ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  97.81K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

104) บทที่ ๑๐๓ : เหตุผลที่หมั้นกัน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๑๐๓

[บรรยายโดยตัวละครชาย เด็กชายพงสณะ ปรารัตน์ราพณ์]

เหตุผลที่หมั้นกัน

                                                                               ๗๒๕/--- ต.ปากน้ำประแส

                                                                                                                                                                                             อ.แกลง จ.ระยอง

                                                                                                                                                                                             ๒๑๑๗๐

๘ เมษายน ๒๕๕๙

พงสณะเพื่อนรัก

                สวัสดีนะ สบายดีไหม เป็นอย่างไรบ้าง ผลการเรียนดีไหมคงไม่ใช่ว่ามัวแต่เล่นเพลินนะ …อย่าคิดว่าฉันมีใจให้นะ ที่ถามก็เพราะเหมือนเป็นเพื่อสนิทกันแล้ว จะถามทุกข์สุกดิบตามประสาคนมักคุ้นก็ไม่แปลก นี่ก็เป็นฉบับที่ ๒๖ จากฉันเช่นกัน ไม่คิดเลยว่าจะอดทนทำในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ ตรงนี้ฉันก็ขอชื่นชมที่ทำมาได้ ๒ ปีเต็มแล้ว หวังว่าปีที่สาม ๒๕๕๙ นี้นายจะทำได้จนครบทุกเดือนเหมือนที่ผ่านมานะ

                ขอบคุณจริงๆ สำหรับของขวัญที่ยังคงพยายามส่งมาให้นะ ดอกกุหลาบสวยมากเลย แต่อย่างไรก็ไม่ค่อยชอบดอกไม้ของตะวันตกสักเท่าไหร่ …ฉันเองก็จะรอการมาเยือนของนางพร้อมดอกบัวนะ อยากรู้จริงเชียวว่าจะสวยตามที่บอกเปล่า ช็อกโกแลตที่ส่งมาให้อร่อย ไม่หวานไม่ขมจนเกินไป มีสอดไส้ตามที่นายบอกด้วย มีหลากรสหลายลาย ฉันชอบชิ้นที่มันเป็นรูปแบบของการแกะสลักผลไม้ ดูเป็นไทยดี คงไม่ใช่ว่านางสั่งทำหรอกใช่ไหม คราวหน้าส่งมาแบบธรรมดาก็ได้เปลืองเงินน่ะ ช่วงนี้ฉันอยู่แต่ในบ้านก็น่าเบื่อเหมือนกันหวังว่าสถานที่ที่จะพาฉันไปคงจะทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นบ้างนะ ตลาดน้ำกับทุ่งดอกบัวน่าสนใจดีนี่ หวังว่าจะไม่ทำให้ผิดหวังล่ะ

                จริงด้วยสิ ฉันมีเรื่องสงสัยน่ะ ทำไมพ่อแม่เราถึงให้หมั้นกันล่ะ ฉันเองก็เข้าใจนะว่าเป็นเพื่อนกัน แต่รู้สึกว่าน่าจะมีอะไรมากกว่านั้นน่ะสิ ฉบับหน้านายช่วยตอบมาด้วยนะ

                ใกล้จะจบฉบับนี้ ฉันจะรับความรู้สึกของนายไว้เช่นกัน ฉันยังไม่ตอบรับความรู้สึกที่นายมีให้ อนาคตไม่แน่นอนสักวันหนึ่งนายอาจจะชอบคนอื่นก็ได้ มีสาวๆ มากหน้าหลายตาที่โตกันแล้วคงจะดึงดูดได้ดี ฉันเองก็ไม่ใช่ประเภทที่แต่งหน้า ดูแลตนเองหรือใส่เสื้อตามสมัย ยิ่งความคิดของฉันนั้นล้าสมัยก็คงอาจจะมีวันหนึ่งที่นายจะเบื่อ ถ้าเกิดตอบรับความรู้สึกที่นายมีให้คนที่เจ็บที่สุดก็ต้องเป็นฉัน …เฮ่อ เลิกกล่าวเรื่องนี้ดีกว่า อนาคตยังอีกไกลนัก ไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องเกิดขึ้น เราสองคนก็ต้องเตรียมใจด้วย

                สุดท้ายนี้ ดูแลตนเองดีๆ และขอให้มีความสุข โชคดีนะ

                                                                                 รักและคิดถึง

                                                                              สังรศรี วีรสังฆะ

 

                นี่ก็สามปีแล้วที่ศรียังคงไม่ตอบรับความรู้สึกที่ผมมีให้ ไม่ว่าจะทำอย่างไรเธอก็ไม่หวั่นไหวบ้างเลย เห็นแสงทางข้างหน้าริบหรี่จนชักจะท้อบ้างแล้ว …แต่ก็จริงอย่างที่เธอบอก อนาคตผมอาจจะเปลี่ยนใจไปชอบคนอื่นก็ได้ การจะให้เธอยึดติดกับผมก็ใช่ที่ ถ้าเกิดเป็นเช่นนั้นจริงคนที่เจ็บที่สุดก็คือเธอ ส่วนผมก็จะมีความสุขกับคนใหม่ …น่าแปลก ผมสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ไม่แน่ชัด ความสับสนในจิตใจ ความเศร้านั้นเจือจางจนหากไม่สัมผัสอย่างตั้งใจคงไม่รู้สึกแน่ ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าศรีคิดอย่างไร เธอจะมีใจให้บ้างแล้วเพียงแต่ไม่รู้สึกหรืออาจจะไม่ยอมรับก็ได้ ผมถอนหายใจเบาๆ พลางตั้งความหวังว่าสักวันหนึ่งเธอจะมีใจให้ผม เล็กน้อยก็ยังดี

                ผมพับกระดาษแล้วใส่ในซองจดหมายดังเดิม เก็บไว้ในลิ้นชักที่มีสมุด จดหมายจากศรีและสิ่งที่เคยเป็นของเธอมาก่อน… จริงๆ แล้วผมวานให้เฉาก๊วยขโมยมาไม่ก็ขอจากศรี ถึงจะไม่ได้เจอกันแต่เห็นของที่เป็นของเธอก็ยังดี ซึ่งผมสะสมมาได้หลายอย่างแล้ว ทั้งกระเป๋า สมุดเรียนที่ไม่ได้ใช้แล้ว รูปภาพที่ถ่ายไว้สมัยยังเด็ก ฯลฯ และอีกหลายๆ อย่างที่ผมลงทุนไปขโมยมาเองและขอจากเฉาก๊วย  จะบอกว่าผมเป็นพวกโรคจิตก็ได้แต่จะให้ทำอย่างไรล่ะ คนมันชอบคนมันรักก็ต้องคิดถึงเป็นธรรมดา ได้เห็นของต่างหน้าก็พอใจแล้ว

                ผมพยายามไล่ความคิดนั้นก่อนจะออกไปยังห้องนั่งเล่นเพื่อถามเรื่องที่เราหมั้นกัน พบว่าพ่อกับแม่นั่งสนทนากันอยู่ ผมรอเงียบๆ ไม่อยากแทรกให้เสียมารยาท แต่ไม่นานนักเมื่อพ่อเหลือบมาเห็นผมก่อนเลยหยุดเรื่องที่สนทนาเมื่อครู่ก่อนจะถามพลางยิ้มบางๆ เช่นเดียวกับแม่ที่รอฟังอยู่

                “มีอะไรเหรอ เข้ามานั่งก่อนสิ” ผมเดินเข้าไปนั่งก่อนจะกล่าว “ศรีถามว่าทำไมเราถึงถูกหมั้นกันตั้งแต่เด็ก เธอบอกว่าก็พอจะเข้าใจว่าเป็นเพื่อนกันเลยอยากให้หมั้น แต่เธอคิดอีกว่าน่าจะมีเหตุผลมากกว่านั้น กระนั้นผมไม่รู้เลยมาถามพ่อกับแม่นี่แหละครับ” ท่านทั้งสองมองหน้ากันอย่างลำบากใจก่อนที่พ่อจะหันมาก่อนแล้วตอบ

                “หมั้นกันเพราะเป็นเพื่อนกันจริงๆ ไม่มีอะไรมากกว่านั้นหรอก” ผมหรี่ตามองพ่อแม่อย่างจับผิด อยู่ด้วยกันมานานถ้าไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่นี่ก็แปลกแล้ว ยิ่งสีหน้าที่ดูวิตกนั้นยืนยันได้เป็นอย่างดี

                “พ่อครับ อย่าโกหกผมเลย สีหน้าพ่อมันฟ้องนะครับ” พ่อเบิกตากว้าง หน้าซีดเล็กน้อยเช่นเดียวกับแม่ ท่านถอนหายใจก่อนที่แม่จะเป็นฝ่ายตอบแทน “คิดว่าจะไม่เอะใจแล้วเชียว หนูศรีนี่ก็คิดได้ แต่ไม่เป็นไรอย่างไรเสียก็ต้องมีสักวันที่ลูกต้องรู้” ฟังแล้วคงจะเกริ่นผมเลยกล่าวเร่งเพราะไม่อยากให้ยืดเยื้อ

                “เข้าเรื่องเลยครับ”

                “…จะว่าอย่างไรดีล่ะ หนูศรีเป็นยักษ์ที่มีพลังมากกว่ายักษ์ตนอื่นๆ บวกกับพลังเนตรที่ถูกผนึกพร้อมกับร่างยักษ์ แกถูกผนึกด้วยรัดเกล้าที่มักจะสวมประจำ แต่นับวันพลังอาคมก็เริ่มถดถอยยิ่งมันอยู่มานานหลายปีแล้วเลยคงที่ไม่อยู่ พลังเลยอาจจะตื่นขึ้นได้ เรากับพ่อแม่ของหนูศรีทราบถึงเรื่องนี้เลยตกลงกันว่าจะให้ศรีและลูก…. ที่มีพลังในการผนึกแต่งงานกัน ซึ่งสามารถเป็นพิธีในการเชื่อมวิญญาณเข้าด้วยกันด้วย”

                “อย่างนั้นเหรอครับ” ไปๆ มาๆ ผมรู้สึกไม่ดีอย่างไรไม่รู้ แทนที่ว่าจะแต่งงานอย่างเดียวแต่กลับเป็นการทำพิธีไปในตัวด้วย ผมถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะยกมือไหว้ “ขอบคุณครับ จะให้ผมเก็บไว้เป็นความลับไหมครับ?”

                “ถ้าได้ก็เก็บจะดีกว่า หนูศรีคงไม่พร้อมที่จะรับฟัง เรื่องยักษ์ที่ซ่อนอยู่ในตัวเป็นแผลใจมานานแล้ว ไว้รอให้โตขึ้นอีกหน่อยก็คงไม่สาย”

               หลังจากที่แม่กล่าวจบผมก็พยักหน้ารับก่อนจะเดินออกจากบ้านไป เปลี่ยนบรรยากาศเผื่อจะรู้สึกดีขึ้น ผมมานั่งเล่นอยู่หน้าบ้านที่โต๊ะหินอ่อน ในขณะนั้นเองกลุ่มเพื่อนๆ ที่สนิทด้วยกันก็เดินเข้ามา ผมไม่ว่าอะไรเพราะเป็นแบบนี้มานานแล้ว กลายเป็นเรื่องปรกติที่พวกเขาจะเข้ามาโดยไม่อนุญาต ผมกวักมือเรียกเป็นเชิงให้มานั่งก่อนจะกล่าว

               “ไปไหนมาล่ะ ไม่ชวนกินบ้างเลย” ผมกล่าวเล่นๆ พลางมองน้ำแข็งไสในมือแต่ละคน พุดดิ้ง เพื่อนชายผมสีบลอนด์ที่ผมสนิทมากที่สุดตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ไปร้านเกมมาแล้วแวะซื้อน้ำแข็งไส …อะ นี่ของนาย ถึงไม่ชวนกินแต่ฉันซื้อมาให้ถึงที่เลยนะ” ผมยิ้มอย่างดีใจ รับน้ำแข็งไสมาก่อนจะกล่าวขอบคุณในขณะที่เพื่อนๆ นั่งบนโต๊ะหินอ่อนแล้วเริ่มทาน

               “เอ้อ ว่าแต่ปิดเทอมนี้นายจะไปเยี่ยมศรีเปล่า พวกฉันจะได้วางแผนไปเที่ยวกัน” บอระเพ็ด เพื่อนชายตัดผมรองทรงเหลือบสีเขียวเข้มถามก่อนจะตักน้ำแข็งใส่ปาก “อะไรวะ เห็นฉันติดศรีขนาดนั้นเลยเหรอ?” ผมถามด้วยความน้อยใจ บอระเพ็ดถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะตอบ

               “แล้วจะให้ทำอย่างไรล่ะ นายติดศรีจริงๆ นั่นแหละ วันๆ ต้องมานั่งมองนายเพ้อถึงศรีโดยไม่ได้เล่นอะไร พวกฉันก็เบื่อเป็นเหมือนกันนะ” พุดดิ้งและคนอื่นๆ พยักหน้าอย่างเห็นด้วย เห็นดังนั้นแล้วผมก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมา

               “ก็คนมันคิดถึงอะ”

               “มีพวกฉันไม่พอรึไง? …เฮ่อ ช่างเถอะ นายเองก็เป็นอย่างดีมาแต่ไหนแต่ไรจะให้แก้ก็คงยาก” น้ำเสียงนั้นไม่มีความตำหนิแฝงอยู่ ในขณะนั้นเองก็มีเสียงกดกริ่งดังผ่านรั้วมา ผมเดินไปเปิดประตูรั้วก่อนจะพบบุรุษไปรษณีย์ยืนถือกล่องขนาดกลางอยู่ เขากล่าวแล้วยื่นปากกาให้ ผมรับมาเขียนลงนามพลางยิ้มมุมปาก ดีที่อีกฝ่ายไม่สังเกตไม่อย่างนั้นคงจะคิดว่าผมบ้า จะไม่ให้ยิ้มได้อย่างไรล่ะในเมื่อของที่ได้รับมาจากเฉาก๊วย… ผมเดินมานั่งก่อนจะแกะเชือกอย่างตื่นเต้น พยายามหุบยิ้ม เพื่อนๆ เข้ามาดูอย่างสงสัยและมองผมด้วยความไม่เข้าใจ

               “ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว ในกล่องมีอะไรล่ะ?”

               พุดดิ้งถามเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมเปิดกล่อง เผยให้เห็นชุดนักเรียนอนุบาลหญิงที่พับอย่างเรียบร้อย ปิ่นปักผม ผ้าเช็ดหน้าลายไทยที่ปักเป็นรูปช้างตรงมุมและสมุดเรียน ป.๖ สองสามวิชาจัดวางเป็นระเบียบ …ไม่ต้องคิดนานหรอก ทั้งหมดในกล่องนี้เป็นของศรี ผมขอร้องจะเป็นจะตายให้เฉาก๊วยขอจากเธอมา ระหว่างนั้นที่ผมมองสิ่งของในกล่องด้วยความยินดียิ่งกว่าถูกฉลากชิงโชคเงินล้าน ใบชาเพื่อนชายที่มักจะสวมนาฬิกาข้อมือขนาดใหญ่ก็มองผมอย่างรังเกียจพลางกล่าวไปด้วย

               “ตั้งแต่คบกันมาฉันเพิ่งรู้ข้อเสียอีกอย่างของแกนี่แหละว่าเป็นพวกโรคจิต นี่ถ้าเกิดศรีรู้ได้ตายไม่ดีแน่”

               “ก็ฉันรักศรีนี่ จะมีของต่างหน้าบ้างก็ไม่แปลก”

               “แต่จะมีขนาดนี้มันไม่ปรกติแล้วว่ะ นี่เสื้อตัวนี้เป็นของศรีตอนอยู่อนุบาลล่ะสิ กะจะเอาไปทำเป็นหมอนแล้วกอดๆ ดมๆ ใช่ไหม?” ถูกทุกอย่าง ใบชานี่รู้ทันจริงๆ ไม่สิ ผมคงแสดงออกมากและบ่อยไปจนเริ่มจับผิดง่ายขึ้นกระมัง

               “รู้ทันด้วย ฉันคิดว่าจะขอจากเฉาก๊วยมาอีก …อ๊ะ มีรูปของศรีส่งมาด้วยแฮะ แหม ใจดีจังเลยนะเฉาก๊วย ภาพนี้โมเอะมากๆ”

               สีหน้าของผมตอนนี้คงจะเคลิ้มไม่ก็หื่นแล้วล่ะ เมื่อเอาของออกมาดูแล้วพบว่ามีรูปภาพอยู่ใต้ล่างด้วย เป็นภาพศรีสมัยเด็กซึ่งถ่ายเอกสารมาอีกที ไม่น่าแปลกใจหรอกเพราะเธอไม่ชอบถ่ายรูปแถมภาพสมัยเด็กๆ ไม่ได้มีมากเสียด้วย ที่เฉาก๊วยส่งมาวันนี้เป็นภาพศรีใส่เสื้อไม่มิดชิดนั่งเล่นในสระน้ำเป่าลมกับเฉาก๊วยที่เปลือยท่อนบน ตอนแรกควันแทบจะออกหูเพราะเห็นเธออยู่ในสภาพนี้กับเฉาก๊วย แต่ความน่ารักที่เย้ายวนอย่างไม่ตั้งใจนั้นทำให้ผมลืมไป …ต้นขาขาวๆ ที่โผล่ออกมาเล็กน้อยนั้นดูเชิญชวน ดวงตาใสกลมโตนั้นมองมาทางกล้องอย่างใสซื่อ ยอดอกและผิวท่อนบนที่เห็นไม่ชัดเพราะเสื้อเปียกทำให้เลือดสูบฉีดดีกว่าเดิม ผมเหลือบเห็นว่าเลือดกำเดาไหลออกมา บอระเพ็ดเห็นดังนั้นเลยหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเลือดให้พลางกล่าวอย่างระอา

               “ความหื่นแกนี่มันพัฒนาไปไกลจริงๆ”

               “ศรีน่ารักขนาดนี้จะให้อดใจไหวได้ยังไง? …เดี๋ยวฉันไปเก็บของก่อนนะ” ผมตัดบทลุกขึ้นเดินไปในบ้าน มุ่งไปที่ห้องของตนเอง เก็บของที่ได้มาก่อนจะเดินลงไปหาเพื่อนๆ อีกครั้ง พอกลับมาก็พบว่าพวกเขากำลังล้อมกันซุบซิบอยู่ ถ้าให้เดาผมว่าคงกำลังนินทาอยู่นั่นแหละ

               “ซุบซิบอะไรวะ?” ผมถามอย่างไม่พอใจ หลังจากซุบซิบไม่นานนักพุดดิ้งก็เป็นคนตอบแทนเพื่อนๆ “เปล่าๆ ว่าจะชวนนายไปฉลองที่ได้อันดับ ๒ ของห้อง” ถึงจะยังแคลงใจแต่ก็ไม่อยากให้มันมาทำลายสิ่งที่จะได้รับ ผมพยายามไม่ใส่ใจก่อนจะยิ้มแล้วกล่าว

                “เหรอ? ช่างเถอะ พวกนายอุตส่าห์นึกถึงฉันก็จะไม่ใส่ใจละกัน ว่าแต่งานนี้ใครออกเงินล่ะ?” ทุกคนเงียบไป มองผมเป็นตาเดียว ผมถอนหายใจเมื่อเพิ่งนึกได้ว่างานฉลองอะไรก็แล้วแต่ พวกเขามักจะให้ผมเลี้ยงอยู่เสมอพอนึกได้ดังนี้ก็หมดอารมณ์ …คนอุตส่าห์ดีใจมาทำลายความรู้สึกเสียได้

                “ก็ยังดีนะที่ร่วมงาน”

               .

               .

               .

               เมื่อมาถึงร้านหมูกระทะผมกับเพื่อนๆ บางคนก็ไปตักเนื้อ ผักและอาหารที่จะทาน พอมาที่โต๊ะก็คีบเนื้อมาวางบนเตาก่อนจะนั่งสนทนากันเพื่อรอให้มันสุก ระหว่างนั้นผมก็เหลือบเห็นเด็กชายพันผ้าพันแผลที่ตาข้างขวากับคาตานะกำลังนั่งทานเนื้อย่างพลางสนทนากัน ผมมองอย่างแคลงใจก่อนหันไปพลิกเนื้อให้ย่างอีกด้าน ทำเป็นมองไม่เห็นสองคนนั้น แต่โชคไม่เข้าข้างเมื่อคาตานะหันมาเห็นพอดีเลยเรียก

               “สวัสดี” ผมหันไปมองก่อนจะกล่าวทักทายกลับ ระหว่างนั้นเม็ดสีที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ถามขึ้น “ใครเหรอ?”

               “อ้อ เพื่อนโรงเรียนอื่นน่ะ” ผมตอบเบาๆ ไม่ให้คาตานะได้ยิน ในขณะนั้นเจ้าตัวก็เดินมาที่โต๊ะผมก่อนจะกล่าว “ขอคุยเป็นการส่วนตัวหน่อยนะ” ไม่ทันที่ผมจะได้ตอบคาตานะก็ดึงผมจากเก้าอี้แล้วพามายังที่ไม่ค่อยไม่ใครผ่าน ผมสังหรณ์ใจว่าจะมีเรื่องไม่ดีกระนั้นก็ไม่แสดงออกชัดเจน เราสองคนเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่คาตานะจะกล่าว

               “เจ้ารู้ไหมว่าทำไมถึงถูกหมั้นกับศรี?” ผมจ้องเขาด้วยความแปลกใจและฉงน ทำไมถึงรู้ว่าผมหมั้นกับศรีล่ะ? ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่เคยบอกใครนอกจากเพื่อนๆ ที่มิตินี้และในมิติผกาย

               “ทำไมถึงรู้เรื่องที่ฉันกับศรีหมั้นกันล่ะ?”

               “ความลับ…” ผมถอนหายใจก่อนจะตอบ “รู้แล้ว”

               “คงมิใช่ว่าทั้งสองฝ่ายเป็นเพื่อนกันเลยให้หมั้นดอกนะ?” คาตานะยิ้มมุมปาก ผมเผลอชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ เขามักจะมีความลับอยู่เสมอ ยิ้มแบบนี้แสดงว่ามีเรื่องที่ปดปิดอยู่อีกแน่เลย

               “หากแต่งงานกันแล้วจะเป็นการทำพิธีไปในตัว เพื่อผนึกพลังของศรี” คาตานะยิ้มกว้างขึ้นก่อนจะกล่าว “รู้เช่นนี้แล้วก็ดี จะได้มิต้องอธิบายให้มากความ”

               “หมายความว่าอย่างไร?” ลางสังหรณ์ของผมไม่ผิดพลาดจริงๆ รู้สึกว่ารอยยิ้มของคาตานะไม่น่าไว้ใจมากกว่าเดิม ผมนิ่งโดยไม่รู้ตัว รอฟังว่าอีกฝ่ายจะกล่าวอันใด “ข้าจะบอกว่ามิได้มีเพียงเจ้าคนเดียวที่มีพลังในการผนึก …เท่าที่ข้าสัมผัสได้ก็มีอีกสองสามคน”

               “มีใครบ้าง? ฉันรู้จักไหม?” ผมกังวลขึ้นมา เพราะหากเป็นดังที่คาตานะกล่าวศรีก็มีสิทธิ์ที่จะแต่งงานกับคนอื่นมากขึ้น คาตานะเงียบไปหักหนึ่งเหมือนจะบีบคั้นให้ผมร้อนรน

               “มิบอก …มีบางคนที่นายรู้จัก” ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย บางคนที่ผมรู้จักจะเป็นหนึ่งในคนที่ชอบศรีไหม? หวังว่าจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นล่ะ ผมเงียบไปเพื่อเรียบเรียงความคิด จะว่าไปทำไมคาตานะถึงรู้เรื่องนี้ล่ะ?

               “…นาย… เป็นใครกันแน่?”

               “ข้าน่ะฤ? ก็คาตานะอย่างไรเล่า”

               “ไม่ใช่ นายบอกมาว่าเกี่ยวข้องอะไรกับศรีถึงได้รู้อะไรขนาดนี้” ผมกล่าวเสียงเบา หรี่ตามองอย่างพินิจ อีกฝ่ายไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด กลับกันเขายิ้มเหมือนจะชอบใจก่อนจะกล่าว “มิช้ามินานเจ้าก็จะรู้เอง” กล่าวจบก็เดินกลับเข้าไปในร้าน ผมมองตามอย่างข้องใจก่อนจะเดินตามไปด้วย

               …นายเป็นใครกันแน่? คาตานะ…

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา