ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  97.81K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

13) บทที่ ๑๓: คู่ปรับของเด็กชายนาม ธันนะ อรุณทิพย์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๑๓

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

คู่ปรับของเด็กชายนาม ธันนะ อรุณทิพย์

                มาถึงที่กรุงเทพฯ แล้ว แต่ยังไม่สุดในตัวเมือง กระนั้นบ้านเรือนอาคารก็ยังมีมากมาย รถเทียมม้าค่อยๆ เคลื่อนไปจอดในที่จอดรถสำหรับรถเทียมม้าหรือพาหนะอื่นๆ ที่ไม่ใช่เครื่องยนต์

                อรัญญิกมองผู้เก็บเงินค่าจอดรถก่อนจะลงจากพาหนะ อรัญญิกไม่ต้องจ่ายเนื่องจากนางเป็นรองนายิกา หญิงผู้เป็นหัวหน้าในแต่ละกลุ่มของภาคตนเองจะได้รับสิทธิพิเศษไม่ต้องจ่ายค่าอะไรเว้นก็แต่บางอย่าง อรัญญิกนึกถึงเรื่องนี้พลางยิ้มอย่างภูมิใจ การได้ตำแหน่งรองหรือเป็นนายิกามานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย

                หากไม่ได้ท่านซอช่วยไว้เราคงไม่ได้ตำแหน่งนั้น

                “ไปกันเถิด” ซอกล่าวพร้อมกับลงจากรถเทียมม้า อรัญญิกจึงลงตามมาด้วย ดูเหมือนพวกเด็กๆ จะรู้ตัวเมื่อรถจอดทุกคนจึงลงมาบางคนอาจจะมีเรื่องไม่พอใจกันบนรถพอลงเลยจิกกัดกันตลอด แต่ท่าทางดูขำๆ อรัญญิกจึงไม่ใส่ใจ

                ซอบอกให้เด็กๆ ไปเดินเล่นกันก่อน ทุกคนจึงแยกย้ายตามสะดวก ศรี ธันนะและดินขาวไม่รู้จะทำอะไรจึงเดินไปตรงสะพาน ทำให้ธันนะและศรีนึกถึงวันแรกที่ทั้งสองพบกัน …พอนึกภาพย้อนกลับไปก็รู้สึกไม่ประทับใจ

                สะพานหักเพราะแรงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ (?)

                “จำได้ไหมจ๊ะ วันที่เราพบกันน่ะ” ศรีเปิดปากพูดพลางเท้าแขนสองข้างกับราวสะพาน ธันนะพยักหน้าแล้วตอบ “ไม่ค่อยประทับใจเลย แรงคนหรือแรงช้างเนี่ย?”

                “คนสิ! นายเนี่ยใจร้ายจังพูดดีๆ กับฉันหน่อยก็ไม่ได้”

                “ก็คงเหมือนกับที่เธอพูดต่อพงสณะนั่นแหละ”

                “ง่ะ นายก็งี้ทุกที อย่างน้อยฉันก็ไม่เหมือนนายนะที่ทำหน้าขรึมเย็นชาไปวันๆ” ศรีก้มหน้าลงมองเงาตนเองกับเด็กชายคู่สนทนา ใบไม้ร่วงมาแตะผิวน้ำปรากฏวงคลื่นบางๆ เธอมองภาพนั้นด้วยความเพลิดเพลิน ระหว่างนั้นธันนะก็พูดลอยๆ

                “รู้สึกหิวแฮะ ไปซื้ออะไรกินกันปะ” ศรีหันไปมองก่อนจะตอบ “ไม่ล่ะ ขอโทษนะ”

                “ช่างเถอะ”

                 เด็กชายกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนักที่พูดเท็จและถามก็แค่หาเรื่องคุยแก้เบื่อก็เท่านั้นเอง ธันนะมองใบหน้าขาวเนียนของเด็กหญิงเกล้ามวยผม ผมสีดำสนิทเงางามปล่อยมาครึ่งหนึ่งยาวถึงเอว ฉากหลังมีใบไม้ปลิวลงมา เด็กชายมองภาพนั้นเหมือนโดนคำสาปอันหอมหวานให้จมปรักอยู่ในความฝันที่มิอาจตื่นขึ้นมา

                “ถ้าเกิดจะกินละก็ไปกับข้าก็ได้นะ ข้าเองก็ชักจะหิวขึ้นมาน่ะ” ดินขาวเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินไปหาธันนะ เด็กชายสวมเสื้อกล้ามสีเทาส่ายหน้าแล้วตอบ “จริงๆ ก็แค่อยากกินแก้เซ็งน่ะ”

                “งั้นเหรอ” ดินขาวเอ่ยเบาๆ

                “…”

                “…”

                ไม่มีใครเอ่ยอะไรอีก

                “นี่พวกนาย มากินปาท่องโก๋มั้ย!” มีเสียงตะโกนจากเฉาก๊วย เด็กชายยืนอยู่หน้าร้านขายนม ขนมปัง น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋และอีกสารพัดตามแต่ละร้าน เด็กทั้งสามหันไปมอง ศรีตอบกลับ

                “เอาจ้ะ ฉันขอปาท่องโก๋ ๕ ชิ้นนะจ๊ะ เดี๋ยวคิดเงินทีหลังนะ!”

                “ไม่ต้องจ่ายเงินหรอก ท่านซอเลี้ยงน่ะ!” เฉาก๊วยตอบด้วยรอยยิ้มแจ่มใส ข้างๆ เขามีรพิถือถุง ดอกเข็มกับกลีบเย้ากำลังหยิบปาท่องโก๋ทานอยู่โดยกลีบเย้าเป็นคนถือถุงใส่ ศรีมองแล้วยิ้มแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นคนขายเป็นเด็กผู้ชาย

                หือ? ขายคนเดียวเหรอ เก่งจัง

                ศรีคิดด้วยความรู้สึกชื่นชม สำหรับบางคนคิดว่าเรื่องแบบนี้มันธรรมดา ระหว่างที่ศรีมองภาพนั้นธันนะก็ถาม

                “ศรี ปิ่นปักผมของเธอน่ะ มันมีอะไรรึเปล่า?” ศรีกะพริบตาปริบๆ กับคำถามนั้นเพราะคาดไม่ถึงว่าเขาจะถาม เธอตอบ “ขอโทษจ้ะ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันน่ะ แต่พ่อเคยบอกว่ามันสำคัญมากๆ เลยล่ะ บอกเพิ่มเติมว่ามันลงอาคมชั้นสูงไว้อยู่น่ะจ้ะ” ธันนะพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ กระนั้นเขาก็ยังสงสัยอยู่ดี มันต้องมีอะไรมากกว่านี้สิ

                ดูเหมือนปิ่นปักผมของศรีจะต้องมีพลังอะไรบางอย่างแน่ๆ ไม่งั้นชนกกับอรัญญิกไม่มองหรอก ถ้าตามนั้นก็หมายความว่าชนกและอรัญญิกต้องรู้จักปิ่นปักผมนี้แน่นอน

                รัดเกล้าสีเงินฝังด้วยอัญมณีสีแดง ๓ ด้าน ปิ่นปักผมสีเงินสะท้อนแสงอาทิตย์ยามทิวา เหมือนสายน้ำที่ประกายแสง ธันนะมองอย่างเพลินๆ ก่อนที่ศรีจะพูด

                “ธันนะ ดินขาว เราไปกินกันเถอะ!” พร้อมกันนั้นเธอก็ออกเดิน เด็กชายสองคนจึงตามไป ระหว่างเดินนั้นก็มีใครบางคนทักธันนะ เด็กชายสวมเสื้อกล้ามมองคนนั้นอย่างตะลึง

                “ไง ธันนะ… ฉันนึกว่าแกจะอยู่บ้านเลี้ยงน้องซะอีก” เบื้องหน้าเขาทันทีทีหันไปมองคือเด็กชายสวมผ้าใส่ยางครอบศีรษะสีเทากำลังแสยะยิ้มพร้อมกับเด็กชายอีกสองคน คือเด็กชายโกนผมออกหมดสวมสร้อยสีแดงและอีกคนไว้ผมประบ่าตาตี่

                ธันนะขมวดคิ้วอย่างกังวล เอาแล้วไงล่ะ นั่นมันคู่ปรับของเขานี่!

                “พวกนายเป็นใครเหรอ?” ศรีถามอย่างไม่สบายใจเพราะเธอเห็นหน้าธันนะมีเหงื่อซึมออกมา ท่าทางเด็กชายทั้งสามต้องไม่ใช่พวกดีแน่

                “ฉันชื่อรุกข์ ส่วนไอ้หัวไร้ผมนี่ชื่อพานร ส่วนตาตี่นี่ชื่อไศล แล้วเธอล่ะ?” เด็กชายที่ดูน่าจะเป็นหัวโจกมองเธอพลางยิ้ม “ฉันชื่อสังรศรี วีรสังฆะ”

                เด็กชายนามรุกข์ยิ้มก่อนจะถามแบบแซวๆ

                “เป็นแฟนธันนะเหรอ”

                “ไม่ใช่จ้ะ ฉันเป็นแค่เพื่อนน่ะ!” คำตอบนั้นทำให้ธันนะจุกในอก

                …ความรู้สึกนี้คืออะไรกันนะ

                “ฮึ! เรามาเล่นกันหน่อยดีมั้ย” รุกข์เอ่ยอย่างมีนัยแอบแฝง ธันนะรู้ดีว่าคู่ปรับอย่างรุกข์ไม่มีทางจะเล่นกับเขาแน่

                ---เพราะคำว่า เล่น หมายถึง ต่อสู้---

                “ไม่ล่ะ”

                ฟึ่บ!

                รุกข์เข้ามาล็อกคอธันนะไว้ก่อนที่ไศลจะเข้ามาชกท้องธันนะ

                “อั่ก!”

                ธันนะร้อง รู้สึกจุกมาก แต่ความรู้สึกเจ็บปวดตามร่างกายเขาชินแล้ว ---มันเป็นแบบนี้ประจำที่จะมีเพื่อนผู้ชายมาแกล้งกัน เกือบทุกวันที่เขาต้องฝืนสังขารกลับมาบ้านโดยมีน้องชายถามอย่างเป็นห่วง เด็กชายสวมเสื้อกล้ามสีเทาคุกเข่าไม่มีแรงจะยืน เมื่อกี้โดนชกเต็มแรงเลยจุกไม่น้อย

                พานรอัญเชิญดาบมาถือในมือ เป็นดาบไทยธรรมดาไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เขากวัดแกว่งดาบไปมาก่อนจะวาดดาบลงมา

                กึก!

                “แกจะทำอะไร…” น้ำเสียงเย็นชานั้นแผ่ไปทั่วไขสันหลัง เด็กชายหน้าซีดทันทีมือแทบไม่ขยับเมื่อศรีจับดาบไว้ก่อน เลือดซึมหยดลงสู่พื้น ศรีจ้องเด็กชายทั้งสามอย่างไม่ละสายตา เธอชกเข้าที่หน้าของพานรส่งผลให้เขาเซไปชนกับไศล

                “ถึงกับต้องลงไม้ลงมือขนาดนี้เชียวเหรอ…?”  เสียงที่ถามนั้นเบาหวิวแต่แฝงไปด้วยจิตสังหาร เธอเบือนสายตาไปมองจุดที่ดินขาวยืนอยู่แต่ก้ไม่พบเด็กชายเผ่าเย้า

                เขาหายไปไหน?

                ‘หึๆ ทำไมเจ้ามิใช้ดาบนั่นล่ะ?’ เสียงแหบแห้งถามเธอ ศรีชะงักกับคำถามนั้นก่อนจะถามในใจ “ดาบอะไร?”

                “ก็ปิ่นปักผมของเจ้าไงเล่า! เจ้านี่มันเขลานัก มีของดีไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์”

                “ของดี?”

                “เหอะ! ดาบของเจ้ามันมีฤทธิ์มาก ไม่สิ มีดาบไม่กี่ชนิดเชียวล่ะที่จะฟันมันหัก”

                รอบตัวเธอกลายเป็นสีดำ ทุกสิ่งหยุดนิ่ง มีเพียงควันสีเทาลอยไปลอยมา เธอมองตามพลางถาม

                “ปิ่นปักผม… ของฉัน… เนี่ยนะ?”

                “ก็ใช่นะซี หากไม่เชื่อเจ้าลองอัญเชิญมันสิ”

                “ฉันไม่เคยอัญเชิญสิ่งของหรืออะไรมาก่อน…” เธอเคยอัญเชิญแค่ให้วิญญาณมาสถิตในของแต่ไม่เคยเห็นตัวตนหรือให้มันทำงานอะไร เจ้าของเสียงที่บอกเธอหัวเราะ

                “งั้น… นี่” ควันลอยไปรอบๆ ตัวเธอก่อนที่จะปรากฏตัวอักขระไทยโบราณขึ้นมา มันร้อยเรียงรอบๆ ร่างเป็นสีแดง เจ้าของเสียงกล่าว “ท่องตามนั้นเลย แม้มันจะเป็นอักขระแบบสมัยก่อนแต่ข้าคาดว่าเจ้าน่าจะอ่านออก”

                ศรีหายใจเข้าลึกๆ ความคิดแล่นมั่วไปหมดไม่เป็นระบบ จะเอาไงดี…

                แต่เธอก็ได้คำตอบ เธอเองก็สงสัยเหมือนกัน ดาบที่ว่าเป็นดาบแบบไหน ปากขยับท่องตามอักขระ สักพักตัวอักขระสีแดงก็รวมตัวสร้างร่างเป็นรูปดาบ มันเปล่งแสงก่อนจะไล่ร่างเป็นดาบไทยสองด้าม ข้างขวาเป็นรูปสี่เหลี่ยมมีเพชรสีแดงฝังอยู่ ข้างซ้ายเป็นลายกนก เธอมองดาบอย่างตะลึง

                “น่ะ นี่มัน…อะไร”

                “ดาบนี้มีวิญญาณยักษ์สถิตอยู่สองด้าม เพราะฉะนั้นมันจะออกมาปกป้องเจ้าในยามคับขัน มันมีความจงรักภักดีต่อเจ้ามากเลยล่ะ”

                “ทำไมต้องเป็นฉันด้วย ไม่พูดล่ะว่าจะจงรักภักดีต่อผู้ครอบครอง” ศรีถามอย่างไม่เข้าใจ เจ้าของเสียงตอบ “ต่อให้ใครครอบครองมันก็จะไม่ยอมรับใช้ เผลอๆ อาจจะสังหารด้วยซ้ำ”

                “ก็แล้วไงล่ะ ทำไมต้องเป็นฉัน” ศรีถามซ้ำเมื่อเจ้าของเสียงตอบอ้อมค้อม เจ้าของเสียงหัวเราะก่อนจะตอบ “เจ้ากับมันมีสายใยเช่นนาย---บ่าวมาตั้งแต่ชาติภพก่อน แต่เพราะอะไรนั้นข้าขอไม่ตอบเจ้านะ” ควันค่อยๆ หายไปพร้อมๆ กับเสียงที่เบาลง ศรีเอ่ยยั้งไว้

                “เดี๋ยวสิ! มันหมายความว่ายังไง”

                “---บทจบของนิทานจะเผยความจริง---”

                “?!”

                ควันนั้นหายไป รอบตัวเธอกลายเป็นเหมือนเดิม ลืมตาตื่นด้วยความสงสัยว่าเธอหลับไปตอนไหน พบว่าเป็นโอฟีเลียกำลังใช้พัดสีแดงโบกไปมาให้ลมแก่เธอ ศรีกำลังนอนอยู่บนตักของเด็กหญิงชาวสเปน เธอหันไปมองรอบๆ พบว่าเพื่อนของเธอกำลังมองอยู่อย่างเป็นห่วง

                “เจ้าเป็นอะไรมั้ย?” โอฟีเลียถาม เธอตอบ “ไม่จ้ะ ฉันไม่เป็นไร”

                “เฮ้อ! โล่งอกไปที” เด็กหญิงสวมชุดแดงกล่าวยิ้มๆ ศรีมองเด็กหญิงพลางนึกถึงเหตุการณ์ก่อนที่เธอจะหมดสติไป เด็กหญิงเกล้ามวยผมพูดเสียงดัง

                “ธันนะ! ธันนะเป็นอะไรหรือเปล่าโอฟีเลีย?!”

                “เจ้านั่นไม่เป็นไร ดินขาวพาไปนั่งพักแล้วล่ะ ส่วนไอ้สามหัวนั่นมันนั่งกินปาท่องโก๋อยู่ น่าไม่อายเนอะ ทำร้ายคนอื่นแล้วยังอาศัยเขากินอีก!” ท่าทางของโอฟีเลียกึ่งโกรธกึ่งขัน ทำให้ศรีลอบหัวเราะเบาๆ

                ธันนะไม่เป็นไรก็ดีแล้ว

                เธอคิดด้วยความรู้สึกเป็นห่วง ในฐานะเพื่อนคนหนึ่งของเธอ…

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา