30 days for youสามสิบวันของผมกับนายเจ้าหนี้ตัวร้าย

10.0

เขียนโดย enzang2660

วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 17.42 น.

  16 บท
  3 วิจารณ์
  17.33K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 10.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

14) บทที่ 13 เดท(ครึ่งหลัง)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 13

เดท(ครึ่งหลัง)

              

               ผู้คนร่วมร้อยเดินขวักไขว่อยู่ในบริเวณงานวัด  แสงสีจากเวทีและเสียงดนตรีลูกทุ่งดังกระหึ่มเรียกเหล่าผู้ชมให้มุ่งตรงไปยังเวทีเพื่อนชมการร้องเพลงของนักร้องชื่อดัง  ถึงนักร้องจะดังเพียงไหนก็ไม่สามารถเบนความสนใจของยูไปได้  เขาเลือกจะฉวยจังหวะตอนคนไปมุงเวทีรีบซื้อกระเพาะปลาเจ้าเด็ดมาไว้ในมือ ช่างโชคดีจริง ๆ ที่ไม่ต้องต่อแถวยาวแถมยังมีคนออกเงินให้อีกต่างหาก

                   “กินไหม” พูดพลางยื่นถ้วยกระเพาะปลาควันหอมฉุยไปตรงหน้าชายหนุ่มข้างตัว  แลเห็นว่าอีกฝ่ายออกอาการน้ำลายสอจึงอมยิ้มก่อนดึงถ้วยกลับมาเองกินเสียอย่างนั้น

                   “ป้อนหน่อยสิ” คนไม่ได้กินออกปาก

                   “ไปซื้อเองดิ” คนหิวตอบอย่างใจดำ  ถึงจะสั่งแบบพิเศษก็ไม่สามารถยัดกระเพาะเขาเต็มได้หรอก  ถ้าเขาไม่อิ่มก็อย่าหวังว่าใครจะได้กิน

                   “ไปซื้อไข่นกกระทากินก็ได้”

                   “เฮ้ย ๆ ซื้อให้ด้วยดิ” ในปากยังเต็มไปด้วยเนื้อกระเพาะปลานุ่มนิ่มก็อยากจะกินอย่างอื่นด้วย  ธันทำเป็นไม่ได้ยินก่อนตอบกลับไปอย่างทำร้ายจิตใจยูว่า “ไปซื้อเองสิ” ทำเอายูถึงกับหน้ามุ่ยเดินนำลิ่วไม่คอยเขาเลย

                   “จะรีบไปไหน” รีบเดินตามอีกฝ่ายไปแล้วเรียก

                   “กลับบ้าน!”

                   “งอนหรือไง”

                   “ไม่งอนหรอกของแค่นี้ซื้อเองก็ได้เว้ย!”

                   งอนอยู่ชัด ๆ ธันคิดในใจก่อนเอาแขนเกี่ยวคอยูเอาไว้  นั่นทำให้ยูสำลักของในปากไอค่อกแค่กหน้าแดงหน้าดำ

                   “เป็นไงเดินไปกินไป..”

                   “ล็อคคอทำไมวะไอ้เวรนี่!”

                   เพื่อเป็นการไถ่โทษธันยอมควักเงินซื้อน้ำปั่น ไข่นกกระทาและของที่ยูอยากกินอีกหลายรายการ  เมื่อเห็นยูมีความสุขกับการกินธันเองก็พลอยยิ้มปากฉีกไปด้วย....กระเป๋าก็เช่นกัน

 

               “ยิงปืนกัน!”

                   ยูชี้ไปที่ร้านยิงตุ๊กตา ไม่ใช่ว่าเขาอยากได้ของรางวัลหรอกแค่อยากประลองฝีมือเท่านั้นเอง  ยูจึงเดินเข้าไปจ่ายเงินแลกปืนยาวมาสองกระบอก  ถือไว้เองกระบอกหนึ่งอีกกระบอกยื่นให้ธัน

                   “แข่งกันใครยิงเป้าล้มได้เยอะกว่าคนนั้นชนะ” ยูบอกกติกา

                   “ชนะแล้วได้อะไร?” ธันถามอย่างมีเลศนัย

                   “ถีบได้หนึ่งที”

                   “ฉันไม่กล้าถีบยูหรอก เปลี่ยนเป็นจูบแทนได้ไหม”

                   คำพูดทีเล่นทีจริงทำเอาหน้ายูร้อนวูบจึงเบนความคิดตัวเองโดยการหันไปใส่จุกยางที่ปากกระบอกปืนแทน

                   “ได้ แต่ถ้าแกชนะฉันจะให้แกจูบทีนึง แต่ถ้าฉันชนะฉันจะทั้งเตะทั้งถีบแกชั่วโมงนึงตกลงไหม!”

                   “ตกลง”

                   ทั้งสองเริ่มการประลองโดยเล็งไปที่เป้าใกล้ตัวที่สุด  ยูโน้มตัวพาดไม้กั้นให้เข้าใกล้เป้าหมายอย่างสุดตัวแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ยิงโดนเป้าแต่อย่างใดในเมื่อยูสายตาสั้นและเอียงจนเล็งไม่ถูก  ธันเห็นดังนั้นก็หันไปยิงเป้าที่ยูยิงพลาดอย่างจงใจเย้ยหยันแถมยิงเป้าถัดไปล้มอีก

                   “ต่อให้ก่อนหรอกนะ!”

                   พูดไปมือก็แอบริบจุกยางในจานของอีกฝ่ายมาสองอัน ธันเหลือจุกยางแค่อันเดียวก็ไม่ได้แสดงอาการสะทกสะท้านใดออกมา เขารู้อยู่แล้วว่าต่อให้ยูมีจุกยางเป็นสิบ ๆ อัน โอกาสที่จะถูกยังมีไม่ถึงหนึ่งเลยด้วยซ้ำ

                  

                   ปุ้บ! ปุ้บ!

 

                   หากเปลี่ยนเป็นใครยิงโดนผ้าด้านหลังได้มากกว่ากันยูอาจจะชนะได้นานแล้วก็ได้  ยูเริ่มตระหนักว่าตนคิดผิดเสียแล้วที่ออกปากไปแบบนั้น  เมื่อเห็นธันยิงนัดสุดท้ายชนเป้าล้มอีกยูก็เริ่มเหงื่อตกทำให้ยิงพลาดเข้าไปอีก  ทันใดนั้นเข้าก็คิดว่าเปลี่ยนเป็นเอาปืนฟาดเป้าเสียยังจะง่ายกว่า

                   “น้องครับอย่าพิงเดี๋ยวที่กั้นล้ม”

                   คนของร้านเตือน  ยูจำใจต้องยิงลูกที่เหลือให้หมดแทนเคราะห์ดีที่อย่างน้อยเขาก็ยิงโดนล้มไปหนึ่งเป้า....ดีกับผีน่ะสิ สกอร์ 3:1 ดูยังไงเขาก็เป็นคนแพ้ชัด ๆ

                   “อีกรอบ! เอาใหม่เมื่อกี้ลองเฉย ๆ” เรื่องอะไรจะโดนจูบกันเล่า!

                   “แพ้ก็คือแพ้”

                   “ซ้อมมือเฉย ๆ คราวนี้เอาจริงแล้ว!”

                   ยูจ่ายเงินอีกรอบสุดท้ายผลก็ออกมาไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ถึงแม้จะริบจุกยางมารวบกับของตัวเองได้เป็น 9 จุก ธันเหลือแค่จุกเดียว ยูก็ยังแพ้ไปด้วยคะแนน 1: 0 อยู่ดี

                   “มีอะไรที่มึงทำไม่ได้มั่งเนี่ย!” ยูปรี๊ดขึ้นมา

                   “มี”

                   “อะไร”

                   “ไม่บอก”  ไม่จำเป็นต้องพูดออกมาเพราะเขาได้แสดงมันออกมาทุกอย่างแล้วเพียงแต่ยูยังไม่รู้เองว่ามันคืออะไร ธันลอบมองยูที่พรึมพรำบ่นกับตัวเองอันที่จริงก็ด่าเขาอยู่น่ะแหละ  เขาอยากอยู่กับยูแบบนี้  อยู่ข้างกันแบบนี้ตลอดไป

                   “จ้องจนกูท้องไปหลายรอบแล้วนะ” ยังคงไว้ซึ่งคำหยาบคายแสดงว่ายูยังอารมณ์ไม่ดีอยู่  ธันไม่ปริปากตอบเพียงแต่กระตุกยิ้มมุมปาก

                   “มึงมันบ้า! มีอย่างที่ไหนโดนด่าแล้วยิ้ม ไอ้บ้า!” ยูเห็นดังนั้นก็หมั่นไส้เดินด่าธันไปตลอดทาง

 

                   มือหนาดึงขนมสายไหมยัดเข้าปากขณะเดียวกันก็มีเสียงวี๊ดยาวจบด้วยเสียงปัง  ปรากฏดวงไฟสีเขียวขนาดใหญ่กระจายอยู่บนท้องฟ้า  งานครื้นเครงแบบนี้ไม่แปลกหรือที่จะมีการจุดพลุ  ยูยืนมองพลุหลากสีอยู่ครู่หนึ่งเขาพยายามเอียงคอให้มองเห็นพลุได้ชัดเจนแต่ติดตรงที่หลังคาโบสถ์บังน่ะสิ

                   ธันคว้าข้อมือยูลากให้เดินตามไป  เขาพายูไปที่ลานจอดรถนอกกำแพงวัด  ที่ลานนั้นกว้างขวางและไร้สีบดบังทัศนียภาพบนท้องฟ้าจึงสามารถชมพลุไฟได้อย่างเต็มดวง

                   “ตรงนี้ดีหว่ะ เห็นชัดดี”

                   “อะไรนะ”

                   เสียงพลุดังกระหึ่มอาจะเพราะใกล้บริเวณที่จุดมากเกินไป  ทำให้ธันไม่ได้ยินสิ่งที่ยูพูด  ทั้งสองยืนชมพลุจนกระทั่งเสียงพลุหายไปจนหมด

                   บริเวณนี้ก็ปราศจากผู้คนมันคงเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้พูดคุยอะไรบางอย่างกับยู ธันจับไหล่ยูไว้สองข้างพลางโน้มหน้าลงเล็กน้อย

                   “ยู...ฉัน”

                   มันเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วและเขาจะไม่มีวันปล่อยให้หลุดมือไป  เขาเองยังไม่แน่ใจว่าความคิดของยูตอนนี้จะตรงกับเขาหรือไม่ หรือมีความคิดเพียงเศษเสี้ยวที่เหมือนกับว่า...รักเขาบ้างไหม  การได้จูบยูครั้งนั้นทำให้หัวใจเขาพองโตและมีความหวังผุดขึ้นมา

                   ..แค่ยูรักฉันเพียงสักนิดก็พอแล้ว...

                   ที่ผ่านมาเขาก็แอบกลัวอยู่ลึก ๆ หากเขาบอกรักยูไปแล้วยูจะยอมรับมันหรือเปล่า  เขาพยายามอย่างสุดตัวที่จะแสดงความรักอย่างตรงไปตรงมาแต่ยูกลับซื่อเกินไป  หากไม่พูดออกไปคนซื่อ

บื้อแบบยูคงจะไม่รู้ตัวเสียที

                   “จะ...จะจูบหรอ วัดอยู่ข้างๆเองนะเว้ย เกรงใจหน่อย” ยูพูดเสียงเบา

                   “วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเดือน ก่อนอื่นฉันอยากจะบอกยู...เรื่องหนี้”

                   “จะไม่ปลดหนี้ให้กูหรอ!”

                   “ไม่ใช่ยู คือ... หนี้มันเป็นโมฆะ”

                   “ไม่ต้องจ่ายหรอ?”

                   “อือ ดอกเบี้ยเกินต้นไปเป็นพันๆเท่าแบบนั้นมันไม่มีหรอก...ฉันหลอกยู”

                   ยูถึงกับนิ่งเงียบไป  ที่บอกเรื่องนี้เพราะเขาต้องการจะตัดข้อผูกพันเรื่องหนี้ที่รั้งยูไว้ให้อยู่กับเขา  เขาต้องการฟังความรู้สึกที่แท้จริงของยู  แม้ตอนนี้จะทำให้ยูอารมณ์เดือดแล้วก็ตาม

                   “ดีจริงๆเลยนะมึง! ตลกมากหรอ! เห็นกูเป็นอะไรห๊ะ!”

                   “ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นนะยู ฟังก่อนสิ!”

                   “ปล่อยเลย!”

                   ยูกันแขนของธันออกแต่อีกฝ่ายไม่ยอม  เขาไม่ยอมให้ยูเดินจากไปทั้งแบบนี้หรอก

                   “ถ้าฉันไม่หลอกยูแบบนี้! ยูจะยอมคบกับฉันหรอ!”

                   มือใหญ่กำหัวไหล่คนเตี้ยกว่าไว้แน่น 

                   “แล้วจะให้กูเป็นแฟนกับมึงทำไมเล่า!”

                   “ก็ฉันรักยู!”

                   ธันตะโกนออกมาสุดเสียง  โล่งไปเลยความรู้สึกหนักในหัวมันลอยหายไปพร้อมกับคำนี้  สติของยูเองก็ดูจะหลุดลอยไปเพราะคำนี้เช่นกัน  ดวงตากลมค้างเติ่งจ้องมองใบหน้าหล่อของธัน  เขาไม่ได้หูฝาดใช่ไหม

                   “ยูล่ะ....รักฉันบ้างไหม”

                   สมองของยูรวนเหมือนคอมโดนไวรัสเล่นงานมันประมวลผลตีกันยุ่งไปหมด  เขาไม่อาจสบดวงตาสีเข้มนั่นได้อีกแล้ว  แต่อีกฝ่ายก็ยังโน้มใบหน้าเขามาหาเข้าเรื่อย ๆ

 

                   ตุ้บ!

 

                   ยูผลักด้วยแรงทั้งหมดที่มีจนธันผละถอยล้มไปนั่งอยู่กับพื้นจากนั้นยูรีบฉวยโอกาสวิ่งหนี  ธันได้แต่มองแผ่นหลังของคนรักที่ไกลออกไปจนหายลับไป เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ามืดมิดไร้สิ้นแสงนำทาง ความเจ็บปวดที่ได้รับนี้ก็สาสมแล้วกับความเห็นแก่ตัวของเขา  อยากได้ตัวเขามาจงใช้วิธีสกปรกแต่วิธีนั้นคงไม่สามารถทำให้ได้ใจยูมาได้  เขาควรเลิกหลอกตัวเองและตื่นจากฝันเสียที

                   ...ยูอาจจะไม่มีใจให้เลยสักนิดเดียว เลิกเข้าข้างตัวเองได้แล้ว...

                   ธันหอบหัวใจอันบอบช้ำเดินกลับบ้าน  กว่าจะมาถึงเขาเผลอเดินหลงไปทางอื่นเสียหลายหน  ในหัวเขามัวแต่คิดถึงเรื่องยู  ตอนนี้เขาช่างเหมือนคนไร้สติแค่กลับบ้านยังกลับแทบไม่ถูกเลย

                   “กลับมาดึกจังลูก”

                   อมิตตาทักลูกชายโดยสายตายังไม่ละจากจอโน้ตบุ๊ค

                   “แม่ไปดูคอนโดแถวที่ทำงานแม่มาแล้วนะลูก รถติดหน่อยแต่ทำเลดีทีเดียว”

                   อมิตตายิ้มไปพูดไป  ระยะทางจากที่นี่ไปถึงที่ทำงานนับว่าไม่ไกลหากย่นระยะด้วยการขึ้นทางด่วน  แต่ขึ้นหลายต่อหลายรอบต่อวันก็เปลืองเงินไปไม่น้อย  หากย้ายไปอยู่ใกล้ที่ทำงานคงจะสะดวกขึ้นมาก

                   “แม่จะย้ายจริง ๆ ใช่ไหมครับ” ธันถามขึ้น

                   “แม่ตามใจลูก แล้วแต่ลูกเลย”

                   อมิตตาเงยหน้ามองลูกชาย  เธอย่นคิ้วเล็กน้อยมีมองดวงตาเลื่อนลอยของลูกชาย

                   “ธันเป็นอะไรลูก ไม่สบายหรือเปล่า ขึ้นไปนอนไปเดี๋ยวแม่เอายาขึ้นไปให้”

                   พูดพลางลุกจากเก้าอี้ไปพาลูกชายคนเดียวขึ้นบันไดอย่างเป็นห่วง  ธันเดินไปสะดุดไปเหมือนคนไม่มีสติอยู่กับตัว  เขากำลังคิดไปเรื่อยเปื่อยและเขาก็คิดว่า

                   “...ถ้าจะย้ายก็ย้ายสิครับ..”

 

                  

                  

                  

++++++++++++++++++++++++

ฝนตกเน็ตหาย อาจจะอัพไม่ตรงวันเท่าไหร่นะคะ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา