ลิขิตแห่งจันทร์ by พลอยลภัสร์ (โรแมนติด-แฟนตาซี)

8.3

เขียนโดย พลอยลภัสร์

วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 13.02 น.

  19 chapter
  9 วิจารณ์
  21.22K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557 20.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

16) บทที่ 15

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

บทที่ 15

 

 

อินทุชะงักปลายเท้าอยู่เพียงแค่หน้าประตูห้องครัวใหญ่ ซึ่งเป็นที่เตรียมอาหารสำหรับเลี้ยงคนทุกคนภายในประสาท เมื่อเขาเห็นหญิงสาวคนที่เขาเฝ้าคิดคำนึงถึงแทบจะตลอดเวลากำลังยืนหัวเราะอยู่กับพ่อครัวและสาวใช้ ด้านหน้าหม้อต้มเนื้อตุ๋นใบใหญ่ที่กำลังส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลชวนกินอยู่ในขณะนี้

 

และเหมือนทุกคนในที่นี้จะไม่มีใครสนใจหรือสังเกตเห็นการมาปรากฏตัวราวสายฟ้าแลบของอินทุ เพราะทุกคนยังคงผลัดกันชิมผลัดกันปรุงกันอย่างสนุกสนาน จนเขาเป็นฝ่ายทนไม่ไหวเสียเอง จนต้องร้องเรียกชื่อหญิงสาวที่ดูจะเป็นหัวโจกของบรรดาพ่อครัวและสาวใช้ไปแล้ว “จันทรพิมพ์”

 

“ท่านอินทุ”

 

หญิงสาวหัวโจกที่มีผ้ากันเปื้อนและผ้าโพกหัวสีขาวสะอาดสะอ้านอยู่บนตัว ซึ่งดูเป็นเครื่องแต่งตัวแบบใหม่ ที่เขาเพิ่งเคยเห็นคนของเขาสวมใส่หันมาเห็นเขาก่อนใครเพื่อน

 

ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเรียก “อุทุราชา” ด้วยน้ำเสียงตกใจจากคนของเขา หรือกลายเป็นคนของเธอไปกันหมดแล้วก็สุดจะคาดเดา เพราะเวลาเพียงห้าวันที่เขาไม่อยู่ปราสาท เธอก็สามารถทำให้คนของเขายอมแต่งตัวด้วยชุดแปลกๆ ตามแบบเธอได้อย่างง่ายดาย

 

“ฮึ” ศศิธรสะบัดหน้าหนีคนใจร้าย ที่ทิ้งให้เธออยู่คนเดียวมาตลอดห้าวัน หันไปสนใจหม้อต้มเนื้อตุ๋นต่อ โดยแกล้งทำเป็นไม่สนใจและไม่ใส่ใจคนที่ยืนหน้ายักษ์อยู่บริเวณปากประตูห้องครัว

 

ส่วนชายหนุ่มที่ถูกเมินใส่ก็ยืนเท้าเอวอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับเดินไปไหนทั้งนั้น ยังคงจ้องมองหญิงสาวที่ยังคงสาละวนอยู่กับหม้อต้มตรงหน้ามากกว่าหันมามองหน้าเขา ทั้งที่คนอื่นๆ หยุดทำทุกอย่างกันจนหมดแล้วตั้งแต่หันมาเห็นเขา จนเขารู้สึกเสียหน้าชอบกลที่ถูกเมินใส่เช่นนี้

 

จึงร้องสั่งเธอเสียงดัง “จันทรพิมพ์มานี่”

 

“ข้ากำลังทำเนื้อตุ๋นอยู่” หญิงสาวตอบโดยที่ไม่ได้หันไปมองหน้าคนออกคำสั่งสักนิด

 

“มันไม่ใช่งานของเจ้า”

 

หญิงสาวหันมาเท้าเอวจ้องหน้าชายหนุ่มทันที “แล้วงานของข้าคืออะไร ท่านเคยอยู่บอกข้าไหม”

 

“เจ้า!” ชายหนุ่มที่ไม่เคยมีใครยืนจ้องหน้าแล้วเถียงต่อหน้าคนของเขาแบบนี้มาก่อน ก็โกรธจนควันออกหู ถึงขั้นปรี่เข้าไปประชิดตัวหญิงสาว เหมือนจะทำร้ายเธออย่างไรอย่างนั้น

 

แต่เธอกลับยืนจ้องการกระทำของเขานิ่งๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน แล้วเบี่ยงตัวเดินหนีไปอีกทาง “ไปเถอะบุหรง เราต้องไปทำงานของเราต่อ”

 

“แม่นาง...” บุหรงครางออกมาเสียงแผ่ว เมื่อเห็นสายตาโกรธเกรี้ยวของอุทุราชา

 

“จันทรพิมพ์!” อินทุสาวเท้าเดินเข้ามาขวางหน้าหญิงสาวกับสาวใช้เอาไว้แทบจะทันที ก่อนที่เธอจะเดินหนีเขาออกไปจากบริเวณนี้

 

“หลีกทางด้วย...ข้ามีงานต้องทำ”

 

“แต่ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเจ้า”

 

“แต่ข้าไม่มี” ศศิธรสะบัดหน้าหนีไปอีกทางเหมือนไม่ต้องการจะเห็นสายตาและใบหน้าคมเข้มของชายหนุ่มรูปงามที่ยืนอยู่เบื้องหน้า

 

เขาสวมใส่ชุดสีดำสนิทตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่เว้นแม้แต่ผ้าโพกหัวของเขา ซึ่งดูสง่างามราวเทพบุตร วันแรกที่เธอเจอเขา เขาดูรูปงามเช่นไร วันนี้ก็ยังคงเป็นเช่นวันนั้น ทว่าเขาคงจะดูสง่างามมากกว่านี้ ถ้าชุดที่เขาสวมใส่ไม่เต็มไปด้วยเศษหญ้า เศษใบไม้ และเศษดินโคลนเช่นนี้

 

“จันทรพิมพ์!” อินทุขยับเดินเข้าไปขวางหน้าหญิงสาวอีกครั้ง พร้อมกับจ้องนิ่งไปที่ดวงตาบนใบหน้างาม ซึ่งกำลังส่องประกายวาววับอย่างคนกำลังน้อยใจที่ถูกทิ้งขว้างให้อยู่ในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย

 

พร้อมกับทำใจกล้าเอื้อมมือไปคว้ามือบางมากุมเอาไว้ ก่อนที่เขาจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ทุกคนในห้องครัวใหญ่ตกตะลึงไปตามๆ กัน เพราะไม่คาดคิดว่าจะได้ยินประโยคทำนองนี้ออกมาจากปากของอุทุราชา “ข้า...ข้าขอโทษ ที่ปล่อยเจ้าทิ้งไว้แบบนี้”

 

“ทำไมท่านถึงทิ้งข้า ทำไมถึงปล่อยข้าไว้คนเดียว รู้ไหมข้ากลัวแค่ไหน...” ศศิธรกระชากดึงมือบางออกจากมือใหญ่ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นกำปั้นน้อยๆ รัวทุบใส่อกของชายหนุ่มไม่ยั้งเพราะความโมโหปนน้อยใจที่ถูกทอดทิ้งอย่างไม่ใยดีทั้งที่เธอมาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง

 

อินทุดึงตัวหญิงสาวเข้ามากอดปลอบอย่างอ่อนโยนทันทีที่เห็นสายตาอ่อนแอของเธอ สายตาที่แสดงถึงความหวาดกลัว สับสน น้อยใจปนเปกันไปหมด “ข้าคิดถึงเจ้า”

 

“คิดถึง! แต่ท่านกลับปล่อยข้าทิ้งไว้แบบนี้เนี่ยนะ”

 

ถึงปากจะพูดออกมาอย่างกราดเกรี้ยวแต่อาการยกแขนทั้งสองข้างกอดตอบชายหนุ่มของหญิงสาวก็ทำให้ทุกคนในที่นี้ ถอนหายใจออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมายทันที เพราะทุกคนต่างกำลังลุ้นเอาใจช่วยนายหญิงของตน และต่างก็กลัวว่าจะเกิดเรื่องราวทะเลาะเบาะแว้งใหญ่โตขึ้นระหว่างเจ้านายทั้งสองของตนเสียแล้ว

 

เพราะแรกเริ่มดูเหมือนจะแรงด้วยกันทั้งสองฝ่ายและดูเหมือนไม่มีใครยอมใคร ซึ่งใครจะไปคาดคิดว่าเรื่องราวที่ดูจะใหญ่โตกลับจบลงง่ายๆ เพียงประโยคขอโทษที่ออกมาจากปากของชายหนุ่มเจ้าของปราสาทเพียงประโยคเดียว

 

“งานของเจ้า รอเจ้าได้ไหม”

 

เมื่อเห็นว่าหญิงสาวสงบลง และไม่มีท่าทางโกรธเคืองหรือโมโหเขาแล้ว ชายหนุ่มก็ดึงหญิงสาวออกห่างตัวพร้อมทั้งถามคำถามซึ่งเขาก็ไม่คิดว่าตนเองจะถาม เพราะระดับเขา แค่สั่งให้เธอหยุดงานทุกอย่างเพื่อไปคุยกับเขาก็ไม่น่าจะมีใครกล้าขัด

 

แต่เขาก็เดาใจผู้หญิงคนนี้ออกว่า...ถ้ามันเป็นประโยคคำสั่งที่ออกมาจากปากเขา เธอต้องปฏิเสธออกมาแทบจะทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย

 

“ทำไม”

 

“ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้ามากมายนัก”

 

“ข้าคิดว่า...มันรอไม่ได้นะ” ศศิธรแกล้งเอ่ยปฏิเสธออกมาเพราะความทิฐิและอยากจะเอาคืนชายหนุ่มล้วนๆ ตอนที่เธออยากคุยกับเจ้าของบ้าน เขากลับหายไปไหนก็ไม่รู้ ตอนนี้เธอจึงอยากให้เขาต้องเป็นฝ่ายรอเธอบ้าง ถึงแม้ว่างานที่เธอจะไปทำนั้น ไม่ได้สลักสำคัญอะไรขนาดที่รอไม่ได้เลยสักนิด

 

“แต่ข้าว่า...รอได้นะ” อินทุเอ่ยเพียงแค่นี้ก็ดึงแขนลากหญิงสาวจอมดื้อออกมาจากห้องครัวใหญ่ในทันที โดยไม่สนใจงานซักผ้าม่านของปราสาททั้งหลังที่ถูกยกมาเป็นข้ออ้างเพื่อดื้อดึงกับเขาของเธอเลยสักนิด

 

“ทำไมท่านถึงเป็นคนแบบนี้นะ” ศศิธรพยายามจะขืนตัวเองไม่ให้ถูกลากไปตามแรงของชายหนุ่มร่างยักษ์ไว้อย่างเต็มที่ แต่เหมือนว่าแรงขืนอันน้อยนิดของเธอ มันช่างดูไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง

 

ซึ่งการกระทำของชายหนุ่มที่ทั้งลากทั้งดึงหญิงสาวให้ก้าวตามเขาออกไปด้านนอก ก็ทำให้พ่อครัวและเหล่าสาวใช้มองตามด้วยสายตากึ่งลุ้น กึ่งเอาใจช่วยให้นายหญิงของตนสามารถขัดใจอุทุราชาได้บ้าง

 

แต่ท่ามกลางสายตาหลายคู่ซึ่งกำลังซาบซึ้งในความรักแบบพ่อแง่แม่งอนของเจ้านายทั้งสองของตนซึ่งไม่เคยมีให้เห็นมาก่อน ก็ยังคงมีสายตาอิจฉาริษยาคู่หนึ่งที่ทอดมองมาอย่างไม่เป็นมิตรตั้งแต่ที่เห็นชายหนุ่มดึงตัวหญิงสาวเข้ามากอดแล้ว

 

////////////////////////////

 

หลังจากที่ชายหนุ่มทั้งลากทั้งดึงจนหญิงสาวและเขาเข้ามาอยู่ภายในห้องนอนใหญ่โดยไม่มีใครรบกวนได้แล้ว ต่างฝ่ายต่างก็จ้องหน้ากันโดยไม่มีใครยอมใคร

 

ทว่าก็ยังคงเป็นศศิธรอยู่ดีที่เป็นฝ่ายทนสบตาคมวาวของชายหนุ่มเจ้าของห้องไม่ได้นาน จึงเสถามเรื่องที่เธออยากจะรู้ตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องนี้ แล้วชายหนุ่มตรงหน้าก็ไม่อยู่เพื่ออธิบายอะไรกับเธอทั้งนั้น เธอจึงพยายามทำตัวเป็นจันทรพิมพ์ไปก่อนระหว่างที่เขาไม่อยู่ “ทำไมท่านถึงแนะนำข้ากับคนของท่านว่าข้าคือ...แม่นางจันทรพิมพ์”

 

“ข้าไม่อยากอธิบายมาก”

 

“แค่นั้น”

 

“อืม”

 

“แน่ใจนะ”

 

อินทุพยักหน้ายืนยัน เมื่อเห็นสายตาคาดคั้นเอาคำตอบจากหญิงสาว “ข้า...ข้าแค่อยากให้เจ้าทำตัวเป็นจันทรพิมพ์ช่วงที่เจ้าอยู่ที่นี่ เผื่อคนที่ฆ่าจันทรพิมพ์ จะแสดงพิรุธอะไรออกมาบ้าง เมื่อเห็นเจ้าฟื้นขึ้นมาเป็นจันทรพิมพ์แบบนี้”

 

หญิงสาวพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของชายหนุ่ม

 

“และก็เพื่อความปลอดภัยของเจ้าด้วย ตราบใดที่เจ้าเป็นจันทรพิมพ์ คนของข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี”

 

“แล้วทำไมท่านถึงทิ้งข้า”

 

“ข้าไม่ได้ทิ้งเจ้า...แต่ข้ามีงานมากมายต้องทำ เพราะข้าทิ้งที่นี่ไปตั้งสามเดือนเต็ม”

 

“แต่ท่านก็ควรจะรอบอกข้าก่อน” ถึงแม้จะยังคงขัดใจอยู่บ้าง แต่น้ำเสียงของหญิงสาวที่เอ่ยออกมากลับเบาลง เพราะรู้ดีว่าที่อินทุทิ้งเธอไปในเช้าวันนั้น คงเป็นเพราะเธออ่อนเพลียมากจนตื่นสาย และเขาก็มีหน้าที่มากมายรอให้เขาต้องไปจัดการ เขาจึงรอให้เธอตื่นไม่ได้

 

“แต่ข้าก็เห็นว่าเจ้าก็ปรับตัวได้ดีนี่นา” อินทุเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงกึ่งหยอกล้อกึ่งประชดประชัน หลังจากที่เห็นคนของเขาที่ดูทั้งรักและเป็นห่วงศศิธรมากเป็นพิเศษตอนที่ทะเลาะกับเขาในห้องครัวเมื่อสักครู่ ซึ่งมองดูก็รู้ว่าคนของเขาแปรพักต์ไปอยู่ข้างเธอกันหมดแล้ว

 

“ฮึ” หญิงสาวกอดอกเชิดหน้าอย่างงอนๆ

 

“แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

 

“ก็เห็นอยู่”

 

“อยู่ที่นี่ได้ไหม”

 

“แล้วท่านคิดว่าไงล่ะ” ศศิธรยังคงกอดอกตอบด้วยน้ำเสียงติดจะมีแง่งอนนิดๆ

 

“ฮ่าๆๆ” อินทุหลุดหัวเราะขำออกมาทันทีกับประโยคตอบแบบพาลพาโล บวกกับกิริยางอนเป็นเด็กๆ ของหญิงสาว ก่อนจะเดินไปถอดเสื้อผ้าที่สกปรกเลอะเทอะเต็มไปด้วยฝุ่นออกจากตัว ที่หลังม่านกั้นบางๆ ที่ตั้งอยู่มุมห้อง

 

จากนั้นก็หย่อนตัวลงอ่างอาบน้ำอุ่นที่มีควันและกลิ่นหอมลอยคละคลุ้งอยู่ทั่วบริเวณ ซึ่งเขาอยากจะอาบน้ำชำระล้างร่างกายมาตั้งนานแล้ว แต่เพราะเขารีบร้อนเดินทางกลับมาหาหญิงสาวจึงไม่ได้แวะอาบน้ำระหว่างทางที่ไหนเลย

 

ซึ่งขณะที่กำลังลอยคออย่างสบายอารมณ์ ชายหนุ่มก็อดที่จะเอ่ยเย้าแหย่หญิงสาวซึ่งกำลังยืนหันหลังให้เขาอย่างอารมณ์ดีไม่ได้ “เจ้ามาอาบน้ำให้ข้าดีกว่า”

 

“ฝันไปเถอะ” กล่าวจบ หญิงสาวที่หันหลังหนีชายหนุ่มตั้งแต่เขาเริ่มเปลื้องผ้าออกจากตัวแล้ว ก็สะบัดตัวเดินหนีคนหน้าไม่อาย แถมยังขี้อ่อยไปนั่งยังเตียงนอนทันทีที่ได้ยินประโยคเอ่ยเชิญชวนของเขา

 

อินทุนอนลอยคอผินหน้าไปจ้องมองใบหน้าของหญิงสาวที่นั่งอยู่ปลายเตียงนอนอย่างขำๆ เมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำของเธอ

 

เมื่อทนอยู่ในห้องตามลำพังกับชายหนุ่มสองต่อสองไม่ได้ เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าเขากำลังเปล่าเปลือยอยู่ ศศิธรก็ขยับลุกขึ้น พร้อมทั้งเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงติดจะหงุดหงิดนิดๆ “ข้าจะไปตามสาวใช้มาดูแลท่าน” เพราะเธอไม่อยากไปช่วยอาบน้ำให้เขา แต่ก็ไม่ได้อยากให้ใครเข้ามาในห้องเพื่ออาบน้ำให้กับเขาเช่นกัน

 

“อย่า! ไม่ต้อง...ข้าดูแลตัวเองได้ เจ้าแค่ช่วยหยิบเสื้อผ้าออกมาวางให้ข้าก็พอ” อินทุรีบร้องห้ามเสียงหลง เพราะไม่อยากให้หญิงสาวเดินหนีออกไปจากห้อง เขาอยากจะนอนมองเธอผ่านควันขาวๆ อยู่เช่นนี้มากกว่า

 

เขาเริ่มจะเห็นด้วยกับความคิดเห็นของนายทหารคนสนิทแล้ว สุมะบอกว่าเขาเปลี่ยนไป และคนที่ทำให้เขาเปลี่ยนไปก็คือหญิงสาวที่กำลังนั่งอยู่ในห้องนี้ ตอนนี้...ซึ่งเขาก็เริ่มจะเชื่อเช่นนั้น

 

ตอนนี้ เขารู้สึกว่าเขาชักจะทำตัวเหมือนนายทหารคนสนิทของเขาเข้าไปทุกวัน ออกไปลาดตระเวณ ก็อยากจะกลับแต่ปราสาท พออยู่ในปราสาทก็อยากจะอยู่แต่กับภรรยา อยากจะให้เธออยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา

 

ศศิธรรู้สึกว่าตัวเองเหมือนหญิงสาวโรคจิตที่ชอบแอบมองผู้ชายอาบน้ำอย่างไรอย่างนั้น หลังจากที่เธอลุกขึ้นไปหยิบเสื้อผ้าของเขามาวางไว้ที่เตียงนอนแล้ว เธอก็มักจะหันไปแอบมองควันสีขาวที่ลอยอยู่หลังม่านบางๆ นั้นเป็นระยะๆ และก่อนที่เธอจะเป็นตากุ้งยิง เธอก็รีบชิงขอตัวออกไปจากห้องนี้เสียก่อน “ข้าจะออกไปรอท่านข้างนอก”

 

“ไม่!...เลือกเอาว่าจะนั่งรอข้าอาบน้ำเฉยๆ หรือว่าจะมาอาบน้ำให้ข้า”

 

หญิงสาวไม่ยอมเลือกหนึ่งในสองข้อที่ชายหนุ่มเสนอให้กับเธอ เธอกลับเลือกที่จะเดินตรงไปยังประตูบานใหญ่แทน

 

“หรือเจ้าอยากจะให้ข้าลุกขึ้นไปลากเจ้ากลับมาด้วยสภาพแรกเกิดของข้าตอนนี้”

 

และข้อเสนอข้อที่สามที่เพิ่งหลุดออกมาจากปากของชายหนุ่มจอมวางอำนาจ ทว่ากลับเป็นข้อเสนอที่หญิงสาวไม่อยากเลือกมากที่สุด ก็ทำให้เธอเปลี่ยนใจหันหลังเดินกลับมากระแทกตัวลงนั่งบนเตียงนอนเช่นเดิม

 

และก็กลับกลายเป็นว่าเธอต้องเลือกข้อเสนอข้อที่หนึ่งที่เขาเสนอมาให้ตั้งแต่แรกไปโดยปริยาย

 

ซึ่งหลังจากชายหนุ่มลุกขึ้นมาจากอ่างอาบน้ำพร้อมกับพันผ้าสีขาวสะอาดเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินตรงไปยังเตียงนอนเพื่อสวมใส่เสื้อผ้าที่เธอจัดเตรียมไว้ให้ โดยมีสายตาของหญิงสาวแอบลอบมองแทบจะตลอดเวลา

 

“มากลัดเข็มกลัดให้ข้าหน่อย” อินทุเรียกใช้หญิงสาวที่เอาแต่จ้องมองเขาขณะแต่งตัว จนมือเขาสั่นไม่สามารถกลัดเข็มกลัดที่ผ้าคลุมไหล่ผืนใหญ่ได้

 

ศศิธรยอมลุกขึ้นมาทำตามคำสั่งของชายหนุ่มอย่างไม่มีเกี่ยงงอน เมื่อเห็นสายตาเชิญชวนของชายหนุ่มหน้าเข้ม ซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราเพราะขาดการดูแลเอาใจใส่ไปหลายวัน แล้วก็พลันหน้าแดงขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อหวนคิดไปถึงเหตุการณ์ที่เธอเคยโกนหนวดให้เขาเมื่อตอนอยู่ที่บ้านเธอ

 

“เฮ้อ...” อินทุถอนหายใจออกมาอย่างอึดอัด เมื่อเห็นสายตาของหญิงสาวที่เอาแต่จ้องมองหนวดเคราของเขาไม่วางตาด้วยใบหน้าแดงก่ำ แล้วแบบนี้เขาจะทนอยู่นิ่งๆ เก็บไม้เก็บมือ ไม่ทำอะไรเธอไปได้นานแค่ไหนกัน

 

ก่อนจะชิงตัดบท ตัดความรู้สึกร้อนๆ ที่เริ่มจะก่อตัวขึ้นมาเงียบๆ “ลงไปกินข้าวกันเถอะ ข้าจะได้แนะนำทุกคนให้เจ้าได้รู้จัก”

 

ศศิธรอยากจะถามเขากลับไปว่า ‘ช้าไปไหมที่คิดจะแนะนำเธอกับทุกคน’ แต่เธอก็เลือกที่จะสงบปากสงบคำ เพื่อไม่ให้เธอกับเขาทะเลาะกันก่อนที่จะลงไปพบคนของเขาข้างล่าง แล้วอาจจะพานทำให้กินข้าวไม่อร่อยเอาได้

 

///////////////////////////

 

ศศิธรรู้สึกว่าชีวิตของเธอกำลังโดนจับเขย่าแรงๆ จนหัวหมุน ตับไตไส้พุงอวัยวะภายในของเธอมันปั่นป่วนบิดเป็นเกลียวจนแทบจะเป็นเส้นเดียวกันอยู่แล้ว ขนาดตอนที่รู้ว่าชายหนุ่มเจ้าของ ‘ปราสาท’ ข้ามเวลาไปหาเธอนั้น เธอยังไม่รู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนบิดมวนเป็นเกลียวขนาดนี้ เพราะตอนนั้นเธอกึ่งเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แล้วก็รอพิสูจน์...

 

ทว่าครั้งนี้มันต่างไปมาก หลังจากที่เธอได้รับรู้ว่าชายหนุ่มที่เธอตามติดเขากลับมายังกลาพิมพ์นั้น มีตำแหน่งเป็นถึง ‘อุทุราชา’

 

อุทุราชา ตำแหน่งผู้ปกครองกลาพิมพ์...ไม่ใช่ชื่อจริงของท่านอินทุอย่างที่เธอเข้าใจตั้งแต่แรกตอนที่ได้ยินคนของเขาเรียกเขาว่า...อุทุราชา

 

ก็หลังจากที่เมื่อวานเธอลงไปกินข้าวเย็นกับชายหนุ่ม ทุกคนที่มาร่วมโต๊ะด้วยต่างให้ความเคารพชายหนุ่มและเธออย่างมาก และมักจะเรียกชายหนุ่มว่าอุทุราชา และเธอก็คงจะไม่สงสัย คงจะปล่อยผ่านไปเช่นเคย...ถ้าจะไม่ได้ยินคำพูดรายงานสถานการณ์บ้านเมืองช่วงที่ชายหนุ่มไม่อยู่ประโยคหนึ่งเข้า

 

ประโยคที่ว่า...‘มีคนคิดจะเป็นอุทุราชาคนต่อไป ซึ่งกำลังรวบรวมไพร่พลอยู่แนวตะเข็บชายแดน’ เธอเลยเก็บความสงสัยเอาไว้ แล้วมาถามเอาความจริงกับสาวใช้ประจำตัวเมื่อเช้า ว่าอุทุราชาคืออะไร หรือคือใคร

 

และก็ได้รับคำตอบที่ชวนให้ขนลุกขนพอง ท้องไส้ปั่นป่วนไปหมดเช่นนี้

 

“อุทุราชา อุทุราชา อุทุราชา” ศศิธรย้ำพูดกับตนเองซ้ำไปซ้ำมา พร้อมกับเดินวนไปเวียนมาเหมือนหนูติดจั่น อยู่ภายในห้องนอนใหญ่ด้วยความคิดไม่ตกกับเรื่องราวที่เพิ่งรับรู้มา

 

 

 

++++++++++++

 

ขอบคุณที่ติดตามอ่าน

ใกล้จะหมดโควต้าลงให้ทดลองอ่านแล้วนะคะ

เพราะหนังสือลิขิตแห่งจันทร์วางแผงแล้วววววว

 

รัก

พลอยลภัสร์ 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา