Crazy In Love เพลงรักลวงใจ

9.8

เขียนโดย LazyMe

วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 20.25 น.

  3 ตอน
  15 วิจารณ์
  6,063 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 00.17 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) บทเพลงที่ 1 : I will keep running

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

บทเพลงที่ 1

I will keep running

 

“...เมื่อกี้...ว่ายังไงนะ

ฉันกลอกตาขึ้นอย่างเซ็งๆ เมื่อเห็นปฏิกิริยาของพ่อเป็นไปตามที่คิดไว้ไม่มีผิด ก่อนจะเบือนสายตาไปยังผู้เป็นแม่กับพี่ชาย ซึ่งอาการของสองคนนั้นก็ทำให้ฉันแทบอยากจะหัวเราะออกมาเหลือเกิน ทั้งคู่ทำหน้าเหวอเหมือนเห็นฉันเป็นตัวประหลาดอย่างนั้นแหละ ทั้งๆ ที่ฉันก็พร่ำบอกมาเป็นชาติแล้วว่าจะไม่มีวันทำตามที่พวกเขาสั่งแน่นอน

ชีวิตของฉัน ความฝันของฉัน ฉันจะเลือกเดินเอง

ค่ะ อย่างที่หนูได้บอกไป หนูไม่ได้สมัครแอดมิชชั่นฉันตอบกลับไปอย่างมั่นใจ พร้อมกับยักไหล่ทีหนึ่งอย่างไม่ยี่หระกับสีหน้าซีดเผือดของทั้งสามคน

ปกติแล้วเวลาอาหารเย็นมักจะหมดไปกับการที่พ่อพูดชมพี่แดนผู้เป็นพี่ชายของฉัน หลังจากที่พี่สาธยายเกี่ยวกับความประเสริฐของตนเองในแต่ละวันให้พวกเราฟังจนปากเปียกปากแฉะ ส่วนแม่ก็เอาแต่มองลูกชายหัวแก้วหัวแหวนแสนเพอร์เฟ็กต์ด้วยความรัก ดูเคลิบเคลิ้มราวกับว่าเขาเป็นเทพบุตรก็ไม่ปาน

อ้อ ใช่ ยังมีฉันอยู่อีกคน ที่นั่งเป็นไม้ประดับโต๊ะโดยไม่มีบทบาทใดๆ

ยกเว้นเสียแต่ว่าวันนั้นจะมีการปะทะคารมเกิดขึ้นเท่านั้น

ตะ...แต่นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาประกาศผลแล้วนี่เสียงสั่นกลัวของแม่เรียกให้ฉันหันไปมอง แต่เมื่อฉันไม่ได้แย้งอะไรกลับไป แม่ก็เริ่มทำหน้าปวดร้าว แล้วละสายตาจากฉันไปที่พี่แดนแทน

แกจงใจใช่มั้ยเดย์!พ่อตะคอกเสียงกร้าว พร้อมกับถลึงตามองตรงมาที่ฉันด้วยสายตาน่ากลัว

นั่นไง เริ่มแล้ว...การปะทะคารม

ฉันลุกจากโต๊ะโดยที่ไม่ได้พูดอะไรอีก เบื่อที่จะต้องมานั่งพูดเรื่องเดิมซ้ำๆ ซากๆ เหลือเกิน พ่อนี่ก็ถามอะไรประหลาดชะมัด ถ้าไม่ใช่เพราะจงใจ แล้วมันจะเป็นอะไรอย่างอื่นไปได้อีกล่ะ จะถามคำถามที่ตัวเองรู้คำตอบอยู่แล้วทำไมกัน

นั่นแกจะไปไหนเสียงห้วนของพ่อตะคอกถามไล่หลังมา แต่ว่าฉันไม่สนใจ แล้วรีบวิ่งหนีขึ้นบันไดไปยังห้องของตัวเองอย่างรวดเร็ว

การปะทะคารมแต่ละครั้งมักจะจบลงที่ฉันเดินหนีจากมา กลับไปที่ห้องของตัวเอง หรือไม่ก็หนีไปค้างบ้านเพื่อน แต่ฉันไม่ถือว่าตัวเองเป็นฝ่ายแพ้ เพราะว่าพ่อบังคับให้ฉันทำตามใจพ่อไม่สำเร็จ

ส่วนการปะทะครั้งนี้นั้น...

ฉันขอเลือกหนีออกจากบ้าน

คิดอยู่แล้วเชียวว่าพ่อจะต้องระเบิดอารมณ์ใส่ฉันแน่ๆ ดังนั้นฉันจึงจัดกระเป๋าเตรียมเอาไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วเรียบร้อย เพื่อที่จะได้ขึ้นมาหยิบกระเป๋าที่ห้องของตัวเองแล้วออกไปจากบ้านได้เลยทันที

พ่อยังคงแหกปากทดสอบกล่องเสียงของตัวเองไม่ยอมหยุดในตอนที่ฉันหิ้วกระเป๋าเดินทางลงบันไดมาจากชั้นสอง โดยที่มีพี่แดนคอยส่งเสียงบอกให้พ่อใจเย็นๆ อยู่ข้างๆ จากนั้นพี่ก็หันมาบอกให้ฉันใจเย็นด้วยอีกคน

หึ จะบ้าเรอะ ใครจะไปทำตาม ฉันไม่ใช่รูปปั้นไร้ความรู้สึกนะ

เมื่อพี่เห็นว่าฉันกำลังจ้ำอ้าวไปที่ประตู พี่ก็ทำท่าจะเข้ามาขวาง แต่กลับถูกพ่อรั้งตัวเอาไว้

ดี! ถ้ามันไม่ฟัง ก็ปล่อยให้มันออกไป จะไปไหนก็ไป!

ฉันยิ้มเยาะอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับคำตวาดไล่นั่น แล้วกระชากประตูเปิดออก ก้าวเดินออกจากบ้านมาอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่หันกลับไปมองข้างหลังอีกเลย จากนั้นก็พุ่งตรงไปที่ประตูรั้ว ซึ่งมีรถแท็กซี่คันหนึ่งจอดรออยู่ด้านนอก วันนี้ฉันเตรียมพร้อมทุกอย่าง ทั้งจัดกระเป๋าไว้ล่วงหน้า และโทรเรียกแท็กซี่ให้มาจอดรออยู่หน้าบ้าน เพราะฉะนั้นฉันจะไม่ลังเลโดยเด็ดขาด

ลุงคนขับแท็กซี่ลงมาช่วยยกกระเป๋าเดินทางใส่ท้ายรถ ก่อนจะเดินย้อนกลับไปนั่งประจำที่คนขับ ฉันบอกจุดหมายปลายทางให้กับลุงทันทีที่เข้าไปนั่งในรถ แล้วนั่งเงียบๆ ไปตลอดทาง พลางฟังข่าวการจราจรที่ลุงเปิดฟังไปด้วยอย่างไม่รู้สึกสนใจอะไร

รถยนต์เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ท่ามกลางแสงไฟยามค่ำคืน ตอนนี้เป็นช่วงเวลาดึกพอสมควรซึ่งไม่ค่อยมีรถบนถนนสักเท่าไหร่ จึงทำให้ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงฉันก็ไปถึงสถานที่ที่ต้องการ

เฮ้ย นี่แกเอาจริงเหรอเนี่ยเสียงคุ้นหูของพลอยดังขึ้นทันทีที่ฉันเปิดประตูรถออกไป โดยที่ผู้เป็นเจ้าของเสียงนั้นกำลังยืนทำหน้าเหวออยู่ตรงประตูหน้าบ้าน จ้องเขม็งมาที่ฉันสลับกับกระเป๋าเดินทางข้างกาย

ก็จริงน่ะสิ ฉันไม่ได้ล้อเล่นซะหน่อย

ก่อนที่จะโทรเรียกรถแท็กซี่ ฉันได้โทรบอกพลอยผู้เป็นเพื่อนสนิทว่าจะมาขออยู่ด้วยสักพัก พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก และฉันก็เคยมาค้างบ้านของพลอยอยู่บ่อยๆ ถึงแม้ว่าจะรู้สึกเกรงใจอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปอยู่ที่ไหนได้แล้วจริงๆ

พลอยถอนหายใจยาวออกมาเหมือนกับว่ากำลังรู้สึกเอือมระอาฉันเต็มทน ก่อนจะเดินมาไขกุญแจเปิดประตูรั้วให้ พร้อมกับยื่นมือมารับกระเป๋าสะพายของฉันไปช่วยถือ แล้วเดินนำเข้าไปข้างในตัวบ้าน คิดๆ ดูแล้วก็คงจะเป็นภาพที่แสนจะคุ้นตาพอสมควร เพราะว่าฉันชอบหนีมาค้างที่บ้านของพลอยอยู่บ่อยๆ เพียงแต่ในคืนก่อนๆ นั้น ฉันไม่ได้มีกระเป๋าเดินทางมาด้วยเหมือนอย่างในคืนนี้

ดีนะที่แกมาเร็ว ไม่อย่างนั้น แกคงจะถูกทิ้งให้ยืนตากลมอยู่ข้างนอกยันตีสามตีสี่แน่พลอยหันมาบอกกับฉันขณะที่พวกเรากำลังเดินผ่านห้องนั่งเล่นไปยังบันไดขึ้นชั้นบน

อ้าว แล้วพวกคุณป้าคุณลุง กับพี่เพชรล่ะฉันเอ่ยถามด้วยความสงสัย เมื่อรู้สึกว่าบ้านทั้งหลังนั้นดูเงียบเหงาผิดไปจากทุกที ตามปกติแล้ว พ่อแม่ของพลอยจะมาชวนฉันไปนั่งคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ในห้องนั่งเล่น ส่วนพี่เพชรก็จะโผล่หน้าออกมาทักทาย แล้วชวนฉันคุยเรื่องเพลงต่อเพราะว่าพวกเราชอบฟังเพลงแนวอินดี้เหมือนๆ กัน

พ่อกับแม่ไปงานประชุม ส่วนพี่ไปทำงานบ้านเพื่อนน่ะงานประชุมที่พลอยพูดถึงก็คืองานประชุมวิชาการแพทย์ ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี พ่อแม่ของพลอยเป็นหมอด้วยกันทั้งคู่ จึงทำให้พวกเขาต้องไปร่วมงานด้วยทุกครั้ง

อ๋อ ดังนั้นสาวสวยผู้ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวก็เลยกำลังวางแผนว่าจะออกไปเที่ยวกลางคืนอยู่ล่ะสิฉันอมยิ้มน้อยๆ พร้อมกับหรี่ตามองคนข้างหน้าอย่างรู้ทัน

หลังจากเดินตามพลอยเข้าไปในห้องนอนที่แสนจะเป็นระเบียบเรียบร้อยของเธอ ฉันก็วางกระเป๋าของตัวเองลงตรงหน้าตู้เสื้อผ้าสีครีม ซึ่งเข้าชุดกันกับเตียงนอนและโต๊ะทำงาน

ใช่พลอยตอบเสียงใส พร้อมกับเดินมาคว้าแขนฉันไปที่โต๊ะเครื่องแป้งของตัวเอง ดีแล้วที่แกมา ไปด้วยกันเลย

ไปสิไปฉันตอบรับอย่างตื่นเต้น แล้วปล่อยให้พลอยจัดการใบหน้าและผมของฉันได้ตามใจชอบ ฉันไม่เคยไปเที่ยวกลางคืนมาก่อนเลย เพราะว่ายังอายุไม่ถึง อย่างมากก็ไปแค่คอนเสิร์ต แต่ก็เคยได้ยินมาว่ามีวัยรุ่นอายุไม่ถึงไปเข้าผับกันเยอะเหมือนกัน ดังนั้นฉันจึงคิดว่าอยากจะลองไปสักครั้งดูบ้าง ฉันชื่นชอบทุกที่ที่มีเสียงเพลง เคยเห็นในหนังแล้วมันดูน่าสนุกดีเลยทีเดียว และยังเป็นสถานที่แห่งเสียงดนตรีด้วยอีกต่างหาก

หลังจากที่พลอยเกล้าผมและแต่งหน้าอ่อนๆ ให้ฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็ยืนยิ้มแฉ่งอย่างภาคภูมิใจในผลงานของตัวเอง ซึ่งดูหวานผิดจากสไตล์การแต่งตัวแนวพังก์ร็อกของฉันไปมาก ดังนั้นฉันจึงต้องลงมือแก้ทรงผมและแต่งหน้าให้ตัวเองเสียใหม่ ส่วนพลอยก็ทำหน้าเซ็งที่ฉันลบผลงานชิ้นเอกของเธอทิ้ง แล้วหันไปแต่งหน้าสไตล์สาวหวานให้กับตัวเองต่อ ทำให้ฉันต้องหลุดขำออกมาเบาๆ ก่อนที่จะหันกลับมาแต่งหน้าให้ตัวเองต่อเช่นกัน

ฉันค่อยๆ เติมอายแชว์สีดำตรงหางตาให้เฉียงขึ้นสูง แต่งไล่สีกับสีน้ำเงินเข้มอมเทา เพราะว่าฉันชอบเน้นดวงตาคมโตทั้งสองข้างของตัวเองให้ดูโดดเด่นเป็นพิเศษ แล้วใช้นิ้วถูเบาๆ ตรงรอยต่อของทั้งสองสีเพื่อให้มันผสมเข้ากันจนเนียน ก่อนจะเขียนขอบตาบนและขอบล่างด้วยอายไลเนอร์สีดำ ขนตาของฉันยาวอยู่แล้ว จึงแค่ดัดและปัดมาสคาร่าโดยที่ไม่ต้องใช้ขนตาปลอม และแก้ตรงคิ้วเพียงเล็กน้อย เพราะว่าพลอยเขียนเอาไว้หนาเกินไปหน่อย จากนั้นก็ปัดแก้มบางๆ แล้วทาแค่เบเนทิ้นเพื่อให้ริมฝีปากพอดูมีสีสันอ่อนๆ

นอกจากดวงตาแล้ว ฉันต้องการให้ทุกอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด

เมื่อเตรียมตัวกันเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็เดินออกไปเรียกแท็กซี่ที่ถนนใหญ่ บ้านของพลอยอยู่ในหมู่บ้านเหมือนกับบ้านของฉัน แต่อยู่ลึกเข้ามาเพียงนิดเดียวเท่านั้น ต่างจากบ้านของฉันที่อยู่ลึกเข้ามาพอสมควร ดังนั้นเพื่อความรวดเร็ว พวกเราจึงตัดสินใจเดินออกมาเรียกรถแท็กซี่กันที่หน้าหมู่บ้านด้วยตัวเอง

พลอยบอกชื่อผับเดอะมิราเคิลให้กับคนขับแท็กซี่ ฉันรู้สึกคุ้นๆ เพราะว่าเคยได้ยินเพื่อนในห้องคนหนึ่งพูดถึงชื่อนั้นอยู่เหมือนกัน หลังจากนั้นพวกเราก็นั่งคุยกันถึงเรื่องหนัง เรื่องเพลง รอให้แท็กซี่ขับพาไปยังสถานที่ปลายทางที่ต้องการ

ใช้เวลาเพียงแค่สิบห้านาที รถแท็กซี่ก็มาถึงหน้าทางเข้าของผับ ฉันเหลือบไปมองเวลาที่หน้าปัดนาฬิกาขณะยื่นเงินค่ารถให้กับคนขับแท็กซี่ จึงเห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มครึ่งพอดี เวลานี้คงจะเป็นช่วงเวลาที่คึกคักพอสมควรเลยทีเดียว

ฉันเดินตามพลอยไปที่หน้าประตูทางเข้าผับด้วยความรู้สึกตื่นเต้น แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกกังวลไม่น้อยเพราะว่าพวกเรายังอายุไม่ถึง แต่พลอยก็บอกให้ฉันทำสีหน้ามั่นใจเข้าไว้ พร้อมกับหยิบบัตรประชาชนของตัวเองออกมาให้ฉันดู ซึ่งมันทำให้ฉันต้องยิ้มแฉ่งออกมาด้วยความรู้สึกลุ้นระทึกยิ่งขึ้นไปอีก พลอยไม่เห็นบอกกันบ้างเลยว่าไปทำบัตรปลอมมาตั้งแต่เมื่อไหร่ น่าจะชวนฉันไปทำด้วยบ้าง

การ์ดหน้าประตูรับบัตรประชาชนปลอมของพลอยไปมองผ่านๆ ก่อนจะบุ้ยหน้ามาทางฉันเป็นเชิงถาม พลอยรีบตอบทันทีว่าเราเป็นเพื่อนกัน แต่วันนี้ฉันไม่ได้เอาบัตรมา ฉันพยายามทำสีหน้านิ่งๆ พร้อมกับยิ้มน้อยๆ อย่างมั่นใจเพื่อไม่ให้ดูมีพิรุธ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าหน้าตาฉันดูน่าเชื่อถือ หรือว่าการ์ดไม่ค่อยสนใจที่จะทำหน้าที่ของตัวเองสักเท่าไหร่อยู่แล้ว พวกเราถึงได้รับอนุญาตให้เข้าไปข้างในได้

ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในผับ ฉันก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจที่ได้พบกับบรรยากาศแห่งความสนุกสนาน ราวกับว่าเป็นโลกแห่งใหม่ภายใต้แสงไฟสีแดงสลับกับสีน้ำเงินอันให้ความรู้สึกตื่นเต้นน่าค้นหา คนจำนวนมากกำลังยืนจับจองพื้นที่อยู่บนฟลอร์เต้นรำที่ถูกจัดแยกเอาไว้โดยเฉพาะ ลึกด้านในสุดเป็นเวทีใต้แสงไฟสีน้ำเงิน ซึ่งมีวงดนตรีวงหนึ่งกำลังเล่นเพลงอยู่ในขณะนี้

พลอยดึงแขนฉันไปที่ฟลอร์เต้นรำ แล้วเริ่มขยับตัวเต้นไปตามจังหวะเสียงเพลงในทันที ดังนั้นฉันจึงออกแรงเต้นตามเพื่อนรักด้วยอีกคนเพื่อที่จะปลดปล่อยความรู้สึกตึงเครียดทั้งหลายในค่ำคืนนี้ให้หมดไป เพลงที่กำลังเล่นอยู่นั้นเป็นเพลงที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน อาจจะเพลงที่วงนี้แต่งขึ้นมาเองก็ได้ ฟังดูแล้วน่าจะเป็นแนวอินดี้ แม้ว่าฉันจะเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก แต่กลับรู้สึกหลงรักเพลงนี้เข้าเสียแล้ว ดังนั้นฉันจึงหันไปมองบนเวทีเพื่อดูว่าใครกำลังเล่นอยู่ แล้วก็เห็นว่าสมาชิกในวงมีด้วยกันทั้งหมดสี่คน แต่ทว่าใบหน้าของทั้งสี่คนนั้นถูกแสงไฟบดบังจนทำให้มองเห็นได้ไม่ค่อยชัดเจนนัก

นักร้องนำเป็นผู้ชายที่ตัดผมสั้นจนเกือบเรียกได้ว่าเป็นทรงสกินเฮด ด้านซ้ายของนักร้องนำคือมือเบส เขาเป็นผู้ชายผมยาวถึงกลางหลัง ดูรุงรังจนฉันนึกไปถึงซาดาโกะเพราะว่าเขาเอาแต่ก้มหน้าอยู่ตลอดเวลา ส่วนด้านขวาเป็นมือคีย์บอร์ดที่ผมยุ่งๆ ออกไปทางหยักศก หรือไม่ก็หยิกไปเลย ซึ่งฉันไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไหร่ว่าเป็นอย่างไหน และคนสุดท้าย คือมือกลองที่สวมแว่นสายตา เขาดูค่อนข้างล่ำและแรงเยอะไม่น้อย บางทีอาจจะเป็นคำอธิบายได้ว่าแรงหวดไม้กลองเข้าขั้นมืออาชีพของเขานั้นมาจากไหน

เพลงที่สามของวงปริศนาเล่นจบไปอีกเพลง โดยที่ทั้งสามเพลงนั้นเป็นเพลงใหม่ที่ฉันเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกและรู้สึกตกหลุมรักในทันที หลังจากนั้นก็มีการผลัดเปลี่ยนให้วงใหม่ขึ้นมาเล่นต่อ แต่ทั้งฉันและพลอยต่างก็รู้สึกกระหายน้ำและอยากหาอะไรกินสักหน่อย พวกเราจึงพากันเบียดแทรกตัวออกมาจากฟลอร์ แล้วเดินไปยังเคาน์เตอร์บาร์เพื่อสั่งเครื่องดื่ม พวกเราทั้งคู่สั่งแซงเกรีย (ไวน์พันช์) กันมาคนละแก้ว ก่อนที่จะนั่งลงตรงเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์ แล้วคุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย

เกือบยี่สิบนาทีถัดมาพลอยก็เอ่ยชวนให้ออกไปเต้นด้วยกันต่อ แต่ฉันตอบปฏิเสธไปเพราะรู้สึกว่ายังไม่อยากกลับเข้าไปเบียดกับคนเยอะๆ ข้างในฟลอร์สักเท่าไหร่ ดังนั้นคนเอ่ยชวนจึงตัดสินใจไปที่ฟลอร์คนเดียว ส่วนฉันก็ยังคงนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์ต่อ แต่พอนั่งไปได้สักพัก ฉันก็เริ่มรู้สึกเบื่อ จึงเอ่ยถามถึงทางไปห้องน้ำกับบาร์เทนเดอร์

ตรงหน้าห้องน้ำมีประตูไม้อยู่บานหนึ่ง เมื่อดูจากทิศแล้วคงจะเป็นทางออกไปยังด้านหลังของผับ ฉันไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือเปล่า ถึงได้ทำให้ฉันรู้สึกว่ามันช่างดูยั่วยวนให้มีคนเข้าไปเปิดมันเหลือเกิน ดังนั้นหลังจากที่ฉันออกมาจากห้องน้ำ ฉันจึงแอบเดินไปเปิดประตูไม้บานนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น พลางนึกสนุกอยู่ในใจว่าถ้าจะแอบเข้ามาข้างในผับล่ะก็ ฉันคงจะใช้ประตูบานนี้เป็นทางผ่านได้สบายโดยที่ไม่จำเป็นต้องไปผ่านด่านตรวจที่ประตูหน้าเลยสักนิด

ด้านหลังผับเป็นลานกว้างขนาดย่อม มีพื้นที่สำหรับจอดรถได้ประมาณสี่ถึงห้าคัน ตัวผับถูกยกขึ้นสูงจากพื้นดินขึ้นมาประมาณหนึ่งเมตรกว่าๆ จึงทำให้มีระเบียงทางเดินยื่นออกมาก่อนที่จะลงไปยังลานจอดรถ

ฉันเดินออกไปยืนที่ระเบียง พร้อมกับกอดอกเท้าแขนลงกับราว พลางมองไปรอบๆ เพื่อสัมผัสบรรยากาศอันไม่ค่อยจะน่ารื่นรมย์สักเท่าไหร่ในยามค่ำคืน นอกจากโคมไฟอันเล็กๆ ทางด้านซ้ายมือของฉันแล้ว ก็ไม่มีแสงไฟมาจากที่ไหนอีก เว้นเสียแต่แสงไฟบุหรี่ที่อยู่ตรงมุมหนึ่งของลานจอดรถ ซึ่งมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งนั่งสูบบุหรี่กันอยู่ ควันสีขาวที่กำลังล่องลอยอยู่ในอากาศรอบตัวพวกเขานั้น ตัดกับสีดำสนิทของความมืดมิดรอบด้านอย่างชัดเจน

ฉันรู้สึกเฉยๆ กับบุหรี่จึงไม่ได้คิดรำคาญอะไร อีกทั้งยังเคยคิดอยากจะลองสูบดูเหมือนกัน เพราะอยากรู้ว่ามันจะรู้สึกยังไง ทำไมถึงได้มีคนมากมายติดใจมันเหลือเกิน แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้ลองสักที

พูดถึงบุหรี่ นอกจากกลุ่มคนตรงลานจอดรถแล้ว ถัดจากฉันไปอีกเกือบสองเมตรก็ยังมีอีกคนที่กำลังยืนพิงระเบียงสูบบุหรี่อยู่เช่นกัน

นี่ไงโอกาส ฉันกำลังคิดว่าอยากจะลองสูบอยู่พอดี

มันรสชาติเป็นไงน่ะ อร่อยมั้ยฉันหันไปถามผู้เป็นเจ้าของควันบุหรี่ซึ่งกำลังยืนเท้าแขนอยู่กับราวระเบียง เขาเอียงหน้าหันมามองฉันตามเสียงเรียก ถึงแม้ว่าพวกเราจะอยู่ในความมืด แต่แสงไฟจากโคมไฟข้างๆ ก็ทำให้ฉันสามารถมองเห็นสีหน้านิ่งๆ ของอีกฝ่ายได้ เขาเป็นชายหนุ่มลูกครึ่งที่หน้าตาดีคนหนึ่งเลยทีเดียว แล้วฉันก็ต้องรู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด เหมือนกับว่าเคยเห็นคนตรงหน้าที่ไหนมาก่อน

สายตาเรียบๆ มองตรงมาโดยที่ไม่ได้พูดอะไรอยู่พักใหญ่ จนทำให้ฉันชักจะสงสัยว่าเขาอาจจะฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่องหรือเปล่า แต่ก่อนที่ฉันจะได้พูดถามอะไรออกไปอีก เขาก็ยื่นซองบุหรี่มาให้

อยากลองสักมวนมั้ยล่ะ

ถึงแม้ว่าฉันจะรู้สึกอยากลองสูบบุหรี่ดูสักครั้ง แต่ก็อดที่จะรู้สึกลังเลใจน้อยๆ ไม่ได้ว่าควรจะลองดีหรือเปล่า แต่ถ้ามัวแต่สองจิตสองใจไม่ยอมลองสักที ฉันก็คงไม่มีวันได้รู้คำตอบหรอก

เมื่อคิดได้ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจทิ้งความรู้สึกลังเลทั้งหมดที่อยู่ในใจ แล้วเดินเข้าไปใกล้เขามากขึ้นอีก พร้อมกับยื่นมือไปรับซองบุหรี่มา

บางครั้ง ความอยากรู้อยากลองก็มักจะมาก่อนเหตุและผลโดยที่ฉันไม่รู้ตัว

ผู้เป็นเจ้าของบุหรี่ยื่นมือมาช่วยจุดบุหรี่ให้กับฉันด้วยไฟแช็ก แล้วฉันก็ค่อยๆ เอาบุหรี่ใส่ปากด้วยความรู้สึกตื่นเต้น รสแรกที่สัมผัสได้คือรสขมๆ เหมือนมาจากถ่าน กับรสอะไรสักอย่างที่บอกไม่ถูก จะว่าฝาดก็ไม่ใช่ เฝื่อนก็ไม่ใช่ หรือบางทีมันอาจจะไม่มีรสอะไรเลยก็ได้ด้วยซ้ำ ต่อจากนั้นฉันก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังจะจมควันร้อนที่อยู่ในปาก จึงพยายามที่จะกลืนมันลงคอ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำอะไรผิดไป เพราะสุดท้ายแล้วฉันก็ต้องไอสำลักควันออกมา

รสชาติเป็นไงเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอดังมาจากชายหนุ่มข้างกาย ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้รู้สึกยินดีที่ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะจากเขานัก แต่ฉันก็ไม่ได้พูดอะไร เนื่องจากกำลังคิดประมวลผลอยู่ว่าสรุปแล้วฉันคิดยังไงกับรสบุหรี่ที่ได้ แม้ว่าควันร้อนในปากจะให้ความรู้สึกแปลกๆ พิลึกดี ซึ่งฉันบอกไม่ถูกว่ามันรสชาติเป็นยังไง แต่ที่แน่ๆ คือมันไม่อร่อยแน่นอน

บางทีฉันคงจะต้องลองสูบควันดูอีกที

เมื่อคิดได้ดังนั้นฉันจึงเอาบุหรี่ใส่ปาก พร้อมกับลองสูบควันเข้าปอดอีกหน แต่แล้วก็ต้องไอสำลักควันออกมาอีกรอบหนึ่ง โดยที่ครั้งนี้ไม่ได้รู้สึกแย่เท่าครั้งแรกมากนัก

ขอบคุณ...เสียงที่ออกมาจากลำคอนั้นฟังดูแหบแห้งแบบแปลกๆ ฉันหันไปพยักหน้าให้เขาทีหนึ่งพอเป็นพิธี แต่พอมองใบหน้าของอีกฝ่ายชัดๆ แล้ว ฉันก็เริ่มรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเขาเหมือนกับมือคีย์บอร์ดของวงเมื่อครู่นี้มากเลยทีเดียว นาย...ใช่คนที่เล่นคีย์บอร์ดอยู่บนเวทีเมื่อกี้รึเปล่าน่ะ

คนถูกถามพยักหน้าเป็นคำตอบกลับมาให้ พร้อมกับอมยิ้มตรงมุมปากน้อยๆ เหมือนกำลังเขินอยู่

ฉันยิ้มกว้างทันทีเมื่อได้พบกับนักดนตรีของวงโปรดวงใหม่ของตัวเอง แม้ว่าฉันจะไม่รู้จักชื่อวงของเขา แต่หลังจากที่ได้ฟังเพลงทั้งสามเพลงนั่นแล้ว ฉันก็รู้สึกหลงใหลและชอบเพลงของพวกเขามากๆ

วงของนายเล่นเพลงเพราะมากเลยฉันพูดเสียงสดใสอย่างตื่นเต้น พร้อมกับมองเขาด้วยความรู้สึกชื่นชมสุดๆ ซึ่งท่าทางของฉันคงจะแปลกไม่น้อย ถึงได้ทำให้เขายิ้มๆ เหมือนจะเขินมากกว่าเดิม แต่ว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไรกลับมาอีก ดังนั้นฉันจึงยิงคำถามใส่เขาต่อทันทีอย่างกระตือรือร้น พวกนายแต่งเพลงเองเหรอ ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ชื่อวงว่าอะไร แล้วมาเล่นที่นี่ประจำเลยรึเปล่า

คนถูกยิงคำถามใส่ไม่หยุดหลุดขำพรืดออกมาเบาๆ ก่อนที่จะค่อยๆ ตอบคำถามไปทีละข้อ พลางอมยิ้มน้อยๆ อย่างน่ารักจนฉันชักจะรู้สึกไม่อยากละสายตาไปจากรอยยิ้มนั้นเสียแล้ว

“...อืมใช่ เราแต่งเพลงกันเอง ชื่อวงคือ May-B แต่ว่าพวกเราไม่ใช่วงประจำหรอก แค่มาเล่นตอนที่ถูกเรียกน่ะ มีแต่ฉันที่โซโล่กีตาร์ประจำที่นี่

โซโล่กีตาร์งั้นเหรอ แต่ว่าฉันเห็นเขาเล่นคีย์บอร์ดตอนที่อยู่บนเวทีนี่นา แสดงว่าเล่นได้ทั้งคีย์บอร์ดและกีตาร์เลยน่ะสิ ทั้งๆ ที่เขาดูอายุน้อยพอๆ กันกับฉันเลยแท้ๆ แต่กลับมีความสามารถหลากหลาย น่านับถือสุดๆ ดังนั้นฉันจึงยิ่งทำตาโต มองเขาด้วยความชื่นชมมากขึ้นไปอีก

แต่ในขณะที่ฉันกำลังจะเอ่ยปากชมเขาซ้ำอีกรอบนั่นเอง เสียงเรียกของพลอยก็ดังมาจากทางข้างหลังพอดี ทำให้ฉันต้องหยุดชะงัก พร้อมกับกลืนคำพูดทุกอย่างลงคอไปจนหมด รวมทั้งปล่อยบุหรี่ในมือทิ้งลงบนพื้นทันควัน แล้วเอารองเท้าขยี้ๆ เพื่อดับก้นกรองบุหรี่ ฉันรู้ดีว่ามันเป็นการทำให้สถานที่สกปรก แต่ฉันก็ไม่อยากให้พลอยเห็นว่าฉันสูบบุหรี่ ถึงแม้จะมั่นใจว่าพลอยคงไม่มีทางเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อแม่ของฉันแน่นอน แต่ฉันก็ไม่รู้ความรู้สึกของตัวเองเหมือนกันว่าจะปิดเป็นความลับไปทำไม

ฉันหันไปส่งยิ้มเจื่อนๆ เป็นครั้งสุดท้ายให้กับชายหนุ่มนิรนามผู้ยังคงรอยยิ้มน้อยๆ เอาไว้อยู่เช่นเดิม แล้วผงกศีรษะให้อีกฝ่ายหนึ่งทีเป็นการขอตัว จากนั้นก็หันไปทางพลอยด้วยความรู้สึกเสียดายสุดขีด โถ่ มาขัดจังหวะกันซะได้

แกรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ตรงนี้น่ะฉันเอ่ยถามพลอยทันทีที่พวกเรากลับเข้ามาข้างใน

บาร์เทนเดอร์บอกว่าแกไปเข้าห้องน้ำ แต่พอฉันมาดู ก็ไม่เห็นแก และตามนิสัยของแกแล้ว คงไม่น่าไปเต้นแร้งเต้นกาอยู่ในฟลอร์คนเดียว ฉันก็เลยลองเปิดประตูไม้นั่นดู แล้วก็เจอแกจริงๆ ด้วย

ฉันควรจะรู้สึกดีใจหรือเสียใจดีล่ะนี่ที่เพื่อนรู้นิสัยของฉันดีเหลือเกิน

พวกเราเดินกลับไปที่ฟลอร์เต้นรำอีกครั้ง แล้วออกแรงเต้นกันสุดเหวี่ยงอยู่นานเป็นชั่วโมง จนในที่สุดทั้งฉันและพลอยต่างก็รู้สึกเหนื่อย และพอใจกับการที่ได้มาปลดปล่อยอารมณ์กันอย่างเต็มที่ เมื่อเข็มสั้นจวนเจียนจะถึงเลขสอง พวกเราทั้งคู่จึงตัดสินใจออกมาจากเดอะมิราเคิล แล้วเรียกรถแท็กซี่กลับไปยังบ้านของพลอย

คืนนี้มันสุดยอดจริงๆ ฉันคิดว่าฉันอาจจะเมานะเนี่ยพลอยหัวเราะคิกคักขณะไขกุญแจเปิดประตูหน้าบ้าน ก่อนที่จะเดินเข้าไปเปิดไฟเพื่อให้แสงสว่างแก่ทางเดินหน้าบันได

เมาได้ไง กินไปแค่แก้วเดียวเองฉันเดินตามพลอยเข้าไปข้างใน แล้วหันมาปิดประตูพร้อมกับล็อกกลอนให้เรียบร้อย จากนั้นก็ต้องหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อหันไปเห็นว่าพลอยกำลังแกล้งทำเป็นเดินซวนเซ ทำทีเป็นว่าตัวเองกำลังเมาอยู่ แต่ก็อาจจะใช่ เพราะว่าแกคออ่อนกว่าฉัน

แน่ล่ะ ก็ฉันเป็นเด็กดี ไม่เคยแอบไปขโมยไวน์ของพ่อมากินเหมือนใครแถวนี้นี่

แล้วใครเป็นคนต้นคิดไปผับมาล่ะเนี่ย แถมยังเตรียมบัตรปลอมเอาไว้พร้อมซะด้วยฉันแย้งกลับไปพร้อมกับหัวเราะขำขันไปด้วย สรุปแล้วทั้งฉันและพลอยนั้นห่างไกลจากความเป็นเด็กดีด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ

บ้านของพลอยมีห้องน้ำอยู่สามห้อง จึงทำให้พวกเราไม่ต้องแย่งห้องน้ำกันอาบเนื่องจากตอนนี้มีกันอยู่แค่สองคน

หลังจากอาบน้ำและสวมชุดนอนเรียบร้อย ฉันก็มาช่วยพลอยขนฟูกสำรองออกจากตู้เสื้อผ้าในห้องนอนของพี่เพชร แล้วลากมันมาที่ห้องของพลอย จากนั้นก็ช่วยกันปูที่นอนด้วยกัน

แกๆ แกจำคนที่ชื่อบีตอนพวกเราอยู่ม.สามได้มั้ยพลอยเกริ่นถาม ขณะยัดหมอนเข้าไปในปลอกหมอนสีครีม

พลอยเป็นคนที่ชอบสีครีมเอามากๆ จนฉันต้องรู้สึกทึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างของพลอยนั้นจะต้องเป็นสีครีม หรืออย่างน้อยก็ต้องมีสีครีมผสมอยู่บ้างเป็นส่วนใหญ่ อย่างเช่นเครื่องประดับและเสื้อผ้าแต่ละชุดของพลอยที่จะต้องมีสีครีมเป็นสีหลัก ยกเว้นเสียแต่ชุดนักเรียนที่เจ้าตัวเคยบ่นอุบอิบอยู่ว่าอยากจะให้มันเป็นสีครีมด้วย ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพลอยถึงได้บ้าสีครีมได้ขนาดนี้ แต่มันก็ช่วยทำให้ฉันลดเวลาในการเลือกของขวัญวันเกิดให้พลอยลงไปได้มากโขเลยทีเดียว

บีไหนน่ะฉันถามกลับไปแบบส่งๆ อย่างไม่ค่อยจะสนใจสักเท่าไหร่ ก่อนจะเดินไปนั่งลงตรงปลายเตียงข้างๆ พลอยหลังจากปูที่นอนเสร็จ ฉันจำชื่อหรือหน้าของคนอื่นได้ไม่ค่อยเก่ง นอกเสียจากว่าคนคนนั้นจะมีจุดเด่นอะไรบางอย่างที่ทำให้น่าจดจำจริงๆ

อย่างเช่นมือคีย์บอร์ดแห่งวง May-B เป็นต้น

ฉันไม่รู้ว่าเขามีจุดเด่นยังไง ทำไมถึงทำให้ฉันจำได้ทั้งๆ ที่พวกเราคุยกันแค่นิดเดียวเท่านั้น บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเขาเป็นนักดนตรี มีความเกี่ยวข้องกับเสียงเพลงอย่างแท้จริง และวงของเขาก็ยังสามารถเล่นเพลงออกมาได้ไพเราะเหลือเกิน จนถึงกับทำให้ฉันรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับดนตรีที่พวกเขาสร้างขึ้นมา ในบรรดาเพลงสิบกว่าเพลงในคืนนี้นั้น เพลงของพวกเขาทำให้ฉันรู้สึกหลงใหลมากที่สุดแล้ว

บีที่อยู่ห้องสองไง ที่ออกจากโรงเรียนกลางคันตอนม.สามเทอมสอง เป็นข่าวดังไปทั่วทั้งโรงเรียนเลยนะ

ฉันพยายามนึกย้อนกลับไปเมื่อสามปีก่อน แล้วก็พอจะจำได้ว่าเคยมีข่าวใหญ่เรื่องนี้อยู่เหมือนกัน

สำหรับคนรอบข้างแล้ว ฉันจะเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด จึงมักทำให้ถูกมองว่าหยิ่งและถูกคนอื่นหมั่นไส้ รวมทั้งถูกนินทาทั้งต่อหน้าและลับหลังอยู่บ่อยๆ โดยที่ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเคยไปทำอะไรให้พวกเขาไม่พอใจ แต่ฉันก็เลือกที่จะไม่เก็บเรื่องไร้สาระพวกนั้นมาใส่ใจ คงเป็นเพราะว่าฉันไม่รู้สึกสะทกสะท้านใดๆ ด้วยล่ะมั้ง ถึงได้ทำให้มีคนเกลียดฉันเพิ่มมากขึ้นไปอีก จะมีก็แต่พลอยเท่านั้นที่อยู่เคียงข้างฉันมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะว่าพ่อแม่ของพวกเราเป็นเพื่อนสนิทกัน จึงทำให้ไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยๆ ดังนั้นสำหรับฉันแล้ว ความทรงจำเกี่ยวกับที่โรงเรียนจึงไม่ค่อยมีภาพที่น่าจดจำสักเท่าไหร่

ก็พอจะนึกออกนะ เขาทำไมเหรอภาพเลือนรางของคนที่ชื่อบีปรากฏขึ้นมาในหัว ฉันไม่เคยพูดกับอีกฝ่ายมาก่อน จึงไม่รู้ว่าจะจินตนาการ บีในหัวต่อไปยังไงดี ส่วนสาเหตุที่ทำให้บีต้องถูกออกจากโรงเรียนนั้น รู้สึกว่าจะเป็น...

ยัยนั่นท้อง ก็เลยโดนไล่ออกจากโรงเรียนใช่มั้ยล่ะ แล้วทีนี้ เมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะ มีคนเห็นยัยนั่นพร้อมกับเด็กด้วยแหละพลอยทำเสียงกระซิบกระซาบ ทำหน้าขยะแขยง พร้อมกับส่งเสียงร้องยี้ออกมาเบาๆ โดยที่ฉันเองก็อดที่จะทำตาโตด้วยความรู้สึกอึ้งๆ ไปด้วยไม่ได้ ในตอนนั้นพวกเราอยู่กันแค่ม.สามเท่านั้นเอง อายุแค่สิบสี่สิบห้า ยังอยู่ในวัยเรียนอยู่เลยแท้ๆ แต่บีกลับท้องโต มีลูกเสียแล้ว น่าเกลียดจริงๆ

แล้วพ่อเด็กล่ะฉันถามต่อด้วยความอยากรู้

ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฟังดูแล้วยัยบีนี่น่าจะนิสัยไม่ดีเนอะ ว่ามั้ย

นั่นสิ น่าเกลียดอะฉันพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

แล้วก็วันที่ยัยนั่นโดนไล่ออกนะแก ฉันจำได้แม่นเลยว่าแม่ของบีมาตบบีที่หน้าห้องผอ.เลยนะ แถมยังตะโกนด่าแรงมาก ทะเลาะกันไม่อายคนอื่นเลย

เมื่อได้ฟังพลอยเล่าเป็นฉากๆ แบบนี้ ฉันจึงเริ่มที่จะนึกภาพความทรงจำของเหตุการณ์วุ่นวายเมื่อสามปีก่อนขึ้นมาได้บ้างแล้ว จำได้ว่าเป็นช่วงหลังเลิกแถวเคารพธงชาติตอนเช้า นักเรียนทุกคนกำลังเดินกลับขึ้นตึกเรียนตามปกติ อยู่ๆ ก็มีเสียงประกาศเรียกนักเรียนคนหนึ่งไปพบที่ห้องผู้อำนวยการ แต่ไม่ทันไรก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังลอดออกมา พวกเราจึงหันไปมองที่หน้าห้องผอ.กันด้วยความสนใจ โดยเฉพาะนักเรียนชั้นม.สามซึ่งกำลังยืนเข้าแถวอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้นพอดี จึงทำให้ได้เป็นพยานเห็นเหตุการณ์ รวมทั้งได้ยินเสียงโวยวายของผู้ปกครองคนหนึ่งอย่างชัดเจน จนสามารถเดาได้ว่าในตอนนั้นมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ในเวลาต่อมา เรื่องที่เกิดขึ้นก็ได้กลายเป็นข่าวแพร่สะพัดไปทั่วโรงเรียนอย่างรวดเร็ว แต่ละคนเอาแต่พูดถึงข่าวฉาวเรื่องนี้กันอย่างสนุกปาก ถึงแม้ว่าบีจะถูกไล่ออกไปแล้ว แต่ก็ยังคงมีหลายคนที่หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูด จนกระทั่งเวลาผ่านไปร่วมปี เรื่องนี้ถึงได้กลายเป็นข่าวเก่าที่ทุกคนเลิกสนใจกันไปเอง เพราะว่ามันไม่มีความน่าตื่นเต้นอะไรอีกต่อไป

จะตีสี่แล้ว นอนกันเถอะพลอยคลานขึ้นไปที่หัวเตียง คว้าหมอนใบหนึ่งโยนลงมาให้ฉัน แล้วซุกตัวเข้าในผ้านวมผืนยักษ์ เอ้อเดย์ ทำไมแกถึงมาขออยู่ด้วยสักพักล่ะ แกยังไม่ได้บอกฉันเลยนะ

ฉันไถลตัวเองลงมายังเบาะที่นอนอันสำรองด้านล่าง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองผู้เป็นเพื่อนสนิทซึ่งกำลังมองมาที่ฉันด้วยสีหน้าเรียบๆ

เอาล่ะสิ จะตอบยังไงดีล่ะทีนี้

ถึงแม้ว่าฉันจะทะเลาะกับพ่อแม่จนต้องหนีมาค้างบ้านพลอยอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่ฉันจริงจังจนถึงกับขนสัมภาระมาด้วยเหมือนอย่างครั้งนี้มาก่อน แล้วพลอยก็เป็นคนที่นิสัยเหมือนผู้ใหญ่ เธอจะใช้หลักเหตุและผลในการแสดงความคิดเห็น หรือตัดสินใจลงมือทำอะไรบางอย่าง และแบ่งแยกว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ แม้ว่าจะมีการไปปาร์ตี้ตามประสาวัยรุ่นอยู่บ้าง อย่างเช่นในคืนนี้เป็นต้น แต่พลอยก็จะกำหนดขอบเขตของการกระทำทุกอย่างของตัวเองเอาไว้อยู่เสมอว่าจะต้องอยู่ในความเหมาะสม ดังนั้นฉันจึงไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไหร่ว่าพลอยจะมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการหนีออกจากบ้านของฉัน

คือ...ฉันหนีออกจากบ้านมาน่ะ

พลอยขยับตัวน้อยๆ พร้อมกับมองตรงมาด้วยสายตาเรียบๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไร เหมือนกับต้องการที่จะให้ฉันเล่ารายละเอียดต่อ

ฉันบอกที่บ้านว่าฉันไม่ได้ยื่นแอดมิชชั่นที่ไหนเลย เพราะอย่างนั้นพวกเขาก็เลยโกรธมาก แต่ว่าฉันไม่อยากทนฟังคำด่า ก็เลยเก็บกระเป๋าหนีออกมา...

เดี๋ยวๆๆ นี่แกไม่ได้สมัครจริงๆ น่ะเหรอพลอยแทรกถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง สีหน้าเคร่งเครียดเหมือนกับไม่อยากจะเชื่อว่าฉันกำลังพูดความจริงอยู่ เมื่อฉันพยักหน้ากลับไป พลอยก็ทำหน้าเหวอด้วยความตกใจทันที เฮ้ย แล้วที่แกไปยื่นรับตรงมาล่ะ ติดตั้งหลายที่ไม่ใช่เหรอ

ฉันสละสิทธิ์ไปหมดแล้วน่ะฉันตอบเสียงอ่อย พร้อมกับห่อไหล่น้อยๆ อย่างรู้สึกอึดอัดใจนิดๆ ที่จะต้องมาบอกเรื่องนี้ให้กับพลอยฟัง เหมือนกับว่าฉันกำลังกลัวเธออยู่หน่อยๆ เพราะค่อนข้างมั่นใจว่าพลอยคงจะไม่เห็นด้วยที่ฉันทำแบบนี้แน่ๆ

ทำไมล่ะ แล้วแกจะทำยังไงล่ะทีนี้ แบบนี้แกก็ไม่มีที่เรียนน่ะสิพลอยร้องเสียงหลง สีหน้าและท่าทางดูร้อนใจ ราวกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของตัวเอง

ก็ไม่มีแหละฉันยักไหล่น้อยๆ อย่างไม่รู้สึกใส่ใจ แต่แกก็รู้นี่ว่าฉันอยากเป็นนักร้อง

นักร้อง? แต่มันเป็นแค่งานอดิเรกนะเดย์ แกควรจะคิดถึงอนาคตต่างหากว่าจะทำยังไงต่อจากนี้

ฉันก้มมองมือของตัวเองอย่างเหม่อลอย ไม่พูดแย้งอะไรกลับไปทั้งสิ้น ใช่ พลอยพูดถูกว่าฉันควรจะคิดถึงอนาคต จะว่าไปแล้วตอนนี้ฉันก็กำลังคิดถึงอนาคตอยู่นะ สำหรับฉันแล้วการร้องเพลงไม่ได้เป็นแค่งานอดิเรก แต่มันเป็นความฝัน ฉันฝันว่าอยากจะเป็นนักร้องมาตั้งแต่เด็กแล้ว ซึ่งพ่อก็มักจะยกเรื่องนี้มาพูดแขวะฉันอยู่เสมอ ว่าฉันเอาแต่ฝันเฟื่องอยู่แต่ในโลกจินตนาการ ทำไมถึงไม่คิดที่จะทำอะไรจริงจังแบบพี่แดนบ้าง

พวกเขาไม่เข้าใจ

นี่ฉันกำลังคิดจริงจังอยู่นะ ฉันอยากเป็นนักร้องจริงๆ แต่ก็ไม่มีใครเข้าใจฉันเลยสักคนเดียว

เสียงถอนหายใจจากคนบนเตียงเรียกให้ฉันเงยหน้ากลับขึ้นไปมอง พลอยกำลังจ้องมาที่ฉันเขม็ง พร้อมกับทำหน้าเครียดเหมือนกับว่ากำลังใช้ความคิดอะไรบางอย่างอยู่

ถึงจะย้อนถามเรื่องในอดีตไปมันก็ไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ เพราะว่ามันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ในเมื่อเป็นแบบนี้ แกลองไปสมัครประกวดร้องเพลงดูมั้ยล่ะ อย่างพวกรายการเรียลลิตี้น่ะ

แต่ว่าฉันไม่ได้อยากเป็นนักร้องแบบนั้น...ฉันไม่ได้อยากเป็นแค่ใครคนหนึ่งทั่วๆ ไป แต่ฉันอยากเป็นคนที่มีความสำคัญ...

หมายความว่ายังไงน่ะพลอยเอ่ยถามด้วยความฉงน

ฉันตวัดสายตากลับมายังมือทั้งสองข้างบนตักของตัวเองอีกครั้ง แล้วนั่งเงียบอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพราะว่าฉันเองก็ไม่รู้ความหมายของมันเหมือนกัน เหมือนกับว่าการเป็นนักร้องแบบนั้นมันไม่ใช่ความฝันของฉัน ฉันไม่ได้อยากเป็นคนมีชื่อเสียง แล้วถึงจะไปเป็นนักร้อง แต่ฉันอยากเป็นนักร้องด้วยความสามารถของตัวเอง ฉันอยากเป็นนักร้องที่มีคนเห็นคุณค่าในความสามารถของฉัน

แต่ไม่ว่าในตอนนี้ฉันจะแบ่งแยกประเภทของการเป็นนักร้องออกเป็นอีกกี่สิบประเภท ทุกอย่างก็ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ฉันยังเป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่มีที่เรียนหนังสือ และเอาแต่พร่ำเพ้อถึงความฝันของตัวเองไปวันๆ โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำให้มันเป็นจริงได้อย่างไร

ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าบางทีพ่อของฉันอาจจะพูดถูก ฉันคงจะเป็นเพียงแค่เด็กเพ้อฝันที่เอาแต่อยู่ในโลกจินตนาการของตัวเอง เป็นเพียงแค่ลูกนกปีกอ่อนที่ไม่สามารถโบยบินได้เท่านั้น

แล้วความฝันก็เป็นได้แค่ความฝัน...ที่ไม่มีวันกลายเป็นจริง

แต่ฉันก็รู้สึกดี...ที่ได้ฝัน

พึงพอใจ...ที่ได้อยู่ในโลกของความฝัน

ทว่ามันคือการหนี

ฉันรู้ตัวดีว่าตัวเองกำลังหนีอยู่ แต่ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ตาม ฉันก็จะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ขอเพียงแค่ฉันได้อยู่ในโลกของความฝันก็เพียงพอแล้ว

เพราะฉะนั้นฉันจะวิ่งหนีต่อไปเรื่อยๆ

แม้ว่าจะต้องไปจนถึงสุดขอบฟ้าก็ตาม

 

***+++***+++***+++***

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา