Dark Crossover มือใหม่หัดกัด

-

เขียนโดย พิณนะจ๊ะ

วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 15.11 น.

  2 ตอน
  0 วิจารณ์
  4,220 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 3 มีนาคม พ.ศ. 2558 14.23 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) Chapter 1 : The Beginning

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

               อย่างที่ผมเคยบอก ผมเกือบเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ แต่มันวิเศษไปกว่านั้นเพราะพลังและความสามารถของตระกูลถูกถ่ายทอดให้ผมตั้งแต่เด็กๆ มันอาจจะเป็นพลังเพียงเล็กน้อยเพื่อพอให้เราสามารถเอาตัวรอดจากตระกูลอื่นที่จ้องจะเก็บผู้เกิดใหม่ อย่างตระกูล อดัม พวกเขาเป็นคู่อริตลอดกาลกับบ้านผม เนื่องจากการหลงเหลือเพียงสองตระกูล ที่ต่างต้องการฟาดฟันเพื่อความเป็นหนึ่ง และเชื่อว่าเร็วๆนี้ ผมคงได้ร่วมแจมกับพวกเขาด้วย

                เอาล่ะ เราหยุดเรื่องของผู้ใหญ่ไว้เพียงเท่านี้ เพราะต่อไปนี้คือเรื่องราวชีวิตในไฮสคูลของผม...

                Topfrod High School คือสถานที่ที่ผมเลือกจะศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งพวกเขาไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด เพราะเพียงวันแรกผมก็ได้เป็นสมาชิกในวง  Mcfly ซะแล้ว โดยที่ไม่ต้องพึ่งพลังใดๆทั้งสิ้น

                “แดนนี่” คือคนชักชวนผม เขาเป็นหัวหน้าวงและเพื่อนมนุษย์ที่ดีคนหนึ่ง นอกจากนี้ยังมี ดั๊กกี้ และแฮร์รี่ เพื่อนสนิทในวงที่ทำให้ผมยิ้มและหัวเราะได้เสมอ

                พวกเรา 4 คน จัดว่าเป็นคนดังประจำโรงเรียนก็ว่าได้ แต่ผมไม่ได้เด่นที่สุดหรอกนะ ตำแหน่งนี้คงต้องยกให้แดนนี่ เพราะด้วยลีลาการลีดกีต้าร์และเสียงร้องที่มีเสน่ห์ของเขา มักทำให้สาวๆ กรี๊ดเสมอ ส่วนดั๊กกี้มือเบสหน้าทะเล้นผู้ชอบโดดลงไปเล่นกับฝูงชน  แฮร์รี่มือกลองขี้ร้อนที่มักจะถอดเสื้อทุกครั้งที่รัวกลอง และผมมือกีต้าร์/ร้องนำ ผู้เงียบขรึมซึ่งสาวๆ มักจะเชียร์ให้ถอดเสื้อหรือโดดลงมาจากเวทีเสมอ  แต่นั่นคงเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจะทำ เพราะผมชอบที่จะยืนเฉยๆโยกตัวไปตามจังหวะมากกว่า

                ทุกครั้งที่มีการจัดงานใน Topfrod วงของพวกเรามักได้ขึ้นโชว์เสมอและก็เป็นเช่นเดียวกับวันนี้

                วันนี้คือวันเปิดเทอมวันแรก ซึ่งโรงเรียนจะมีการเรียนการสอนเพียงแค่ครึ่งวัน ส่วนครึ่งวันหลัง Mcfly จะครองเวทีพร้อมคอนเสิร์ตต้อนรับเปิดเทอม สิทธิพิเศษในการจัดงานเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นแน่ ถ้าไม่มีดั๊กกี้ หลานชายท่านผู้อำนวยการ

 

  1. 12.37P.M.

                ผมเดินไปยังห้องซ้อมดนตรีหรือที่สิงสถิตประจำของพวกเรา 4 คน  ในห้องทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า

                “ไงทอม นายมาไม่ทันพิซซ่าดับเบิ้ลชีสนะเพื่อน เสียใจด้วย” แฮร์รี่กล่าวขณะกัดพิซซ่า

                “ฉันจำได้ว่าฉันเก็บไว้ให้นายและวางมันไว้ตรงนี้ แต่พอหันมาอีกทีมันกลับหายไปแล้วว่ะเพื่อน” ดั๊กกี้พูดพลางกุมท้องของเขา

                “ฉันซาบซึ้งมาก ปากนายยังมันอยู่เลยนะดั๊กกี้” ผมแซวด้วยรอยยิ้ม

                “ทำไมนายมาช้าล่ะ อีกไม่กี่นาทีคอนเสิร์ตก็จะเริ่มแล้วนะ” แดนนี่กล่าวและส่งพิซซ่าชิ้นสุดท้ายที่ซ่อนไว้ข้างหลังให้ผม

                “พอดีฉันแวะไปทำธุระที่บ้านและมีปัญหานิดหน่อยน่ะ”

                “ป้ากับลุงนายว่าอีกแล้วเหรอ” แฮร์รี่ถาม

                “เขาก็แค่บ่นตามประสาน่ะ พวกนายไม่ต้องห่วงเเเหรอก ยังไงฉันก็ไม่เลิกเล่นดนตรีเด็ดขาด”

                ผมบอกพวกเขาเพื่อให้เขาสบายใจเรื่องการคัดค้านการเล่นดนตรี ที่ตอนนี้พวกเขาต่างเข้าใจว่า ทางบ้านต้องการให้ผมเป็นหมอมากกว่าเอาเวลามานั่งซ้อมดนตรี แต่ความจริงแล้วป้าและลุงไม่อยากให้ผมคลุกคลีความเป็นมนุษย์มากเกินไปจนลืมในสิ่งที่ตัวเองควรจะเป็น

                “ถ้างั้นก็ดีแล้ว แต่ถ้านายมีปัญหาอะไรก็บอกพวกฉันได้ทุกเมื่อนะ” แดนนี่กล่าวและตบไหล่ผม

                “แน่นอน” ผมยิ้มทั้งๆ ที่พิซซ่ายังเต็มปาก

                “เอาล่ะหนุ่มๆ ได้เวลาเช็คเรตติ้งกันแล้ว” ดั๊กกี้พูดขึ้นพร้อมมองดูนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะย้ายตัวไปยังห้องกระจกแคบๆ ที่ที่พวกเราใช้มันก่อนขึ้นเวทีทุกครั้ง และแน่นอนผมมักได้คิวสุดท้ายเสมอ แต่คราวนี้ผมไม่ยอมแน่

                ผมพยายามแทรกตัวเบียดเข้าไปเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของใบหน้าและทรงผม เจลเหนียวๆ ถูกชโลมลงบนเส้นสีทองที่กำลังพันกันยุ่ง ซึ่งผมขอสารภาพว่าไม่ใช่แวมไพร์ทุกตนที่จะมีทักษะทางด้านนี้ สำหรับผมมันออกจะแย่ซะด้วยซ้ำ ในขณะที่ดั๊กกี้และแฮร์รี่ได้ตำแหน่งนี้ไปครอง ส่วนแดนนี่เขาดูดีอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะเขาแทบไม่ต้องพึ่งของพรรค์นั้นก็สามารถโดดบนเวทีได้อย่างไร้ปัญหา

                หลังจากที่ทุกอย่างเรียบร้อย พวกเราก็ออกจากห้องซ้อมและตรงไปยังลานกิจกรรมที่สนามโรงเรียน เพื่อติดตั้งและตรวจ Sound Check   รอบๆ เวทียังมีผู้คนบางตา ซึ่งผมคิดว่าพวกเขาคงยังอยู่กันที่โรงอาหาร แต่อีกเพียงไม่กี่นาทีข้างหน้า ผมเชื่อว่าโรงอาหารคงกลายเป็นป่าช้าเป็นแน่

 

20 นาทีผ่านไป

                แดนนี่เริ่มขึ้น Intro เพลงเพื่อบอกให้ทุกคนรู้ว่าพวกเราพร้อมจะโดดกันแล้ว และมันก็ได้ผล เหล่านักเรียนต่างกรูกันออกมาจับจองพื้นที่หน้าเวที พร้อมเสียงกรี๊ดของสาวๆ ไฮสคูลที่ทำให้ดั๊กกี้ยิ่งโชว์ลวดลายมากขึ้น เรือนผมสีน้ำตาลประกายทองของเขาสะบัดโยกไปตามแรงเบส ไม่ต่างกับแฮร์รี่ที่เพ่งมองสาวๆ ด้วยสายตาคมดำ เช่นเดียวกับสีผมและแจ็กเก็ต ซึ่งพวกเขามักจะคิดว่ากำไรจากการเล่นดนตรีก็คือสาวๆ ที่พร้อมจะพลีกายพลีใจให้เขาได้ทุกเมื่อ

                แต่สำหรับผมการเล่นดนตรีเพื่อชนะใจสาวสักคนกลับเป็นเรื่องยาก เพราะมันใช้ไม่ได้กับเธอ...

                เธอเจ้าของเรือนผมสีช็อกโกแลตที่ยังคงนั่งอ่านฟิสิกส์เบื้องต้นอยู่ที่ม้าหินอ่อนอย่างไม่สนใจเหตุการณ์ใดๆ บนเวที ซึ่งจากจุดนี้ผมสามารถมองเห็นเธอได้อย่างชัดแจ๋วและรู้แม้กระทั่งว่า เธอมักจะถอนหายใจเป็นพักๆ เมื่อถึงท่อนที่ผมร้อง ราวกับมันเป็นเสียงที่รบกวนการอ่านหนังสือของเธอ

                “นี่เอ็ม ยังไม่เลิกอ่านอีกเหรอ วันนี้วันเปิดเทอมวันแรกนะ ไม่ใช่วันสอบปลายภาคซะหน่อย” เกว็นสาวผมแดงเพื่อนคนสนิทเอมิลี่กล่าว

                “ฉันแค่อ่านผ่านๆ น่ะ จะได้รู้ว่าเทอมนี้ต้องรับมือกับอะไรบ้าง”

                “เครียดไปแล้วเพื่อนฉัน มาเถอะไปที่สนามกัน ฉันอยากกรี๊ดหนุ่มๆ จะแย่อยู่แล้ว” เกว็นปิดหนังสือ

                “ไม่ล่ะ  ฉันนั่งรอเธออยู่เงียบๆ ตรงนี้ดีกว่า” ฟิสิกส์เบื้องต้นถูกเปิดออกอีกครั้ง

                “โธ่! งี้จะสนุกอะไรล่ะ ฉันอยากให้เธอไปด้วยนี่ มาเถอะ ขอล่ะ เพื่อฉัน”

เอมิลี่ลังเลอยู่ชั่วครู่ซึ่งมันทำให้ผมพลอยลุ้นไปกับเกว็น

                “เฮ้อ  โอเคๆ”   เธอยอมแพ้ในที่สุดพร้อมเสียงถอนหายใจเมื่อทนแรงตื้อไม่ไหว ก่อนเก็บหนังสือเข้ากระเป๋า

                เอมิลี่   โรแนน  เธอคือเจ้าของรางวัลนักเรียนผลการเรียนดีเด่นประจำห้อง  เธอไม่ชอบสุงสิงกับใครนักถ้าไม่จำเป็น ซึ่งเกว็น จีนส์ เป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของเธอที่มีความต่างกันคนละขั้ว ผมก็ไม่เข้าใจนักว่ามนุษย์ใช้เกณฑ์อะไรเป็นการตัดสินในการเข้าสังคม

                แต่สำหรับผมเธอเป็นคนที่น่าสนใจทีเดียว เธอไม่เหมือนสาวไฮสคูลทั่วไปที่วันๆ เอาแต่ส่องกระจกและวุ่นอยู่กับการแต่งแต้มเฉดสีบนใบหน้าของพวกหล่อนอย่างไม่รู้เบื่อ ต่างกับเอมิลี่ที่มักจะหมกมุ่นอยู่กับตัวหนังสือ และความไม่เหมือนใครของเธอก็ยิ่งเป็นปัญหากับผม เพราะหลังจากที่ผมสารภาพความในใจกับเธอ เอมิลี่ก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือซึ่งมันยิ่งยากต่อการเข้าถึง

                แต่ตอนนี้โชคเข้าข้างผมเพราะเกว็นกำลังลากเธอฝ่าฝูงชนมาที่หน้าเวที

                “กรี๊ดๆๆ  แดนนี่เท่ห์สุดๆไปเลย” เกว็นส่งเสียงร้องก่อนจะหันไปหาเอมิลี่ “เอ็ม เธอชอบใคร”  

                “ชอบอะไรเเเหรอ”

                “ก็ใน Mcfly ไง เธอชอบใคร”

                “ไม่ล่ะ ไม่เห็นมีใครน่าสนใจซักคน”

“แหมๆๆ แล้วคนตรงหน้าเธอล่ะ”

                ผมควรจะขอบคุณเกว็นดีรึไม่ที่ยิงคำถามนี้ เพราะเอมิลี่กำลังเงยหน้าขึ้นมองมาที่ผม ผมยิ้มให้เธอ แต่เธอกลับชักสีหน้าใส่และตอบเกว็นว่า “ถ้าเธอถามฉันว่าไม่ชอบใครล่ะก็คงจะเป็นตานั่น”

                “ใจร้าย”   เกว็นเบ้ปากพูด บางทีการมีพรสวรรค์ก็ทำให้เราเจ็บปวดได้เหมือนกัน เพราะผมได้ยินทุกคำพูดของเธอ ไม่ว่าเสียงกีต้าร์แดนนี่จะดังแค่ไหน การแยกประสาทการฟังเฉพาะจุดของผมก็ยังทำงานได้ดีเยี่ยม

                “ฉันจะกลับแล้วนะเกว็น”

                “เดี๋ยวสิ คอนเสิร์ตเพิ่งเริ่มเองนะ”

                “ฉันเบื่อแล้ว เธอก็รู้ว่าฉันไม่ชอบดูอะไรพวกนี้”

                “งั้นก็ตามสบาย ถ้าเธอออกไปได้น่ะนะ” เกว็นพูดอย่างยิ้มๆ พลางมองไปยังฝูงคนที่เนืองแน่น เอมิลี่พยายามหาทางเดินออกไปจากหน้าเวที  แต่มันคงเป็นเรื่องยากเพราะตอนนี้นักเรียนทั้งโรงเรียนต่างมารวมตัวอยู่ที่นี่ เธอจึงได้แต่จำใจยืนมองดูเกว็นคว้าแขนแดนนี่ที่ยื่นลงมาทักทายผู้คนด้านล่าง พร้อมฟังเพลงต่อไปที่พวกเรานำเสนอ ซึ่งมันก็คือเพลง Do you love me เพลงจังหวะมันส์ๆ เนื้อหาโดนๆที่ผมและแดนนี่ช่วยกันแต่ง ซึ่งผมหวังว่าเอมิลี่จะรู้ถึงความหมายโดยนัยที่ผมถ่ายทอดออกไป ณ ตอนนี้  

                “ฉันว่าเขาร้องให้เธอนะ” เกว็นเอ่ยขึ้น

                “อย่าบ้าน่าเกว็น นี่มันคอนเสิร์ตนะ คนพวกนี้ต่างหากที่เขาร้องให้”

                “แล้วทำไมเขาถึงจ้องเธอเขม็งซะขนาดนั้นล่ะ” เอมิลี่ไม่ได้ตอบอะไร เธอได้แต่ก้มหน้าหลบตาผม จะมีก็แต่เกว็นที่ขยิบตาให้ผม ซึ่งเธอมักจะคอยเชียร์และหาโอกาสดีๆ ให้ผมทำคะแนนเสมอ ถึงแม้ Score ตอนนี้จะเป็นศูนย์ก็ตาม

  1.  

                หลังจากจบคอนเสิร์ตพวกเราต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน แต่ดั๊กกี้และแฮร์รี่มีแผนจะไปฉลองต่อกับสองสาวผมบลอนด์  พวกเขาชวนผม และแน่ล่ะผมปฏิเสธ

แต่ขณะที่ผมกำลังเดินกลับบ้านอยู่นั้น ผมก็รู้สึกได้ถึงความคุ้นเคยบางอย่าง และเมื่อมองไปอีกสองช่วงตึกข้างหน้าที่ “Street of Paradise” ผมก็พบเธอเอมิลี่ เธอไม่ได้อยู่คนเดียว แต่กำลังพูดกับเด็กน้อยวัยห้าขวบเศษ

                “สาวน้อยร้องไห้ทำไมจ๊ะ” เอมิลี่ยิ้มอย่างเป็นมิตร

                “แม่ทิ้งหนูค่ะ” หยดน้ำใสๆ ไหลอาบแก้มเด็กสาวมากขึ้น จนทำให้ผู้ถามต้องเอ่ยต่อ “แล้วแม่หนูไปไหนล่ะจ๊ะ”

                “หนูไม่รู้ หันมาอีกทีแม่ก็หายไปแล้วล่ะค่ะ” เธอปล่อยโฮในที่สุด

                “โอ๋ๆ ไม่ต้องร้องนะจ๊ะ เอางี้เดี๋ยวพี่ช่วยหาแม่ดีไหมจ๊ะ”

                “ดีค่ะ”

                “งั้นไหนลองบอกพี่สิแม่หนูใส่เสื้อสีอะไร”

                “แม่ใส่เสื้อสีฟ้าค่ะ”

                “โอเค เริ่มจากตรงนี้ละกัน”   เอมิลี่มองหาหญิงสาวที่ใส่เสื้อสีฟ้า และก็เป็นเช่นดียวกับผมที่เริ่มเคลื่อนไหว

                “เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ผมถามเมื่อมาถึง

                “นายไม่ต้องยุ่งหรอกฉันจัดการเองได้”

                “แต่คนใส่เสื้อสีฟ้ามีตั้งเยอะ เธอจะจัดกา...” ผมหลุดปากพูดไปทั้งๆ ที่ไม่ควรทำเป็นรู้ดี “นายรู้ได้ยังไงน่ะ”

                เธอขมวดคิ้วแน่น “เอ่อ...พอดีฉัน...เรื่องนั้นมันไม่สำคัญเเเหรอก ฉันว่าเรารีบหาแม่ของเธอดีกว่า” ผมรีบตัดบทและโล่งใจเมื่อเอมิลี่ไม่ได้ซักไซ้ถามอีกเพราะเสียงสะอื้นของหนูน้อยที่ร้องหาแม่ช่วยผมไว้

                “Street of Paradise”  เป็นศูนย์กลางแหล่งช้อปปิ้งยามค่ำคืนของอีสแลนด์ มันจึงเป็นที่ที่มีผู้คนสัญจรไปมาไม่ขาดสาย  การหาผู้หญิงที่ใส่เสื้อสีฟ้าสักคนไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่พวกเขาเหล่านั้นไม่ใช่แม่ของหนูน้อยที่นั่งอยู่บนบ่าผม เรายังคงเดินไปเรื่อยๆ ไปเรื่อยๆ จนเข็มนาฬิกาที่ข้อมือชี้ไปที่เลขเจ็ด ซึ่งผมรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อยที่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้ เพราะความจริงแล้วการที่จะหาใครสักคน ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ผมทำประจำอยู่แล้วนั้นง่ายมาก เพียงแค่ผมทำสมาธิเล็กน้อย ใช้โสตประสาทเพ่งหาเสียงผู้หญิงที่ร้องคร่ำครวญหาลูกน้อย  เรื่องก็คงจะจบตั้งแต่บล็อกแรกที่เราเดินมาแล้ว

                แต่เป็นเพราะผมอยากมีเวลาอยู่กับเธอนานๆ ถึงแม้ว่าเธอจะใจจดใจจ่อกับการตามหาแม่เด็กโดยไม่สนใจผมเลยก็ตาม ซึ่งผมคิดว่านี่คงถึงเวลาที่ผมควรจะจบภารกิจนี้ได้แล้ว

                “ฉันว่าเราน่าจะลองย้อนกลับไปบล็อกสามนะ” ผมเสนอ “แต่เราเพิ่งเดินผ่านมานี่” เธอแย้ง

                “เอ่อ...บางทีเราอาจจะสวนกับแม่ของเธอก็ได้”

                “นายคิดงั้นเหรอ”

                “ใช่ มาเถอะ เชื่อฉันสิ” ผมเดินนำหน้าโดยไม่รอให้เอมิลี่ตอบรับหรือแสดงความคิดเห็นใดๆ พร้อมพาร่างไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าร้านนาฬิกา เพื่อรอสิ่งที่ตามหา และเราก็พบเธอผู้หญิงผมทอง ใส่เสื้อแขนกุดสีฟ้า กระโปรงยีนส์ เธอดูไม่ต่างจากพวกเรามากนัก คงแก่กว่าสัก 1-2 ปี และเมื่อเธอพบเรา

เธอก็ตรงมายังหนูน้อยทันที

“โอ้! แซนดร้า นั่นลูกจริงๆ ด้วย” เธอโผเข้าหาลูกน้อยก่อนจะหันมายังผมและเอมิลี่

                “ฉันต้องขอบคุณพวกเธอมากนะที่ช่วยดูแลเขา”

                “แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้ล่ะ” เอมิลี่ถาม

                “เอ่อ…ฉันต้องขอโทษด้วย พอดีร้านเสื้อผ้าตรงหัวมุมมันลดราคาสินค้า ฉันเลือกเพลินไปหน่อย พอหันมาอีกที แซนดร้าก็หายไปแล้ว” เธอกล่าวด้วยน้ำตา

                “โอเค ไม่เป็นไร ฉันหวังว่าคงจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก” เอมิลี่ยิ้มให้อภัย

                “จ้ะ ฉันสัญญา ขอบคุณพวกเธอมาก” เธอยิ้มตอบก่อนจะเดินจาก ไปด้วยมือที่เกาะกุมลูกน้อยอย่างแน่นหนา

                “บ๊าย บายค่ะ พี่สาว พี่ชาย” แต่แซนดร้าก็ไม่ลืมที่หันมาโบกมือเล็กๆ ของเธอให้กับผมและเอมิลี่

                เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเอมิลี่ก็เดินจากผมไปอย่างคนไม่รู้จักกัน เธอไม่ทักทายหรือถามอะไรผมนอกจากเอาแต่เดินจ้ำหนียังกับผมเป็นพวกเซลล์แมนขายสินค้าจอมตื้อยังไงอย่างงั้น ทำให้ผมต้องรีบเอ่ยรั้งเธอ

                “เดี๋ยวสิ  ฉันว่านี่มันก็มืดแล้วอย่างน้อยให้ฉันไปส่งเธอที่บ้านเพื่อความปลอดภั...”

                “ฉันกลับเองได้ ขอบคุณ” เธอเอ่ยขึ้นก่อนผมจะพูดจบ แต่ผมยังไม่หมดความพยายามเท่านี้หรอก “แต่ยังไงบ้านฉันก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านเธออยู่แล้ว…”

                “นายรู้ได้ยังไงว่าบ้านฉันอยู่ไหน นี่อย่าบอกนะว่านายเคยสะกดรอยฉัน” เธอขมวดคิ้วแน่น

                “เอ่อ...ก็ฉันเห็นเธอเดินกลับถนนเส้นนี้บ่อยๆ น่ะ แล้วอีกอย่างมันเดินทะลุไปซอยบ้านฉันได้ ยังไงก็ต้องผ่านอยู่ดี” ผมพยายามหาเหตุผลซึ่งความเป็นจริงแล้วมันตรงกันข้ามกันทุกข้อ

                “งั้นก็ตามใจนาย”

                “เยส !!” ผมตะโกนในใจ

                ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยความเงียบสงัด ไม่มีเสียงพูดคุยตามประสาเพื่อนร่วมชั้นหรือการแลกเปลี่ยนความคิดใดๆ  จะมีก็เพียงเสียงถอนหายใจของเอมิลี่เท่านั้นที่ผมได้ยิน (ก็ผมเล่นจ้องเธอไม่กระพริบ) ซึ่งรูปลักษณ์เหล่านั้นทำให้ผมนึกถึงครั้งแรกที่เจอเอมิลี่ขึ้นมา ตอนนั้นผมเพิ่งเข้าไฮสคูลปีแรกซึ่งผมยังไม่ได้เจอ แดนนี่ ดั๊กกี้ และแฮร์รี่  มันเป็นโลกที่น่าเบื่อพอควร เพราะเพียงแค่วันแรกผมก็ไม่เข้าห้องเรียนซะแล้ว

                การปรับตัวไม่ใช่งานที่ผมถนัดมากนัก โดยเฉพาะการปรับตัวในที่ที่เต็มไปด้วยอาหารและแร่ธาตุ พวกเขาไม่ใครก็ใครล้วนเป็นอาหารของผม เพียงแต่สิ่งที่ผมควรจะศึกษาก็คืออุปนิสัยและการใช้ชีวิตของพวกเขา มันคงไม่ต่างอะไรไปจากการศึกษาของมนุษย์ว่าไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน ทั้งๆ ที่สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ต้องเจื๋อนมันอยู่ดี แต่เอาเถอะอย่างน้อยมันก็ดีกับตัวผม (ที่ยังเป็นมนุษย์) เพราะมันทำให้ผมรู้ว่าตัวเองต้องทำอะไรและอยู่ที่ใด การอยู่บนโลกมนุษย์จึงจำเป็นต้องใช้สัญชาตญาณล้วนๆ ซึ่งผมคงต้องขอบคุณมันที่ดลใจให้ผมโดดเรียน

                ชั่วโมงโฮมรูมกำลังดำเนินไปในขณะที่ผมยังคงนั่งแช่บนราวบันไดชั้น 4 สายตาของผมกวาดมองออกไปตามทางเดินที่ปราศจากผู้คนจนอาจกลายเป็นชั้นเรียนร้าง แต่แล้วความเงียบนั้นก็ถูกขัดขึ้นด้วยเสียงฝีเท้าของใครบางคน ทำให้ผมหันไปและพบว่าเจ้าของเสียงนั้นคือหญิงสาวร่างบางที่กำลังเร่งรีบ เช่นเดียวกับนัยน์ตาสีน้ำตาลของเธอที่ร้อนรนจนเห็นได้ชัด เรือนผมช็อกโกแลตปัดปลิวกระเซอะกระเซิง แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้สองขาของเธอหยุดวิ่ง เธอวิ่งผ่านผมไปแต่แล้วก็ย้อนกลับมาพร้อมกับคำถามที่ผมไม่เคยลืม

                “นายยังไม่เข้าห้องอีกเหรอ โฮมรูมคาบแรกสำคัญมากนะ” ผมไม่ตอบอะไร ไม่ใช่ว่าผมหยิ่งหรือไม่อยากตอบ แต่ผมยังไม่คุ้นเคยกับการสื่อสารกับมนุษย์ โดยเฉพาะมนุษย์ผู้หญิง ผมจึงได้แต่พยักหน้า

                “นายอยู่ห้อง 401 เหรอ” เธอถามเมื่อเหลือบไปมองตารางสอนในมือผม

                “...” ผมพยักหน้าแทนการตอบ

                “นายหาห้องไม่เจอเหรอ”

                “...” ผมพยักหน้าต่อ

                “เอ่อ ขอโทษนะนายเป็นพวกเด็กพิเศษรึเปล่า อย่างเช่น...เป็นใบ้”

                “...” ผมพยักหน้าเช่นเคย แน่นอนผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า “ใบ้” แปลว่าอะไร

                “โอ้ ขอโทษทีนะที่ถามแบบนั้น ฉันก็อยู่ห้อง 401 เหมือนกัน เราไปด้วยกันไหม” เธอนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยต่อ “แบบว่าเข้าไปด้วยกันคงดีกว่าเข้าไปคนเดียวน่ะ มันน่าอายจะตายที่จะมีแต่คนมองว่าเป็นที่โหล่”

                ผมพยักหน้าด้วยรอยยิ้มพร้อมกับเดินตามเอมิลี่ไปยังห้อง 401 ไม่รู้อะไรทำให้ผมเลือกที่จะตามเธอไป อาจเป็นเพราะเธอเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ไม่ได้มองผมด้วยสายตาหวานหยาดเยิ้มหรือรอยยิ้มชวนสยอง ในทางกลับกันเธอกลับทำให้ผมรู้สึกดีอย่างเหลือเชื่อ

                ตั้งแต่วันนั้นผมจึงชอบที่จะมาโรงเรียน โดยไม่ลืมที่จะพกพจนานุกรมเล่มหนาติดมือมาด้วย เพราะหลังจากที่ผมค้นหาความหมายในหมวด “บ” ผมก็อดยิ้มไม่ได้ และรู้ดีว่าเอมิลี่เธอเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่าเสมอ ซึ่งมันทำให้ผมเลิกคิดที่จะทำร้ายมนุษย์นับตั้งแต่วันนั้น

 

 

 

ฝากติชมด้วยนะคะ :)

เรื่องนี้เปิดจองอยู่ สามารถสั่งซื้อได้ ที่นี่

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา