกลับสิ่งที่เกิดขึ้น คุณอ่านใจผมได้เหรอ

“ใช่ข้าอ่านใจเจ้าได้ “เสียงนั้นตอบเด็กน้อยอีกครั้ง เด็กน้อยยังจ้องมองใบหน้าของตนอย่างเงียบเงียบ

"เจ้าหนู เจ้าจงฟังข้าให้ดี ข้าสามารถมอบสิ่งที่เจ้าต้องการได้สิ่งที่เจ้าต้องการทุกอย่างไงล่ะ" เด็กน้อยนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“งั้นผมขอให้แม่กลับมาอยู่กลับผมได้มั้ยครับ ชุบชีวิตแม่ผมให้ที

“ สิ่งนั้นอยู่นอกเหนือสิ่งที่เจ้าร้องขอ “ เสียงแหบแห้งนั้นตอบ

"สิ่งที่เจ้าร้องขอคือทำลายโลกใบนี้ที่โหดร้ายสำหรับเจ้าไม่ใช่รึ ข้ามอบสิ่งนั้นให้เจ้าได้ โลกใบนี้มันไม่น่าอยู่สำหรับเจ้าไม่ใช่รึ"

"ก็ใช่ครับ ผมเกลียดพวกคนเลวที่มีอยู่มากมายบนโลกนี้ คนเลวที่ทำร้ายแม่ผมคนเลวเลวผมอยากให้หายไปจากโลกนี้" เด็กน้อยคิดภายในใจ

"เจ้าจะให้ข้าทำยังไงเพื่อจะได้ให้โลกใบนี้สูญสิ้นไปล่ะ เสียงแหบแห้งนั้นตอบอีกครั้ง ข้าเพียงแต่ให้เจ้า เสนอวิธีการทำลายโลกใบนี้ส่วนตัวข้าจะสนองตอบเจ้า ว่ายังไงล่ะเจ้าหนูเจ้ามีวิธีไหนรึ" เด็กน้อยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

“ผมอยากให้คนเลวเลวทั้งหลายต่อสู้กันเองให้คนที่ดีดีอยู่รอดครับเพราะว่าคนดีมักจะถูกคนเลวเอาเปรียบและข่มเหงเสมอ

“แล้วจะทำยังไงให้คนเลวสู้กันเองได้ล่ะเสียงแหบแห้งตอบ ความเลวของมนุษย์เกิดจากความโลภ คนเลวมักจะควบคุมความโลภของตัวเองไม่ได้ ความโลภของมนุษย์จะทำลายจิตใจอันดีงามของมนุษย์เอง แล้วเจ้าจะทำยังไงให้มนุษย์เหล่านั้นเกิดความโลภได้ล่ะ”

"ผมจะให้คนเลวเลวพวกนั้นแย่งชิงสิ่งที่พวกเขาต้องการครับ" เด็กน้อยตอบ

”แล้วมันคืออะไรล่ะสิ่งที่เจ้าคิด" เสียงแหบแห้งตอบ

“ก็มีความร่ำรวย ความเก่ง พลังเหนือธรรมชาติ พลังที่เสริมสร้างให้คนที่โลภมาก ที่ต้องการอำนาจที่เหนือกว่าคนอื่น ความเป็นอมตะและอีกหลายหลายอย่างครับ” เด็กน้อยตอบภายในใจ

"อืม อืม น่าสนใจทีเดียวงั้นเจ้าลองนึกคิดสิ่งที่เจ้าต้องการอยากให้มีบนโลกนี้ขึ้นมาแล้วข้าจะสร้างให้เจ้า เอาล่ะ ลองว่ามาสิ" เสียงแหบแห้งกล่าว

"ผมอยากให้มีพลังที่จับสิ่งของที่ไม่มีค่าอะไรให้กลายเป็นทองได้ครับ" เด็กน้อยกล่าว

“น่าสนใจได้ดีข้าจะสร้างให้เจ้า“เสียงแหบแห้งของหญิงชราตอบโดยทันที

ทันใดนั้นเองก็มีเสียงประหลาดดังขึ้น

” ป๊อบ”

มีกลุ่มควันสีเขียวเขียวขนาดเล็กลอยฟุ้งขึ้นอยู่เบื้องหน้าของเด็กน้อย เด็กน้อยตกใจสดุ้งสุดตัวแต่ทว่า ไม่สามารถขยับตัวได้อีก

“เจ้าไม่ต้องกลัวเจ้าหนูนี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการไงล่ะ”ลองมองดูสิ่งที่เจ้าสร้างมันขึ้นมาสิ เด็กน้อยหันไปมองดูตรงบริเวณรอบรอบที่มีกลุ่มควันค่อยค่อยจางหายไป สิ่งที่เด็กน้อยมองเห็นนั้นก็คือ มีสร้อยคอประหลาดสีเงินนวลขาวสวยงามประดับด้วยจี้คอคล้ายคล้ายผลึกแก้วสีเหลืองนวลมองดูสวยงามใส จนมองทะลุได้มองดูภายในผลึกมีวัตถุประหลาดอยู่ภายใน คล้ายคล้ายสิ่งมีชีวิตขยับอยู่ภายใน

“นี่คือสร้อยอะไรเหรอครับ” เด็กน้อยเอ่ยถาม

"สร้อยเส้นนี้ก็คือ ตัวแทนหรือสิ่งที่เชื่อมโยงพลังวิเศษที่เจ้าได้นึกคิดขึ้นมาไงล่ะ" เสียงหญิงชราตอบ

“ผมไม่เข้าใจหมายถึงอะไรหรือครับแล้วมันใช้ยังไงครับ”

 "เอาล่ะ เอาล่ะ ใจเย็นเย็นเจ้าหนูเจ้าจงฟังข้าให้ดี"

                      เด็กน้อยนิ่งเงียบดวงตาจับจ้องมองสร้อยผลึกนั้น สลับกับใบหน้าที่อยู่ในความมืดเบื้องหน้าอย่างจดจ่อ

"สร้อยผลึกนี้เป็นสิ่งเปราะบาง ที่แฝงไปด้วยพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ เพียงแค่ครอบครองไว้มันจะไม่ส่งผลใดใดให้กับผู้เป็นเจ้าของมัน หากเสียแต่ว่าผู้ที่ครอบครองมัน กัดและดื่มกินของเหลวภายในผลึกนั้น พลังอำนาจในผลึกจะหลอมรวมกับผู้เป็นเจ้าของมัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและเมื่อหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วจะเกิดเป็นรอยอักขระขึ้นบนตัวผู้เป็นเจ้าของไงล่ะ หรือจะเรียกว่ารอยสักก็ได้ ผู้ครอบครองสามารถรวบรวมพลังต่างต่างได้หลายแบบมากมาย แต่ไม่เกินยี่สิบชนิด"หญิงชรากล่าว

“ถ้าเกินยี่สิบชนิดละครับจะเป็นยังไงเหรอ”เด็กน้อยสอบถามด้วยความสงสัยเป็นอย่างยิ่ง

"ถามได้ดีนิเจ้าหนู"เสียงหญิงชราตอบ

"ผู้ที่ครอบครองผลึกวิเศษเกินยี่สิบชนิดขึ้นไปจะไม่สามารถใช้ร่างกายมนุษย์ได้อีก จะกลายร่างเป็นอสูรแล้วแต่ว่าพลังที่มีนั้นเป็นพลังชนิดใดและอยู่ในระดับใด"

"แล้วถ้าไม่อยากเป็นอสูรละครับ มีวิธีแก้มั้ยครับถ้าเกิดว่าอยากเป็นคนอยู่อ่ะครับ"เด็กน้อยกล่าวด้วยความสงสัย

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะที่ฟังแล้วน่าขนลุกขนพองจนทำให้เจ้าหนูน้อยขนลุกไปทั้งตัว เสียงหัวเราะของร่างที่อยู่ในเงามืดเบื้องหน้าของเด็กน้อยหัวเราะออกมา

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ข้าชักชอบเจ้าแล้วซิเจ้าหนูถามได้ดี มีวิธีแก้อยู่วิธีหนึ่งนั่นก็คือ ผลึกสีแดงไงล่ะ

                        

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา