จงต้องสาปตราบนิจนิรันดร์ (the eternal curse)

7.0

เขียนโดย Lady_Madeline

วันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 01.57 น.

  10 ตอน
  1 วิจารณ์
  10.11K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 เมษายน พ.ศ. 2558 02.17 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) ตอนที่ 7 สนมห่มเศษผ้า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 7 สนมห่มเศษผ้า

 

                ปลายผ้าคลุมสีแดงสะบัดพลิ้วไปตามการเคลื่อนไหวของชายร่างสูง เชสเตอร์ก้าวย่างอย่างร้อนรน แม้เขาจะไม่ได้แสดงสีหน้าหรืออารมณ์ใดๆออกมา แต่เมื่อนึกคิดภาพเหตุการณ์เมื่อวาน เขาก็อดที่จะหวั่นวิตกไม่ได้ว่าแอมเชลของเขาจะหนีไป เพราะเมื่อวานนี้เขาได้ทำร้ายจิตใจเธออีกครั้ง ถึงแม้ว่ามันจะเกิดจากความไม่รู้ แต่เขาจะมาถือศักดิ์ศรีและทิฐิตอนนี้ก็คงไม่ได้ เพราะหากนางหนีไปจริงๆ หนทางแก้คำสาปของเขาคงต้องจบลง และเขาต้องกลับไปเฝ้ารอนางฟ้าองค์ใหม่อีกครั้งซึ่งเขาก็ไม่ต้องจะกลับไปมีช่วงเวลาที่แสนทรมาณแบบนั้นแล้ว

 

                เชสเตอร์สาวเท้าจนมาถึงหน้าประตูบานใหญ่ นัยน์ตาสีเงินมองบานประตูไม้นั้นแล้วถอนหายใจเบาๆ เพื่อขับไล่อารมณ์ใดๆในหัวออกไป ก่อนจะใช้หลังมือเคาะประตูสองสามครั้ง แต่กลับไม่มีเสียงตอบกลับจากด้านใน เขาจึงเคาะประตูอีกครั้ง แต่ก็เป็นเช่นเดิม ทุกอย่างยังคงเงียบสนิท

 

                "แซนด์" ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเอ่ยเรียกชื่อหญิงสาวออกไป แต่ทว่าก็ยังไร้ซึ่งการตอบรับ ใบหน้าคมเข้มนั้นดูไม่พอใจนัก แม้คิ้วเข้มจะขมวดเข้าหากัน แต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีรุนแรงใดเหมือนทุกครั้ง เขาเพียงถือวิสาสะไขกุญแจห้องหญิงสาวเข้าไป

 

                ชายหนุ่มหลับตานิ่งอยู่อีกพักหนึ่งหลังจากเปิดประตูห้องนอนของหญิงสาว เพื่อทำใจกับภาพเบื้องหน้าที่จะเห็น เขาคาดการณ์เอาไว้ว่าจะต้องมีดอกไม้สีแดงสดอันแสนอัปลักษณ์กระจัดกระจายอยู่ทั่วห้อง แต่ทันทีที่เขาลืมตา เบื้องหน้าของเขาก็เป็นห้องนอนที่ว่างเปล่า ไม่มีแม้กลีบกุหลาบ หรือร่างของหญิงสาว เชสเตอร์เดินสำรวจไปทั่วห้องนอนสีสันสดใสของหญิงสาว แต่ก็ไม่พบร่างของเธอ ไม่ว่าจะเป็นที่ระเบียงหรือห้องน้ำ และนั้นก็ทำให้เขารู้สึกร้อนรนมากยิ่งขึ้น

                "นางไปไหน?" เชสเตอร์เอ่ยกับทหารยามที่ยืนอยู่ด้านหน้าห้องนอนของหญิงสาวผู้เป็นนางฟ้าของเขา

                "ไม่ทราบขอรับ... นางไปก่อนที่ท่านจะมาได้สักพัก" ทหารหนุ่มเอ่ย

                "แล้วทำไมเจ้าไม่บอกข้าแต่แรก" เชสเตอร์ข่มอารมณ์ไว้ภายใต้น้ำเสียงเรียบ ที่ทหารยามปล่อยให้เขาตะโกนเรียกความว่างเปล่าในห้องอยู่นานสองนาน

                "ท่านไม่ได้เอ่ยถามขอรับ"

                ชายหนุ่มไม่ตอบกลับอะไรเพียงแต่ถอนหายใจ ใช่มันความผิดเขาที่ไม่ถาม แต่มันก็น่าหงุดหงิดที่ทหารของเขาไม่ยอมบอก

                "นางเดินไปทางไหน?"

                                "ปีกตะวันออกขอรับ"

 

 

 

                อีกด้านหนึ่งของปราสาท หญิงสาวเรือนผมสีดำซึ่งอยู่ในชุดเดรสสไตล์วิคตอเรียนสีเขียวมิ้นต์ เดินเล่นสำรวจปราสาทหลังใหญ่อีกครั้งหลังจากที่เมื่อเช้าเธอจัดการดอกกุหลาบแสนสวยในห้องนอนของเธอจนหมด แม้หญิงสาวจะไม่ได้รู้สึกโกรธเกลียดการกระทำอันน่าสะพรึงกลัวของเชสเตอร์เมื่อวาน แต่เธอกลับอยากตีตัวออกห่างจากเขาให้มากขึ้น เพราะดูเหมือนว่าเธอมักจะทำอะไรให้เขาไม่พอใจอยู่เสมอ และเขาก็ดูจะไม่ชอบเธอนัก แม้ว่าเขานั้นรับปากว่าจะแต่งงานกับเธอแล้วก็ตาม

 

                "ข้าไม่เห็นหน้าเจ้าเสียนาน.... มาทำอะไรที่นี่ เจ้าก็รู้ดีมิใช่หรือว่าท่านเชสเตอร์ไม่อนุญาตให้หญิงงามมาเดินเตรดเตร่นอกปีกตะวันออก" น้ำเสียงแหลมหวานที่คุ้นเคยดังขึ้นด้านหลังของแซนด์ นั้นทำให้เธอต้องหมุนตัวกลับ

 

                "เอ่อ...สวัสดีค่ะ คุณอาคาเซีย" แซนด์เอ่ยทักทายอีกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ซึ่งวันนี้เธอดูสวยโดดเด่นในชุดราตรีสีดำยาว ซึ่งตัดเย็บเข้ารูปด้วยผ้าเนื้อบางช่วยเน้นให้เห็นสัดส่วนเว้าโค้งสวยงามอันพึงมีของสตรีให้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีก แซนด์อดไม่ได้ที่จะจ้องมองรูปร่างและใบหน้าที่งดงามเย้ายวน รวมถึงนัยน์ตาสีอเมทิสต์ของเธอ

 

                "ข้อแรกเจ้าต้องเรียกข้าว่า เลดี้อาคาเซีย ... ข้อสอง... ทำไมเจ้าแต่งตัวเช่นนี้ เจ้าจำกฎของสางงามไม่ได้หรือไง" อาคาเซียช้อนนัยน์ตาสีม่วงของเธอมองเสื้อผ้าที่ดูหรูหราทว่ารุ่มร่ามของแซนด์อย่างไม่พอใจนัก

 

                "กฎอะไรเหรอคะ?" คนในชุดรุ่มร่ามเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย ตั้งแต่เธอมาอยู่ที่นี่ยังไม่มีใครแจกแจง หรือบอกกล่าวกฎอะไรกับเธอ นอกเสียจากข้อห้ามเดียวคือ ห้ามออกจากบริเวณปราสาท

 

                "เจ้านี่!..."อาคาเซียหยิกแขนแซนด์หนึ่งครั้งเป็นการลงโทษ

 

                "กฎเหล็กของสาวงามคือ จะต้องพร้อมบริการ และทำให้ท่านเชสเตอร์พึงพอใจอยู่เสมอและการแต่งตัวรุ่มร่ามวุ่นวายเช่นนี้ ทำให้ท่านเชสเตอร์ที่ทำงานหนักมาทั้งวัน ต้องมาเหนื่อยปลดเปลื้องเสื้อผ้าอีก ตามข้ามาแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้" เมื่ออาคาเซียพูดจบ เธอก็ฉุดลากแขนของแซนด์ที่ยังงุนงงกับคำพูด ไปที่ปีกตะวันออกในทันที

 

                ในคราวแรกแซนด์ยังไม่เข้าใจนักว่าสิ่งที่อาคาเซียพูดตลอดนั้นคือ อะไรคือสาวงาม? มันเป็นสมาคมงั้นเหรอ? แล้วทำไมคนที่บริการเชสเตอร์ต้องเป็นสาวงามเท่านั้น? แต่ความสงสัยทั้งหมดของแซนด์ก็กระจ่างในทันที เมื่อเธอเดินเข้ามายังอนาเขตสาวงาม ซึ่งไม่มีชายใดได้รับอนุญาตให้ย่างกรายเข้ามา เพราะเมื่อแซนด์เดินขึ้นบันทรงโค้งตรงห้องโถงที่เธอหลงมาในคราแรก เมื่อเดินผ่านม่านกำมะหยี่สีแดง และเปิดประตูไม้บานใหญ่สีขาวสะอาดเข้าไป ก็พบกับโลกอีกโลกที่เธอไม่เคยเห็น

 

 

                สาวงามมากมายหลายสิบเดินกันควักไขว่ไปมาในห้องโถงกว้าง บ้างก็ร้องเล่นเต้นรำกันสนุกสนาน บ้างก็เย็บปักถักร้อยตามวิสัย บ้างก็อ่านหนังสือให้เพลิดเพลิน บ้างก็กำลังลิ้มรสอาหารคาวหวานที่มีมากมายเรียงรายชวนน้ำลายสออยู่ฝั่งหนึ่งของห้อง ทุกคนล้วนมีใบหน้าที่สวยสดงดงาม และมีรูปร่างที่ได้สัดส่วน แต่มีสิ่งที่ผิดแปลกที่สุดก็คือทุกคนแทบจะไม่นุ่งห่มอะไร บางคนก็เปลือยท่อนบนทำกิจวัตรต่างๆ บางคนก็มีเพียงผ้าแพรบางแสนบางปกปิดส่วนควรสงวน แซนด์มองภาพตรงหน้าแล้วปะติดปะต่อเรื่องราวในหัวอย่างรวดเร็ว ว่าทำไมต้องเป็นสาวงามเท่านั้นที่บริการเชสเตอร์ เธอเข้าใจในทันทีเมื่อเห็นสาวงามมากมายในสภาพกึ่งเปลือย.... ว่าพวกเธอต้องบริการอะไรกับแกรนด์ดยุคผู้เอาแต่ใจ

                "เจ้าจะยืนชาอยู่ทำไม ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียสิ" อาคาเซียเอ่ยเล่นพร้อมผลักเอวแซนด์เบาๆอีกครั้ง

                "คุณ.... เอ่อ เลดี้อาคาเซีย ... งานบริการของสาวงามคืออะไรเหรอคะ" แม้แซนด์จะรู้ดีแก่ใจว่ามันคืออะไร แต่เธอก็อดที่จะถามไม่ได้

                "พวกมาใหม่ก็เป็นเช่นนี้ตลอด.... งานของเราคือการทำทุกอย่างเพื่อให้ท่านเชสเตอร์พึงพอใจ ไม่ว่าท่านจะปรารถนาอาหารคาวหวาน ดนตรีบรรเลง เรื่องเล่าก่อน หรือสวาทรักอันร้อนแรงก็ตาม"

                "สะ... สวาทรัก" แซนด์กลืนน้ำลายอย่างลำบาก พร้อมเอ่ยทวนคำพูดของอาคาเซีย

                "ใช่... เลิกโอ้เอ้ได้แล้วรีบไปเปลี่ยนชุด หากเจ้าชักช้า ข้านี่แหละจะถอดให้"

                แซนด์มีสีหน้าลำบากใจอยากเห็นได้ชัด เม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าประปรายแม้ว่าอากาศในห้องโถงจะเย็นสบายก็ตาม เธอเริ่มรู้สึกสับสนและงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเล็ก เธอไม่แน่ใจว่าสาวงามเหล่านี้อยู่ที่นี่ในฐานะอะไร และเธอก็ยิ่งไม่แน่ใจว่าการแต่งงานของเธอกับเชสเตอร์จะทำให้เธออยู่ในฐานะอะไร

                "ชักช้าเสียจริง!" แม้แซนด์จะกำลังใช้สมองประมวลผลอย่างหนัก แต่ดูเหมือนอาคาเซียจะไม่เข้าใจ เธอตรงปรี่เข้ามาหาร่างของแซนด์พร้อมกับกริชประจำกายเธอกรีดสายดรัดเสื้อผ้าของแซนด์ออกในทันที หญิงสาวที่ยืนนิ่งคิดคำนวณในหัวมีสีหน้าประหลาดใจอย่างหนัก แซนด์รีบใช้มือเกี่ยวเกาะเนื้อผ้าของชุดสีมิ้นต์ของเธอไว้อย่างเหนียวแน่น

                "รีบๆปล่อยมือเสีย จะมาเขินอายอยู่ทำไม" อาคาเซียเริ่มมีน้ำเสียงหงุดหงิดในท่าทีเหนียมอายของหญิงสาวตรงหน้า แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเองประตูบานใหญ่ก็ถูกเปิดออก พร้อมเผยให้เห็นร่างสูงสง่างามของเชสเตอร์

                และการมาของเชสเตอร์ก็ทำให้กาลเวลาในห้องหยุดลงไปชั่วขณะ สาวงามทุกคนหยุดการกระทำของตัวเอง ก่อนจะรีบวิ่งเข้ามายืนเรียงแถวหน้ากระดานซ้อนกันสองแถว แล้วย่อตัวลงแสดงความเคารพให้กับเจ้าของปราสาท เช่นเดียวกันกับอาคาเซีย เธอเดินมาหาเชสเตอร์ตรงหน้าแล้วย่อตัวลงด้วยท่าทีที่ดูสวยสง่างาม

                "ไม่นึกว่าท่านจะมาหาเหล่าสาวงามเร็วเช่นนี้" เธอเอ่ยต้อนรับ แต่ดูเหมือนเชสเตอร์จะไมได้ใส่ใจนัก เพราะนัยน์ตาสีเงินของเขาจับเนื้อหนังที่ถูกเผยออกนอกเนื้อผ้าของหญิงสาวที่ยืนเหนียมอาย ใช้มือเกี่ยวเกาะชุดสีมิ้นไว้อย่างแน่นหนา ใบหน้าของเธอเจือสีมะเขือเทศเมื่อรู้ว่ากำลังถูกชายหนุ่มเพียงคนเดียวในห้องจับจ้องอยู่ เธอพยามจะใช้มือและท่อนแขนปกปิดส่วนพึงสงวนในร่างกาย และพยามไม่ขยับให้มากมายเกินจำเป็น เพราะนั้นอาจทำให้สิ่งพึงสงวนออกมายิ้มแย้มทักทายชายร่างสูงตรงหน้าได้

                "นางยังเป็นเด็กใหม่ ไม่รู้เรื่องอะไร ข้าเกรงว่า..."อาคาเซียที่เห็นท่าทีของเชสเตอร์ดูจะสนใจแม่ลูกนกขี้อาย เธอก็รีบเอ่ยเสนอสาวงามคนอื่นให้ แต่ทว่าผ้าคลุมสีแดงก็หลุดออกไหล่กว้างของเชสเตอร์ไปปกคลุมร่างของหญิงสาวในชุดสีมิ้นต์แทน

                "นางเป็นสิ่งพี่เศษของข้า" สิ้นคำพูดนั้น เชสเตอร์ก็อุ้มร่างของแซนด์ที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีแดงสดขึ้นในอ้อมอก แล้วเดินออกจากห้องไป

                นัยน์ตาสีม่วงของอาคาเซียมองแผ่นหลังกำยำของร่างสูงที่เดินไกลออกไปด้วยความว่างเปล่า ความคิดในหัวกลับกลวงโบ๋ เธอแทบจะไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของใครในห้อง และเมื่อแผ่นหลังของเชสเตอร์ลับสายตาของเธอไป สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ในการรับรู้ของเธอ คือความรู้สึกหน่วง ซึ่งเอ่อแน่นอยู่บริเวณหน้าอก

 

 

                "โอ๊ย!.... เอ่อ อันทีจริงมันก็ไม่ได้เจ็บขนาดนั้น แต่ว่า ท่านไม่เห็นต้องโยนเราก็ได้ แต่ถ้าท่าหนักท่านก็ไม่จำเป็นต้องอุ้มเรามาที่นี่ก็ได้ เรามีขา เราเดินเองได้ค่ะ" แซนด์เริ่มโวยวาย เมื่อถูกชายร่างสูงอุ้มมาจนถึงห้องนอน และเขาก็โยนเธอลงบนเตียงอย่างไม่ได้ถนุถนอมเธอในฐานะ 'สิ่งพิเศษ' เลยแม้แต่น้อย

                "เจ้าไปทำอะไรที่ปีกตะวันออก" เชสเตอร์จ้องมองแซนด์ด้วยสีหน้าไม่พอใจ

                "เราหลงทางค่ะ" หญิงสาวตอบด้วยใบหน้าใสซื่อ แม้คนตรงหน้าจะทำท่าทางหงุดหงิดแทบจะบ้าก็ตาม

                "แล้วเจ้าตั้งใจจะไปไหน?" เขายังข่มอารมณ์หงุดหงิดเอาไว้ อย่างน้อยตอนนี้นางฟ้าของเขาก็ไม่ได้หนีไปไหน เธอยังอยู่ตรงหน้าเขา

                "เราแค่อยากเดินเล่น ปราสาทนี้กว้างใหญ่ มีอะไรให้เราสำรวจตั้งมากมาย ท่านจะให้เราจับเจ่าอยู่แต่ห้องนอนสี่เหลี่ยมแคบๆเหรอคะ .... ไม่สิ อันที่จริงมันก็ไม่แคบ แต่มันก็แคบถ้าเทียบกับปราสาทของท่าน" แซนด์เอ่ยย้อนคนตรงหน้า

                "เจ้าห้ามไปที่ปีกตะวันออกเด็ดขาด ที่นั้นไม่ใช่ที่ของเจ้า" เชสเตอร์คลายปมที่คิ้วออก เมื่อมั่นใจว่าเธอไม่ได้พยามคิดจะหนี แม้เมื่อวานนี้เขาทำเรื่องเลวร้ายกับเธอ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไรเขา เพราะเธอยังต่อปากต่อคำกับเขาได้ไม่หยุด

                "ที่นั้นเป็นที่ที่ท่านเสพสำราญสินะคะ" แม้น้ำเสียงจะไม่ประชด แต่นั้นก็ทำให้เชสรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก เขาผลักคนตัวเล็กกว่าลงบนเตียงแล้วกดไหล่ของเธอลงจนแทบจมลงไปบนฟูกนอน

                "เจ้าไม่รู้อะไรก็จงเงียบปากไปซะ!!!!" เชสเตอร์ตะคอกเสียงดัง คนตัวเล็กเบื้องล่างหลับตาปี๋เม้มริมฝีปากเน้นพร้อมเบนหน้าไปทางอื่นด้วยความหวาดกลัว

                "เจ้าคงคิดว่าข้ามีความสุขมากสินะ ทั้งๆที่มันเป็นคำสาปที่ไม่มีทางแก้!!"เขาตวาดคนตัวเล็กด้วยแรงอารมณ์ ทำให้บรรยกาศภายในห้องสี่เหลี่ยมหนักอึ้งมากกว่าที่เป็น สิ้นคำของเชสเตอร์ทุกอย่างก็เงียบสนิท จนกระทั้งความรู้สึกเจ็บหนักที่ไหล่ของแซนด์คลายออก และเชสเตอร์ก็ปล่อยเธอเป็นอิสระ เขาทำท่าจะหันหลังกลับไปที่ประตู แต่ว่าแซนด์ก็เอ่ยเรียกเข้าไว้ก่อน

                "เราขอโทษนะคะ... ที่เราพูดอะไรไม่คิด ..... จนทำให้ท่าน..... รู้สึกแย่" อีกครั้งที่ความรู้สึกเจ็บแปล๊บวิ่งผ่านเข้ามาในอกของเชสเตอร์ ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรเขายังคงมุ่งหน้าเดินไปที่ประตู แต่ก่อนที่มือเรียวจะเอื้อมไปจับลูกบิดบนประตูไม้บานหนานั้น ร่างสูงก็หันกลับมา นัยน์ตาสีเงินจ้องมองยังร่างที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีแดงของเขาด้วยแววที่เป็นมิตรมากขึ้น

                "เรื่องเมื่อวานข้าขอโทษ..." มันคงเป็นครั้งแรกที่แซนด์ได้ยินน้ำเสียง และได้เห็นแววตาที่อบอุ่นเป็นมิตรเช่นนี้จากชายผู้แข็งกร้าวและกระด้าง แม้ว่านั้นมันจะไม่ได้ลบความรู้สึกแย่ๆของแซนด์ออกไป แต่นี้ก็คงเป็นคะแนนแรกสำหรับความรู้สึกด้านบวก ที่เธอจะมีให้แกรนด์ดยุคผู้สูงศักดิ์แสนเอาแต่ใจ

 

 

 

                "เราตามอารมณ์ท่านเชสเตอร์ไม่ทันจริงๆค่ะ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายใส่ เราไม่เข้าใจจริงๆ" หลังจากจัดการเค้กผลไม้ในจานแก้วของตัวเสร็จ หญิงสาวก็เปิดปากบ่นถึงชายหนุ่มอารมณ์ร้ายเจ้าของปราสาทในทันที

                "ท่านเชสเตอร์บอกกับคุณอาคาเซียว่าเราเป็นสิ่งพิเศษ เรานี้รู้สึกพิเศษมากกกค่ะ เหมือนเป็นนักโทษในปราสาทก็มิปาน" น้ำเสียงกึ่งประชดยังถูกส่งต่ออกมาเรื่อยๆ ทำให้เซนวิกได้แต่ยิ้มแล้วจ้องมองกริยาของหญิงสาวอย่างสงบ

                "และยิ่งกฎหมายใหม่สำหรับเราโดยเฉพาะที่คุณหมอเพิ่งเอามาบอกเราอีก เรายิ่งรู้สึกมีความสุขจริงๆค่ะ ห้ามพูดคุยกับผู้ชายทุกคนในปราสาท พูดคุยได้แค่คุณหมอกับท่านเชสเตอร์ เอาจริงๆนะคะ จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ถ้าไม่จำเป็นเราก็ไม่อยากจะเข้าพูดคุย ไม่สิ ไม่อยากจะแม้เฉียดเข้าไปใกล้วงโคจรของท่านเชสเตอร์เลยล่ะค่ะ เดี๋ยวจะไปทำอะไรขัดใจอีก" หลังจากที่บ่นจบ หญิงสาวก็พ่นลมหายใจออกทางจมูก แล้วเบ้ปากลงเล็กน้อย เซนวิกที่นั่งยิ้มเป็นผู้รับฟังหลังอยู่นานก็ถือโอกาสเอ่ยขึ้นบ้าง

                "ท่านเชสเตอร์ทำทุกอย่างเพื่อท่านแซนด์นะครับ" เซนวิกพยามแก้ต่างให้นายหัว แต่หญิงสาวกลับส่ายหัวใหญ่

                "เราไม่เห็นว่าการตวาดใส่หน้าเรา จะเป็นการทำเพื่อเราตรงไหน"

                "ผมต้องขอโทษแทนท่านเชสเตอร์ด้วยนะครับ หวังว่าท่านคงจะไม่โกรธท่านเชสเตอร์" เซนวิกเอ่ยแล้วโน้มศีรษะลง เพราะเขาหวังมากเหลือเกินว่าหญิงสาวจะไม่มีอคติอะไรมากไปกว่านี้ เพราะหากเกิดอคติร้ายแรงขึ้นมา เธอคงไม่มีทางรัก และนายเหนือของเขาคงไม่มีทางพ้นคำสาป

                "เราไม่โกรธหรอกค่ะ เราทำให้ท่านเชสเตอร์ไม่พอใจ เขาโมโหเรามันก็ถูกแล้ว.... คุณหมอคะเรามีเรื่องสงสัย" หญิงสาววางมือจากของหวานตรงหน้า แล้วมองอีกคนจริงจัง

                "คือว่า...."

                "ท่านเซนวิกครับ ท่านเชสเตอร์ให้มาตามท่านไปร่วมแนวหน้าครับ" ทหารนายหนึ่งสวมชุดเกราะวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่นพร้อมกับรายงานข่าวอย่างแข็งขัน หญิงสาวที่อ้างปากค้างกำลังจะเอ่ยเล่าเรื่องฝันประหลาดของตนเองต้องสงบคำลง เมื่อเรื่องของนายทหารหนุ่มนั้นดูสำคัญกว่า

                "ท่านแซนด์...." เซนวิกเอ่ยเสียงเบาอย่างกระอักกระอ่วนใจ

                "เรื่องคุณหมอสำคัญกว่าไปเถอะค่ะ " แซนด์เอ่ยพร้อมร้อยยิ้มเพื่อให้อีกคนสบายใจ เซนวิกเห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นแล้วโน้มศีรษะลงเพื่อเป็นการทำความเคารพก่อนจะเดินตามนายทหารหนุ่มไป โดยมีเสียงตะโกนไล่หลังจากแซนด์มา

                "ถ้าการไปร่วมในแนวหน้าคือการไปรบ เราก็ขอให้คุณหมอปลอดภัยแล้วกลับมาฟังเราต่อนะคะ"

                มิตรไมตรีที่ดีงามของหญิงสาวต่างแดน ผู้ถูกสงสัยว่าเป็นนางฟ้านั้นดีจนน่าใจหาย แต่ด้วยความดีนี้แหละที่กำลังทำให้เธอเป็นภัย เมื่อนัยน์ตาสีม่วงกำลังส่อประกายริษยาจากชั้นบนของตัวปราสาทอันยิ่งใหญ่

                "เอาจดหมายนี้ไปส่งไปรษณีย์ในเมืองให้ข้าที" อาคาเซียเอ่ยกับสาวงามนางหนึ่ง ซึ่งวันนี้แต่งตัวเรียบร้อยอันเป็นสัญญาณว่าเธอได้รับอนุญาตให้กลับไปเยี่ยมครอบครัวที่ในเมืองได้

               

 

--------------- To be con

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา