ลิขิตแห่งจันทร์ by พลอยลภัสร์ (โรแมนติด-แฟนตาซี)

8.3

เขียนโดย พลอยลภัสร์

วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 13.02 น.

  19 chapter
  9 วิจารณ์
  21.22K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557 20.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

13) บทที่ 12

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

 

บทที่ 12

 

 

“นกน้อยว่าอะไรนะ...”

 

พยาบาลสาวน้อยส่ายหน้า และเมื่อหวนคิดไปถึงเหตุการณ์ในครัวเมื่อวาน ตอนที่เธอกำลังทำอาหารให้คนป่วย จิตใจก็พลันห่อเหี่ยวขึ้นมาอีกครั้ง เขามักย้ำเสมอว่าเธอคือน้องสาวของเขา...

 

‘นกน้อย’

 

‘คุณภู’ เธอมักเรียกเขาด้วย…คุณ…นำหน้าทุกครั้ง ถึงแม้ว่าเขาจะแทนตัวเองว่า…พี่…ก็ตาม เพื่อเป็นการย้ำเตือนถึงฐานะของตนเอง

 

‘เป็นอะไร...ทำไมพักนี้ไม่ค่อยพูด แถมยังชอบหลบหน้าหลบตาพี่อีก’

 

‘เปล่าค่ะ’

 

‘ไม่เปล่ามั้ง’

 

‘ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะ คุณภูมีอะไรจะใช้นกน้อยหรือเปล่าคะ’

 

‘ไม่...เอ่อ...’ ภูผาขยับจะปฏิเสธ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ‘ช่วยดูข้อเท้าพี่หน่อยซิ’

 

‘ตายจริง...คุณภูเป็นอะไรคะ ไปโดนอะไรมา ทำไมถึงปล่อยทิ้งไว้ให้บวมแดงอย่างนี้...ไม่รู้จักหาหยูกหายามาใส่’ นกน้อยรีบเดินเข้าไปประคองชายหนุ่มที่ยืนพิงขอบประตูให้เดินไปนั่งยังเก้าอี้ตัวที่ใกล้ที่สุด พร้อมกับบ่นไปด้วย เมื่อสังเกตเห็นข้อเท้าที่บวมแดงของเขา

 

ชายหนุ่มยิ้มออกมาได้ เมื่อเห็นอาการเป็นห่วงเป็นใยของสาวน้อยตรงหน้า พร้อมกับโยกหัวเธออย่างเอ็นดูเหมือนที่เขามักจะทำเป็นประจำ ‘ก็...ตามหาน้องสาวคนนี้ไม่เจอนี่นา’

 

น้องสาว...แค่นี้จริงๆ ที่เขาคิดกับเธอ

 

ศศิธรไม่ทันได้สังเกตสีหน้าเศร้าสลดของนกน้อย จึงพูดย้ำฝากฝังอีกครั้ง “เอาเป็นว่า ถ้าศศิไม่ได้กลับมา ศศิฝากนกน้อยดูแลครอบครัวของศศิด้วยแล้วกันนะ...ทั้งแม่ ทั้งพี่ภู ศศิยกให้นกน้อยทั้งสองคนเลยนะ”

 

///////////////////////////////////////////

 

ภูผาเดินเข้าไปโอบบ่าน้องสาวซึ่งกำลังยืนมองพระจันทร์ดวงโตที่กำลังฉายแสงสุกสว่างอยู่บนท้องฟ้าบริเวณบ่อน้ำหลังบ้าน “คิดดีแล้วใช่ไหม”

 

ศศิธรพยักหน้ารับ โดยที่ดวงตาไม่ได้ละไปจากพระจันทร์ดวงโตเลยสักนิด

 

“ไม่ต้องห่วงแม่นะ พี่กับนกน้อยจะช่วยดูแลแม่ให้เอง”

 

“พี่ภู” ศศิธรผวาเข้าไปกอดพี่ชายเอาไว้ทั้งตัว เพราะต้องการกำลังใจที่ถ่ายทอดออกมาจากร่างหนา อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เธอก็อาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่ได้กอดพี่ชายแบบนี้อีกแล้ว...ยิ่งคิดร่างบางก็ยิ่งกอดร่างหนาแน่นขึ้น

 

อินทุเห็นหญิงสาวโผเข้าไปกอดพี่ชาย ก็ขยับตัวไปยืนแทบจะประชิดคนทั้งคู่ด้วยความลืมตัวทันที เพราะความไม่เคยชิน คล้ายว่าลึกๆ แล้ว เขาไม่ได้คิดว่าชายหนุ่มเจ้าของบ้านเป็น...ภูผา พี่ชายของศศิธร

 

“ตัดสินใจดีแล้ว ก็อย่าร้องไห้ อีกไม่กี่วัน เราก็จะได้เจอกันแล้ว แค่รอวันพระจันทร์เต็มดวงอีกครั้งเองนี่นา” ภูผาเอ่ย ก่อนจะดันน้องสาวออกห่างตัว พร้อมกับยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้น้องสาวที่ยังไม่ยอมคลายกอดเขาอย่างเบามือ นานๆ จะได้เห็นน้ำตาของน้องสาวคนเก่งคนนี้สักที ทำให้หัวใจเขากระตุกและสั่นไหวได้เหมือนกัน “ร้องไห้มากๆ เดี๋ยวพี่ก็ห้ามไม่ให้ศศิไปหรอก”

 

“พี่ภู...” ศศิธรครางเรียกชื่อพี่ชายเสียงแผ่ว

 

“พี่รักศศินะ” ภูผารีบเอ่ยตัดบททันที เพราะไม่อยากให้น้องสาวรวมทั้งตัวเองลังเลมากไปกว่านี้

 

“ศศิก็รักพี่ภูค่ะ” หญิงสาวเขย่งขึ้นหอมแก้มพี่ชายอีกครั้ง ก่อนจะผละเดินเข้าไปกอดพยาบาลสาวที่ยืนอยู่ไม่ห่าง

 

นกน้อยร้องไห้ออกมาอย่างอดใจไว้ไม่อยู่ เพราะหญิงสาวเจ้าของบ้านคนนี้ ปฏิบัติกับเธอเสมือนเธอเป็นน้องสาวคนหนึ่งมาโดยตลอด “คุณศศิ”

 

“ฝากพี่ภูด้วยนะ” หญิงสาวที่กำลังจะลาไปไกล กระซิบบอกพยาบาลสาวในอ้อมกอดเบาๆ ให้พอได้ยินกันแค่สองคน

 

“ไม่รับฝากหรอกค่ะ” ถึงจะเศร้าเสียใจแค่ไหน แต่นกน้อยก็ยังมีสติพอจะเอ่ยปฏิเสธภาระหน้าที่ๆ ไม่น่าจะเกี่ยวกับเธอเสียงเบา

 

ภูผาหันไปเอ่ยฝากฝังน้องสาวของตนกับชายหนุ่มอีกคน ที่ยืนจ้องน้องสาวของเขาด้วยสายตามีความหมายแทบจะตลอดเวลา “ฝากดูแลน้องสาวของผมด้วยนะครับ แล้วก็อย่าลืมคำสัญญา...”

 

คนที่ยอมรับฝากอย่างเต็มใจทำเพียงแค่พยักหน้ารับเฉยๆ โดยไม่พูดอะไร แต่แววตาที่มองสบตาคนเป็นพี่ชาย สื่อออกมาได้เป็นอย่างชัดเจนว่าเขาพร้อมจะดูแลน้องสาวของภูผามากแค่ไหน และจะยึดมั่นในคำสัญญาระหว่างเขากับภูผาไว้อย่างมั่นคง

 

“แล้วเรา...ไปอยู่ที่โน่น ก็อย่าดื้อให้มากนัก เพราะไม่ใช่บ้านของเรา”

 

“ศศิไม่ดื้อสักหน่อย” คนเป็นน้องเถียงออกมาเบาๆ กับคำสั่งของคนเป็นพี่

 

“ไม่ดื้อหน่อยเดียวนะซิ...เชื่อฟังเจ้าของบ้านเขาด้วยนะ เสร็จงานแล้ว ก็รีบกลับบ้านเรา...พี่รออยู่” ภูผาเดินเข้าไปโยกหัวน้องสาวอย่างเอ็นดู

 

“คร้าบบบ” ศศิธรยกมือขึ้นป้ายน้ำตา ก่อนจะยกมือขวาขึ้นตะเบ๊ะรับคำพี่ชายเหมือนที่ชอบทำเป็นประจำเวลาได้รับคำสั่ง

 

ภูผายิ้มขำท่าทางของน้องสาว ก่อนจะเอ่ยปากไล่กลายๆ “ไปกันได้แล้วไป”

 

อินทุหันมายื่นมือให้หญิงสาวจับ พร้อมกับถามว่า...“พร้อมไหม”

 

“พร้อม!” ถึงปากจะบอกว่าพร้อม แต่ศศิธรก็ยืนชั่งใจอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะยื่นมือไปสอดประสานกับมือหนา ซึ่งต่างฝ่ายต่างกระชับกันแน่นขึ้นเพื่อถ่ายทอดกำลังใจให้กันและกัน ก่อนจะจับจูงกันเดินลงไปในบ่อน้ำ จนน้ำอยู่สูงระดับหน้าอกของหญิงสาว

 

“กลัวหรือ สั่นเชียว” อินทุเอ่ยถามหญิงสาวที่ยืนหันหน้าเข้าหากัน ซึ่งใบหน้าของเขาและเธออยู่ห่างกันไม่ถึงฝ่ามือ เพราะเขากลัวว่าหลังจากข้ามเวลาไปได้แล้วสร้อยจะหลุดจากคออีก ก็เลยจัดการมัดสายให้มันสั้นมากพอที่จะไม่หลุดจากศรีษะเวลาเจอคลื่นใหญ่โถมเข้าใส่

 

ซึ่งการจะนำสร้อยจันทร์เสี้ยวของเขากับเธอมาประกบต่อกันได้นั้น เขากับเธอก็ต้องใกล้ชิดกันมากเป็นพิเศษ และเพราะความใกล้ชิด เขาก็สัมผัสได้ถึงอาการสั่นน้อยๆ ของหญิงสาว จนเขาต้องเอ่ยปลอบอีกครั้ง “มีข้าอยู่ด้วย...เจ้าไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”

 

เมื่อเขาและเธอเห็นว่าสร้อยทั้งสองเส้นต่อกันได้สนิทดีแล้ว เพราะสร้อยจันทร์เสี้ยวเรืองแสงขึ้นมาในทันที หลังจากที่สร้อยทั้งสองเส้นประกบกันได้พอดี ทั้งคู่ก็เอ่ยท่องคาถาออกมาพร้อมกัน...

 

“ด้วยมนต์แห่งจันทรา และอำนาจของ...”

 

ก่อนที่จะมีเสียงร้องห้ามจากหญิงสาว “เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อน” พร้อมกับค่อยๆ ลดแขนที่จับสร้อยจันทร์เสี้ยวทั้งสองเส้นให้ติดกันลง

 

ศศิธรร้องห้ามชายหนุ่มที่กำลังจะเอ่ยท่องคาถาเพราะความกลัว เธอกลัวว่าเขากับเธอจะแยกจากกัน เพราะเขาทำเพียงแค่แตะฝ่ามือที่เอวบางของเธอที่อยู่ใต้น้ำเพียงเบาๆ เท่านั้น

 

“ท่านเป็นคนจับสร้อยมาประกบต่อกันดีกว่า”

 

“หือ...” ชายหนุ่มจ้องตาหญิงสาวนิ่งๆ ด้วยความสงสัย และนิ่งรอฟังเหตุผลจากประโยคกึ่งๆ คำสั่งของเธอ

 

“ข้า...ข้ากลัว...ข้ากลัวจะแยกจากท่าน...แต่ถ้าท่านเป็นคนจับสร้อยจันทร์เสี้ยวไว้ ข้าก็จะได้กอดเอวท่านได้แน่นขึ้น” ศศิธรเอ่ยออกมาอย่างตะกุกตะกัก...กลัวก็กลัว อายก็อาย...อายที่จะบอกกับเขาว่า เธอจะเป็นฝ่ายกอดเขาไม่ปล่อยนั่นเอง

 

ชายหนุ่มยิ้มกับเหตุผลของหญิงสาว ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ศศิธรงงเป็นไก่ตาแตก “งั้นข้าว่าเจ้านั่นแหละ...ที่ต้องเป็นคนนำสร้อยมาต่อกัน...ไม่ใช่ข้า”

 

“ทำไม”

 

ชายหนุ่มรวบเอวบางของหญิงสาวเข้ามาประชิดตัวมากขึ้น พร้อมกับโน้มตัวลงไปกอดหญิงสาวไว้แนบอกจนแน่น ก่อนจะกระซิบอธิบายเหตุผลของเขาให้เธอฟังบ้าง “เพราะถ้าเจ้าเป็นฝ่ายกอดข้า เจ้าอาจจะปล่อยมือจากข้า เราอาจจะแยกหลุดจากกันไปตอนไหนก็ไม่รู้...แต่ถ้าข้าเป็นฝ่ายกอดเจ้าเอาไว้แบบนี้...ข้ามั่นใจว่า ข้าจะไม่มีวันปล่อยมือจากเจ้าเด็ดขาด”

 

ศศิธรเงยหน้าขึ้นสบตาดวงตาคมด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจกับคำมั่นสัญญาง่ายๆ ของชายหนุ่ม ถึงมันจะเป็นคำมั่นสัญญาง่ายๆ แต่ก็เป็นคำสัญญาที่ขจัดความกลัวทั้งหมดทั้งมวลไปจากใจเธอ แล้วยังทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นในหัวใจขึ้นมาอย่างประหลาด เมื่อรับรู้ได้ถึงความจริงใจในน้ำเสียง แววตา และอ้อมแขนแกร่งของชายหนุ่มที่โอบรัดเธอเอาไว้ใต้น้ำ

 

แค่เพียงความเชื่อมั่นในตัวชายหนุ่ม เชื่อมั่นว่าเขาจะไม่ทิ้งเธอ...เพียงแค่นี้ ก็เพียงพอแล้ว ที่เธอจะกล้าไปในทุกๆ ที่ๆ มีเขาไปด้วย

 

จากนั้นทั้งคู่จึงเริ่มท่องคาถาใหม่อีกครั้ง ตั้งแต่ต้นจน...

 

“ด้วยมนต์แห่งจันทรา และอำนาจของข้า...จงดลให้...เราทั้งสองคนกลับไปยังกลาพิมพ์ด้วยเถิด”

 

นกน้อยแอบขยับเข้าไปแกะแขนของชายหนุ่มเจ้าของบ้านโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้จะพยายามเลี่ยงไม่เข้าใกล้ภูผามาตลอด เมื่อเห็นแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นมาท่ามกลางคนทั้งสอง แล้วน้ำในบ่อที่นิ่งสงบเมื่อสักครู่ ก็เกิดเป็นคลื่นลูกใหญ่ขึ้นมาทันที

 

คลื่น...ที่เหมือนกับมีใครสักคนเอาก้อนเห็นก้อนใหญ่ โยนโครมลงไปในน้ำ จนน้ำแตกกระจายเป็นวงกว้าง แต่เมื่อน้ำในบ่อนิ่งสงบลงเหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีเหตุการณ์ข้ามเวลาอะไรเกิดขึ้น เธอก็ไม่เห็นชายหนุ่มกับหญิงสาวที่ตระกองกอดกันอยู่ในบ่อน้ำเมื่อสักครู่อีกเลย

 

///////////////////////////////////////////

 

อินทุรีบว่ายน้ำประคองหญิงสาวที่กอดอยู่แนบอกไปยังโขดหินที่ใกล้ที่สุดทันที เมื่อเขาและเธอโผล่พรวดขึ้นมาจากน้ำแล้วหญิงสาวในอ้อมกอดแน่นิ่งไปเฉยๆ  จนเขาใจคอไม่ดี เขาพยายามตบหน้าเรียกชื่อเธอเท่าไร เธอก็ไม่ยอมฟื้นขึ้นมาเสียที และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองบรรยากาศโดยรอบ เขาก็ได้เห็นแนวป่าไผ่ทอดยาวอยู่ริมฝั่ง พร้อมกับน้ำสีเขียวใสในลำธารที่คุ้นเคย เขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าที่นี่คือ...กลาพิมพ์

 

“ศศิธร” อินทุพยายามตบหน้าเรียกสติของหญิงสาวที่นอนสลบไสลอยู่บนโขดหินอีกครั้ง “อย่าเป็นอะไรนะ เจ้าฟื้นซิ”

 

เมื่อเขาเห็นว่าเธอยังคงนอนนิ่งก็เริ่มกลัว จึงอุ้มเธอขึ้นพาดบ่า พร้อมทั้งเขย่าตัวเธอไปด้วยเพื่อเป็นการช่วยชีวิตเธอตามวิถีทางของนักรบ

 

“แค็กๆๆ” และเสียงไอ สำลักเอาน้ำออกมาจากปากของศศิธร ก็ทำให้อินทุยิ้มออกมาได้ เขารีบอุ้มกระชับเธอเดินไปยังฝั่งแทบจะทันที

 

“ศศิธร”

 

หญิงสาวลืมตาขึ้นมาเพียงนิด เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงคุ้นเคย และเมื่อรับรู้ว่าชายคนที่กำลังอุ้มเธอแนบอกอยู่นี้เป็นใคร ก็เอ่ยปากบอกเขาเบาๆ ก่อนจะห่อตัวและหลับตาลงอีกครั้ง “ข้าหนาว”

 

“ขอบคุณ...ขอบคุณสวรรค์” อินทุก้มหน้าลงจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากเนียนด้วยความรักทั้งหมดที่มี เขาไม่อยากจะสูญเสียเธอไปอีก ความรู้สึกแรกที่เห็นศศิธรแน่นิ่งไม่ได้สติ เขารู้สึกเหมือนหัวใจกำลังจะหยุดเต้น แต่พอได้ยินเสียงของเธอเท่านั้นแหละ หัวใจก็กลับมาเต้นแรงอีกครั้งจนแทบจะควบคุมไม่อยู่ เพราะความยินดีปรีดาที่ถาโถมเข้ามาด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย

 

อินทุกระชับกอดแน่นขึ้นเพื่อถ่ายทอดไออุ่นให้กับหญิงสาวในอ้อมแขน เขาไม่แปลกใจเลยที่ศศิธรจะรู้สึกหนาวจนสั่นขนาดนี้ เพราะน้ำในลำธารที่กลาพิมพ์ตอนนี้เย็นดุจน้ำแข็ง เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงฤดูหนาวของกลาพิมพ์ อากาศจึงค่อนข้างเย็นจัด

 

“เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้เดี๋ยวนะ” อินทุกระซิบบอกหญิงสาวในอ้อมแขนเบาๆ ก่อนจะจัดแจงวางเธอลงกับพื้นราบ จากนั้นเขาก็เดินออกไปด้านนอกแนวป่าไผ่

 

เพราะถ้าเขาเดาไม่ผิด เจ้าสีนิล ม้าตัวโปรดของเขามันจะต้องยังรอเขาอยู่ที่นี่ตามคำสั่งล่าสุดเมื่อหลายเดือนก่อนของเขาเป็นแน่ ต่อให้มีใครมาฉุดมามาลากมัน มันก็จะไม่ยอมขยับไปไหนเด็ดขาด หรือถ้าไปเพราะแรงคน มันก็จะต้องหาทางกลับมารอเขาที่นี่อีก จนกว่าจะได้รับคำสั่งใหม่จากเขา

 

และก็เป็นไปตามคาด “สีนิล...เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ข้าดีใจที่ได้เจอเจ้าอีกครั้ง”

 

ชายหนุ่มเดินเข้าไปกอดคอเจ้าม้าสีดำอย่างคิดถึง และทึ่งกับความซื่อสัตย์ในคำสั่งของมัน “ตอนนี้ ข้าต้องการให้เจ้าช่วยข้า...ไปตามสุมะ ให้มาหาข้าที่นี่”

 

หลังจากออกคำสั่ง เจ้าสีนิลก็วิ่งทะยานออกไปด้วยความรวดเร็ว อินทุจึงเดินกลับมาหาหญิงสาวพร้อมกับเสื้อคลุมสีดำตัวหนาที่เขาซุกซ่อนไว้ก่อนจะว่ายน้ำในคืนที่เขาข้ามเวลาไปหาเธอ

 

ทว่าเพียงไม่นาน เขาก็ได้ยินเสียงนายทหารคนสนิทบ่นเจ้าม้าสีดำที่เชื่อฟังคำสั่งเขาเป็นอย่างดีดังแว่วมาแต่ไกล

 

“สีนิล...เจ้าเป็นบ้าอะไรเนี่ย ทีตอนข้าบังคับให้เจ้ากลับ เจ้าก็ไม่ยอมกลับ ทีตอนนี้เจ้ากลับลากข้ามาที่นี่...เจ้าต้องการอะไรจากข้ากันแน่” สุมะบ่น แต่ก็ยอมกระโดดลงมาจากหลังม้าของตน หลังจากที่เจ้าสีนิลไปยืนเตะประตูหน้าบ้านเขาตั้งนาน เขาไล่เท่าไร มันก็ไม่ยอมไปไหน จนเขาต้องขึ้นม้าอีกตัวควบตามมันมาถึงที่นี่ แล้วพอมาถึงก็เอาแต่กัดดึงกางเกงลากเขาให้ลงมาจากหลังม้า “หรือเจ้าเจอ...อุทุราชา”

 

เมื่อคิดได้ดังนี้ สุมะก็ตะโกนเรียกอุทุราชาของเขาทันที “ท่านอินทุ...ท่านอินทุ...ท่านอยู่ที่ไหน ท่านอยู่แถวนี้หรือเปล่า”

 

“สุมะ เราอยู่นี่...แต่อย่าเพิ่งเข้ามา” อินทุตะโกนตอบนายทหารคนสนิท ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปนอกแนวป่าไผ่เพื่อไปหานายทหารคนสนิทคู่ใจ

 

“ท่านอินทุ ท่านจริงๆ ด้วย ท่านหายไปไหนมา พวกเราออกตามหาท่านจนทั่ว” นายทหารคนสนิทย่อตัวลงคุกเข่าต่อหน้าชายหนุ่มด้วยความจงรักภักดีแทบจะทันทีที่ได้เห็นเขาอย่างชัดเจน

 

“เราหลงป่า”

 

“หลงป่า!”

 

ชายหนุ่มยกมือขึ้นห้ามนายทหารคนสนิทถามสิ่งใดกับเขาอีก เพราะตอนนี้เขามีเรื่องสำคัญยิ่งกว่าจะมาตอบคำถามของใคร “ตอนนี้เราต้องการผ้าห่มหนาๆ แล้วก็ให้ที่ปราสาทก่อเตาผิงเตรียมไว้ด้วย”

 

นายหทารเงยหน้าขึ้นพยักหน้ารับคำสั่งของชายหนุ่มเบื้องหน้า และก่อนที่เขาจะขยับลุกขึ้น ก็มีคำสั่งยาวเป็นหางว่าวตามมาอีกประโยค

 

“ตามบุหรงมาหาเราที่ห้อง แล้วก็เรียกตาเฒ่าเจ้าปัญหามาที่ปราสาทด้วย...เรามีคนจมน้ำ”

 

“คนจมน้ำ? ใคร?”

 

“จันทรพิมพ์”

 

“แม่นางจันทรพิมพ์!” นายทหารคนสนิท ผงะถอยหลังไปนิดหลังจากได้ยินว่าคนจมน้ำที่ต้องการความช่วยเหลือโดยด่วนเป็นใคร และขยับปากจะถามถึงที่ไปที่มา

 

แต่ก็ถูกชายหนุ่มเอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน “อย่าเพิ่งถามอะไรมาก...ไปทำตามที่เราสั่ง...เดี๋ยวนี้”

 

///////////////////////////////////////////

 

กองไฟสีส้มแดงจากเตาผิงที่ถูกจุดไว้เพื่อเพิ่มความร้อนภายในห้องนอนใหญ่ ทำให้ห้องที่ถูกทิ้งร้างจนหนาวเย็นมานานอุ่นขึ้นในทันที ทว่าความร้อนของไฟคงจะร้อนไม่เท่าใจของชายที่มีอำนาจมากที่สุดของดินแดนแห่งนี้ สังเกตได้จากสีหน้ากระวนกระวายและการเดินไปเดินมาด้วยความร้อนรน เพราะความเป็นห่วงหญิงอันเป็นที่รักที่นอนสลบไม่ได้สติอยู่บนเตียงกว้าง

 

อินทุพยายามสงบสติอารมณ์อย่างเต็มที่ ขณะเฝ้ามองชายชราผู้ที่เขาสั่งให้สุมะไปตาม ตรวจดูอาการของหญิงสาวบนเตียง แต่ความเป็นห่วงก็มากเกินจนยากจะควบคุมจนเขาเผลอตวาดถามตาเฒ่าเจ้าปัญหาออกไปด้วยน้ำเสียงร้อนใจ “นางจมน้ำ...นางจะเป็นอะไรไหม”

 

“แล้วท่านอยากให้แม่นางเป็นอะไรล่ะ”

 

“เราถามเจ้า ไม่ใช่ให้เจ้ามาถามเรา” อินทุเอ่ยออกมาอย่างหงุดหงิด ทุกครั้งที่เขาพูดคุยกับชายชราผู้มีใบหน้าเหมือนกับลุงเจ้าของร้านซ่อมรองเท้าราวกับคนๆ เดียวกัน เขาไม่เคยได้รับคำตอบที่เป็นที่น่าพึงพอใจในคำตอบแรกสักครั้ง...สมกับที่ทุกคนในกลาพิมพ์เรียกชายชราคนนี้ว่า...ตาเฒ่าเจ้าปัญหา

 

แต่ชาวกลาพิมพ์ทุกคนก็ไม่เคยนึกโทษหรือโกรธเคืองชายชราผู้นี้ แม้แต่ตัวเขาเอง ซึ่งมีตำแหน่งใหญ่สุดที่ทุกคนในดินแดนแห่งนี้ต้องยำเกรง ก็ยังไม่คิดจะถือโทษกับคำพูดของชายชรา ผู้ซึ่งได้รับความเคารพนับถืออย่างมาก เพราะถือเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีความรู้ความสามารถ โดยเฉพาะเรื่องการรักษาโรค จนได้รับการขนานนามว่า...เฒ่าเทวดา

 

“ก็เห็นกันอยู่ ว่าท่านทำให้นางหายใจได้แล้ว คนจมน้ำ เมื่อหายใจได้แล้ว ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”

 

“แล้วทำไมนางยังไม่ฟื้น”

 

“แม่นางแค่ร่างกายอ่อนเพลีย และต้องการการพักผ่อนเท่านั้น” ชายชราเอ่ยออกมาอีกประโยคเมื่อตรวจดูชีพจรของหญิงสาวที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงนอนหลังใหญ่แล้วพบว่าหญิงสาวไม่ได้เป็นอะไรแล้ว แต่ก่อนที่จะเดินออกไปจากห้องหลังจากตรวจเสร็จ ชายชราก็หันกลับมาสั่งอินทุ เมื่อเห็นสีหน้าร้อนอกร้อนใจมากเป็นพิเศษ และอาการหนาวสั่นของหญิงสาวบนเตียงที่ดูน่าเป็นห่วงมากกว่าอาการหมดสติ

 

“คืนนี้...ให้บุหรงเฝ้าดูแม่นางไว้ ระวังอย่าให้มีไข้”

 

“ไม่ต้อง! เราจะเฝ้านางเอง” อินทุเอ่ยปฎิเสธความหวังดีของชายชราแทบจะทันที จนทุกคนในห้องหันมาจ้องหน้าเขาเป็นตาเดียว ก่อนที่สายตาทุกคู่จะไปหยุดอยู่ที่หญิงสาวปริศนาบนเตียง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

+++++++++++++++

 

ขอบคุณที่ติดตามอ่าน

 

หาซื้อลิขิตแห่งจันทร์ ได้แล้วตามร้านหนังสือชั้นนำนะคะ

หรือสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่ เวปสถาพรบุ๊คส์

แบบ e-Books ก็มีนะคะ สั่งได้ที่ Meb

 

ฝากติดตามเพจ พลอยลภัสร์

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา