ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  97.77K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

111) บทที่ ๑๑๐: เพื่อนสมัยเด็กมาซื้อน้ำอบ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๑๑๑

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

เพื่อนสมัยเด็กมาซื้อน้ำอบ

          มิติสามัญ

          วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๙

          นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ศรีเห็นอสุราเขียนจดหมาย ใบหน้าของผู้เป็นพี่ดูเคร่งเครียดนัก จนผู้เป็นน้องอย่างศรีไม่สบายใจ ครั้นจะถามก็เกรงว่าจะไปกดดันจนคิดมากอีก

          “พี่อสุราเขียนจดหมายส่งถึงใครเหรอคะ?” ท้ายคำเสียงเริ่มแผ่วเบา อสุราเงยหน้าจากกระดาษก่อนจะหยิบหนังสือมาทับเพื่อปิดบังไว้ แล้วส่งยิ้มบางๆ ที่ดูเหนื่อยอ่อนสำหรับศรี

          “เพื่อนน่ะจ้ะ”

          โกหก

          ศรีคิดในใจแต่ก็ไม่กล่าวอะไรต่อ  ส่วนอสุรานั้นก็ลุกขึ้นพร้อมกับกระดาษจดหมายและปากกา แล้วลูบศีรษะน้องสาวตนเองเบาๆ

          “พี่ขอตัวไปอยู่ในห้องก่อนนะ เมื่อวานพี่ไปตลาดซื้อขนมมาด้วย จะกินก็กินได้เลยนะ ไม่ต้องเผื่อให้พี่ไว้หรอกจ้ะ” ศรีพยักหน้าในขณะที่อสุราเดินขึ้นบันไดไป เธอมองพี่สาวตนเองจนลับสายตาก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะไม้ยาว

          ไม่มีอะไรทำเลย

          คิดไปพลางหาหนังสือมาอ่าน ก่อนที่สายตาจะสะดุดกับหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งเป็นเล่มเดียวกับที่อสุราใช้วางทับกระดาษจดหมายเมื่อครู่ ศรีมองมันพักหนึ่งแล้วตัดสินใจหยิบขึ้นมาอ่าน พอลองเปิดคร่าวๆ ก็เห็นว่ามีระหว่างหน้าหนึ่งถูกบางสิ่งบางอย่างคั่นไว้ ทีแรกเธอนึกว่าเป็นที่คั่นหนังสือ แต่พอลองเปิดดูกลับไม่ใช่อย่างที่คาด จดหมายสองสามฉบับในซองสีขาวนั้นทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่ามีเขียนถึงอะไร เห็นแล้วพาลนึกถึงที่อสุราเขียนเมื่อครู่ ศรีลังเลว่าจะเปิดอ่านดีไหม ใจหนึ่งก็เกรงจะเสียมารยาทและไม่อยากให้อสุราลำบากใจ อีกใจก็เป็นห่วงว่าพี่สาวตนเองอาจเก็บเรื่องกังวลไว้ก็ได้

          คงไม่เป็นไรหรอก เปิดอ่านแล้วเก็บไว้ในใจเงียบๆ แล้วพอเกิดเรื่องอะไรและไปช่วยก็คงทันการณ์กระมัง

          คิดได้ดังนั้นศรีก็มองไปยังบันไดเผื่ออสุราจะเดินลงมาพอดี พอเห็นว่าไม่ได้เป็นดังนั้นก็ค่อยๆ เปิดซองจดหมายและหยิบกระดาษที่พับไว้ข้างในมาคลี่อ่าน …เมื่ออ่านไปได้ส่วนหนึ่งแล้วดวงตาของเธอก็เบิกขึ้นอย่างช้าๆ มือที่สั่นนั้นยากจะห้ามไหว เนื้อหาจดหมายทำให้เธอลืมหายใจไปชั่วขณะ

          ม่ะ ไม่จริงน่า

                เนื้อตัวเกร็งไปหมดจนทรมาน ศรีพยายามฝืนตัวบังคับให้มือเก็บกระดาษในซองไว้ดังเดิม ก่อนจะเดินขึ้นบันไดเพื่อไปพักผ่อนที่ห้องของตนเอง

                .

                .

                .

               แย่ล่ะ ลืมเอาหนังสือกับจดหมายมาด้วย

               อสุราคิดในใจเมื่อนึกได้ว่าลืมของสำคัญ จึงตัดสินใจหยุดเขียนจดหมายก่อนจะเดินออกจากห้อง แล้วลงบันไดไปยังชั้นล่าง พอเห็นว่าหนังสือกับจดหมายยังคงอยู่แบบเดิมจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเบาๆ และรีบหยิบของสองสิ่งก่อนจะเดินขึ้นบันไดเพื่อกลับไปที่ห้องอีกครั้ง

               เฮ้อ เกือบไปแล้วไหมล่ะ หวังว่าศรีคงจะไม่แอบอ่านหรอกนะ

               อสุราภาวนาในใจ พอนึกถึงเรื่องนี้ก็ใจหายวาบขึ้นมา หากน้องสาวตนเองรู้เมื่อใดจะมิเกลียดชังเธอหรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงอสุราก็หวังว่าศรีจะโกรธเพียงอย่างเดียว ถ้าโดนเกลียดขึ้นมาเธอคงได้อกแตกตายแน่

               คิดไปพลางเขียนจดหมายต่อ พยายามลืมเรื่องนี้และทำใจให้สบายเข้าไว้…

 

               “สงกรานต์น่ะเหรอจ๊ะ?”

               ศรีถามหลังจากรับสายได้ไม่นาน ทางด้านเฉาก๊วยก็ยิ้มแฉ่งก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงสดใส

               “[ใช่ ว่าจะชวนศรีไปเล่นด้วย เมื่อวานเธอก็อยู่แต่ในบ้าน โทรศัพท์ก็ปิด …เอ่อ จะว่าไปเธอเป็นอะไรหรือเปล่า เครียดกับการเข้าโรงเรียนใหม่เหรอ?]” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเป็นห่วง พอรู้สึกเช่นนั้นศรีก็ลืมเรื่องก่อนหน้าไปได้เล็กน้อยแล้ว ริมฝีปากแย้มบางๆ ก่อนจะเอ่ยออกมา

               “เปล่าจ้ะ ขอบคุณนะที่เป็นห่วง ช่วงนี้ฉันอยากอยู่แต่ในบ้านน่ะ คนเยอะเห็นแล้วเวียนหัว”

ได้ฟังดังนั้นเฉาก๊วยก็ขำ ที่ศรีกล่าวไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ตั้งแต่คบในฐานะเพื่อนสนิทมาเรื่องนี้เป็นอีกอย่างที่เขาทราบดี อะไรที่มากๆ และเสียงดังเอะอะเป็นสิ่งที่เธอเกลียดจริงๆ

               “[ฮ่ะๆๆ ‘โทษทีๆ แค่อยากให้ศรีออกจากบ้านบ้างน่ะ เผื่ออารมณ์จะสดใสมากขึ้น]”

               “อา… ฤดูร้อนเราไม่ควรออกไปตากแดดนะจ๊ะ ถึงตอนเช้าจะดีก็เถอะ แต่พอนานเข้าเดี๋ยวก็ได้เป็นมะเร็งผิวหนังหรอก” คำกล่าวดุเล็กน้อยเจือด้วยความเป็นห่วงนั้น ทำให้เฉาก๊วยยิ้มออกมา ก่อนจะเอ่ยเบาๆ กับอีกฝ่ายเมื่อนึกเรื่องบางอย่างได้

               “[ศรี… ขอบคุณจริงๆ ที่เป็นห่วง ตั้งแต่เราคบกันมาในฐานะเพื่อนสนิท เธอมักจะพึ่งตัวเองเสมอ ทั้งๆ ที่เจอความลำบากมามากกว่าฉัน”

               ศรีเงียบไปพักหนึ่งเพราะไม่เข้าใจว่า ทำไมจู่ๆ เฉาก๊วยถึงกล่าวเรื่องนี้แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

               “ท่ะ ทำไมถึงพูดเรื่องนี้ล่ะจ๊ะ เรื่องนี้ฉันต้องขอบคุณเฉาก๊วยมากกว่านะ พอมีเรื่องอะไรฉันก็พึ่งนายตลอดเลยไม่ใช่เหรอ?”

               “[พึ่งฉันทุกครั้ง แต่ไม่ว่าครั้งไหนฉันก็แทบจะปกป้องเธอไม่ได้เลยนี่]”

               “[ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะจ๊ะ]”

                น้ำเสียงของศรีเริ่มแสดงความเป็นห่วง ทางเฉาก๊วยเองก็หลุบตาแล้วตอบเสียงแผ่วเบา

                “[ถ้าเกิดปกป้องได้ ที่ผ่านมาเธอก็คงไม่ต้องโดนแกล้ง และเสียตาข้างขวาไปหรอก]”

                จากที่ฟังมา ศรีคาดว่าเฉาก๊วยคงยังไม่ทราบว่าเธอได้รับลูกตาคืนมาแล้ว ริมฝีปากแย้มบางๆ ก่อนจะเอ่ย

                “อย่าคิดมากเลยจ้ะ ไม่ใช่ความผิดของเฉาก๊วยหรอก อีกอย่าง ก่อนหน้านี้ฉันได้รับลูกตาคืนมาแล้วด้วยนะ” เฉาก๊วยเบิกตาด้วยความแปลกใจ ก่อนที่ดวงตาสีดำจะค่อยๆ ฉายแววยินดี พร้อมกับริมฝีปากที่แย้มกว้าง

                “[จริงเหรอ! แล้วได้มายังไงน่ะ?!]”

                “ผู้อาวุโสที่สวมหน้ากากหุ่นกระบอกน่ะ”

               พอได้ฟังดังนั้นรอยยิ้มก็ค่อยๆ หายไป จากความยินดีแปรเปลี่ยนเป็นกังวล ตั้งแต่ที่เฉาก๊วยรู้จักมิติผกายมาก่อนที่ศรีจะรู้จัก เขาก็รู้สึกมาตลอดว่าผู้อาวุโสที่สวมหน้ากากแบบหุ่นกระบอก เป็นบุคคลที่ไม่น่าไว้ใจ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาได้ยินนางกล่าวเรื่องของศรี ทำให้เฉาก๊วยมั่นใจว่าผู้อาวุโสต้องมีความเกี่ยวข้องกับเพื่อนสนิทตนเองแน่ พอศรีบอกว่านางนำมาให้ก็ทำให้อดคิดในแง่ร้ายไม่ได้ ว่าผู้อาวุโสประสงค์ไม่ดีต่อเธอ

               “[อย่างนั้นเหรอ… ระวังตัวด้วยละกันนะ]” เฉาก๊วยไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไร เลยเอ่ยเตือนเท่านั้น ศรีขมวดคิ้วด้วยความกังวลก่อนจะถาม “ระวังตัว เฉาก๊วยหมายถึงใครเหรอ?”

               “[ผู้อาวุโสที่สวมหน้ากากหุ่นกระบอกไง]”

               “ดูๆ แล้วท่านก็ไม่น่าคิดร้ายต่อฉัน แล้วทำไมนายถึงคิดอย่างนั้นล่ะ?”

เฉาก๊วยเงียบไปพักหนึ่งและถอนหายใจ ก่อนจะกล่าวเบาๆ ทว่าหนักแน่นความรู้สึกของศรี

               “[…ศรี เธออย่าลืมสิ มิติผกายอันตรายกว่ามิติสามัญนะ การที่ท่านนำลูกตามาให้อาจจะให้เธอคิดกับก็ได้ เพราะอย่างนั้น ฉันถึงอยากให้เธอระวังตัวไงล่ะ]”

               พอฟังมาถึงตรงนี้ ศรีก็กังวลมากขึ้น …ทั้งอสุราและเฉาก๊วยต่างก็เป็นห่วง จะกล่าวว่าเป็นเรื่องแปลกก็กระไรอยู่ เดี๋ยวนี้ทั้งสองห่วงใยมากกว่าเดิม จนศรีอดคิดไม่ได้ว่ามีเรื่องอะไรมากกว่าที่บอกหรือเปล่า

               หลังจากนั้นเฉาก๊วยก็บอกลาแล้วตัดสาย ทิ้งให้เพื่อนสนิทตนเองตกอยู่ในห้วงความคิด

 

               อสุรามองโทรศัพท์มาได้พักหนึ่งแล้ว สายที่ติดต่อมาทำให้เธอหนักใจไม่น้อย ไม่สิ ต้องกล่าวว่ารังเกียจจะถูกกว่า

ติ๊ด

               “สวัสดีค่ะ มีอะไรเหรอคะ?”

               ถึงจะรังเกียจแต่ก็ยังสุภาพไว้ ปลายสายยิ้มบางๆ ด้วยความเศร้าใจก่อนจะเอ่ย

               “[สวัสดีจ้ะ เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ? กินข้าวหรือยัง อยากได้อะไรไหมแม่จะได้ซื้อมาฝาก]” ปาราวีถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความเป็นห่วง แต่แทนที่ว่าอสุราจะรู้สึกอบอุ่นกลับกลายเป็นว่าเยือกเย็นแทน

               “แม่ที่แท้จริงของหนูและน้อง ช่วยพามาจะได้ไหมคะ?” ผู้เป็นแม่รู้สึกจุกในอกขึ้นมา ก่อนหน้านี้จะทำอย่างไรอสุราก็ไม่ยอมรับแม่และพ่อบุญธรรมของตนเอง

               “[อสุรา… ตอนนี้แม่ที่แท้จริงของหนูและน้องยังมาไม่ได้นะจ๊ะ]”

               “ทำไมถึงมาไม่ได้ล่ะคะ?” น้ำเสียงเริ่มเยือกเย็น แม้จะเอ่ยผ่านโทรศัพท์แต่ปาราวีกลับรู้สึกได้ เธอเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อคิดหาคำที่น่าจะดีที่สุด

               “[แม่เขาทำบางสิ่งบางอย่างที่ดีต่อพวกหนูน่ะจ้ะ]”

               “โกหก ทอดทิ้งพวกหนูไปโดยไม่แม้แต่จะมาเยี่ยม นี่น่ะหรือที่ดี ดีไม่ดีแม่ที่แท้จริงลืมไปด้วยซ้ำ ว่ายังมีหนูและศรีเป็นลูกของตนเอง”

               กล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว อสุราก็เริ่มอยากสังหารมารดาที่แท้จริง มือข้างขวาที่ไม่ได้ถือโทรศัพท์เอื้อมไปลูบๆ คลำๆ ปิ่นปักผมที่สามารถแปรเป็นดาบได้ ตอนนี้ปาราวีรู้สึกว่ารอบๆ กายตนเองเย็นยะเยือกโดยไม่ทราบสาเหตุ เหงื่อค่อยๆ ไหลตามใบหน้า ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีถึงแม้จะเป็นฤดูร้อนก็ตาม ความรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ทำให้ไม่สบายตัว ระหว่างนั้นอสุราก็เอ่ยเบาๆ ทว่าทำให้หวาดกลัวขึ้นมาอย่างน่าแปลกใจ

               “แล้วอย่าให้รู้นะคะ ว่าอยู่ที่ไหน เจอเมื่อไหร่ไม่เฉพาะแม่ที่แท้จริง แต่ท่านเองก็จะต้องตาย… ด้วยน้ำมือของหนู”

               ติ๊ด---

               สายถูกตัดโดยทิ้งท้ายวาจาน่าหวาดกลัว …ไม่ได้กลัวว่าตนเองต้องตาย แต่กลัวว่าต้องถูกพรากจากลูกบุญธรรมที่ตนเองรัก

               ความตายไม่น่ากลัว เท่ากับต้องอยู่อย่างเคว้งคว้างหรอก…

 

               กลางวัน

               ตอนนี้ศรีมาอยู่ที่ร้านสังฆภัณฑ์ ซึ่งเป็นร้านที่แต่เดิมพ่อแม่ของศรีเคยค้าขายมาก่อน ทว่ามีเหตุบางอย่างที่ทำให้ไม่สะดวก สองสามปีก่อนหน้านี้เลยยกให้อสุราดูและและค้าขายแทน ซึ่งร้านเปิดช่วงเย็นจนเกือบกลางคืน ปิดเทอมก็เปิดช่วงกลางวันคล้อยบ่าย ทว่าพอมาหลังๆ นี้อสุรากลับไม่ค่อยไปขายของสักเท่าไหร่ วันนี้เธอชวนศรีมาด้วย น้องสาวของตนเองที่สังเกตมาได้พักหนึ่งแล้วคิดว่า ที่อสุราไม่ไปเพราะเป็นห่วงหรือเปล่า ด้วยเหตุนั้นเธอจึงตัดสินใจมา

               วันนี้ค่อนข้างจะขายดีเป็นพิเศษ เพราะอยู่ในช่วงวันประเพณีสงกรานต์ จึงขายดินสอพอง น้ำอบและขันได้มาก ซึ่งอสุรายกสินค้ามาเรียงรายขายหน้าร้าน เพื่อที่ลูกค้าจะได้ซื้อสะดวก เพราะส่วนมากเล่นกันจนตัวเปียก ถ้าเข้ามาในร้านมีหวังได้ทำความสะอาดยกใหญ่แน่

               น่าสนุกจัง

               ศรีคิดในขณะที่นั่งบนเก้าอี้ที่หน้าร้าน ซึ่งเป็นบ้านสองชั้นทำจากไม้ รูปแบบเป็นเหมือนสมัยก่อน ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างกับบ้านอื่นนัก ดวงตาสีดำมองผู้คนเล่นกันด้วยความสนุกสนาน สาดและฉีดน้ำ ปะแป้งกันด้วยความหรรษา ท่ามกลางหนองน้ำที่นองพื้นเต็มเส้นทาง และความร้อนจากพระอาทิตย์ในคิมหันต์ฤดู

               กริ๊ง…

               เครื่องแขวนไปมาตามลมฮวงจุ้ย ที่มีตัวนกปลอมอยู่บนสุดไหวไปมาเบาๆ เพราะลมที่พัดผ่าน ส่งเสียงกังวานไพเราะจับใจ ส่งผลให้ศรีออกจากภวังค์ ก่อนจะมองว่าลูกค้ามาหรือเปล่า แล้วพบว่าเป็นเด็กหญิงผมสีฟ้า เกล้าเป็นทรงหางม้า สวมเสื้อยืดลายดอกไม้สีดำ กับกางเกงสีฟ้า ดวงตาสีฟ้าดุจนภาในช่วงคิมหันต์นั้น มองมาที่ศรีอย่างไม่วางตา ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา ทว่าชัดเจนในความรู้สึกของศรี

               “ซื้อน้ำอบ”

               คำสั้นๆ แต่ไม่ห้วน ทำให้ศรีสะดุ้งเล็กน้อยอย่างไม่มีสาเหตุ

“สวัสดีจ้ะ ฟรานีมาเล่นสงกรานต์ที่ระยองเหรอจ๊ะ?”

               “ไม่ได้มาเล่นหรอก ถูกใครบางคนชวนมาน่ะ ว่าแต่ เมื่อไหร่เธอจะเอามาให้ ฉันซื้อสองขวดนะ” ศรียิ้มบางๆ ให้กับฟรานี ก่อนจะหยิบขวดน้ำอบจากกล่องเล็กๆ มาใส่ถุง แล้วยื่นให้ฟรานี

               “เพื่อนเหรอจ๊ะ?”

               “พวกตามเกาะติดน่ะ อย่าสนใจเลย” ฟรานีตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ พร้อมกับยื่นมือไปรับของ ศรีไม่นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร เพราะทราบดีว่านี่เป็นลักษณะปรกติของเจ้าตัว

               “ฮ่ะๆ”

               ศรีขำเพราะคำว่า ‘พวกตามเกาะติด’ เพราะทำให้เผลอนึกถึงพงสณะขึ้นมา

               “ถ้าไม่รังเกียจให้ฉันพาไปเที่ยวเล่นไหมจ๊ะ”

               “ขอบคุณ แต่ไม่เป็นไร ฉันมีเรื่องต้องไปทำน่ะ”

               “น่าเสียดายจัง นานๆ ทีจะได้เจอ…” น้ำเสียงของศรีเจือความเศร้าเล็กน้อย ฟรานีมองอีกฝ่ายนิ่งๆ แล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะเอื้อมมือข้างที่ไม่ได้ถือถุง ไปกุมไหล่ศรีเบาๆ

               “เธอยังเหมือนเดิมเลยนะ” ศรีเงยหน้าขึ้น มองเพื่อนสมัยเด็กด้วยความแปลกใจ เพราะน้อยครั้งนักที่เจ้าตัวจะเข้าหาเอง “เอาอย่างนี้ ถ้าทำธุระเสร็จเมื่อไหร่จะกลับมาหา ตกลงไหม?”

               น้ำเสียงเรียบนั้นให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าแปลกใจ ศรีพยักหน้าก่อนจะกอดอีกฝ่าย

               “ตกลงจ้ะ” ฟรานียิ้มบางๆ …บางมากเสียจนหากไม่เพ่งดูดีๆ จะไม่รู้ว่าเธอยิ้มอยู่ ทว่าศรีลอบสังเกตทันจึงยิ้มกว้างมากกว่าเดิม ด้วยความดีใจที่ฟรานียิ้ม เพราะน้อยครั้งนักที่เจ้าตัวจะแสดงกริยาเช่นนั้น

                เวลาผ่านไปไม่นานนัก ฟรานีค่อยๆ ดันศรีออกเบาๆ แล้วหันหลังเดินจากไป ศรีมองจนกระทั่งอีกฝ่ายกลืนหายไปกับผู้คน…

 

 

---------------------------------------------------------------------------------------------

สวัสดีค่ะ ต้องขออภัยด้วยนะคะที่เพิ่มตอนช้า วันนี้คิดว่าจะลง ๕ บท ซึ่งบทนนี้จริงๆ แล้วมาก่อนบทที่ ๑๑๐ ก่อนหน้า แต่หนูพิมพ์เลขบทสลับกันเลยลงผิดน่ะค่ะ (ต้องขออภัยด้วยนะคะ)

 

ขอบคุณค่ะ)

 

---------------------------------------------------------------------------------------------

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา