ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  97.78K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

27) บทที่ ๒๗: โกมุท อดีตตำนานการล่มสลายของโรงเรียนราชพฤกษ์วิทยาคม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๒๗

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

โกมุท อดีตตำนานการล่มสลายของโรงเรียนราชพฤกษ์วิทยาคม

                ดูเหมือนบทสนทนาจะถามเกี่ยวกับย่าศรีเป็นส่วนใหญ่ ศรีตอบอะไรไม่มากนักเพราะเรื่องของย่าเธอเองก็ไม่ค่อยได้ยินเลย

                “แปลก… เพราะเหตุใดเรื่องของย่าเจ้าถึงมิค่อยมีใครรู้เลยล่ะ” จารุเอ่ยด้วยความสงสัย

                “แปลกอย่างไรเหรอ?” ศรีถาม “แต่ก่อนเรื่องของย่าเจ้าใครๆ ก็รู้ ข้าจึงแปลกใจน่ะสิ”

                รพิมองทั้งสองอย่างฉงน

                พี่ศรีไม่รู้ก็ไม่แปลกแต่พวกผู้ใหญ่ก็รู้แต่ทำไมถึงไม่ยอมเล่าให้พี่ศรีฟังล่ะ

                “อ่า… ดูเหมือนนายจะรู้เรื่องของย่าฉันดี งั้นช่วยเล่าให้ฟังได้ไหมจ๊ะ” ศรีกล่าว

                “ก็ได้อยู่ดอกนะ แต่เรื่องที่ข้ารู้มันเป็นจริงฤๅเปล่าก็อีกเรื่อง เพราะข้ากับโกมุทเองก็เคยรู้จักกัน แต่พอนางมีอายุได้๑๒ ปี ข่าวคราวของนางก็มิค่อยมีใครรู้”

                ศรีและเพื่อนๆ ของเธอจับจ้องไปที่จารุเพื่อฟังเรื่องที่เขาจะเล่า

                “ช่วงนั้นระหว่างที่นางยังเรียนอยู่ประถม เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น ภูตผีที่หลุดจากนรกเข้าทำร้ายผู้คนไปทั่ว โดยเฉพาะนักเรียนล้มตายไปจำนวนมาก วิญญาณพวกเขาถูกวิญญาณจากนรกกลืนกินจนเป็นพวกเดียวกับมันและทำร้ายนักเรียนที่ยังมีชีวิตอยู่

                ทางโรงเรียนและคุณครูทุกท่านก็พยายามจะช่วยแต่พวกมันมีมากและร้ายกาจกว่าที่คิดพวกคุณครูจึงตายตาม ในปีนั้นการศึกษามิเหมือนสมัยนี้… หมายถึงมิติผกายนะ แต่ก่อนภาคปฏิบัติอย่างการจับอาวุธต่อสู้ก็ให้เริ่มใช้เมื่อขึ้นมัธยม ส่วนประถมจะศึกษาเกี่ยวกับคาถาอาคมแทน กระนั้นก็ยังเรียนวิชาอื่นด้วย เพราะเหตุนี้ทำให้นักเรียนประถมตายมากกว่านักเรียนมัธยมและนักศึกษา

                 อย่างไรเสียพวกคาถาอาคมมันก็ยากกว่าการต่อสู้ด้วยตนเองอยู่แล้ว เพราะต้องจำคาถา เป็นเรื่องที่รู้ดีว่าเป็นภาษาอื่นเลยจำยากและต้องตั้งสมาธิสูงอยู่ นักเรียนประถมคนไหนต่อสู้ด้วยอาวุธที่ลงอาคมก็ดีไป เพราะบางบ้านก็สอนมาอยู่แล้วแต่คนที่มิเคยสิที่จะแย่

                คุณครูและนักเรียนบางคนพยายามจะทำพิธีกรรมในการส่งวิญญาณไปยังนรก แต่โชคร้ายที่พิธิกรรมแบบนั้นมันต้องใช้เลือดของผู้ทำพิธีสังเวย หากไม่แกร่งจริงเสียเลือดไปมากก็มิรอดแน่ คุณครู นักศึกษา และ นักเรียนที่ทำแบบนั้นจึงล้มตาย

                แต่น่าแปลก… มีเพียงนักเรียนหญิงคนเดียวที่สามารถทำอย่างที่ข้าเล่าได้ทุกอย่าง แม้จะเสียเลือดเนื้อไปมากก็ยังมีชีวิตรอด… โกมุทนั่นเอง นางใช้ดาบที่แปลงจากปิ่นปักผมของตระกูลมากำจัดวิญญาณร้าย นางเองก็เป็นนักเรียนที่เรียนเก่งที่สุดในระดับชั้น และด้วยความที่ตระกูลนางเป็นตระกูลที่ขึ้นชื่อคาถาอาคมและวิชาการต่อสู้ไทย โกมุทจึงได้รับการศึกษามามากพอสมควร ด้วยเหตุนั้นทำให้นางรอดมาได้

                อ้อ จริงสิ มีอีกคน เด็กชายที่เป็นคู่หมั้นโกมุท ปู่ของศรี ลินจง เขาได้อันดับสองนักเรียนที่เรียนเก่งในระดับชั้น เขาต่อสู้คู่เคียงกับโกมุทมาโดยตลอด เมื่อเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นอย่างเรื่องนี้ก็ยังคงฝ่าฟันไปกับโกมุท

                กระนั้น บุคลากรในโรงเรียนก็ยังล้มตายลงเรื่อยๆ เรื่อยๆ… จนสุดท้ายก็แทบจะมิเหลือใคร นักเรียนระดับชั้นอนุบาลตายทุกคน ป.๑ ป. ๒ ตายมิเหลือใคร ป. ๓ มีมิถึง ๑๐ คน ป. ๔ และป. ๕ มีมิถึง ๒๐ คน ส่วน ป. ๖ ก็มิมิถึง ๓๐ คน นอกนั้น มัธยมและนักศึกษามีมิถึง ๘๐ คน จำนวนนี้นับเป็นระดับชั้น ลองคิดดูละกันว่ามันร้ายแรงเพียงใด ส่วนคุณครูก็มมิถึง ๖๐ ท่าน”

                “…”

                ไม่อยากจะเชื่อ นั่นคือความคิดของทุกคน ไม่คาดว่ามันจะร้ายแรงขนาดนี้ นักเรียนเสียชีวิตไปมากจนน่าใจหาย

                …ช่างโหดร้ายเหลือเกิน…

                “เรื่องมิได้จบเพียงนั้น โกมุทได้ตัดสินใจทำพิธีกรรมต้องห้ามซึ่งหากดวงมิแข็งจริงก็ต้องตายแน่ เพื่อนๆ ของนางซึ่งอยู่ชั้น ป.๖ รวมตัวกันทำพิธี สังเวยโลหิตวิญญาณ มันร้ายแรงกว่าพิธีที่นักเรียนคนอื่นๆ ทำ นักศึกษาและคุณครูเองก็เข้าร่วมพิธีด้วย แม้บางคนจะล้มตายเพราะทนพลังของพิธีกรรมมิไหว

                แล้วในที่สุดเรื่องมันก็จบลง …เหลือเพียงความเงียบวังเวง และเลือดที่หนองเต็มไปหมด ทุกคนที่มีชีวิตรอดถูกเรียกให้ไปรวมตัวกันที่โรงพลศึกษา และทำพิธีสวดส่งวิญญาณคุณครูและนักเรียนที่เสียชีวิต

                ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้านเหลือเพียงโกมุทเท่านั้นเพราะถูกเรียกตัวส่วนลินจงก็ตามไปด้วย โกมุทถูกสั่งให้ออกจากโรงเรียน แต่ลินจงไม่ยอมจึงขอลาออกด้วย”

                “ทำไม… ถึงโดนไล่ออกล่ะ” ศรีเอ่ยอย่างกังวล เพื่อนๆ ของเธอเองก็เช่นกัน

                จารุมองพวกเธอปราดหนึ่งก่อนจะตอบด้วยเสียงที่เรียบ

                “นอกเหนือจากนี้ข้าก็มิรู้อะไรแล้ว”

                คำตอบนั้นทำให้เหล่าเด็กประถมทำหน้าเศร้า จารุมองพวกเขานิ่งๆ แต่ดูเหมือนเขาจะนึกเรื่องที่ลืมไปสนิทได้จึงกล่าวขึ้นมา

                “เอ้อ… เจ้ากับเด็กชายนั่นน่ะ เพิ่งมาใหม่ อยู่ที่มิติสามัญสินะ จึงมิรู้จักข้าน่ะ” จารุเอ่ยกับศรีและธันนะ

                “ก็… รู้จักกันแล้วไม่ใช่เหรอจ๊ะ ชื่อของนายก็คือจารุ” ศรีมองเขาอย่างฉงนแต่นั่นทำให้จารุถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ก็ไม่แปลกหรอกนะเพราะเขาถูกเขาใจผิดบ่อยอยู่เหมือนกันในเรื่อง......

                “เฮ้อ! อีกคนแล้ว จะบอกอะไรให้ประดับสมองหน่อยเถิด ข้ามีอายุเลย ๑๐๐ ปีแล้ว เพราะฉะนั้นจงเปลี่ยนสรรพนามที่เรียกข้าซะ”

                “ต่ะ! ต้องขอโทษด้วยค่ะลุง” ศรียกมือไหว้ด้วยสีหน้าที่สำนึกผิด แต่คำว่าลุงที่เธอเรียกจารุทำให้เขาเดือดขึ้นมา

                “มิใช่! เรียกข้าว่าท่านสิ!”

                บทสนทนานั้นทำให้เหล่าเด็กๆ หัวเราะคิกคักซึ่งศรีก็พลอยขำไปด้วย จารุหงุดหงิดเพราะเด็กพวกนั้นจึงหยิบกาน้ำลายกนกเขวี้ยงอย่างแรงใส่เฉาก๊วยซึ่งนั่งหน้าสุดทำให้เด็กชายผมเกรียนหงายหลังตึงทับบรรพตซึ่งนั่งอยู่ด้านหลัง ทั้งสองร้อยโอดครวญ

                “อะไรครับท่านจารุ! ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ!”

                “เจ้าและเพื่อนๆ หัวเราะข้า!” จารุเอ่ยอย่างหงุดหงิด

                “ก็หัวเราะกันทุกคนแล้วทำไมถึงมาลงที่ผมล่ะ!

                “ก็เพราะว่าเจ้านั่งหน้าสุดอย่างไรล่ะ มันลงโทษง่ายดี”

                “โห อะไรอะ!”

                หลังจากนั้นบรรพตก็ตบเฉาก๊วยและบ่นด้วยเสียงที่เหมือนผู้ชาย เฉาก๊วยบ่นว่า “อะไรอีกเนี่ย” และโต้กลับเพื่อนๆ ขำทั้งสองไม่สนใจจารุที่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับคนเดียว เขานั่งคิดเรื่องศรี

                หนอยแน่ะ ข้ายังมิคิดบัญชีที่เจ้าทำเลยนะศรี ถึงเจ้าจะมิได้ก่อเรื่องเดือดร้อนแต่เจ้าก็เป็นเหตุที่ทำให้มีเรื่อง ถึงจะเป็นหลานโกมุทข้าก็มิปล่อยไว้ดอกนะ!

                โกมุท

                นั่นสินะ… ป่านนี้เจ้าจะไปเกิดเป็นอะไรนะ หลายปีแล้วที่เรามิได้พบกันเลย

                ฤๅเจ้าจะยังมิไปผุดไปเกิด?

 

                ณ บนหลังคาเรือนไทยผสมตะวันตกสวยงามมีเหล่าเด็กต่างชาติยืนอยู่โดยที่มีเด็กชายผิวสีคล้ำเชื้อชาติไทยเป็นคนนำ

                “แหม โซค่อนเนี่ยตื่นสายจริงๆ นะ อย่างนี้ฟ้องครูคาดีน่าดีกว่าเนอะ” เด็กหญิงผมสีฟ้าสวมชุดยูคาตะสีเรียบๆ เอ่ยอย่างขบขันพลางมองไปที่กลุ่มเด็กๆ เบื้องล่างในอีกเรือน

                “ก็แล้วแต่เจ้านะ หึๆ…” เสียงเอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์ของเด็กหญิงผมสีทองเหลืองเกล้าสองแกะต่ำเป็นลอนสวยห่มสไบและผ้าถึง สะโพกของเธอมีปืนสีเงินอยู่ด้วย

                “ชิโนโกะ อัมพุ เงียบๆ หน่อย ข้ากำลังใช้ความคิด” เด็กชายผิวคล้ำนามศารทูลเอ่ยกับเด็กหญิงทั้งสอง แต่กระนั้นพวกเธอก็ยังไม่หยุดยังหยอกล้อศารทูลอีก

                “จริงจังไปไหม?” เด็กหญิงผมสีฟ้าเจ้าของนามชิโนโกะล้อเลียนศารทูล เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะหยิบดาบและกระแทกด้ามของมันลงศีรษะเธอ

                “จะมิให้ข้าจริงจังได้อย่างไร นี่มันเรื่องสำคัญเลยนะ”

                ชิโนโกะกุมศีรษะลูบป้อยๆ พลางฟังไปด้วย

                “ถ้าเรื่องดาบอรัญญิกล่ะก็จะไปกังวลทำไม? ในเมื่อนี่มันเรื่องของทางนั้นส่วนเราก็แค่มาช่วยสืบหาเบาะแสก็เท่านั้นเอง” เด็กหญิงผมสีทองเหลืองเจ้าของนามอัมพุเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

                “แม้มันจะมีผลต่อกรุงศรีอยุธยาแต่มันก็ส่งผลต่อทั้งประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของข้ากับเจ้านะ!” แน่นอนว่าอัมพุเองก็เป็นคนไทยแต่เป็นลูกครึ่งอังกฤษด้วย นั่นเองที่ทำให้เธอเงียบ

                “ก็จริงอยู่หรอกนะที่ศารทูลพูดน่ะ แต่ลองดูนี่ก่อนเป็นไง” เด็กชายผมสีน้ำเงินสวมเสื้อโค้ทสีน้ำเงินเชื้อชาติฟิลิปปินส์ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ศารทูล เด็กชายผิวคล้ำรับมันไว้ก่อนจะคลี่อ่าน

                “…”

                “ข้าว่ามันไม่ใช่การลักดาบแบบจริงจังหรอก แค่ดูเหมือนจะเชื้อเชิญให้ไปหาเสียอย่างเดียวมากกว่านะ แต่เหตุผลเพราะอะไรเรื่องนั้นข้าเองก็ไม่รู้”

                “ในเมื่อเจ้าดูออกแม้จะยังแค่คาดเดาแต่ทำไมนายิกาถึงมิแคลงใจล่ะ?” ศารทูลทำหน้าไม่เข้าใจพลางจดจ้องที่ใบหน้าของเด็กชายผมสีน้ำเงิน

                “ก็คงบางท่านแหละ แต่ถึงจะรู้อย่างไรเสียถ้าไม่ตามจับก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมผู้ลักดาบถึงต้องทำแบบนี้”

                น้ำเสียงราบเรียบของเขาช่างขัดกับน้ำเสียงร้อนรนของเด็กชายผิวสีคล้ำนัก

                “นี่! แล้วพวกเราจะนั่งอยู่อย่างนี้อีกนานไหม? ฉันเมื่อยนะ” เด็กหญิงเกล้าผมสองข้างถักเปียติดหมวกเล็กๆ ถามด้วยใบหน้าที่เบื่อหน่ายสุดขีด

                “ในเมื่อนั่งแล้วทำไมถึงเมื่อยล่ะ?” เด็กชายผมสีน้ำตาลอมแดงถามกลับแทนเพื่อนคนอื่นๆ เด็กหญิงทำหน้าไม่พอใจแล้วพูดเสียงดัง

                “ก็มันไม่ถนัดแล้วแข็งเป็นร่องอะ!”

                “นั่งต่อไป เดี๋ยวพวกเขาคุยเสร็จเราก็ลงไป”

                ศารทูลที่หลบสายตาเด็กชายผมสีน้ำเงินเอ่ย สมองและใจของเขายังคงคิดแต่เรื่องผู้ลักดาบอรัญญิก

 

                ศรีขอตัวมาอยู่คนเดียว เธอลูบตาที่ถูกผ้าพันแผลปิดไว้ …มันโหวงเหวง… อีกส่วนหนึ่งของร่างกายมันหายไป

                เนตรยันต์มรณะนั่นมันคืออะไรกัน?

                “สงสัยเหรอ เรื่องของตัวเองยังมิรู้แล้วจะไปทำอะไรได้เนี่ย?”

                เสียงเด็กชายคนหนึ่งถามอย่างล้อเลียนแต่แฝงความจริงจังด้วย ศรีหันไปมองเจ้าของเสียงแล้วพบร่างเด็กชายนุ่งโจงกระเบนทับด้วยเสื้อตัวนอกของยูคาตะ ริมฝีปากวาดขึ้นอย่างไม่น่าไว้ใจ

                 ศรีเบิกตาด้วยความที่คาดไม่ถึงว่าเขาจะมาที่นี่

                “คาตานะ! นายมาทำอะไรที่นี่น่ะ” ศรีถามคาตานะที่ยืนยิ้มเหมือนไม่รู้สึกต่อสิ่งใด เขาเอนศีรษะไปมาก่อนจะเอ่ย

                “ก็…”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา