30 days for youสามสิบวันของผมกับนายเจ้าหนี้ตัวร้าย

10.0

เขียนโดย enzang2660

วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 17.42 น.

  16 บท
  3 วิจารณ์
  17.32K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 10.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) บทที่ 1 เปิดตัว

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 1

เปิดตัว

 

                   เมื่อคืนผมฝันร้ายจนตกเตียง  ฝันว่าอะไรน่ะหรอ  ฝันว่าไอ้หน้าหล่อข้างบ้านมาดักรอผมเพื่อไปมหา’ลัยพร้อมกันน่ะสิ  ไม่พอนะมันยังซ้อนมอไซค์กอดเอวผมแน่นเป็นลูกลิงแถมหอมแก้มผมด้วย  โอ้ย!คลื่นไส้จะอาเจียน!

                   “ผมไปก่อนนะแม่ หวัดดีครับ ฝากหวัดดีพ่อด้วยนะฮะ”

                   ผมลาแม่ก่อนออกไปมหา’ลัย เข็นฟีโน่คันงามสีดำออกไปจอดหน้าบ้าน  เหมือนมีพลังงานลึกลับกระซิบข้างหูผมเรียกให้ผมหันไปดูอะไรบางอย่าง สายตาผมก็ไปปะทะกับร่างสูงโปร่งในเครื่องแบบนักศึกษาซึ่งยืนเป็นนายแบบอยู่ข้างกระถางต้นไม้หน้าบ้าน

                   “อย่าบอกนะว่าจะขอติดรถฉันไปมอน่ะ”

                   ผมเอ่ยขึ้น ดวงหน้าเรียวยาวยกคิ้วขึ้นสูงก่อนตอบผมกลับมา

                   “แสนรู้นี่”

                   เฮ้ย! เอาจริงดิ!  ไอ้ธันทำหน้าเหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง  คงรอผมออกปากด่ากราดมันล่ะมั้ง  แต่โทษทีผมกำลังอึ้งสุดขีด  มันจะเหมือนในฝันเกินไปไหม! มาดักรอไปมหา’ลัยเนี่ย

                   “ไม่ให้ไปเว้ย!”

                   ผมสตาร์ทรถขับหนี  แต่มันเอามือมาดึงที่จับหลังเบาะรถไว้แล้วมันก็ถลามาตามแรงรถ  ผมเลยต้องเบรกกะทันหัน  ก่อนจะทำมันหันฟาดพื้นตาย

                   “เล่นอะไรของนายเนี่ย!”

                   “ฉันสิต้องถาม! อยากลงหน้าหนึ่งหรอห๊ะ!”

                   ผมตะโกนใส่หน้ามันอย่างตกใจ  เกือบกลายเป็นฆาตกรแล้วไหมกู

                   “ฉันแค่จะติดรถนายไปมหา’ลัยแค่นี้ต้องขับหนีเลยหรอ”

                   “กะ...ก็”

                   ผมอ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบออกไปยังไง  ขณะนั้นมันก็ถือวิสาสะกระโดดคร่อมมอไซค์ผมเป็นที่เรียบร้อย

                   “รถแกก็มีไม่ใช่หรอ” ผมร้องบอก

                   “อยู่ศูนย์”

                   “เรียกแท็กซี่สิวะ”

                   “เปลือง”

                   “ลงไป ไอ้บ้านี่!”

                   “ไม่”

                   “ถ้าจะไปก็ไปเอาหมวกกันน็อคมาใส่!”

                   ผมยื่นคำขาด  มันจ้องหน้าผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ

                   “นายลงไปเอามาให้ฉันสิ”

                   “ห๊ะ! ฉันไม่ใช่เบ๊แกนะ”

                   “ถ้าฉันลงนายก็จะขับหนีอีกใช่ไหม”

                   “เออ เฮ้ย! ไม่ใช่”

                   “ลงไปเอามาให้ฉันเดี๋ยวนี้”

                   มันทำเป็นออกคำสั่งกับผม  เดี๋ยวนะ มันมาขออาศัยผมขับไปส่งมันแล้วมันมีหน้ามาสั่งผมอีก  แบบนี้มันยอมไม่ได้แล้ว!

                   “นี่แก..!”

                   “หมวกหรือศาล”

                   มันเอ่ยเสียงจริงจัง  ผมเม้มปากหน้าพองเป็นอึ้งอ่าง เดินเข้าบ้านไปเอาหมวกกันน็อคสีชมพูแปร๋นของยัยน้องสาวมาให้มัน

                   “เอ้า! เอาไป”

                   “ไม่ ฉันจะเอาใบนั้น”

                   มันชี้มาที่หัวผม  มันเป็นหมวกลายเดียวกับรถมีแว่นด้วย

                   “เรื่องมาก! ใส่ๆไปเหอะ”

                   “หมวกหรือศาล”

                   “อย่ามาขู่นะเว้ย!”

                   “หมวก-หรือ-ศาล”

                   ผมจำใจถอดหมวกปากอัดใส่หน้ามัน  เสียดายที่มันดันรับได้  ผมขี้เกรียจต่อความยาวสาวความยืดกับมันก็เลยจำใจใส่หมวกลายคิตตี้แสนน่ารักของน้องตัวเองไป  หน้าผมก็ไม่ได้หล่อ  หรือน่ารักแบบหนุ่มญี่ปุ่น เกาหลี  ให้มาสวมหมวกลายคิขุแบบนี้ผมล่ะอยากจะบ้าตาย

                   “ถ้าฉันใส่แบบนี้คนต้องด่าแน่ๆ แกใส่เหอะ”

                   “หน้าฉันอย่างโจรจะให้ใส่หมวกคิตตี้หรอ”

                   มันทำหน้าใสซื่อ โห้! ถ้าหน้าอย่างมึงเป็นโจรพวกผู้หญิงคงเปิดบ้าน พาดบันไดให้มึงขึ้นห้องเลยล่ะ! แหมทำมาเป็นถ่อมตัว

                   “ไปได้แล้วฉันไม่อยากสาย”

                   พูดจบมันก็เอามือมาคล้องเอวผมเอาไว้ 

                   “อย่ากอดดิวะ!”

                   ผมร้องอย่างตกใจ  มันทำหน้างงแต่ไม่เอามือออก  ผมก็ต้องแงะออก  ทำแบบนี้มันก็เหมือนในฝันเปี๊ยบเลยดิ  อย่าบอกนะว่าต่อจากนี้มันจะ..!

                   “หวงตัวไปได้  ไม่กอดแล้วฉันหงายหลังไปใครจะรับผิดชอบ”

                   “แกก็จับที่จับข้างหลังดิ”

                   “ไม่”

                   “แกรู้ไหมว่าทำแบบนี้มันเหมือน..!”

                   “เหมือนไร”

                   ผมชะงัก  จะบอกมันดีไหม 

                   “คือฉันฝัน”

                   “ว่า?”

                   “แกมาขอติดรถฉันไปมอ แล้วก็กอดเอวแบบนี้ พอกอดแล้วแกก็หอมแก้มฉันด้วย”

                   พูดแล้วก็อยากจะเอาล้อรถทับหน้า  เป็นฝันที่บัดซบที่สุดในชีวิตลูกผู้ชายอย่างผมเลย

                   “อ่อ”

                   มันทำหน้ารับรู้โดยผงกขึ้น  ริมฝีปากหยักได้รูปกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างเจ้าเล่ห์  เซลล์สมองอันน้อยนิดของผมเริ่มสั่งการว่ารอยยิ้มนั้นมันไม่ชอบมาพากล ผมควรจะรีบหันหน้ากลับมาได้แล้ว  ไม่งั้นล่ะก็…….

 

                   ฟอด~

 

                   ปลายจมูกโด่งกดลงมาข้างแก้มผมจนบุ๋มลึกลงไป  ผมตะลึงอ้าปากห้อยแทบจะถึงหัวเข่า  มันถอนปลายจมูกออกไปบ่นพรึมพรำเร่งให้ผมออกรถ

                   “เอ้า ไปได้แล้วหรือจะเอาอีกที”

                   ….ผมโดนหอมแก้มหรอ....

                   ...จริงดิ?  เฮ้ย!!!

                   มึง...มึง....มึงงงงงงงงง!!!

                  

                   พอถึงมหา’ลัยผมรีบจ้ำอ้าวทางใครทางมัน  คนตัวสูงที่ผมปล่อยมันทิ้งไว้กับรถก็ไล่หลังผมมาติด ๆ ซึ่งผมจำได้ว่าคณะมันกับผมไปคนละทางกันนะ

                   “ตามมาทำไม!” ผมหันไปแว้ดใส่

                   “นายจะไปไหน”

                   “กินข้าวดิ!”

                   “ฉันก็จะไปกินข้าว”

                   “ไปกินโรงอื่นดิ เหม็นขี้หน้า”

                   “มีกฎข้อไหนห้ามฉันกินข้าวโรงเดียวกับนายหรอ”

                   “ไม่มี แต่ไม่ให้ตามเว้ยเข้าใจมะ!”

                   มันตีหน้านิ่งเลิกคิ้วสะกิดต่อมใต้ฝ่าเท้าผม  มันเดินนำหน้าผมมาก้าวหนึ่งแล้วหันหลังกลับมาพูดกับผมอีกที

                   “ฉันอยู่หน้านายแล้ว ทีนี้นายก็กลายเป็นผู้ตาม”

                   “ฉันไม่กินโรงนี้ก็ได้!”

                   ผมสะบัดหน้าไม่แคร์ถึงแม้กระเพาะผมจะประท้วงโครกครากอยากอาหารมาแค่ไหนก็ตาม

                   “อะไรแค่นี้ต้องหนีไปกินหญ้าเลยหรอ”

                   “ปากหรอนั่น! อยากโดนใช่ไหม!”

                   ผมเหวี่ยงหมัดเข้าระดับอกมัน มันไหวตัวเบี่ยงหลบ ตะบบมือจับข้อมือผมไว้

                   “อารมณ์ร้อนจังนะ”

                   “ฉันบอกแล้วว่าอยู่กับแกร่างกายฉันมันแปรปรวนง่าย!”

 

                   โครกกกกกกกก

 

                   เสมือนท้องฟ้าวิปริตแปรปรวนทันใด โครกคราก~ ท้องทรยศของผมส่งสัญญาณบอกว่าช่วยเอาอาหารมากระซวกเข้ากระเพาะเสียที ตูทนไม่ไหวแล้ว

                   “เห็นแก่กระเพาะของนายนะ เช้านี้ฉันเลี้ยงข้าวนายเอง”

                   “ไม่ต้อง หากินเองได้”

                   “ข้าวผัดกระเพรา”

                   “ไม่”

                   “ก๋วยเตี๋ยว”

                   “ไม่”

                   “เสต๊ก”

 

                   โครกกกกกกก

 

                   ท้องผมคำรามออกมา ตอนได้ยินชื่ออาหารในปากผมก็พรั่งพรูไปด้วยน้ำลายคลายจะเป็นโรคพิษสุนัขบ้า

                   “เสต๊กแล้วกันนะ”

                   ไอ้หน้าหล่อกลั้นหัวเราะในขณะที่ผมทำหน้าเหมือนตดจะระเบิด เออ มึงก็รู้แล้วว่ากูอยากกินอะไรก็รีบ ๆ นำไปสิวะ รอแม่มาตัดริบบิ้นหรอ

 

                   “มาสายนะมึง โอ๊ะ!”

                   เพื่อนผมไอ้เมศเอ่ยทักเสียงดังลั่นโรงอาหารเมื่อเห็นว่าผมเดินมาพร้อมกับใคร เพื่อนสาวร่วมห้องอีกสองชีวิตต่างลุกพรวดพร้อมกันโดยมิได้นัดมา แล้วนางก็วิ่งมาลากคนหล่ออย่างผมออกจากจากไอ้ขี้เหร่

                   “ไอ้เผือก! นี่แกมากับธันได้ไงวะ!” แม่นางลินลนีออกปากถามเป็นไฟแลบ

                   “คือไรเนี่ย? ลากกูมาแต่ดันถามถึงไอ้ขี้เหร่นั่น” ผมพูดอย่างน้อยใจ

                   “ถ้าบ้านมึงกระจกร้าวก็บอกกูก่อนก็ได้ เดี๋ยวกูซื้อให้ใหม่” แม่นางนินแฝดยัยลินช่วยเสริม

                   “บ้านกูกระจกใช้งานได้ดีเว้ย”

                   “น่าสงสารเกินไปล่ะ นี่มึงมีปมด้อยมากจนต้องหลอกตัวเองเลยสินะ”

                   ยัยลินบีบน้ำตาสงสารผมจับใจพลางดึงตัวผมเข้าไปแนบกับไม่กระดานขัดมันของมัน  แต่ไม่ทันที่แก้มผมจะได้แนบผมก็โดนกระชากจนเกือบหงายหลัง

                   “ทำอนาจารปรับไม่เกิน 500”

                   ไอ้หน้าหล่อ(น้อยกว่าผม)พูดกรอกโสตประสาทผม มือก็รั้งคอเสื้อไว้ไม่ยอมปล่อย

                   “ปรับเลย ปรับยัยแฝดกระดานนี่เลย”

                   “ไอ้ยู! นี่แกอยากโดนรองเท้าทาบหน้าใช่ไหม”

                   ยัยสองแฝดช่วยกันพูดรวมเป็นประโยคเดียวกัน  ผมลอยหน้าลอยตายท้าทายพวกมัน  เอาเว้ยหน้าผมหนาด้วย ส้นหักไม่รู้ด้วยนะเว้ย

                   “ปรับนายน่ะแหละ”

                   “ได้ไง ฉันเป็นฝ่ายเสียหายนะ เรียนกฎหมายมายังไง”

                   ผมประท้วงไอ้เด็กนิติ  ผมเป็นฝ่ายเสียหายนะ

                   “อ้าว! พิมมาแล้วหรอ”

                   ไอ้เมศทักเจ้าของร่างขาวเนียนออร่ากระแทกตา  ใบหน้าสวยหวานสไตล์สาวเรียบร้อยคลี่ยิ้มละมุนดุจจะสาปคนทั้งโรงอาหารให้ละลายเพราะความน่ารัก  รวมทั้งผมด้วย

                   “อ่ะ หวะ...หวัดดีธัน”

                   เสียงอันไพเราะหลุดลอยออกมาตัดขั้วหัวใจผมให้ขาดสะบั้น  ทำไมๆกันทั้งที่ผมอยู่ข้างหน้าไอ้เด็กนิตินี่ แต่พิมดันทักมันก่อน เสียใจๆ มาก ร้องไห้แปบ

                   “ดี”

                   มันตอบกลับห้วน ๆ ผมเลยมองค้อนมัน โอ่ คิดว่าหล่อนักหรอ ดาวคณะกูอุส่าห์ทักมึงเลยนะตอบดี ๆ ไม่เป็นหรือไง  มันคงรู้ตัวแล้วว่าผมทำหน้าไม่พอใจมันอยู่มันก็เลยพูดออกมาอีกรอบ

                   “ไม่เอาน่า อย่าหึงสิ”

                   ผมกระพริบตาปริบ ๆ ระบบประสาทเออเร่อไปชั่วคราว  พวกเพื่อนผมก็เช่นเดียวกัน

                   “พูดบ้าไรเนี่ย!”

                   “ก็เห็นทำหน้าไม่พอใจ”

                   “ไม่พอใจที่แกตอบพิมห้วนๆเว้ย!”

                   มันเลิกคิ้วประมาณว่าหรอครับ? พวกเพื่อนผมที่ประสาทชาไปชั่วคราวก็เริ่มกลับเข้าที่  ไอ้เมศก็เลยรีบโพล่งปากถามออกมา

                   “เป็นแฟนกันหรอ”

                   “ใช่/ไม่ใช่”

                   ไอ้หล่อกับผมตอบออกมาคนละอย่างกัน  ดวงตาสีเข้มหรี่มองผมพร้อมปล่อยคอสโม่ทำลายล้างออกมาใส่ผม 

                   “มานี่เลย”

                   ผมดึงข้อมือคนตัวสูงกว่าให้เดินตามออกมาด้านข้างโรงอาหารที่ไม่ค่อยมีคนสัญจร  มันสะบัดมือยกขึ้นกอดอก เบนหน้าออกไปทางอื่น  คือมึงงอนกูหรอ?

                   “แกพูดแบบนั้นออกไปได้ยังไง!”

                   “ฉันพูดความจริง ถ้ายอมรับไม่ได้ก็เอามาสี่หมื่นสี่แล้วไปเลย”

                   “แกจะพูดต่อหน้าพิมทำไมล่ะวะ”

                   “ทำไม”

                   “กะ...ก็ ฉันชอบ..เขาอยู่ ก็ไม่อยากให้...เอ่อ รู้”

                   “นายกำลังนอกใจฉันอยู่นะรู้ไหม”

                   ไอ้โย่งสาวเท้าเข้ามาดันผมอัดเข้าต้นไม้  มือก็กั้นอยู่ข้างไหล่ทั้งสองข้างของผมเป็นกรงกั้นไม่ให้ผมหนีไปไหนได้

                   “โธ่...แกก็..เออๆ เอางี้ได้ไหมล่ะ แกอย่าไปพูดกับใครว่าเป็นแฟนฉัน”

                   ผมไม่รู้ว่ามันจะยอมไหม  เหอะๆ ที่จริงแล้วการมายื่นข้อเสนอให้ผมคบกับมันแบบนี้ผมก็รู้อยู่แล้วล่ะว่ามันต้องแกล้งให้ผมโดนล้อว่าเป็นเกย์แหงเลย

                   “คนอื่นก็ไม่รู้สิว่านายเป็นแฟนฉัน”

                   มันยื่นหน้าเข้ามาใกล้  ผมนี่แทบจะสิงเข้าไปกับต้นไม้  ท่ามึงล่อแหลมมากมายก็ถอยห่างหน่อยไหมล่ะ....

                   “ฉันไม่พูดก็ได้ว่านายเป็นแฟนฉัน”

                   “จริงดิ!”

                   ผมยิ้มแก้มแทบแตก  ถึงแม้เพื่อนผมกับพิมจะได้ยินไปแล้วก็เถอะ  อย่างน้อยก็ยังแก้ต่างได้อยู่หรอกนะ  ผมซึ้งน้ำตาแทบทะลัก  จะว่าไปธันมันก็ไม่ได้ใจร้ายกับผมซักเท่าไหร่  โชคดีไป

 

                   “เฮ้ยๆมาดูอะไรนี่”

                   “เฮ้ยดูโน่นๆ”

                   ขณะที่ผมจะลุกไปเข้าห้องน้ำหลังอาจารย์ปล่อยเบรค10นาที  เสียงแตกตื่นของคนบนตึกทำให้ผมหยุดปลายเท้าลง  คือต่อมเผือกมันทำงานแล้วไงอยากรู้ว่าคนบนตึกเขามุงอะไรกันที่ข้างหน้าต่าง

                   “ขอดูหน่อยครับๆ”

                   ผมพยายามดันร่างเบียดเสียดให้แหวกออกเพื่อแทรกตัวไปดูบ้าง  ผมมองไปยังลานกว้างหน้าตึกเรียนที่บัดนี้เต็มไปด้วยแผ่นกระดาษสีชมพูสลับแดง  เรียงต่อเป็นตัวอักษร  พอไล่อ่านเท่านั้นหน้าผมจากขาวซีดเป็นไก่ต้มน้ำปลาก็เริ่มแดงขึ้น ๆ ไม่ใช่ว่าเขินหรืออะไร  แต่มันอายและโมโหต่างหาก

                  

                   /ยูแฟนธัน/

 

                   ผมอยากจะดิ่งพสุธาลงไปถ้าไม่ติดว่าผมติดนัดเล่นFIFAกับเพื่อนคืนนี้อยู่ 

                   “ใช่ยูเพื่อนกูเปล่าวะ”

                   เสียงของไอ้เฟรมเพื่อนของผมเอ่ยขึ้น  ดวงตาสีน้ำตาลของมันไล่มองหน้าผมอย่าพิจารณา

                   “เออดิ มีอยู่ยูเดียวจะยูไหนล่ะ”

                   ไอ้เมศตอบ  ซึ่งกูไม่ได้ขอมึงเลยนะเว้ยจะตอบทำไม! ผมเลยจัดการเพ่งกบาลมันไปด้วยความเคืองแค้น

                   “เฮ้ย! ทุกคนนี่ไอ้ยูแฟนธันหว่ะ!”

                   ไอ้เฟรมตะโกนลั่น ชาวบ้านชาวช่องเลยหันมามองผมเป็นแถว  อะ...ไอ้เพื่อนทรยศ!

                   “พวกมึงเตรียมตัวตายได้เลย!!”

                   ผมตะโกนดังลั่นพลางกระโดดไล่เตะพวกมันอย่างบ้าคลั่ง  แต่ไม่นานผมก็ต้องหยุดการกระทำนั้นลงด้วยคำสั่งเด็ดขาดจากผู้ทรงคุณวุฒิ

                   “ยุรนันท์กรุณาเลิกวิ่งบนอาคารและส่งเสียงดังด้วยค่ะ”

                   เอ่อ... อาจารย์ครับ ทำไมว่าผมคนเดียวอ่า ไม่ยุติธรรมเลยยยย

                  

                   ดวงตาใต้แพรขนตาดกดำหรี่มองคำประกาศสละโสดที่วางเรียงอยู่บนพื้น  ริมฝีปากเคลือบสีแดงสดเหยียดออกเล็กน้อย  เธอไม่เคยสนใจจะจำชื่อคนที่ไม่สำคัญไว้ในเศษเสี้ยวสมองเธออยู่แล้ว 

                   “ชื่อยู....สินะ”

                   แต่ชื่อ “ยู” จะถูกบันทึกไว้ในซอกเล็ก ๆ ของความจำ เพราะคนชื่อ “ยู” ดันเข้ามาขวางทางถ่านไฟเก่าอยู่น่ะสิ  นิ้วเรียวสวยสะบัดปลายปากกาจดชื่อเขาคนนั้นเอาไว้ด้วยสีแดงก่อนจะยิ้มกริ่มคิดเรื่องสนุก ๆ ที่จะทำกับคนๆนั้น.... “ยู”

 

 

++++++++++++++++++++++++++++

วันนี้วันหยุดรีบอัพให้เลย ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ^O^

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา