ปมลิขิตรัก

10.0

เขียนโดย ลันตนา

วันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 09.51 น.

  6 บท
  4 วิจารณ์
  8,830 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 เมษายน พ.ศ. 2562 19.56 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) ผมจะปกป้องคุณเอง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 6/1

            มือหนาจับข้อเท้าข้างหนึ่งที่บวมขึ้นมาไว้บนตักจากนั่นค่อยๆ ลงมือนวดอย่างเบามือ เท้าเล็กพยายามหลบหนีการรุกราน คาร์ลอสเจ็บจุกอย่างหนักเมื่อเท้าข้างปกติถีบเข้าที่อกหนาเต็มแรง

            “ออกไปอย่ามาจับฉัน” เสียงหวานบ่นอู้อี้ในคอในขณะสองเท้ายังคอยหลบหลีกการจับ คาร์ลอสพยายามจับเรียวขาของเธอด้วยมือสองข้าง

“ถ้ายังจับ ฉันสู้นะ” ญาณิศาดีดตัวลุกขึ้นนั่งทั้งยังหลับตาจนคนอยู่ปลายเท้าต้องลุกขึ้นถอยห่างอย่างรวดเร็ว คาร์ลอสสังเกตุอาการของญาณิศาจนแน่ใจว่าเธอละเมอ

คาร์ลอสถอนหายใจแล้วเข้าไปพยุงร่างเล็กให้นอนลงเหมือนเดิมเขาวางมือจากข้อเท้าสักครู่จากนั่นหยิบก้อนน้ำแข็งขึ้นมาประคบบนข้อเท้าบวมแดง แต่เจ้าของเท้าจอมซนยกเท้าขึ้นมาถีบอกกว้างเข้าอีกรอบ คาร์ลอสยกมือขึ้นกุมอก

                “ขนาดหลับยังฤทธิ์เยอะนะแม่คุณ” คาร์ลอสเอ่ยยิ้มๆ อย่างไม่โกรธหรือรำคาญ

ผู้คุ้มครองหนุ่มหายใจเข้าเต็มปอดจากนั้นเอาขาข้างหนึ่งของตัวเองทับขาข้างปกติของญาณิศาไว้ และลงมือประคบน้ำแข็งอีกครั้ง ขาเรียวดิ้นหนีไปมาสักพักแล้วค่อยนิ่งลงเพราะความเย็นเยือกจากก้อนน้ำแข็ง จากนั่นเขาค่อยๆ ทายา และนวดคลึงอีกครั้งอย่างเบามือ เขานวดกระทั่งยาซึมสู่ผิวจนหมด และอาการบวมของข้อเท้าลดลง ตามมาด้วยพันผ้ารอบข้อเท้า จบด้วยการดึงผ้าห่มลงมาคลุมเหมือนเดิม คาร์ลอสเดินมาย่อกายลงนั่งข้างเตียง เขาเอ่ยถามหญิงสาวที่กำลังหลับว่า

“ต่อยเป็นแถมยังถีบเก่งคุณเป็นผู้หญิงจริงหรือเปล่า” เรียวนิ้วยาวเกลี่ยเศษผมบดบังใบหน้าหวานตัวการรำคาญสายตา และนี้เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มถูกใบหน้าสวยร่ายมนต์สะกดตรึงสายตาจนไม่อยากเปลี่ยนพิกัดสายตาไปมองสิ่งใด

 

ญาณิศารู้สึกตัวตื่นขึ้นช่วงเย็น ในตอนกลางวันเธอเจ็บข้อเท้ามากจนไม่กล้านวดเอง เธอจึงนอนเล่นบนเตียงสักพักก็เผลอหลับยาว

“นอนกินบ้านกินเมืองจริงๆ นะยัยสา” หญิงสาวบ่นกับตัวเอง ทันใดนั้นเสียงประตูห้องถูกเปิดออกข้างหลังประตูปรากฎร่างของผู้คุ้มครองหนุ่มเดินตรงเข้ามาหาเธอ

                “ข้อเท้าเป็นไงบ้าง”

                คนถูกถามเลิกผืนผ้านวมที่คลุมเท้าออกพบว่ามีผ้าพันรอบเท้าเรื่อยขึ้นมาถึงรอบข้อเท้า ญาณิศาจำได้ว่าเธอไม่เคยพันผ้าไว้ที่ข้อเท้า คาร์ลอสเห็นหญิงสาวทำหน้างวยงงกับผ้าที่ถูกพันอยู่บนเท้าเขาจึงอธิบาย

“เดรโก้มาทำให้ตอนคุณหลับ” สิ่งที่เขาคิดคือหญิงสาวฟังคำอธิบายจบเธอไม่เชื่อ แต่ความจริงคือ...

                “จริงเหรอตอนฉันหลับเขามานวดให้ฉัน” คาร์ลอสพยักหน้าเสริม หญิงสาวยิ้มบางพร้อมสัมผัสที่ผ้าอย่างอ่อนโยน

                เขาคิดอยู่แล้วว่าถ้าบอกความจริงว่าตัวเขาเองเป็นคนทำให้เธอไม่เชื่อแน่นอน ‘ดีแล้วที่เธอเชื่อแบบนี้’ ชายหนุ่มคิดในใจ เขาไม่ต้องการรู้สึกดีกับผู้หญิงคนใดและไม่อยากให้ผู้หญิงคนใดมารู้สึกดีกับเขาแต่เบื้องลึกในใจเขาไม่ต้องการให้เป็นแบบนี้

                “จะไปไหน” คาร์ลอสถามขึ้นเมื่อเห็นหญิงสาวพยุงร่างขึ้นจากเตียง ญาณิศายิ้มน้อยๆ

                “ฉันหิวอยากลงไปหาอะไรกิน” ญาณิศายิ้มอาย เป็นผู้อยู่อาศัยมาถามหาอาหารกับเจ้าของบ้านตลกตัวเองเหลือเกิน

                “ไม่ต้องลงไปคุณรออยู่ที่นี่แหละ” ญาณิศาทำท่าจะบอกปฏิเสธแต่ช้าเกินไปเมื่อเจ้าของร่างสูงเดินไปที่ประตูแล้วพูดว่า “เดรโก้ฝากกำชับผมว่าอย่าให้คุณเดินเยอะเพราะข้อเท้าจะหายช้า” แล้วร่างสูงเดินออกไปจากห้อง

                ญาณิศาเดินอย่างกระต่ายขาเดียวมาหยุดที่หน้าทีวีจอยักษ์ซึ่งเป็นที่ที่เธอใช่เล่นโน๊ตบุ๊ค ญาณิศาเข้าเว็บไซต์โซเชี่ยลออนไลน์เว็บประจำเพื่อตรวจสอบว่ามีใครส่งข้อความถึงเธอบ้าง

                เธอสังเกตเห็นว่ามีข้อความในช่องสนทนาส่งถึงเธอมากมาย หนึ่งในนั่นมีเพื่อนรักคนหนึ่งซึ่งเธอคิดถึงมากมาย ไอรินทร์ส่งข้อความถึงเธอ ญาณิศาไม่รอช้าที่จะเปิดดู

            I_Rinแกอยู่ไหน รู้มั้ยว่าม๊าเป็นห่วงแกมากกก

ญาณิศาอ่านข้อความจบมืออยากพิมพ์ตอบแต่สมองเธอยังไม่สามรถสรรหาข้อความมาตอบอีกฝ่ายได้ เมื่อตอนนี้เธออยู่อีกทวีปหนึ่งของโลกซึ่งมันยากที่จะอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ

            Saa-zahไม่ต้องเป็นห่วงฉันอยู่ในที่ปลอดภัย ฝากบอกป๊าม๊าด้วยว่าฉันปลอดภัยดีและคิดถึงมาก

            ทางด้านคนอ่านข้อความตอบกลับอย่างไอรินทร์ถึงกับถอนหายใจและรู้สึกเป็นห่วงเพื่อนแม้ว่าอีกฝ่ายบอกว่าปลอดภัยดี แต่ในความคิดของไอรินทร์ตอนนี้คือรู้สึกสงสัยกับประโยคที่ว่าอยู่ในที่ปลอดภัย ไอรินทร์กำลังลงมือพิมพ์ถามต่อแต่อีกฝ่ายมีสถานะไม่อยู่ในระบบ หญิงสาวถอนหายใจรอบที่สอง

                ก้องภพเดินมาทางภรรยาซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่

                “หน้าเครียดจังมีเรื่องอะไรหรือเปล่า” ก้องภพเอยถามภรรยาสาว

                “สาหายตัวไปค่ะรินทร์ทักแชทไปหา นางบอกว่าอยู่ในที่ปลอดภัย รินทร์ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับสากันแน่” ไอรินทร์มีสีหน้าเป็นกังวลมากกว่าเก่าจนก้องภพรู้สึกเป็นห่วง

                “ถ้าสาบอกว่าอยู่ในที่ปลอดภัยรินทร์ก็ควรเชื่อเพื่อนสิ รินทร์เองอย่าคิดมากสิะเดี๋ยวลูกสาวเครียดตามนะ” ชายหนุ่มลูบหน้าท้องนูนป่องเสริม

                “เพื่อนรินทร์หายไปทั้งคนนะคะจะไม่ให้เครียดได้ไง”

                “พี่เชื่อว่าสาต้องกลับมา” ก้องภพยิ้มเสริม เขาเห็นภรรยาคนสวยมีสีหน้าเครียดทุกครั้งที่อยู่คนเดียวเขามั่นใจว่าหนีไม่พ้นเรื่องของเพื่อนสาวคนสนิทแน่นอน ก้องภพตัดสินใจพาไอรินทร์ไปนอนเพราะบางทีอาจทำให้เธอลืมเรื่องเครียดได้ไม่มากก็น้อย

 

                หลังจากญาณิศาตัดสินใจตั้งสถานะตัวเองไม่อยู่ในระบบเพราะไม่อยากสรรหาคำมาโกหกไอรินทร์ เธออยากบอกความจริงแต่สิ่งที่อยากบอกมันยากจะอธิบาย

                “ไม่ได้อยากปกปิดแกแต่ฉันไม่รู้จะบอกแกยังไงฉันขอโทษนะ” ญาณิศาบอกกับตัวเอง

                ญาณิศาหยุดให้ความสนใจกับกล่องสนทนาแล้วหันมาสนใจกระดานข่าว เธอเลื่อนกระดานข่าวที่อัพเดทเกี่ยวกับโพสองเพื่อนทุกคนลงมาเรื่อยๆ จนมาเจอโพสโพสหนึ่งซึ่งเธอรู้จักเจ้าของโพสเป็นอย่างดี

            สุขสันต์วันเกิดที่รัก มีความสุขมากๆ และขอให้คุณรักผมตลอดไป รักคุณที่สุด

            ข้างล่างข้อความคือรูปคู่ของชายหญิงซึ่งถ่ายคู่กันอย่างสนิทสนมและในมือของทั้งสองถือเค้กวันเกิด และยังมีรูปอื่นๆ อีกซึ่งญาณิศาไม่ได้เปิดดู ทันใดนั่นเสียงกล่องสนทนาดังขึ้น

            JAMEsผมขอโทษที่ไม่สามารถรักคุณได้เหมือนเดิมอีก เรามาเป็นเพื่อนกันนะ

            ข้อความในกล่องทำให้เธอรู้แจ้งเห็นชัดว่าหญิงสาวในรูปคือใครและมีความสัมพันธ์อะไรกับแฟนหนุ่มของเธอ

                ในช่วงญาณิศาไปเรียนที่อังกฤษและได้เจอกับเจมส์ทั้งสองเป็นเพื่อนกันและได้พูดคุยกันช่วงหนึ่งจากนั้นตกลงคบหากันเป็นแฟน แต่มีเพื่อนๆ หลายคนบอกและเตือนเธอว่าผู้ชานคนนี้ชอบคบผู้หญิงแบบเปลี่ยนเสื้อผ้า ญาณิศาไม่ได้ใส่ใจ จนกระทั่งเรียนจบแล้วกลับเมืองไทย เธอบอกให้พ่อรู้ว่าเธอมีแฟนเป็นชาวต่างชาติ พ่อของเธอไม่พอใจเป็นอย่างมาก ท่านบอกว่า พวกฝรั่งมันไม่คิดจริงจังหรอกคบเล่นๆ เดี๋ยวก็เลิก ญาณิศาเพียงแค่ฟังแต่ไม่ได้เก็บมาคิด เจมส์คอยหมั่นมาหาเธอที่ไทยอยู่บ่อยบางครั้งเธอไปหาเขาที่อังกฤษ แต่ช่วงหลังเขาเริ่มห่างหายเธอทักแชทไปหาเขาแค่อ่านแต่ไม่ตอบหรือตอบสั้นๆ หรือบางครั้งตอบแบบโมโหใส่จนมาวันนี้เธอรู้ทุกอย่างแล้ว

                ญาณิศานั่งเหม่อลอยอยู่นานเท่าไหร่มิอาจทราบได้ หญิงสาวรู้ตัวต่อเมื่อมีเสียงหนึ่งดังขึ้น พยานสาวหันไปหาต้นเสียง

                “บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าเดิน” เสียงตำหนิของใครบางคนดังขึ้นไม่ได้ทำให้ญาณิศาหันไปสนใจ

                หญิงสาวยังรู้สึกจุกอกกับคำบอกเลิกหมาดๆ จึงไม่ได้มีอารมณ์ต่อปากต่อคำกับชายหนุ่ม คาร์ลอสเห็นเธอเงียบต่างจากปกติซึ่งเธอจะต้องย้อนกลับ

                คาร์ลอสนำอาหารมาวางบนโต๊ะที่ญาณิศานั่ง เขาย่อกายลงนั่งข้างหญิงสาว คาร์ลอสสังเกตได้ว่าสีหน้าของเธอนิ่งเฉยไม่บอกอารมณ์

                “ยังเจ็บข้อเท้าหรือเปล่า” ชายหนุ่มถาม คำตอบที่เขาไดรับคือการส่ายศีรษะจากญาณิศา “คุณโอเคหรือเปล่า”

                “นายจะทำยังไงถ้านายถูกแฟนบอกเลิก” ญาณิศาถามด้วยแววตาหมองเศร้า

                คนถูกถามนิ่งคิด ความรักครั้งสุดท้ายเมื่อเจ็ดปีก่อนเขาไม่ได้ถูกบอกเลิกแต่เขาถูกหลอก และถูกทิ้งในที่สุด “ผมจะถามเขาว่าผมทำผิดอะไร” นี้คือสิ่งที่เขาคิดได้แม้ว่าในความเป็นจริงที่เขาพบเจอมันไม่อยากทำให้เขาถามหาความจริงจากอีกฝ่ายเพราะความจริงมันได้ปรากฏให้เขาได้เห็นแก่สายตา

                “ฉันทำผิดอะไร ฉันไม่ดียังไง ทำไมเขาต้องทิ้งฉัน” หญิงสาวเอ่ยทั้งน้ำตาและความเจ็บในอก คาร์ลอสพอเข้าใจในความหมายที่เธอหมายถึง

“เป็นเพราะระยะทางที่เราห่างกันหรือฉันโง่เองที่คิดคบคนพรรค์นั่น ทุกคนเตือนฉันแล้วแต่ฉันไม่เชื่อสมน้ำหน้าตัวเองจริงๆ” ญาณิศายิ้มเยาะตัวเองทั้งน้ำตา

“คุณจะทำยังไงต่อไป”

ญาณิศาถอนหายใจ “ฉันให้ความรู้สึกดีๆ และซื่อสัตย์แก่เขาแต่เขาไม่เห็นค่าดังนั้นฉันไม่จำเป็นต้องอาลัยอาวรณ์ผู้ชายพรรค์นั้นอีกต่อไป” ญาณิศาปาดคราบน้ำตาบนพวงแก้มก่อนลงมือทานอาหาร ญาณิศาคิดว่าบางทีอาหารอาจทำให้เธอรู้สึกดีมากขึ้น

คาร์ลอสนำคำพูดของญาณิศามาคิดต่อ ครั้งหนึ่งเขาเคยให้ความรักความซื่อสัตย์ต่อผู้หญิงคนนั้นแต่เธอใช้ความรู้สึกดีของเขาเป็นเครื่องมือในการหลอกลวง ตั้งแต่โศกนาฏกรรมทางหัวใจครั้งนั่นจนถึงวันนี้ยังทำให้คาร์ลอสผูกใจเจ็บจากการกระทำอันเจ็บแสบของผู้หญิงคนนั้น และทำให้เขาไม่กล้าเปิดใจรักผู้หญิงคนใดอีกเลย แต่เวลานี้มีบางสิ่งดลใจให้เขาต้องคิดใหม่และปล่อยวางบางสิ่งเพราะการพันธนาการหัวใจไว้กับอดีตมันทำให้เขาทุกทรมานเจียนตาย

 

 

บทที่ 6/2

            ถึงวันที่ทางสถานีตำรวจนัดหมายพยานไปให้ปากคำอีกครั้งและชี้ตัวคนร้าย คาร์ลอสวางแผนในการพาญาณิศาไปบราซิเลียเพื่อไม่ให้มีใครสงสัย

                “เควินคะให้เคธี่ไปบราซิเลียด้วยสิเคธี่อยากไปเที่ยวกับคุณ” หญิงสาวซบหน้าคลอเคลียลงบนลำแขนกำยำ เจ้าของแขนเบือนหน้าหนี

                “ผมไปตรวจงานไม่ได้ไปเที่ยว” คาร์ลอสบอกพร้อมแกะแขนปลาหมึกออกอย่างเบื่อหน่าย

                “นางกุ้งแห้งไปได้แต่ทำไมเคธี่ไปไม่ได้คะ” หญิงสาวชี้นิ้วมือไปทางญาณิศาซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ อีกเช่นเคยเธอไม่เข้าใจในสิ่งที่ทั้งสองกำลังพูดแต่ทราบได้ว่าแม่สาวเสียงแจ๋นกำลังหมายถึงเธอและความหมายนั้นคงจะไม่ใช่ความหมายดีเสียด้วย สังเกตได้จากเรียวคิ้วที่ย่นแทบพันกัน และแววตาขึงขังไม่ยอมใคร

                “ผมอยากพาเธอไปและกรุณาเรียกเธออย่างให้เกียรติเพราะเธอเป็นเพื่อนของผม” คาร์ลอสสะบัดแขนออก เคธี่เห็นท่าทางรำคาญของชายหนุ่มจึงหยุดเพราะเกรงว่าเขาจะโมโหมากขึ้นจนไม่อยากให้เข้าใกล้ เลโอเห็นดังนั้นจึงเข้าไปดึงตัวเคธี่ออกห่างคาร์ลอส

                “นายไปกี่วัน” เลโอถาม

                “ยังบอกไม่ได้ฉันต้องดูสภาพปัญหางานก่อนปัญหาน้อยอาจเสร็จเร็วปัญหามากคงต้องใช้เวลา” คาร์ลอสตอบ

                “แน่ใจนะว่าจะไม่ให้ฉันหรือเดรโก้ไปด้วย” เลโอถามเพื่อนก่อนสลับมองเกรซเล็กน้อย คาร์ลอสพยักศีรษะ

                “งานมีปัญหาอะไรโทร.มาบอกด้วยนะ” ดาเลนเอ่ยกับคาร์ลอสก่อนขึ้นรถ คาร์ลอสเพียงพยักหน้าก่อนขึ้นรถ รถกระบะสีเลือดหมูพาคาร์ลอสและญาณิศามุ่งหน้าไปยังจุดหมายคือสนามบิน

 

                “นายบอกพวกเขาว่ายังไง” เดรโก้ถาม เขาหมายถึงการแผนการพาญาณิศาไปบราซิเลีย

                “ฉันบอกว่าฉันจะไปตรวจงานในสาขาบราซิเลียจะได้ไม่ต้องมีใครสงสัย” คาร์ลอสตอบพร้อมหันมองพยานสาว ญาณิศามีสีหน้าตึงเครียดสองสามวันก่อนถึงวันเดินทางเขาเห็นเธอเป็นเช่นนั้นก็พลอยคิดมากไปด้วย

                “พอถึงสนามบินนายจะทำไงต่อ” เดรโก้เอ่ยถามเพราะเขายังไม่ค่อยรู้แผนการของเพื่อนหนุ่มมากเท่าใด เดรโก้ได้ฟังแผนของเพื่อนหนุ่มแล้วเข้าใจและอดชื่นชมในความรอบคอบเพื่อคนนี้ไม่ได้

                สารถีเดรโก้ขับรถมาเรื่อยๆ เขาสังเกตเห็นว่ามีมอเตอร์ไซบิ๊กไบท์เขาตามมาตลอด ถ้าเดรโก้เร่งเครื่องยนต์มอเตอร์ไซคนนั่นก็เร่งเครื่องตามเช่นกัน

                “นายเห็นอย่างที่ฉันเห็นมั้ย” เดรโก้ถามเพื่อนหนุ่มที่นั่งอยู่เบาะหลัง

                “เห็นตั้งแต่ออกมาจากไร่” คาร์ลอสตอบ พร้อมกันนั่นเขาหันมองหญิงสาวข้างกาย ญาณิศามีสีหน้าตึงเครียดกว่าเก่า คาร์ลอสยกมีขึ้นแตะไหล่บาง

                “ฉันจะปลอดภัยมั้ยฉันกลัว” หญิงสาวเอ่ยเสียงสั่น นัยน์ตาสีน้ำตาลสั่นระริกทำให้คาร์ลอสใจสั่นเพราะความกังวล

                “คุณปลอดภัยแน่นอน เพราะเรามีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจในชุดนอกเครื่องแบบคอยดูแลความปลอดภัย และมีผมที่ดูแลคุณ” คาร์ลอสกดแรงมือลงบนไหล่บางเพื่อส่งความมั่นใจให้เธอ

                “พวกเราจะปกป้องคุณครับ” เดรโก้มองทั้งสองผ่านกระจกมองหลังและให้กำลังใจหญิงสาว

                “นายคิดว่าคนที่ตามเรามาเป็นพวกไหน” เดรโก้ถาม

                “ยังไม่แน่ใจ” คาร์ลอสยังไม่อยากฟันธงว่าเป็นพวกใคร

                เมื่อรถแล่นมาถึงสนามบินคาร์ลอสและญาณิศาเดินเข้าไปในตัวอาคารใหญ่

                “คุณเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ถ้าเปลี่ยนเสร็จอย่าเพิ่งออกมารอผมส่งสัญญาณผ่านโทรศัพท์มือถือ” คาร์ลอสยื่นโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กให้สยานสาว จากนั่นทั้งสองแยกย้ายกันเข้าไปในห้องสุขา

                ญาณิศาเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าตามที่ชายหนุ่มบอก เรียวขาสองข้างพาหญิงสาวเดินเข้าไปในห้องน้ำ ญาณิศาคิดตั้งแต่วันแรกของสถานะที่เปลี่ยนไปจากนักท่องเที่ยวกลายเป็นพยานในคดีสำคัญ การเป็นพยานทำให้เธอวิตกกังวลกับความปลอดภัยเพราะอีกฝ่ายเป็นผู้มีอิทธิพลมืด เธอกลัวว่าจะไม่มีโอกาสกลับไปหาบุพการีดังนั้นญาณิศาจึงมีวิธีเดียวที่ทำให้ตนเองรอดจากสถานะอันแสนอันตรายนั่นคือการหนี!

                พยานสาวไม่คิดให้มากความเธอสวมเสื้อแจ๊กเก๊ตยีนและแว่นตากันแดดก่อนออกจากห้องน้ำหญิงสาวมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง เมื่อเห็นว่าผู้คุ้มครองหนุ่มยังไม่ออกจากห้องน้ำเธอจึงเร่งซอยฝีเท้าออกไปให้ไกลที่สุดก่อนชายหนุ่มจะออกมาเจอ

                คาร์ลอสเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จและทำธุระส่วนตัวสักครู่จึงออกมาข้างนอก ชายหนุ่มในคราบนักท่องเที่ยวมองซ้ายมองขวาเล็กน้อยก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกง เขากดเบอร์โทรออกซึ่งเป็นเบอร์โทรของอีกเครื่องที่อยู่กับญาณิศา เขาไม่หวังให้อีกฝ่ายรับสายหวังเพียงแค่ส่งสัญญาณให้ทราบเท่านั่น คาร์ลอสรออยู่สักครู่ยังไม่เห็นญาณิศาออกมา เขาพบแค่ผู้ใช้ห้องน้ำเป็นสุภาพสตรีท่านอื่นเดินเข้าออก คาร์ลอสจึงกดโทรศัพท์เรียกอีกครั้ง เขากดโทรศัพท์อีกหลายครั้งแต่ผลลัพธ์เป็นเช่นเดิม

คาร์ลอสตัดสินใจเข้าไปตามหาเธอในห้องน้ำ เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดนี่เป็นครั้งแรกในการเข้าสุขาหญิง ชายหนุ่มยื่นใบหน้าเข้าไปข้างในพบว่าข้างในปลอดคน คาร์ลอสสำรวจดูห้องทุกห้องไม่พบแม้แต่เงาคน

“ว๊าย! คุณเข้ามาทำอะไร” คาร์ลอสหันไปหาต้นเสียงพบว่ามีร่างสูงคล้ายบุรุษเพศแต่การแต่งกายค่อนไปทางสตรีผิวกร้านแดดแต่งหน้าจัดจ้านกับเสื้อผ้าสีปวดลูกกะตา ‘ตัวอะไรวะเนี่ย’ คาร์ลอสคิดในใจ

“ผมมาตามหา...” เขาคิดคำในใจ

“มาตามหาฉันสินะคะ แหมฉันก็คิดอยู่ละค่ะว่าฉันคือคนที่ทุกคนอยากตามหา” สตรีประหลาดทำหน้าเคลิ้มฝันและส่งยิ้มสยองชวนขนหัวตั้งให้ชายหนุ่ม

‘น่าตามหาแล้วพาไปฝังไว้ในสุสานน่ะสิ’ คาร์ลอสพูดในใจ “ผมตามหาแฟนขอตัว” คาร์ลอสเอ่ยจบและเดินหนีตัวประหลาดออกมา แต่มีแรงดึงมหาศาลดึงเขากลับไปข้างหลัง

“แหมรีบไปไหนละคะอยู่คุยกันสักแป๊บสิ” มือหยาบกร้านแดดเกาะแขนกำยำเหนียวหนึบ

“ปล่อยสิวะ” คาร์ลอสสะบัดมือกร้านแดออกอย่างขยาด มือปลาหมึกไม่ยอมปล่อยเขาจึง...

ผัวะกำปั้นใหญ่พุ่งเข้าหาใบหน้าแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางหนาเตอะเต็มแรงจนร่างนั่นล้มลงนอนหงายร้องโอดโอยบนพื้น คาร์ลอสรีบวิ่งออกข้างนอก

“หมวดครับพยานหายตัวไป” ชายหนุ่มกรกอกเสียงลงในโทรศัพท์อย่างเหนื่อยหอบ คาร์ลอสต่อสายถึงตำรวจนอกเครื่องแบบซึ่งคอยดูแลความปลอดภัยให้แก่พยานและผู้คุ้มรองพยาน คาร์ลอสยอมรับว่าเขาพลาดมหันต์ ผู้คุ้มครองหนุ่มอธิบายรูปพรรณสัณฐานของพยานสาวให้ตำรวจทราบพร้อมทั้งให้รูปถ่ายถ่ายของเธอไว้ด้วยเพื่อจะได้กระจายกำลังตามหา และเขาไม่ลืมต่อสายไปหาเดรโก้

“ญาณิศาหายตัวไปนายช่วยตามหาหน่อยเผื่อเธอออกไปนอกอาคาร” เดรโก้ยังไม่กลับบ้านเพราะเขาอยากอยู่ให้แน่ใจว่าคาร์ลอสและญาณิศาออกจากจีเรสอย่างปลอดภัยแต่ผิดคาดเมื่อเพื่อนหนุ่มโทรมาบอกว่าหญิงสาวหายตัวไป

คาร์ลอสพยายามกดโทรศัพท์โทร.หาญาณิศาอยู่หลายครั้งเพื่อหวังให้เธอรับสายแต่สิ่งที่ตอบกลับมาคือเสียงรอสาย

“อยู่เฉยๆ ไม่ชอบชอบหาเรื่องถ้าเจอเมื่อไหร่จะคิดบัญชีทั้งต้นทั้งดอกให้สาสม” คาร์ลอสคิดแค้นในใจเพราะญาณิศาคือต้นเหตุทำให้เขาต้องเกือบถูกกระเทยป่าเขมือบ เจ้าของไร่คารเลลัสออกตามหาญาณิศาทุกที่ที่คิดว่าเธอไปและสอบถามคนในละแวกนั่นอีกด้วย

ทางด้านคนถูกตามหาอย่างญาณิศาหลงทางอยู่หลายรอบเพราะสนามบินกว้างขวางและเธอก็ไม่คุ้นชินสถานที่ทำให้เดินวกไปวนมาหาทางออกไม่เจอ ในที่สุดหลังจากการเดินวนไปมาจนขาเริ่มเมื่อยเธอก็เจอประตูทางออกในที่สุด ญาณิศาไม่รอช้ารีบซอยเท้าไปประตทางออกทันที

พอพ้นประตูหญิงสาวต้องชะงักฝีเท้าเพราะข้างหน้ามีชายร่างสูงใหญ่ในชุดดำยืนขวางทาง ร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาใกล้ หญิงสาวเตรียมวิ่งกลับเข้าข้างในแต่มีร่างของผู้ชายอีกสี่คนมายืนขวาง ตอนนี้เธอไปไหนไม่ได้เพราะทั้งสี่ทิศของเธอถูกห้อมล้อมด้วยชายฉกรรจ์ถึงสี่คน

 

“ได้เรื่องแล้วครับนาย” ร่างสูงในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนกำลังนั่งคร่อมอยู่บนมอเตอร์ไซบิ๊กไบท์กรอกเสียงลงโทรศัพท์

[ว่าไง] เสียงคนปลายสายส่งกลับอย่างร้อนรน เขาส่งคนไปคอยตามสืบเกี่ยวกับหญิงสาวชาวเอเชียที่บ้านคาร์ลอสอยู่หลายวัน โดยสอบถามจากคนงานในไร่สิ่งที่ได้กลับคือไม่มีใครรู้จักหรือทราบที่มาที่ไปของเธอ

“พวกมันกำลังไปบราซิเลียครับ”

[แน่ใจเหรอ พวกมันอาจะไปเซาเปาโลก็ได้]

“แน่ใจครับเพราะเที่ยวบินไปเซาเปาโลของวันนี้หมดแล้วเหลือแค่เที่ยวบินไปบราซิเลีย” ชายหนุ่มกรอกเสียงจริงจัง เขาฟังคำสั่งจากคนปลายสายอีกสักครู่ก่อนดำเนินการปฏิบัติตาม

 

ญาณิศายังคงอยู่ในวงล้อมของชายฉกรรจ์สี่คนหญิงสาวกอดกระเป๋าสะพายไว้แนบอกแน่นพร้อมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วตั้งสติจากนั่นเธอวิ่งไปทางช่องว่างระหว่างชายหนุ่มสองคนแต่ช้าไปเมื่อชายสองคนไวกว่า พวกเขาล็อกร่างเล็กไว้ในวงแขนด้วยแขนคนละข้าง

“ปล่อยฉัน!” ญาณิศาออกแรงดิ้นสุดกำลังแต่แรงเท่าลูกหนูอย่างเธอไม่ได้ส่งผลกระทบต่อชายฉกรรจ์ทั้งสองเลย ชายหนุ่มอีกสองคนเดินเข้ามาใกล้เธอ

“ถ้าไม่อยากเจ็บตัวไปกับพวกเราซะดีๆ” หนึ่งในสองคนตรงหน้าของญาณิศาเอ่ยเสียงดุดัน

“พวกแกเป็นใคร” หญิงสาวตอกกลับอย่างไม่หวั่นเกรง หนีเสือปะจระเข้แท้ๆ

“เป็นใครไม่สำคัญรู้เสียว่าไปกับพวกเราเธอจะปลอดภัย” ชายอีกคนพูด ญาณิศาขมวดเรียวคิ้ว

“ฉันไม่ไป ถ้าพวกแกไม่ปล่อยฉันพวกแกโดนตำรวจจับแน่ลองดูสิในสนามบินมีตำรวจนอกเครื่องแบบเต็มไปหมด” หญิงสาวขู่ฟ่อ ชายฉกรรจ์ทั้งสี่มองหน้ากันและต่างพากันหัวเราะลั่น

“ตำรวจเหรอ...ทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก ฮ่าๆๆ” ชายหนุ่มที่จับยึดแขนข้างซ้ายของเธอพูด

“ฮ้าๆ นั่นสิพวกเขาต้องขอบคุณเราด้วยซ้ำที่ทำแบบนี้” ชายหนุ่มที่จับยึดแขนข้างขวาของเธอพูดพร้อมหัวเราะอย่างสะใจ หญิงสาวแอบหน้าเหวอแต่ยังแสดงท่าทางกล้าหาญไม่เกรงกลัว

“ไปได้แล้วเสียเวลา” เสียงดุดันของหนึ่งในสี่คนพูด แล้วชายทั้งสี่ก็พาญาณิศาไป

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 6/3

ชายฉกรรจ์กระชากร่างเล็กให้เดินตามอย่างไม่ปราณีว่าเธอจะเจ็บปวดหรือไม่ ญาณิศาร้องโวยวายแต่ไม่ได้ทำให้ชายทั้งสี่หยุดเดิน เธอโวยวายจนเหนื่อยปล่อยเท้าเดินตามร่างสูงทั้งสี่ หญิงสาวเดินตามอย่างหมดหวังในการมีชีวิตรอด

ในตอนนั้นมีรถตู้สีดำขลับวิ่งมาจอดตรงหน้า ชายทั้งสี่พาร่างของหญิงสาวเข้าไปในรถตู้สีดำและชายฉกรรจ์สองในสี่ข้างนอกเข้ามาประจำที่นั่งข้างหญิงสาวและนั่งข้างคนขับ ญาณิศาพยายามเปิดประตูเลื่อนแต่โชคไม่เข้าข้างเธอ

“ปล่อยฉันไปเถอะฉันไม่มีทรัพย์สินเงินทองให้หรอก” ญาณิศาประนมมือบอกทั้งน้ำตา ตอนนี้ในใจมีคนคนเดียวที่เธอนึกถึงคนคนนั่นคือคาร์ลอส ‘นายอยู่ไหน’ หญิงสาวเรียกหาเจ้าของชื่อในใจ

“เธอมีประโยชน์แน่นอนคนสวย” ชายร่างใหญ่ทั้งสองหันมองหน้ากันและลั่นหัวเราะอย่างสะใจ

รถตู้แล่นมาจนกระทั้งถึงลานกว้างแห่งหนึ่ง รถแล่นมาจอดใกล้แฮลิคอบเตอร์ที่กำลังหมุนใบพัดลมพัดพื้นราบไหวแรง ชายคนหนึ่งเปิดประตูออกและกระชากร่างเล็กลงจากรถ ญาณิศายอมเดินตามอย่างง่ายดายเพราะไม่คิดถึงการมีชีวิตรอดและไม่ได้กลับไปกราบเท้าบุพการีเป็นครั้งสุดท้าย

ญาณิศานั่งอยู่ในแฮลิคอบเตอร์ที่กำลังติดเครื่องยนต์จู่ๆ เธอได้ยินเสียงทุ่มของใครบางคนพูดแทรกกับเสียงใบพัดว่า

“ขอบคุณมากครับที่พาตัวเธอมาส่ง” น้ำเสียงคุ้นหูกระตุ้นให้ญาณิศาหันไปทางต้นเสียงทางขวามือ

“เควิน...นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ญาณิศาเอ่ยถามอย่างสับสน เธอมองชายหนุ่มด้วยความสับสนปนสงสัย เขานั่งในท่าสบายอารมณ์เหมือนไม่รับรู้ว่าญาณิศาเพิ่งพบกับอันตราย

“ไม่สำคัญ” ชายหนุ่มเว้นวรรคพร้อมขยับเข้าใกล้ร่างเล็ก “คุณไม่ต้องกลัวตอนนี้คุณปลอดภัยแล้วคนที่มาสั่งคุณเมื่อกี้พวกเขาเป็นตำรวจ” ญาณิศาเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มคล้ายกับว่าสงสัย

“นายรู้ได้ยังไงว่าพวกนั่นเป็นตำรวจ” เรียวคิ้วสวยย่นเข้าหากัน

คาร์ลอสกรอกสายตาเลิกลักเพื่อคิดหาคำตอบ “คุณหายไปผมจึงตามหาแต่หาอยู่นานไม่เจอ ดังนั่นทางตำรวจจึงขออนุญาตทางสนามบินขอดูกล้องวงจรปิด พอพบว่าคุณอยู่ตรงไหนตำรวจจึงส่งกำลังไปพาตัวคุณแต่ผมขอร้องว่าอย่าให้ตำรวจที่ไปแสดงตนว่าเป็นใคร”

“นายแกล้งฉันใช่มั้ย” คาร์ลอสหยักยิ้มข้างเดียว ญาณิศาเห็นดังนั้นจึงปล่อยโฮ

เขาส่ายศีรษะ “ถ้าคุณไม่คิดหนีเรื่องนี้ไม่มีทางเกิดที่ผมทำแค่ตักเตือน คุณจะได้ไม่กล้าทำแบบนี้อีกการที่คุณหนีไม่ได้ช่วยให้คุณปลอดภัยแต่จะยิ่งทำให้คุณเสี่ยงอันตรายมากขึ้น”

“นายทำแบบนี้นายรู้บ้างมั้ยว่าฉันกลัว กลัวมากๆ” เสียงหวานบอกสั่นเครือความปลอดภัยของเธอเป็นเพียงเรื่องล้อเล่นหรอกหรือ

 “โชคดีที่เป็นตำรวจ ถ้าฉันโดนโจรตัวจริงจับไปนายจะทำยังไง” 

“ผมจะ...” เขามองออกนอกหน้าต่าง “ตามหาคุณด้วยตัวเอง” ชายหนุ่มตอบไม่ค่อยเต็มเสียง คาร์ลอสค้นหาคำตอบให้กับความรู้สึกอันหลากหลายของตัวเองในท้องฟ้าสีครามอันกว้างไกล หลายวันที่ผ่านมาเขาไม่สามรถจัดการความคิดความรู้สึกให้มั่นคงได้ดั่งเดิมเมื่อต้องมาดูแลพยานสาวคนนี้

 

“ไม่มี!เป็นไปไม่ได้นายดูทั่วแล้วหรือยัง” เสียงจากคนปลายสายกรอกลงโทรศัพท์อย่างร้อนรนระคนผิดหวัง

[ผมเดินดูจนทั่วแล้วครับคุณออสตินสองคนนั้นไม่อยู่บนเครื่องบิน] คนต้นสายรายงานอย่างมั่นใจและไม่ลืมแสดงความนอบน้อมคนปลายสาย เขามั่นใจว่าคาร์ลอสกับหญิงสาวไม่ได้อยู่บนเครื่องบินเที่ยวบินบินไปบราซิเลีย

[คุณออสตินจะทำยังไงต่อครับ]

กำปั้นใหญ่ทุบลงบนโต๊ะดังปัง! “ออกตามหามันจนเจอได้เรื่องอะไรรายงานมาหาฉันทันที”

[ครับ] ชายหนุ่มต้นสายเอ่ยเสียงเรียบ

ออสตินวางโทรศัพท์มือถือเครื่องบางลงบนโต๊ะ เขาส่งคนออกไปสืบค้นเรื่องหญิงสาวชาวเอเชียซึ่งเป็นเพื่อนของคาร์ลอส เขาสนใจเธอตั้งแต่แรกเห็นและอีกประการคือคาร์ลอสไม่มีเพื่อนผู้หญิงนอกจากดาเลนจึงทำให้เขาอยากทราบความเป็นมาของหญิงสาว

“ได้ข่าวบ้างมั้ย” ออสตินเอ่ยถามสมุนมือขวาซึ่งออกไปสืบเรื่องในไร่คาร์เบลลัส

ชายหนุ่มผู้ซึ่งถูกถามหลบสายตาลงต่ำเล็กน้อย “ได้เหมือนไม่ได้ครับ” เขาตอบเสียงเบา

“ว่ามา” ออสตินข่มโมหะ

“คนงานส่วนใหญ่ในไร่บอกว่าไม่รู้จักเธอเลยครับ”

“ไปสืบมาตั้งนานได้แค่นี้เองเหรอ” ออสตินชายตาอย่างดูหมิ่นในตัวของสมุนหนุ่มมือขวา

ภาพชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งหนีตำรวจหัวซุกหัวซุนยังคงอยู่ในความทรงจำของออสติน เขาได้ช่วยเหลือหนุ่มขี้ขโมยเอาไว้เพราะครอบครัวยากจน ออสตินคิดว่าช่วยแล้วก็แล้วกันไปแต่หนุ่มคนนี้ขอตามรับใช้เขาตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ด้วยความสำนึกบุญคุณ

 “ยังมีอีกครับส่วนเลโอและดาเลนรู้เพียงแค่ชื่อของเธอ ผู้หญิงคนนั้นชื่อเกรซ” สมุนมือขวาตอบอย่างนอบน้อม บุญคุณครั้งหนึ่งของเจ้านายใหญ่เขายังจำได้ไม่มีวันลืม ถ้าไม่ได้เจ้านายใหญ่เขาเองก็นึกชะตากรรมของพ่อที่พิการทางสมองและมารดาแก่ชราว่าจะอยู่อย่างไรหากตนเองถูกจับ กระทั่งบุพการีทั้งสองหมดลมหายใจมีเจ้านายใหญ่คนนี้มอบเงินทำศพ บุญคุณทุกอย่างที่ได้รับเขาไม่เคยลืม

“ดี...มีอะไรเพิ่มเติมอีกมั้ย”

“ไม่มีครับถ้าได้เรื่องอะไรเพิ่มเติมผมจะกลับมารายงานทันที” อาซิสโค้งคำนับให้กับชายหนุ่มบนโซฟาก่อนหมุนตัวเดินออกไป

อาซิสเดินออกไปโดยไม่สังเกตว่ามีร่างร่างหนึ่งแอบอยู่หลังประตู เจ้าของร่างไม่ใช้ใครนอกจากเคธี่ เธอเดินผ่านมาอย่างไม่ตั้งใจแต่บังเอิญได้ยินชื่อของเลโอและดาเลนในบทสนทนาจึงหยุดฟังและเธอได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมด

 

ทางด้านเกรย์ โปนามา

“เควินไปบราซิเลีย” เกรย์ย้ำคำของผู้สืบข่าว “ไปกับใคร”

“ไปกับผู้หญิงคนหนึ่งครับชื่อ...” เขานึก

“ชื่ออะไร” คนอยากรู้อย่างเกรย์เร่งเร้า

“เอ่อ ชื่อ...ชื่ออะไรผมจำไม่ได้ครับ” เมื่อได้รับคำตอบส้มผลกลมลอยขึ้นมากลางอากาศตรงไปยังหน้าผากของผู้รายงานดัง เปะ!

“ไม่ได้เรื่อง” เกรย์พูดอย่างฉุนเฉียว

“ช้าก่อนครับคุณเกรย์ผมนึกได้อีกเรื่อง” ผู้สืบข่าวเอ่ยอย่างดีใจ

“ว่ามา”

“นายเควินไปบราซิเลียเพื่อไปตรวจงานในสาขาที่มีปัญหาครับ”

“ถ้ารู้แค่นี้แกจะบอกทำไมวะ” เกรย์ว่าอย่างเซ็งๆ

“แหม คุณเกรย์ไม่คิดสงสัยบ้างเหรอครับว่าไปตรวจงานในบราซิเลียอย่างไม่มีกำหนดกลับและการไปตรวจงานในแต่ละครั้งจะไปกับเลโอหรือเดรโก้แต่รอบนี้ไปกับสาวสวยคนนั่นมันน่าสงสัยมั้ยครับ” เกรย์คิดตามอย่างผู้สืบข่าวบอก

“แกไปบราซิเลียและตามสืบเรื่องนี้ให้ฉันเดี๋ยวนี้” ในตอนนี้เกรย์ไม่อยากทราบเพียงแค่ชื่อของสาวเอเชียคนนั้นแต่อยากทราบความสำพันของทั้งสองว่าเป็นเพียงแค่เพื่อนหรือไม่

 

ผู้คุ้มรองพยานพร้อมพยานสาวเดินทางมาสถานีตำรวจบราซิเลียอย่างปลอดภัยโดยกำลังตำรวจซึ่งดูแลความปลอดภัยตั้งแต่จีเรสจนถึงบราซิเลีย นายตำรวจสองนายเดินตามหลังคาร์ลอสและญาณิศาเข้ามาในสถานีตำรวจ

“ขอบคุณมากที่พาพยานมาส่งอย่างปลอดภัย” สารวัตเอ่ย

“ขอบคุณผมคนเดียวคงไม่ได้ครับต้องขอบคุณตำรวจที่มารับมาส่งพวกเราด้วย” วาจาอ่อนน้อมถ่อมตนของชายหนุ่มยังทำให้สารวัติประทับใจและยังคงรู้สึกเสียดายในฝีมือของอดีตตำรวจหนุ่มคนนี้

ในตอนนั้นนายตำรวจเดฟได้พาญาณิศาและคาร์ลอสไปห้องสอบปากคำ ระหว่างทาในการงย่างก้าวแต่ละก้าวของญาณิศาเต็มไปด้วยความกังวลและตึงเครียด เธอไม่เคยอยู่ในสถานะเช่นนี้มาก่อนไม่รู้เลยว่าวินาทีต่อไปข้างหน้าจะเกิดอะไรบ้าง

“คุณไม่ต้องกลัวตำรวจถามอะไรคุณก็ตอบไปตามที่คุณรู้เห็นผมอยู่ตรงนี้ไม่ต้องกลัว” คาร์ลอสบีบไหล่บางเพื่อให้กำลังใจ พยานทุกคนที่เขาเคยคุ้มครองมีอาการไม่ต่างจากหญิงสาวตรงหน้าเมื่อใกล้ถึงเวลาให้ปากคำ

“ฉันจะปลอดภัยมั้ยฉันกลัว” ญาณิศากุมมือชายหนุ่มแน่นแววตาเต็มไปด้วยความตึงเครียด

“คุณปลอดภัยแน่นอน” เขาให้คำมั่น ไม่นานนักมีตำรวจหญิงคนหนึ่งพาญาณิศาเข้าไปในห้องเหลือเพียงผู้คุ้มครองพยานซึ่งยืนอยู่หน้าห้อง

ในห้องสี่เหลี่ยมมีไฟเปิดให้แสงสว่างสว่าง ตรงกลางห้องมีเพียงเก้าอี้สองตัวตั้งอยู่ตรงกันข้ามกันระหว่างโต๊ะหนึ่งตัว

“คุณพร้อมจะให้ปากคำกับเราหรือยัง” นายตำรวจเดฟเอ่ยถามพยานสาว

“พะ...พร้อมค่ะ” พยานสาวเอ่ยไม่ค่อยเต็มเสียงเท่าใด นายตำรวจหนุ่มหยิบภาพถ่ายของชายหนุ่มสองคนขึ้นมาแสดงให้พยานสาวดู ญาณิศาพิจารณารูปสองรูป

“คนหนึ่งเป็นคนร้ายแต่อีกคนฉันไม่แน่ใจเพราะเขาสวมหมวกไอโม่งปิดหน้า”

นายตำรวจพยักหน้ารับ “สองคนนี้เป็นคนร้ายในที่เกิดเหตุวันนั้น พวกนี้เป็นมือปืนรับจ้างมีคดีติดตัวหลายกระทงเพิ่งถูกจับเมื่อเดือนที่แล้วและถูกปล่อยตัวออกมาแต่กลับมาก่อเหตุซ้ำตอนนี้ทางตำรวจกำลังออกหมายจับ และยังมีอีกเรื่องที่คุณและผู้คุ้มครองคุณควรรู้” ญาณิศาตั้งใจฟัง

“จ่าไปเชิญคุณคาร์ลอสเข้ามาในห้อง” คนถูกสั่งออกไปทำตามคำสั่งรอไม่นานชายหนุ่มผู้ถูกเชิญก็เข้ามาในห้อง

“มีอะไรหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามด้วยใบหน้ากังวลหลังจากนั่งลงบนเก้าอี้ ผู้คุ้มครองพยานอย่างคาร์ลอสมีสีหน้าตึงเครียดเหมือนกับนายตำรวจตรงหน้า

“เมื่อหลายวันก่อนเราได้รับแจ้งว่าพบชิ้นส่วนมนุษย์ลอยติดแหชาวประมง พอส่งชิ้นส่วนไปตรวจพบว่าเป็นหนึ่งในสองคนร้ายในคดีของคุณลุงเดวิด คาดว่ามันทำงานพลาดจึงถูกจัดการ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา