ลิขิตแห่งจันทร์ by พลอยลภัสร์ (โรแมนติด-แฟนตาซี)

8.3

เขียนโดย พลอยลภัสร์

วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 13.02 น.

  19 chapter
  9 วิจารณ์
  21.22K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557 20.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) บทที่ 9

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

บทที่ 9

 

 

ศศิธรส่ายหน้าให้กับน้ำเสียงหงุดหงิดของคนในห้องลองเสื้อ ก่อนจะแอบบ่นเบาๆ กับตัวเองด้วยความรำคาญ “มันจะอะไรกันนักหนา” ก่อนจะร้องบอกให้ชายหนุ่มเปิดประตูให้เธอเข้าไปข้างใน และเมื่อเข้าไปอยู่ด้วยกันสองต่อสองภายในห้องแคบๆ เธอก็จับชายหนุ่มหมุนไปหมุนมา แล้วเธอก็เข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมเขาถึงต้องให้เธอเข้ามาดูเอง

 

เอวได้ พอดีเป๊ะ...แต่ขากางเกง...เหมือนจะเตรียมรับมือน้ำท่วม

 

หญิงสาวหัวเราะขำผู้ชายตัวโตกับกางเกงยีนส์ขาลอยออกมาเบาๆ แต่เมื่อเห็นอาการชักสีหน้าของเขา เธอก็ยื่นถุงกางเกงตัวใหม่ที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวที่ชายหนุ่มใส่อยู่ให้เขาลองอีกครั้ง “งั้นลองตัวนี้”

 

จบคำของหญิงสาว ชายหนุ่มก็จัดการรูดกางเกงยีนส์ขาลอยลงมากองต่อหน้าต่อตากุลสตรีในทันที อย่างไร้ซึ่งความกระดากอาย

 

“เฮ้ยยย...” กุลสตรีหนึ่งเดียวในห้องลองเสื้อร้องเสียงหลงออกมาแทบจะทันทีที่เห็นการกระทำอันไม่มีมารยาทของสุภาพบุรุษ

 

แต่แทนที่สุภาพบุรุษจะทุกข์ร้อน เขากลับยืนค้างในท่าที่มือข้างหนึ่งเท้าผนังห้อง ส่วนอีกข้างกำลังดึงขากางเกงออก ไม่พยายามจะขยับปกปิดหรือทำอะไรทั้งนั้น

 

กุลสตรีที่ไม่อยากเห็นจึงต้องเป็นฝ่ายหันหลังหนีแทน พร้อมกับต่อว่าเขาเสียงดัง “ทุเรศที่สุด ท่านเคยอายอะไรบ้างไหมเนี่ย”

 

“น่าอายตรงไหน”

 

น้ำเสียงกลั้วหัวเราะที่ถามออกมานั้น ทำให้ศศิธรนึกอยากจะหาอะไรมาตีแสกหน้าอินทุสักทีสองที กับความกวนนิ่งๆ ของเขา แต่ยังไม่ทันที่เธอจะคิดหาอะไรใกล้มือมาตีแสกหน้าเขา ก็ได้ยินเสียงกลั้วหัวเราะเอ่ยออกมาอีกครั้ง “หันมาได้แล้ว”

 

ศศิธรหันกลับมาสำรวจชายหนุ่มอีกหน โดยพยายามไม่เอ่ยต่อล้อต่อเถียงอะไรให้มากความ เพราะอยากให้การลองกางเกงจบลงอย่างรวดเร็ว และเมื่อเห็นว่ากางเกงยีนส์ตัวใหม่บนตัวอินทุมันพอดิบพอดีกับชายหนุ่มแล้ว ก็เอ่ยตัดสินใจให้ในทันที “งั้นเอาตัวนี้แหละ”

 

แต่ก่อนที่จะพากันขยับออกไปจากห้องแคบๆ ชายหนุ่มก็ล้วงมือลงไปในถุงเพื่อหยิบกางเกงสีขาวตัวเล็กสามตัวที่นอนแอ้งแม้งอยู่ก้นถุงออกมาถามหญิงสาวด้วยความสงสัย “แล้วนี่...ข้าต้องลองใส่มันให้เจ้าดูด้วยหรือเปล่า”

 

“มะ...ไม่...ไม่ต้อง” ศศิธรรีบร้องห้ามเสียงหลง “ขะ...ข้า...ข้าเอาไซส์เดียวกับของพี่ภูมาให้ท่าน ไซส์เดียวกับตัวที่ท่านใส่นั่นแหละ เสร็จแล้วก็รีบเปลี่ยนใส่กางเกงตัวเดิม แล้วตามข้าออกมา” พูดจบ ศศิธรก็รีบแย่งถุงกระดาษกับกางเกงตัวจิ๋วสีขาวในมือชายหนุ่มมาถือไว้ซะเอง แล้วก็รีบร้อนเปิดประตูเดินนำชายหนุ่มออกมาจากห้องลองเสื้อทันที เพราะนึกกลัวว่าอินทุจะถอดกางเกงชั้นใน แล้วลองใส่ต่อหน้าต่อตาเธอ...เพียงแค่คิด หน้าก็ร้อนแดงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

 

เมื่อหญิงสาวข่มความคิดชวนหน้าแดงเกี่ยวกับชายหนุ่มลงได้บ้างแล้ว ก็เดินไปเลือกกางเกงยีนส์ให้เขาเพิ่มอีกหนึ่งตัว กางเกงขาสั้นแค่เข่าสำหรับใส่อยู่บ้านอีกสามตัว แล้วก็ไปชำระเงินค่าเสื้อและกางเกงทั้งหมดที่เลือกไว้ จากนั้นเธอก็เดินนำไปยังแผนกของใช้ โดยมีชายหนุ่มร่างยักษ์เดินยิ้มกริ่มตามหลังมาติดๆ

 

“นี่อะไร” อินทุถามขึ้น เพียงเพื่อจะชวนหญิงสาวที่ยืนเลือกอะไรสักอย่างอยู่คุยเท่านั้น เพราะเธอไม่สนใจเขาเลยสักนิด ตั้งแต่เขาออกมาจากห้องลองเสื้อแล้ว

 

“ครีมโกนหนวดกับมีดโกนหนวด...เอาไว้โกนหนวดเครา”...ที่มันรกๆ ของท่านนั่นแหละ

 

ศศิธรเอ่ยต่อประโยคนี้เพียงในใจเท่านั้น เพราะเธอไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดกับชายหนุ่มที่มีสีหน้ายิ้มกรุ้มกริ่มตลอดเวลาเมื่อเห็นหน้าแดงๆ ของเธอ

 

“แล้วอันนี้ล่ะ” อินทุยังคงชวนคุย ด้วยการหยิบของในตะกร้าที่เธอเพิ่งจะหยิบมาโยนใส่ลงในตะกร้าที่เขาเป็นคนแย่งจากมือเธอมาถือไว้เองขึ้นมาถาม

 

“โฟมล้างหน้า...เอาไว้ล้างหน้า”

 

“แล้วอันนี้”

 

“ผ้าอนามัย...เอาไว้...เฮ้ยยย” ศศิธรเอามือตะครุบของใช้ส่วนตัวของเธอในมือของชายหนุ่มแทบจะทันที “อันนี้มันของข้า! เลิกถาม...แล้วก็เดินตามมาเฉยๆ”

 

หลังจากที่อินทุพยายามเดินตามหญิงสาวอยู่เงียบๆ จนเธอซื้อของเสร็จ แล้วพากันเดินตามกันกลับมาที่ลานจอดรถภายในห้างสรรพสินค้า เขาก็เปรยออกมาเบาๆ เมื่อได้เห็นข้าวของเครื่องใช้ที่ทันสมัย หลากหลายไปด้วยประโยชน์ใช้สอยมากมายในสถานที่แห่งนี้

 

“ที่กลาพิมพ์...ที่ๆ ข้าอยู่ ไม่มีอะไรแบบนี้เลย”

 

“กลาพิมพ์...” หญิงสาวหยุดเดินกะทันหันเมื่อได้ยินชายหนุ่มพูดออกมาเช่นนั้น และเหมือนเธอจะเพิ่งนึกอะไรออก หลังจากที่วันนี้คร่ำเคร่งอ่านหนังสือมาตลอดทั้งวัน “ที่ๆ ท่านอยู่...ใช่แล้ว! ท่านต้องข้ามเวลามาจากเมื่อห้าร้อยปีก่อนแน่ๆ เพราะท่านรู้จักโรคเกร็ดพิษ ท่านรู้จักหญ้าอาบจันทร์ แล้วท่านก็อ่านภาษาโบราณเมื่อห้าร้อยปีก่อนได้” ศศิธรหันมาเขย่าแขนชายหนุ่มที่มือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้มากมายเบาๆ ด้วยความตื่นเต้นดีใจ เมื่อเธอได้พบชิ้นส่วนของจิ๊กซอแล้วหนึ่งชิ้น

 

ซึ่งต่อจากนี้ไป...เธอจะเริ่มค้นหาบางสิ่งจากเขานี่แหละ

 

“หือ” ชายหนุ่มครางเบาๆ ในลำคอเพราะยังงงกับประโยคยาวๆ ของเธอที่หันมาพูดกับเขาอย่างกะทันหันอยู่

 

“ท่านต้องถูกส่งมาเพื่อช่วยเหลือแม่ข้าแน่ๆ พระจันทร์ต้องมอบท่านมาคอยช่วยเหลือข้าเป็นแน่” ศศิธรเอ่ยย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ ก่อนจะหันมาให้คำมั่นสัญญาแก่ชายหนุ่มแห่งเมืองกลาพิมพ์ด้วยแววตามุ่งมั่น “และถ้าท่านถูกส่งมาเพื่อช่วยเหลือแม่ข้าจริงๆ ข้าก็จะช่วยหาวิธีพาท่านกลับบ้านเอง”

 

///////////////////////////////////

 

“ไปไหนกันมา!”

 

หญิงสาวที่เพิ่งก้าวเข้ามาในห้องรับแขกสะดุ้งโหยงกับคำทักทายห้วนๆ ของภูผา ก่อนจะค่อยๆ หันมาตอบคำถามของเขาด้วยน้ำเสียงสำนึกผิดที่กลับบ้านผิดเวลา “พี่ภู...เราไปหอสมุดกันมาค่ะ”

 

“แล้วทำไมกลับดึก” ภูผาถาม แล้วก็หรี่ตามองน้องสาวที่ก้มหน้าหลบสายตาของเขา พร้อมกับมองเลยไปยังชายหนุ่มอีกคนที่กำลังเดินตามน้องสาวของเขาเข้ามาในบ้าน ชายหนุ่มที่กำลังมองตรงมาที่เขาด้วยสายตามั่นคง ซึ่งไม่ได้รู้สึกเลยสักนิดว่ากำลังโดนเขาจับผิดอยู่...หรือรู้ แต่ไม่กลัว

 

“เอ่อ...ก็ศศิแวะซื้อของ แล้วก็แวะกินข้าวก่อนกลับ”

 

“แล้วทำไมไม่โทร. บอกพี่”

 

“ศศิคิดว่าพี่ภูจะกลับดึกเหมือนทุกวันนี่คะ” หญิงสาวที่กำลังถูกจับผิดเอ่ยออกมาอย่างมีแง่งอน เพราะโดยปกติแล้วพี่ชายของเธอจะกลับบ้านค่ำมืดเป็นประจำอยู่แล้ว ทว่าเมื่อหันไปเห็นสาวน้อยพยาบาลพิเศษกึ่งนั่งกึ่งนอนเอนพิงอยู่ตรงโซฟาตัวเดียวกันกับพี่ชาย เธอก็ไม่ปล่อยโอกาสให้พี่ชายจับผิดเธอแต่เพียงฝ่ายเดียว “นกน้อย...ทำไมมานอนอยู่ตรงนี้”

 

“เอ่อ...คงจะรอศศิจนเผลอหลับไป”

 

ตอนนี้กลายเป็นฝ่ายพี่ชายที่ก้มหลบสายตาของน้องสาว แล้วก็เสมองเมินไปยังหญิงสาวที่กึ่งนั่งกึ่งนอนถัดไปจากเขา ตั้งแต่ภูผากลับเข้ามาในบ้าน เขาก็เห็นนกน้อยฟุบหน้านอนหลับอยู่กับพื้น เขาจึงจัดการอุ้มขยับหญิงสาวให้ขึ้นมานอนบนโซฟาในท่าที่สบายขึ้น แล้วก็เผลอนั่งมองหญิงสาวอยู่นาน จนกระทั่งได้ยินเสียงรถของน้องสาวเข้ามาจอดภายในบ้าน

 

ทว่าเมื่อพี่ชายเงยหน้าขึ้นมาเห็นสายตาจับจ้องของน้องสาว ที่ยังคงมองมาที่เขาไม่วางตา ภูผาก็เสเปลี่ยนเรื่องให้ไกลตัวไกลใจไกลจากสิ่งที่น้องสาวกำลังคิด “ไปหอสมุดกันมา แล้วได้เรื่องอะไรไหม”

 

ศศิธรยิ้มขำกับอาการเก้อกระดากของพี่ชายยามเมื่อเผลอมองนกน้อยด้วยแววตาอ่อนโยน แต่เธอก็ยอมเปลี่ยนเรื่อง เพราะมีสิ่งที่สำคัญที่เธอเพิ่งจะค้นพบรออยู่ เธอจึงเดินไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆ พี่ชายขี้เก๊กพร้อมกับเปิดหนังสือที่คั่นหน้าไว้เล่มหนึ่งให้พี่ชายได้ดู “ได้ค่ะ นี่ไงคะ ต้นหญ้าแบบนี้ที่จะช่วยรักษาแม่ได้”

 

“แล้วเราจะไปหามันได้ที่ไหน”

 

“มันขึ้นในป่าลึกบนภูเขาหินปูน” ศศิธรอธิบายสิ่งที่ค้นหามาได้ในวันนี้ให้พี่ชายได้ฟัง

 

“เดี๋ยวพี่จะให้เพื่อนที่เป็นเจ้าหน้าที่อุทยานช่วยดูให้ ว่าเคยเห็นต้นหญ้าลักษณะแบบนี้ขึ้นในป่าแถบนี้บ้างหรือเปล่า”

 

“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเอ่ยขอบคุณพี่ชายที่จะช่วยเธออีกแรง แต่ทว่าเธอก็มีจุดมุ่งหมายในใจอยู่แล้ว “ที่กลาพิมพ์ก็มีนะคะ”

 

ภูผาเดาสิ่งที่น้องสาวต้องการจะสื่อจากประโยคบอกเล่าก่อนหน้านี้ไม่ออก จึงหันมาถามน้องสาวตรงๆ “ศศิว่าอะไรนะ”

 

หญิงสาวพยักเพยิดไปที่ชายหนุ่มที่กำลังยืนมองเธอกับพี่ชายคุยกันโดยไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ออกมา “เขาบอกศศิว่าที่กลาพิมพ์มีต้นหญ้าแบบนี้...หญ้าอาบจันทร์”

 

“แล้ว...” ภูผาจ้องหน้าน้องสาวตรงๆ อีกครั้ง

 

“แล้ว...เอ่อ...คือ...ศศิ...ศศิอยากไปที่นั่น ศศิจะหาทางไปที่นั่นให้ได้” คนเป็นน้องเอ่ยออกมาด้วยอาการอ้ำๆ อึ้งๆ แถมยังก้มหน้าหลบสายตาของคนเป็นพี่อีกด้วย เพราะเธอรู้ดีว่า สิ่งที่เธอเอ่ยออกมานั้น มันค่อนข้าง...ไร้สาระ

 

“เจ้าว่าอะไรนะ!” ชายหนุ่มที่ยืนนิ่งอยู่นานแล้ว เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจ เขาไม่รู้ตัวมาก่อนว่าเธอตัดสินใจจะตามเขากลับกลาพิมพ์ด้วย

 

“ศศิ! พี่ว่า...รอเพื่อนพี่ก่อนดีกว่าไหม” ภูผาเองก็ตกใจไม่แพ้กัน กับคำบอกเล่าของน้องสาว แต่เขาก็รู้จักน้องสาวของเขาดีทีเดียว เธอเป็นคนประเภท ถ้าคิดจะทำอะไร ก็จะทำทันที และก็...ห้ามไม่ฟังเสียด้วย เขาจึงไม่คิดจะห้ามปรามเธอ “แล้วตอนนี้ พี่ก็ไม่เห็นทาง หรือวิธีการที่ศศิจะไปที่นั่นได้เลย”

 

“ก็ศศิบอกว่า ศศิจะหาทางไปที่นั่นไงคะ” น้องสาวเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงงอนๆ เพราะฟังจากน้ำเสียงของพี่ชายก็รู้แล้วว่า เขาไม่เชื่อในความคิดของเธอเลยสักนิด

 

ทว่ายังไม่มีใครได้พูดอะไรออกมา กรรมการสาวน้อยก็งัวเงียลุกขึ้นมาห้ามทัพเสียก่อน ด้วยใบหน้าและน้ำเสียงมึนๆ งงๆ ว่าเธอมานอนหลับอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเจ้าของบ้านทั้งสองคนและแขก อยู่กันครบพร้อมหน้าพร้อมตาในห้องรับแขก “กลับกันมาแล้วหรือคะ...ทานอะไรกันมาหรือยัง”

 

ศศิธรได้ยินอย่างนั้น ก็ลุกขึ้นเดินไปลูบหัวพยาบาลสาวน้อยที่เพิ่งตื่นขึ้นมาได้ทันเวลาพอดี ก่อนจะเอ่ยขอบคุณที่หญิงสาวช่วยอยู่ดูแลแม่จนดึกไม่มีเกี่ยง หลังจากเมื่อตอนเย็นเธอโทร. กลับมาบอกว่าจะกลับดึก หญิงสาวก็ขันอาสาจะเฝ้าแม่ของเธอให้อย่างกระตือรือร้น “เรียบร้อยแล้วจ้ะ ศศิขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะ...ขอบใจมากเลยที่อยู่เป็นเพื่อนแม่”

 

“ไม่เป็นไรค่ะ” นกน้อยยิ้มรับคำขอบคุณจากหญิงสาวเจ้าของบ้าน

 

และก่อนที่ศศิธรจะเดินออกไปจากห้องรับแขก เธอก็หันมาสั่งพี่ชายอีกหนึ่งประโยค “พี่ภูเดินไปส่งนกน้อยด้วยนะคะ มันดึกแล้ว”

 

แล้วเธอก็เดินออกไปจากห้องด้วยใบหน้าและแววตามุ่งมั่นที่จะหาทางไปกลาพิมพ์ให้ได้ โดยทิ้งความหนักใจในความคิดของเธอไว้กับชายหนุ่มสองคนที่มองหน้ากันไปมา ให้คิดไม่ตกจนนอนไม่หลับไปตามๆ กัน

 

“คุณภู ไม่ต้องลำบากไปส่งนกน้อยหรอกค่ะ...แค่นี้เอง นกน้อยเดินกลับเองคนเดียวได้” นกน้อยขยับตัวลุกขึ้นยืนอย่างอึดอัด เมื่อเห็นสีหน้าหนักใจของชายหนุ่มเจ้าของบ้าน

 

“พี่ไม่ได้ลำบากอะไร” ภูผาเอ่ย แล้วก็ปรายตามองหญิงสาวเพียงนิด ก่อนจะออกเดินนำเธอไปยังหน้าบ้าน แต่เมื่อพ้นประตูบ้านออกมาแล้วเห็นว่าท้องฟ้ามืดเพราะขาดแสงจันทร์นำทาง จนมองแทบไม่เห็นทาง เขาก็หยุดเดิน จนพยาบาลสาวน้อยเดินตามมาทัน จากนั้นก็คว้ามือบางมาจับจูงให้เดินเคียงกันไปจนถึงใต้ต้นจันทร์กระพ้อบริเวณหน้าบ้านของเธอ โดยตลอดทางไม่มีคำพูดใดๆ ระหว่างคนสองคน เอ่ยออกมาทำลายบรรยากาศอันแสนอบอุ่น อิ่มเอม สุขใจเลยสักคำ

 

นอกจากคำว่า “ขอบคุณค่ะ” ที่สาวน้อยเอ่ยออกมาก่อนจะรีบผลุบหนีเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้คนที่เดินมาส่ง ยืนยิ้มอยู่เพียงลำพังท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรีที่ขาดแสงจันทร์ ใต้ต้นจันทร์กระพ้อที่ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ

 

/////////////////////////////////////////

 

เช้านี้ก็เป็นเช้าอีกวัน ที่ทุกคนในบ้านต่างออกมายึดพื้นที่บริเวณสวนหลังบ้านทางด้านข้างของห้องนอนศมนเป็นที่สิงสถิตย์ตลอดช่วงเช้า แต่มันกลับดูต่างจากทุกวัน ก็เพราะว่าวันนี้ ชายหนุ่มที่บอกว่าตัวเองมาจากเมืองกลาพิมพ์เอาแต่นั่งเปิดดูบันทึกโบราณที่เพิ่งยืมมาจากหอสมุดตรงระเบียงข้างห้องนอนของแม่ของหญิงสาวเจ้าของบ้าน ซึ่งปกติแล้ว ที่ตรงนี้จะเป็นที่ประจำของเธอ

 

ส่วนหญิงสาวเจ้าของบ้านกับพยาบาลพิเศษก็เอาแต่เดินด้อมๆ มองๆ หาประตูที่จะสามารถพาศศิธรและอินทุกลับไปยังกลาพิมพ์ได้

 

“แล้วประตูมิติ ประตูเวลาที่คุณศศิพูดถึง มันมีลักษณะเป็นแบบไหนคะ” นกน้อยถามออกมาอย่างอยากรู้ ไม่ใช่ว่าเธอไม่เชื่อในสิ่งที่เจ้าของบ้านสาวบอกกล่าวกับเธอ แล้วยังไหว้วานให้เธอช่วยหามันอีกด้วย แต่เธอแค่ไม่รู้ว่าจะเริ่มหามันจากตรงไหน จากอะไร ก็เท่านั้น

 

“ก็...เป็นช่องๆ สี่เหลี่ยม กลมๆ แบนๆ หรืออาจจะ...ศศิก็ไม่รู้เหมือนกัน” ศศิธรเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงปลงตก เพราะตอนนี้เธอก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับประตูเวลาเหมือนกัน

 

แต่มันก็เป็นสิ่งที่ศศิธรคิดว่า...มันน่าจะมี คงจะมี หรืออาจจะมี ไม่งั้นอินทุคงข้ามเวลามาที่นี่ไม่ได้

 

“แล้วที่เรากำลังหากันอยู่นี่ เรากำลังหาอะไรกันคะ”

 

“เอ่อ...” นั่นนะซิ เธอกำลังหาอะไรอยู่กันแน่

 

ยังไม่ทันที่หญิงสาวเจ้าของบ้านจะตอบคำถามของพยาบาลสาวน้อย ก็มีเสียงตะโกนถามมาจากชายหนุ่มที่ยืนมองเธอสองคนอยู่ริมระเบียงห้องนานแล้ว “พวกเจ้ากำลังหาอะไรกัน”

 

หญิงสาวยอมวางมือ วางตา จากงานที่กำลังตั้งใจทำ แล้วหันไปตะโกนตอบชายหนุ่มที่ยืนเท้าเอวมองพวกเธออยู่ “ประตู”

 

“ประตู!” อินทุตะโกนถามออกมาอีกหนด้วยน้ำเสียงสงสัย “ประตูอะไร”

 

“ประตูเวลา...ประตูที่พาท่านมาที่นี่ไง”

 

“แล้วเจอไหม”

 

“จะไปเจอได้อย่างไร ไม่รู้อะไรสักอย่าง มีแต่ข้อสันนิษฐานทั้งนั้น” ศศิธรเริ่มจะมีน้ำเสียงหงุดหงิด เมื่อเจอคำถามจี้จุดตรงๆ แบบนี้ ก็รู้ๆ กันอยู่ว่ามันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ หาความเป็นไปได้แทบไม่เจอ แล้วยังจะมาถามกันตรงๆ แบบนี้อีก

 

“ข้าว่าพวกเจ้าเปลี่ยนจากหา...ประตู...มาช่วยข้าหา...สร้อย...จะดีกว่านะ”

 

พยาบาลสาวน้อยวางมือจากงานหาประตูก่อนใครเพื่อน เพราะตั้งแต่ก้มๆ เงยๆ มาตั้งแต่เช้า เธอยังไม่เห็นช่องอะไรที่พอจะเป็นประตูได้เลยสักนิด แล้วก็เดินขึ้นบันไดไปหาชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนระเบียงห้อง “สร้อยอะไรหรือคะ”

 

“สร้อยจันทร์เสี้ยวของข้า...แบบนี้” อินทุเปิดหนังสือหน้าหนึ่งแล้วชี้ไปที่รูปภาพในหนังสือให้พยาบาลสาวได้ดู

 

“นกน้อยเคยเห็น...มันเหมือน...เหมือน...เหมือนของคุณศศิเลยค่ะ” นกน้อยเอ่ยออกมา เมื่อได้เพ่งมองสร้อยสองเส้นที่วางอยู่เคียงกันในหน้าหนังสือแล้วรู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด

 

“เจ้ามีสร้อยจันทร์เสี้ยวด้วยรึ” ชายหนุ่มหันไปถามหญิงสาวอีกคนที่เพิ่งเดินขึ้นบันไดมาสมทบกับเขาที่โต๊ะบนระเบียงห้อง

 

“อือ...” ศศิธรพยักหน้ารับ

 

“ขอข้าดูหน่อย” ชายหนุ่มเอ่ยออกมา พร้อมกับยื่นมือไปตรงหน้าหญิงสาวเพื่อขอดูสร้อยของเธอ

 

ศศิธรยกมือปลดสร้อยที่เธอมักจะใส่ติดตัวตลอดเวลาตั้งแต่เมื่อวันเกิดปีที่แล้ว แล้วส่งให้อินทุดู แล้วชายหนุ่มก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดีเป็นที่สุด “ใช่จริงๆ ด้วย มันคือสร้อยจันทร์เสี้ยวจริงๆ”

 

“ไม่ใช่นะ...อันนี้มันสร้อยคอของข้า ไม่ใช่สร้อยจันทร์เสี้ยวอะไรของท่านนะ” ศศิธรดึงสร้อยมาจากมือของชายหนุ่มอย่างหวงแหนทันที

 

เมื่อวันเกิดปีก่อน เธอเดินไปเห็นสร้อยรูปพระจันทร์เสี้ยวเส้นนี้แล้วสะดุดตา จึงเดินเข้าไปสอบถามราคา ก่อนจะตัดสินใจซื้อเพื่อเป็นของขวัญวันเกิดให้แก่ตัวเอง ทันทีที่เจ้าของร้านบอกว่าสร้อยเส้นนี้วิเศษตรงที่จะนำพาคู่แท้ให้มาเจอผู้ที่สวมใส่

 

“แล้วใครบอกว่าสร้อยเส้นนี้เป็นของข้า” อินทุเอ่ยถามออกมานิ่งๆ พร้อมกับกอดอกมองหญิงสาวโวยวายหวงของ ทั้งที่เขายังไม่ได้พูดสักคำว่าสร้อยเส้นนี้เป็นของเขา

 

“ก็ท่าน...บอก”

 

“ข้าบอก...ตอนไหน”

 

“ก็ท่านบอกว่าสร้อยที่หายไปของท่านคือสร้อยจันทร์เสี้ยว...”

 

“แล้ว...”

 

“แล้ว...ท่านก็บอกว่าสร้อยข้าเป็นสร้อยจันทร์เสี้ยว เห็นไหมว่าท่านพูด” ศศิธรยังคงเถียงไม่ยอมลดละ ถึงแม้จะถูกข่มนิดๆ จากมาดนิ่งๆ ของชายหนุ่มก็ตาม

 

“เท่าที่ฟัง...ข้าว่าข้ายังไม่ได้พูดสักคำว่าสร้อยจันทร์เสี้ยวของเจ้าเป็นสร้อยจันทร์เสี้ยวของข้า”

 

“ก็นั่นแหละ...คล้ายๆ กัน ถึงท่านจะไม่ได้พูดก็เถอะ” หญิงสาวเจ้าของบ้านสะบัดหน้าเถียงด้วยน้ำเสียงที่ติดจะมีแง่งอนนิดๆ เพราะเดี๋ยวนี้ชายหนุ่มร่างยักษ์ตรงหน้าไม่ยอมลงให้กับเธอง่ายๆ เหมือนตอนที่เขามาอยู่ที่บ้านเธอใหม่ๆ อีกแล้ว

 

 

 

++++++++++++++++++

 

ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ

ตามไปไลค์แฟนเพจ พลอยลภัสร์ ได้นะคะ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา