Creepypasta Family The Broken Myth

9.5

เขียนโดย Leragan

วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.43 น.

  24 chapter
  9 วิจารณ์
  37.86K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 14.07 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

16) [ตอนพิเศษ 4] Hopeless Life with Valueless Tears

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

                ณ วันหนึ่งของช่วงที่พายุหิมะเข้าในเมืองอันซอมซ่อ เหล่าผู้คนหนุ่มสาวจำนวนมากต่างพากันย้ายออกเพราะความเบื่อหน่ายกับอากาศที่หนาวเย็นตลอดหลายเดือน การติดต่อกับโลกภายนอกแทบเป็นเรื่องที่เป็นไม่ได้เพราะสายโทรศัพท์และเสาสื่อสารของเมืองถูกพายุหิมะทำลายจนเสียหาย เสบียงอาหารจากส่วนกลางของประเทศหายไปตลอดสามเดือนที่ผ่านมา คนเกินกว่าครึ่งของผู้อยู่อาศัยอพยพออกจากหมู่บ้านอันแสนหนาวเย็นจับใจนี้ไป ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ผมไม่ได้อพยพออกมาเพราะความหนาวเย็น แต่เพราะถูกยึดบ้านต่างหาก คนที่ทำงานอยู่กับฟาร์ม ก็ล่มจมลงทันทีที่พายุหิมะปรากฏมา สัตว์ที่ผมเลี้ยงไว้ตายอย่างรวดเร็ว พืชผลผลิตที่จะนำไปขายถูกแช่แข็งเอาไว้แทบจะเป็นนิรันดร์ แล้วผมจะเอาเงินที่ไหนมาผ่อนค่าบ้านกันล่ะ

                นี่ถ้าหากไม่มีดีฟ พี่ของผมป่านนี้คงต้องร่อนเร่อยู่ตามพื้นถนนแน่ๆ ผมเตรียมขนของออกจากบ้านที่จะถูกยึดในอีกสองชั่วโมง เพื่อไปรอพี่ที่จุดนัดพบนั่นคือห้างสรรพสินค้าขนาดเล็กที่มีเครื่องทำความร้อน ช่วยคลายความหนาวออกไปจากร่างกายได้บ้าง หากแต่มันอยู่ไกลจากบ้านผมเกือบไมล์ ถ้าให้เดินไปมือเปล่าก็คงจะได้อยู่ แต่นี่กลับมีของเต็มไม้เต็มมือคงจะยากไปเสียหน่อย

                เมื่อเก็บของเสร็จ ผมกับเป้ใบโตและกระเป๋าเสริมอีกหลายใบต้องถูกเคลื่อนย้ายสังขารไปที่ห้างที่เป็นจุดนัดพบให้ได้ ผมเดินไปบนถนนที่ไม่มีสิ่งใดสัญจรอยู่ เพราะอากาศหนาวนี้ทำให้รถยนต์ที่จอดไว้ในเมืองนานๆ เครื่องยนต์ภายในถูกแช่แข็งจนขับไม่ได้นั่นยิ่งทำให้การเดินทางของผมง่ายขึ้นไปอีก..แต่จริงๆแล้วนั่นก็แค่คำปลอบใจของคนที่ต้องเผชิญกับบางสิ่งที่เวร้ายเท่านั้น

                “แจ็คกี้..เธอจะไปแล้วเหรอจ๊ะ” ผมหันไปตามเสียงที่ถูกเปล่งออกมา ก็ได้พบกับป้าแก่ๆคนหนึ่งที่สวมชุดกันหนาวขนสัตว์และสร้อยไข่มุกอันแวววาว

                หากผมป็นคนใจบาปคงคว้าสร้อยนั่นและวิ่งหนีไปแล้ว แต่ที่ผมไม่ทำไม่ใช่เพราะว่าผมเป็นคนดี แต่เป็นเพราะเธอคือผู้มีพระคุณเท่านั้น..ป้าแกแลนด้า เศรษฐีแห่งหมู่บ้านแห่งนี้ เธอเป็นผู้หญิงที่ใจบุญและคอยช่วยเหลือคนที่ยากลำบากอย่างผมอยู่เสมอมา อ่อ..ลืมเสียสนิทเลย ผมชื่อเต็มว่า แจ็กกี้ แม็กต้า ไครเน็ส แต่คนส่วนใหญ่มักจะเรียกผมว่า ‘แจ็ก’ ไม่ก็ ‘แม็ก’ แต่ก็มีแค่ป้าแกแลนด้าเท่านั้นแหละที่เรียกชื่อจริงเต็มๆของผม

                “ผมต้องไปแล้วล่ะครับ..บ้านผมจะถูกยึดในอีกสองชั่วโมง” ผมตอบกลับไป นั่นทำให้สีหน้าของป้าแสดงความตื่นตกใจขึ้นมา ทันใดนั้นเธอก็เดินเข้ามาหาผมทันที ผมของเธอเป็นสีขาว แต่จุดเด่นของเธอคือดวงตาที่มีสีม่วงเหมือนกับเบอร์รี่ มันสร้างความหวังให้กับผมอยู่เรื่อยมาและคิดที่จะตอบแทนบุญคุณที่ป้าได้ให้ผมไว้ทั้งหมด แต่แล้วผมก็ทำไม่ได้..ขนาดตัวเองยังเอาไม่รอด ผมขอโทษนะครับ แต่สักวันหนึ่งผมจะมาตอบแทนเรื่องทั้งหมดเองครับ

                “ให้ป้าช่วยอะไรเธอมั้ยจ๊ะ..เดี๋ยวป้าไปคุยกับพวกเขาก็ได้นะ เธอจะได้...” ป้าแกแลนด้าถูกผมเข้าสวมกอดด้วยความห่วงใย สำหรับผมเธอเป็นดั่งแม่อีกคนเลยทีเดียว นั่นเป็นเพราะผมเสียพ่อและแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก เหลือเพียงแค่พี่และลุงของผมเท่านั้นที่เหลืออยู่

                “ป้าให้ผมมามากเกินพอแล้วครับ..” ผมกางมือออก ก่อนจะยิ้มให้กับเธอ และเดินจากเธอไป

                “ดูแลตัวเองดีๆนะจ๊ะ” ป้าแกแลนด้านั้นยังคงเป็นห่วงผมอยู่ทุกครั้ง ตั้งแต่ผมเป็นเด็กจนผ่านมาเกือบสิบปีแล้วก็ตาม ผมได้เพียงกล่าวอำลาและพูดในสิ่งที่ทุกคนควรจะพูด แต่อาจทำตามสิ่งที่ตนเองพูดไว้ไม่ได้

                “ป้าก็เช่นนะครับ..ว่างๆผมจะมาหานะครับ” ผมเดินออกมาจากบ้านของเธอแล้วมุ่งหน้าไปยังจุดหมาย

                แม้ว่าในยามนี้พายุหิมะจะไม่ได้รุนแรงแต่การป้องกันไว้ก่อนก็เป็นสิ่งที่ดีกว่าอยู่แล้ว ผมดึงแว่นกันลมเข้ามาสวม แล้วจึงเดินต่อไป ในระหว่างทางผมก็ได้เจอกับเพื่อน..ไม่สิ มันก็แค่ไอพวกอันธพาลที่น่าจะหายๆไปให้หมด แต่นั่นก็ทำได้แค่คิดละนะ

                “เฮ้! แจ็ก..แจ็ก..แจ็ก...แจ็กกกก” พวกมันเรียกผมอยู่หลายครั้ง แต่ผมกลับแสดงท่าทีไม่สนใจซึ่งน่าจะเป็นวิธีการที่น่าจะดีที่สุดแล้ว แต่มันก็ไม่จริงไปซะทุกเรื่องหรอก

                “เฮ้ย! เอ็งจะหยิ่งกับเพื่อนเก่าไปถึงไหนว่ะ..ไอลูกกำพร้า” คำสรรพนามที่เรียกผมนั้นแทบจะเป็นเรื่องปกติของพวกมันไปแล้ว เจ้าพวกนี้ก็ทำได้แค่เพียงเรียกร้องความสนใจและเดินกร่างไปทั่วเท่านั้น ผมนั้นก็ยังคงเดินออกห่างเจ้าพวกนั้นไปอยู่ดี แต่มันก็คงไม่ง่ายขนาดนั้นละนะครับ

                ปั้กกก!!! กำปั้นถูกต่อยเข้าที่หน้าผมอย่างจัง ผมล้มลงและกระเป๋าของผมก็หล่นลงพื้นทันที ผมเริ่มถูกรุมซ้อมในทันที แต่นั่นมันกลับเป็นเรื่องดี เพราะถ้าหากผมตอบโต้มันไปล่ะก็ตำรวจที่ขับผ่านมาคงคิดว่านั่นเป็นการทะเลาะวิวาทแน่ แต่ถือเป็นโชคดีของผมที่ตำรวจนายหนึ่งพุ่งตัวเข้ามาช่วยไล่เหล่าพวกอันธพาลพวกนั้นให้หายกระจัดกระจายกันไป

                “ไอหนู..แกเป็นอะไรมั้ย” คุณตำรวจคนนั้นถามผม แว่นตาดำและหนวดของเขาช่างเหมาะสมกันเสียเหลือเกิน

                “ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ..ขอบคุณนะครับที่ช่วยไว้” ผมพูดขอบคุณจากใจจริง

                “ไม่เป็นไร..มันเป็นหน้าที่อยู่แล้ว” ตำรวจกับหนวดคู่ใจจับมือผมก่อนจะดึงร่างของผมขึ้นมายืนดังเดิม ก่อนที่จะช่วยผมเก็บข้างของให้ “ว่าแต่คิดยังไงถึงมาเดินเปลี่ยวในเวลาที่พายุหิมะจะมาอีกระลอกล่ะเนี่ย”

                “พายุหิมะกำลังจะมาอีกครั้งเหรอครับ!!!” ผมตื่นตกใจเป็นอันมาก เพราะนอกจากตำรวจแล้วก็ไม่มีใครอื่นรู้ถึงความแปรปรวนของอากาศได้เลย

                “ใช่แล้ว..พ่อหนุ่ม” ตำรวจผู้ไว้หนวดตอบกลับมา “งั้นก็รีบๆกลับบ้านไปนอนก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยออกจากหมู่บ้าน”

                “คงไม่ได้หรอกครับ..บ้านผมถูกยึดน่ะครับ” ผมตอบกลับไป ส่วนตำรวจคนนั้นได้ส่ายหน้าไปมา ก่อนจะถามผม “ไอหนูจะไปลงไหน..เดี๋ยวลุงพาไปส่งให้”

                ในตอนแรกผมคิดจะปฏิเสธลุงเขาไป เพราะไม่อยากเป็นภาระให้กับเขาไปมากกว่านี้ แต่จากการคิดดูแล้ว ถ้าผมไม่ยอมรับข้อเสนอและเดินไปเหมือนเดิมคงจะไม่ทันการและถูกพายุหิมะซัดเข้าจนตายข้างถนนเสียก่อน ดังนั้นมันคงจะไม่มีทางเลือก

                “ขอบคุณมากนะครับ..ผมไปลงที่ห้างหน้าหมู่บ้านน่ะครับ” ผมขนของเข้าไปด้านในรถตำรวจก่อนที่จะเปิดประตูที่นั่งคนขับ แล้วเข้าไปนั่งเพื่อรอจนกว่าจะถึงจุดหมาย ด้วยความเหนื่อยล้านั้นเอง..ผมก็ได้เผลอหลับไป

                “ไอหนู..ถึงแล้ว” คุณลุงตำรวจปลุกผมขึ้นมาจากนิทราอันสั้นขึ้นมา ผมใช้มือขยี้ตาแล้วกระพริบตาเพื่อปรับแสงจนสามารถมองเห็นเป็นปกติ

                หลังจากนั้นผมก็ได้ขอบคุณคุณลุงตำรวจ แล้วขนของลงจากรถของเขาทันที ใช้เวลาไม่นานนักก็สำเร็จเสร็จสิ้น ก่อนที่ผมจะโบกมือลาคุณตำรวจ แล้วหอบสัมภาระและเดินไปนั่งรอที่ม้านั่งทันที

                สภาพอากาศ ณ ที่แห่งนี้ยังคงเป็นเช่นเดียวกับในหมู่บ้าน แต่ความรุนแรงและความหนาวเย็นนั้นน้อยกว่าในหมู่บ้านอย่างเห็นได้ชัด ผู้คนจำนวนมากต่างเดินเข้าออกห้างไปมา บ้างก็ถือสัมภาระของตน บ้างก็ถือสินค้าที่พึ่งจับจ่ายมา แต่สิ่งที่เหมือนกันนั้นคือพวกเขาไม่ได้อยู่ตามลำพัง แต่มีคนที่พวกเขารักอยู่เคียงข้างด้วย บ้างก็จูงมือลูกสาวที่น่ารัก ไม่ก็ลูกชายขี้เล่น ผู้เฒ่าผู้แก่ในบ้าน พ่อแม่ หรือคู่รักที่กอดแขนกันเพิ่มความอบอุ่นให้กันและกัน ต่างจากผมที่มีเพียงตัวคนเดียว

                ครอบครัวของผมนั้นต่างเป็นโรคประหลาดเสียชีวิตไปจนหมด จนเหลือเพียงแค่อา พี่ชาย และตัวผมเท่านั้น แต่ต่างคนต่างอยู่คนละทิศทาง อาของผมนั้นเป็นเจ้าของร้านเบเกอรี่ในเมืองใหญ่ ส่วนพี่ชายนั้นก็เป็นนักศึกษาที่ทำงานบริษัทควบคู่กันในเมืองที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านของผมไปไม่ถึง 150 กิโลเมตร แต่เนื่องจากผมเป็นลูกคนสุดท้องที่ชอบทำให้พ่อและแม่ลำบากใจ จนวันที่พวกท่านจากไป ผมกลับพึ่งมาสำนีกได้ในยามที่สายไป จึงขอปกป้องมรดกชิ้นสุดท้ายที่ท่านเหลือไว้นั่นคือที่ดินเพาะปลูกไม่กี่ไร่ของท่าน แต่หลังจากที่พายุหิมะที่ไร้ที่มาปรากฏขึ้นมา ที่ดินที่ผมดูแลกลับได้รับความเสียหาย อาชีพของผมต้องจบลง จนไม่มีเงินแม้แต่ที่จะจ่ายค่าที่พัก น้ำและไฟฟ้า และจวบจนลงเอยแบบนี้

                “ขอโทษนะครับ..พ่อแม่” น้ำตาของผมหลั่งไหลออกมา

                ทุกๆครั้งที่ผมนึกถึงท่าน ผมมักจะร้องไห้เสียเสมอไป มันเป็นเพราะว่าผมไม่เคยแม้แต่จะทำให้ท่านสบายใจในขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่ หัวใจของผมแตกสลายตั้งแต่วินาทีที่รู้ว่าท่านหมดลมหายใจ แทบอยากจะตายตามไป แต่มันกลับรู้สึกผิดและละอายใจเมื่อคิดได้ว่าหากตัวผมจบชีวิตลงในวันนั้นพวกท่านที่มองผมอยู่เบื้องบนคงจะเสียใจและผิดหวังในตัวผมมากแน่ๆ ผมจึงได้แต่ยอมรับความจริงและอยู่กับมันให้ได้

                “ขอโทษนะครับ..ที่ผมไม่สามารถรักษาที่ดินอันล้ำค่าเอาไว้ได้” มรดกชิ้นสุดท้ายที่ครอบครัวผมมีนั้นได้ถูกพัดหายไปพร้อมกับพายุหิมะที่โหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง แม้จะร่ำร้องออกไปสักเพียงใด สื่งที่หายไปแล้วก็ไม่เคยจะหวนกลับมาตามคำร้องขอ น้ำตานั้นไม่เคยช่วยให้สิ่งใดนั้นดีขึ้นแม่แต่น้อย แต่กลับยิ่งทำให้สภาพจิตใจของตัวผมแย่ลงทุกที จนผมจำต้องยิ้มสู้ให้ทุกคนคิดว่าผมนั้นไม่เคยเจอกับเหตุการณ์ที่ทุกร้ายในชีวิตเลย และทำให้ทุกคนต่างสบายใจ

                เวลานั้นผ่านไปไม่นานนัก ผมที่ได้เพียงรอคอยพี่ชายจำต้องอดทนและรอคอยต่อไป ในหัวของผมมีแต่ความเศร้าหมองในอดีตหมุนวนเวียนอยู่ภายในเป็นวนลูป

                ตลอดเวลาที่ผ่านมาความหนาวเย็นได้กัดกินไปในทกส่วนของร่างกายจนฝ่ามือทั้งสองเกิดรอยสีม่วงใต้ผิวหนัง น้ำตาที่ไหลออกมากลับสร้างความหนาวเย็นและแสบดวงตาเป็นอันมาก จนผมจำต้องปิดตาอยู่บ่อยครั้งเพื่อป้องกันอากาศที่หนาวเย็นจนเกินไป ในช่วงเวลาที่น่าเบื่อเพียงนี้ผมนั้นควรจะเดินเข้าไปในห้างเพื่อรับความอบอุ่นจากเครื่องทำความร้อนเสียดีกว่า ในขณะที่ผมกำลังจะยืดตัวขึ้นจากม้านั่ง กลับมีเสียงโหวกเหวกขึ้นทางด้านซ้ายของผม มันมากซะจนผมต้องหันไปมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

                “ช่วยด้วยค่ะ! มันขโมยกระเป๋าชั้นไป” เสียงของหญิงสาวผมดำด้านหลังของชายรูปร่างสูงใหญ่ที่กำลังวิ่งมาพร้อมกับกระเป๋าที่ประดับเพชรนิลจินดาให้แวววาบ ซึ่งนั่นไม่น่าจะเป็นของผู้ชายที่กำลังวิ่งมาทางผมแน่นอน

                ผมยื่นขาเข้าไปบังเส้นทางของบุรุษผู้มีรูปร่างสูงใหญ่ทันที นั่นทำให้ตัวเขาที่เคลื่อนที่มาด้วยความเร็วสูงต้องสะดุดลงก่อนจะล้มหน้าทิ่ม และกระเป๋าประดับเพชรที่ขโมยมาก็หลุดมือไป ผมเห็นดังนั้นจึงเดินไปหยิบกระเป๋าที่ตกหล่นอยู่ขึ้นมา แต่แล้วเงาบางอย่างก็ขยายใหญ่ขึ้นด้านหลังของผม ทันทีที่ผมหันไปมองจึงพบกับใบหน้าของบุรุษผู้ขโมยของที่แสดงท่าทีโกรธเกรี้ยวและเตรียมจะตอบโต้ผมที่ไปหยุดยั้งการขโมยทรัพย์ที่เขาได้กระทำไป กำปั้นของเขาพุ่งเข้ามาต้องใบหน้าของผมอย่างแรงจนเซแทบล้มคว่ำ แต่ก่อนที่อีกหมัดจะพุ่งขึ้นมาต่อยผมที่หน้าท้อง เหล่าพลเมืองดีคนอื่นๆก็ได้เข้ามาจับกุมชายหัวขโมยคนนั้นได้พอดี ทำให้ตัวผมนั้นรอดจากการถูกทำร้ายไป

                เมื่อชายหัวขโมยถูกจับไปพร้อมกับพลเมืองดีและตำรวจ หญิงสาวเจ้าของกระเป๋าก็ได้รีบวิ่งเข้ามาหาผม ซึ่งผมก็รู้ว่าต้องเข้ามาขอบคุณเป็นแน่ แต่ผมก็รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ผมทำไปนั้นเป็นหน้าที่ที่คนดีพึงกระทำอยู่แล้ว ผมมอบกระเป๋านั้นคืนกับหญิงสาว แต่เมื่อมองใบหน้าของเธออย่างชัดเจน กลับดูคุ้นตามากเป็นพิเศษ จนเมื่อเธอมองขึ้นมาที่หน้าผมหลังจากที่เธอเช็คข้าวของในกระเป๋าเสร็จ ฝ่ามือของเธอก็เข้ามาสำรวจแผลที่ถูกชกบนใบหน้าทันที

                “คุณเจ็บมากมั้ยคะ..อะ” เมื่อเธอเอ่ยจบ เธอกลับหยุดชะงักลงพร้อมกับแสดงท่าทีประหลาดใจเมื่อเห็นหน้าผม ซึ่งท่าทีสะดุ้งของเธอทำให้ผมนึกขึ้นได้ทันทีว่าเธอเป็นใคร

                “รุ่นพี่แม็ก/นิโค” ผมและเธอต่างตะโกนออกมา พร้อมชี้หน้ากันและกันด้วยใบหน้าที่แต้มไปด้วยรอยยิ้ม ที่เมื่อคนทั้งสองที่ไม่ได้เจอกันมากว่า 2 ปีได้พบกันอีกครั้ง

                “ผ่านไปไม่กี่ปีนี่สวยขึ้นเป็นกองเลยนะ” คำพูดของผมทำให้เธอหน้าแดงไปพักนึง ก่อนที่เธอจะกอดอกแล้วทำแก้มป่องเพื่อกลบเกลื่อนความเขินอายของเธอ

                “แถม...” ดวงตาอันซุกซนของผมไม่เคยจะอยู่นิ่ง มันพาสมองของผมจ้องมองไปที่หน้าอกที่ใหญ่กว่าเดิมหลายเท่า จนในขณะนี้น่าจะอยู่ใน Cup-E ไปแล้ว ซึ่งต่างจากรุ่นน้องที่ผมรู้จักซึ่งแทบไม่มีหน้าอกแม้แต่น้อย

                “นี่..พี่แม็ค ชมว่าเราสวยแต่มามองหน้าอกนี่หมายความว่าไงคะ” หญิงสาวที่ยังคงใบหน้าแดงอยู่ แอ่นลงมามองใบหน้าของผม แรงโน้มถ่วงอันเป็นพรจากพระเจ้าบันดาลให้หน้าอกทั้งสองแลดูขนาดใหญ่ขึ้นในสายตาของผม หากไม่มีชุดกันหนาวที่เป็นหนังนี้ปกคลุมอยู่ ผมคงจะได้เห็นอะไรที่เจริญตาเป็นแน่

                “ก็หน้าอกของเธอใหญ่ขึ้นน่ะสิ..น่าจะใหญ่ขึ้นกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกันอีกนะ” ผมพูดตามความจริงไป แต่คำพูดนั้นกลับทำให้เธอแสดงท่าทีเขินอายยิ่งไปกว่าเดิมเสียอีก ก่อนที่เธอจะรีบใช้มือปิดปากของผมทันที

                “รุ่นพี่บ้า! มาพูดอย่างนี้ในที่สาธารณะอย่างนี้ได้ยังไงกันค่ะ” ผมที่มักจะเป็นคนพูดตรงไปตรงมากลับงงกับท่าทีของเธออยู่หลายครั้ง ซึ่งอาจเป็นเพราะผมอาจเป็นพวกคิดแล้วพูดเลยโดยไม่สนใจเวลาและสถานที่เลย

                “ขอจับน่มน๊มหน่อยจิ” ผมพูดออกมา พร้อมทำมือแสดงท่าทางบีบขยี้อย่างต่อเนื่อง โดยเธอนั้นกลับแสดงท่าทีหวาดกลัวออกมาทางสีหน้าทันที

                “พะ..พะ..พี่..แม็ค..อย่าเล่นกันอย่างนี้สิคะ เรากลัวนะ” นิโคแสดงท่าทางหวั่นเกรงด้วยสีหน้าหวาดกลัวจริงๆ แม้ว่าผมอยากจะหยอกเธอต่อ แต่มันน่าจะไม่เหมาะสมนัก ผมจึงหยุดกันหยอกล้อครั้งนี้ลง แล้วหันมาพูดคุยอย่างจริงจังแทน

                “ก็ได้ๆ พี่ไม่หยอกเธอแล้วล่ะ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง นั่นทำให้เธอถอนหายใจออกมา “ว่าแต่ทำไมเธอถึงได้มาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ..ไม่ใช่ว่ายังเรียนอยู่ที่ไฮสคูลเหรอ”

                “เราก็ยังเรียนอยู่แหล่ะค่ะ..รุ่นพี่ แค่วันนี้เป็นช่วงวันหยุดชั่วคราวที่ได้มาเพราะพายุหิมะนี่แหละค่ะ” นิโคตอบกลับ ก่อนที่เธอจะหยิบผ้าพันคอหนังสัตว์ขึ้นมาสวมใส่ นั่นทำให้ผมต้องมองตาไม่กระพริบ

                “เธอนี่ใช้เงินฟุ่มเฟือยจังเลยนะ” ผมกล่าวเตือนหญิงสาวผู้เป็นลูกสาวของผู้นำตระกูลอันสูงศักดิ์

                ในช่วงที่ผมยังคงเรียนอยู่นั้น เธอเป็นแค่เด็กเนิร์ดที่มีกระและรอยสิวเต็มหน้าอีกทั้งฟันของเธอยังยื่นออกมาจนน่าเกลียดที่มาพร้อมกับเหล็กดัดฟันที่มีรูปร่างแปลกประหลาด ทุกคนต่างล้อเลียนและไม่เข้าพูดคุยกับเธอ ในขณะเดียวกันนั้นก็มีพวกที่เข้าไปกลั่นแกล้งเธออยู่บ่อยครั้ง เนื่องด้วยที่ผมเป็นพวกที่ไม่ชอบเห็นถูกรังแก ผมจึงเข้าไปช่วยเธอจากพวกนั้น นั่นเป็นเหตุที่พวกเราสนิทกันจนแลดูคล้ายพี่น้องหรืออาจมากกว่านั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรในสายตาของผมเธอก็เหมือนน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น และไม่เคยคิดล่วงเกินใดๆแม้แต่น้อย หากไม่นับการหยอกเธอเมื่อตะกี้นี้นะ... เฉกเช่นเดียวกันไม่นานก่อนที่ผมจะออกจากโรงเรียนไปดูแลไร่ของพ่อแม่ เธอนั้นเริ่มพัฒนาบุคลิกภาพ หน้าตา และสมอง นั่นทำให้เธอแทบจะเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในชั้นก็ว่าได้ นอกจากนั้นเธอยังได้ใบเกียรติบัตรซึ่งเป็นทุนให้เธอได้เข้าไปเรียนในชั้นอุดมศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำได้อย่างง่ายดายอีกด้วย

                แม้ว่าผมจะไม่ได้อยู่ชื่นชมเธอในยามที่มีความสุขและให้กำลังใจ ให้คำปลอบใจเธอในยามทุกข์โศกก็ตาม แต่ผมก็ยังคงติดตต่อกับเธออยู่บ่อยครั้ง ก่อนที่พายุหิมะซึ่งทำให้ที่ทำการไปรษณีย์และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตล่มลงยาวนานแรมปีโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากทางรัฐแม้แต่น้อย

                ผมรู้อยู่แล้วว่าเธอต้องประสบความสำเร็จและมีตัวตนในสังคมที่ดี แต่ผมกลับไม่นึกว่าเธอจะมีตัวตนโดยเฉพาะหน้าตาที่ดีเทียบเท่ากับนางงามหรือดาราบางคน แต่ยังก็ตาม เธอก็ยังคงเป็น ‘นิโค’ น้องสาวที่ฉลาดและน่ารักของผมอยู่เช่นเดิม

                “เราไม่ได้ใช้เงินฟุ่มเฟือยนะ..ถึงจะใช้เงินเกือบพันดอลล่าร์ไปซื้อของทั้งหมดก็เถอะ แต่เราก็ซื้อช่วงลดราคานะคะ” เธอตอบแก้ตัวขึ้นมา ในขณะที่ผมได้รำลึกความหลังอยู่

                “แล้วกระเป๋าเพชรพลอยนั่นล่ะ..ผ้าพันคอขนสัตว์นั่นอีก” ผมกล่าวท้วงเธอไป

                “พวกนี้ไม่ใช่เพชรค่ะ..มันเป็นแค่พลาสติกสังเคราะห์ที่ถูกทำให้เป็นมิติและแวววาว” เธอกล่าวท้วงผมกลับ “ส่วนผ้าพันคอขนสัตว์นี่ก็มาจากขนสังเคราะห์ค่ะ”

                “ง่ายๆคือของปลอมหมดสินะ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไป นั่นทำให้เธอต้องทำแก้มป่องทันที

                “เราไม่ได้ซื้อของปลอมมานะ..อย่างน้อยก็ไม่ได้เป็นพวกของปลอมคุณภาพต่ำนะ” นิโคพูดออกมาพร้อมกับถอนหายใจ “ที่สำคัญเราก็ไม่ได้ใช้เงินฟุ่มเฟือยนะ..ว่าเราไม่ได้นะ”

                “จ้า..จ้า พี่ก็ไม่ได้จะว่าอะไรเธออยู่แล้ว” ผมกล่าวออกมาก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ มือของผมถูกยื่นขึ้นไปลูบหัวของเธอดังวันวาน แม้ว่าเธอจะอยู่สูงขึ้นจากผมเพียงไหน เธอก็ไม่เคยที่จะรังเกียจมืออันต่ำต้อยและสกปรกนี้แม้แต่น้อย

                “พี่ไม่ได้ลูบหัวเราอย่างนี้มานานแล้วนะค่ะ” เธอกล่าวขึ้นมา ในวสภาพที่เคลิบเคลิ้มกับการถูกลูบหัว

                “แล้วเธอมาทำอะไรที่นี่ล่ะ..นิโค” ผมถามเธอไปด้วยความจริงจังบนใบหน้า พร้อมกับหยุดการลูบหัวลูกแมวน้อยลง “เธอก็น่าจะรู้นี่..ว่าที่นี่มันมีพายุหิมะโถมใส่น่ะ รู้มั้ย่ามันอันตรายน่ะ”

                “เรารู้ค่ะ..เราแค่มาหาญาติที่ป่วยและอยู่ที่หมู่บ้านนี้” เธอตอบคำถามของผม และแก้ข้อสงสัยของผมที่กำลังตามมาลง

                ในขณะเดียวกันนั้นเอง บุรุษคนหนึ่งที่เดินมาหน้าห้างกับแลซ้ายแลขวาก่อนที่สายตาของเขาจะตกลงมาที่ผมและนิโค ชายผู้นั้นเดินเข้ามาหาพวกผมก่อนจะใช้มือทั้งสองสัมผัสไหล่ของเราทั้งสองพร้อมกัน เป็นการหยุดบทสนทนาและเรียกร้องความสนใจที่ดีวิธีหนึ่ง

                “ว่าไง..แจ็คกี้ น้องรัก” เขาหันมาทักทายผมอย่างสนิทสนม ซึ่งนั่นเป็นเพราะเขาคือพี่ชายของผม โจเอล ดีฟเทน ครายเนส

                “ว่าแต่..แม่หญิงคนนี้เป็นใครกันล่ะเนี่ย” โจเอลแสดงท่าทีสงสัยนิโค แต่กลับไม่ได้สนใจเลยว่าตัวตั้งตัวตั้งตัวตีน่ะคือตัวเอง

                “แล้วพี่จะไปจับไหล่ทักทายเขาทำไมกันล่ะ..โจเอล” ผมเอ่ยออกมาด้วยเสียงสูง

                “ก็คนมันอัธยาศัยดีน่ะ..ช่วยไม่ได้” ชายผู้มีอายุประมาณ 26 ปี แสดงท่าทางยักไหล่แล้วยื่นมือไปข้างหน้าในระดับช่วงท้อง

                “ชั้นโจเอล ดีฟเทน ครายเนส..เป็นพี่ชายของแจ็คกี้เองน่ะ” ดีฟยืดอกขึ้นขณะที่เขาเริ่มแนะนำตัว

                “สวัสดีค่ะ..ชั้นนิโคล่า แจนโน มิลล่าเรเม่ค่ะ” เธอยื่นมือเข้าไปจับกับมือของดีฟตามมารยาท ก่อนที่ดีฟจะหันมาผมด้วยใบหน้ายียวน

                “แฟนนายน่ารักดีนะ..” ดีฟยิ้มที่มุมปากอย่างมีเล่ห์

                “โจเอล!!!” ผมรีบกับเขาทันที ไม่ได้เป็นเพราะผมรู้สึกเขินอายมากนัก แต่นั่นเป็นเพราะคนที่เขินอายมากกลับเป็นนิโคเสียมากกว่า เธอหน้าแดงก่ำทั้งยังตัวสั่นระริก ทำอะไรไม่ถูกอีกต่างหาก

                “คร้าบๆ..ไม่เล่นแล้วครับ” ดีฟยิ้มขำ ก่อนจะผละมือออกจากหญิงสาวผู้น่าสงสาร

                “ระ..เรา ปะ..ไปแล้วนะค่ะ ที่รัก..ว้ายย! ไม่!!! เราหมายถึงรุ่นพี่จริงๆนะ!” นิโคปิดหน้าแล้วเดินหนีไปทันที ปล่อยให้ดีฟและผมยืนสงบนิ่งอยู่สองคน

                “น้องเค้าน่ารักดีนะ..” ดีฟพูดขึ้นในขณะที่มุมปากมีรอยยิ้มแต้มอยู่ “นายสนมั้ย..”

                “พอเหอะน่า..โจเอล” ผมรีบตัดบท ก่อนจะยกสัมภาระมาแบกไว้ที่หลังและบนมือทั้งสองข้าง

                “คร้าบๆ” โจเอลเดินนำผมไปที่รถของเขาซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่พวกเรากำลังอยู่ไม่เกิน 20 เมตร ทันทีที่ถึงเขาก็เปิดท้ายรถขึ้นเพื่อให้ผมเก็บสัมภาระไว้ที่นั่น

                หลังจากนั้นผมก็ได้รีบเปิดประตูรถแล้วขึ้นไปนั่งทันที ผมรัดเข็มขัดนิรภัยก่อนที่ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศจะร่วมมือกับความง่วงของผม จนสามารถดับสติของผมลง ทำให้ผมเผลอหลับไปอีกครั้ง

                เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ผมไม่อาจทราบได้ รู้เพียงว่าพวกเราสองพี่น้องได้ถึงจุดหมายแล้ว โจเอลปลุกผมจากนิทรา นั่นทำให้ผมต้องปลดเข็มขัดนิรภัยออก แล้วลงจากรถไปเคลื่อนย้ายสัมภาระเข้าไปในบ้านของพี่ชาย บ้านของเขาเป็นบ้านที่ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แต่ก็ไม่ได้เล็กจนเกินไป ผมรีบนำข้าวของไปวางไว้ที่ห้องนอนว่างเปล่าชั้นบน ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับห้องนอนของพี่ผมพอดี โดยพวกเราก็มีชีวิตอยู่ในที่แห่งนั้นมาเกือบสัปดาห์ โจเอลมีหน้าที่ทำงาน ส่วนผมมีหน้าที่ทำความสะอาดและเตรียมอาหาร พวกเราอยู่กันอย่างมีความสุขจนกระทั่งเช้าวันหนึ่งที่บางสิ่งที่น่ากลัวได้คลืบคลานเข้ามาในชีวิตของเรา

                “นี่..แจ็ดกี้” โจเอลมองผมด้วยสายตาที่ดูช็อคป็นอันมาก เมื่อสายตาทั้งสองของเขามามองบนใบหน้าผม ขณะที่พวกเราทั้งสองกำลังทานมื้อเช้ากัน

                “อะไรเหรอ..โจเอล” ผมไม่ได่รู้สึกถึงสิ่งใดแม้แต่น้อย “มีอะไรติดหน้าชั้นเหรอ”

                “นายควรจะเปลี่ยนจากคำว่า ‘ติด’ เป็น ‘กรีด’ นะ” ทันทีที่พี่ชายผมพูดจบ ผมรีบสำรวจใบหน้าของผมทันที และพบกับช่องว่างที่แก้มซ้ายขนาดใหญ่และลึกมาก จนผมต้องหยิบกระจกขึ้นมาส่องใบหน้าของผมเอง

                รอยแผลคล้ายกับมีบางสิ่งที่แหลมคมมาก เจาะและกรีดผ่านชั้นเนื้อไป โดยที่เลือดตรงบาดแผลนั้นกลับไม่มีให้เห็นซักหยด ผมตกใจเช่นเดียวกับพี่ชาย แต่ด้วยท่าทางที่รุกรนของผม พี่จึงปลอบใจผมและพาผมไปที่โรงพยาบาลเพื่อเย็บแผลและกลับมาพักผ่อนที่บ้าน ผมที่คิดว่ามันคงเป็นอุบัติเหตุในขณะที่ผมนอนอยู่นั้นจึงได้เพียงแค่หลับตาลงนอนในที่สุด และภาวนาให้สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่บางสิ่งที่น่ากลัว

                ...ซึ่งมันก็ไม่เป็นไปตามในสิ่งที่ผมภาวนาไว้

                คืนนั้นที่ผมหลับอยู่ ผมกลับรู้สึกถึงบางสิ่งกำลังผ่าหน้าท้องของผมอยู่ ในวินาทีนั้นดวงตาของผมได้เปิดขึ้นมาและพบกับบางสิ่งที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าสิ่งใดที่ผมเคยพบเห็นตั้งแต่เกิดมา

                อสูรกายสีดำที่มีร่างคล้ายกับมนุษย์ ใบหน้าของมันถูกหน้ากากสีน้ำเงินปิดบัง เหลือไว้เพียงปากกับฟันอันแหลมคมที่ถูกอ้าออกมาแลบลิ้นอสรพิษยาวเกือบเมตรออกมา เล็บสีดำที่ยาวเหยียดและแหลมคมเช่นเดียวกับมีดผ่าตัดกำลังกรีดหน้าท้องผมออกจากกัน มันใช้มืออีกข้างที่ดูปกติหยิบบางสิ่งออกไป เมื่อผมรู้สึกตัวและหายมึนงงแล้ว ผมก็ได้ดีดตัวออกมาจากเตียงทันที นั่นทำให้อสูรกายตนนั้นจ้องเขม็งมาที่ผม ผมกรีดร้องออกมาอย่างหวาดกลัวสุดขีด ทันใดนั้นประตูห้องนอนของผมก็ถูกเปิดออกอย่างรุนแรง พร้อมกับร่างของผู้เป็นพี่ชายได้วิ่งเข้ามาพร้อมกับไม้เบสบอลเหล็ก

                “แจ็คกี้!!! ..เกิดอะไรขึ้น!!!” พี่ของผมตะโกนออกมาด้วยความเป็นห่วง ก่อนที่จะสังเกตเห็นอสูรกายร่างดำมืดที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้า “นี่มันตัวอะไรกันว่ะเนี่ย!”

                ทันใดนั้นเจ้าอสูรกายตนนั้นก็พุ่งเข้ามาขย้ำใส่ร่างของผม มันง้างปากออกมาเตรียมจะตะครุบศีรษะของผมให้แหลก แต่ไม้เบสบอลของพี่กลับถูกหวดไปที่กบาลของมันอย่างรุนแรง แต่มันกลับทำได้เพียงชะงักร่างของมันเท่านั้น โจเอลดึงร่างของผมออกมาทันที

                “แจ็ด..รีบหนีไปเดี๋ยวนี้!!!” พี่ชายของผมตะคอกใส่ผมด้วยความเป็นห่วง

                “แต่..” ผมไม่ทันพูดสิ่งใด พี่ก็ตะคอกใส่ผมอีกรอบด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดและดังกว่าครั้งใดๆ

                “ไปเดี๋ยวนี้!!!” พี่โจเอลยอมเสียสละในขณะที่ผมได้เพียงวิ่งหนีไปเท่านั้น

                “ขอให้โชคดีนะ..แจ็ค นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ชั้นจะได้เห็นหน้านาย ย้าก!!!..” นั่นคือคำพูดทั้งหมดที่ผมได้ยินจากปากของพี่ชายผู้เสียสละ ซึ่งมันคงเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้ยิน ผมที่ได้แต่วิ่งออกมาด้วยความกลัวและความโศกเศร้าที่ต้องทิ้งพี่ชายไว้กับเจ้าอสูรกายนั่น กลับไม่สนใจสิ่งใดและวิ่งไปบนถนนไม่ค่อยมีรถผ่านนัก

                ไม่ว่าเป็นมันจะเป็นโชคดีหรือโชคร้าย รถยนต์คันหนึ่งพุ่งตรงเข้ามายังร่างของผมจนล้มลงหมดสติ แม้ว่ารถคันนั้นจะไม่ได้ชนผมแม้แต่น้อย

                “แจ็คๆ” เสียงของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งดังขึ้นใกล้หูของผม ดวงตาที่ปิดมาสักพักหนึ่งได้ถูกเปิดขึ้นมาเพื่อมองชายผู้นั้น ซึ่งนั่นก็เป็นอาของผม ซึ่งกำลังนั่งเฝ้าผมด้วยความเป็นห่วง

                “ตื่นแล้ว..แจ็ค ..หลานตื่นแล้ว” อาของผมแสดงความดีใจออกมาทั้งน้ำตา โดยข้างหลังของอานั้นก็มีแพทย์ยืนอยู่ ไม่นานนักแพทย์คนนั้นก็ได้เดินมาคุยกับผมที่รู้สึกตัวอย่างสมบูรณ์

                “คุณแจ็คครับ..” แพทย์คนนั้นพูดขึ้นมาด้วยเสียงเรียบนิ่ง “หมอมีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายที่ทางอาของคุณไม่สามารถพูดออกมาจากปากเองได้ และข่าวร้ายจากทางหมอเองอีกหนึ่งเรื่อง”

                “ไม่ทราบว่าคุณจะเลือกฟังข่าวไหนก่อนครับ” แผทย์คนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง พร้อมกับอาของผมที่แลดูหดหู่มาก ผมได้เพียงแต่ขอให้ได้ยินความหวังเท่านั้น

                “ผมขอข่าวดีก่อนครับ” ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจังปนเศร้าหมอง

                “ข่าวดีคือคุณได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย และสามารถกลับบ้านได้ในอีก 1 ชั่วโมง” แพทย์พูดด้วยเสียงเรียบนิ่ง

                “แล้วข่าวร้ายล่ะครับ..” ลางสังหรณ์ของผมกลับรู้สึกไม่ดี เมื่อจะได้ฟังบางสิ่งที่หมอคนนี้กำลังพูดออกมา

                “ดีฟ..พี่ชายของคุณได้เสียชีวิตลงอย่างลึกลับและสยดสยอง” เมื่อหมอกล่าวออกมา น้ำตาของผมพลันไหลออกมาทันใด ส่วนอาผทนั้นรีบเดินออกจากห้องทันที

                “ส่วนข่าวร้ายอีกเรื่องคือ..ไตของคุณข้างนึงได้หายไปอย่างลึกลับ” แพทย์พูดจบ เขาก็พูดให้กำลังใจผมแล้วเดินออกจากห้องไป

                ในขณะเดียวกัน อาของผมที่เอามือปาดน้ำตาที่ไหลออกมาก็ยิ้มแล้วพูดให้กำลังใจผมที่เริ่มจะหมดความหวังกับการมีชีวิตอยู่เรื่อยๆ น้ำตาของผมไหลพรากออกมา ผมกรีดร้องออกไปด้วยเสียงที่ดังมากก่อนที่สติของผมจะเลือนหายไป เหลือเพียงแต่ร่างกายที่ตอบสนองต่อคำพูดดังเป็นเพียงแค่หุ่นเชิด มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเกิดขึ้นกับคนที่โศกเศร้ามากเพราะการสูญเสียแทบทุกสิ่งในชีวิต ผมอาจเสียสติไปแล้วจริงๆก็ได้ ภาพหลายๆสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมไม่ได้จดจำสิ่งเหล่านั้นแม้แต่น้อย มีเพียงแค่ความเศร้าโศกและความหม่นหมองเท่านั้นที่อยู่ในหัวของผม มันวนเวียนไปมาตลอดทั้งวันจนถึงบ้านของพี่ชาย สติผมกลับมาเล็กน้อย พอให้ผมรู้สึกตัว ผมเปิดประตูลงจากรถที่อาไม่ได้อยู่ เพื่อไปดูบ้านของพี่ชายอีกครั้ง ตำรวจและเจ้าหน้าที่เก็บศพเข้ามาบริเวณบ้านอยู่จำนวนไม่น้อย โดยทางเจ้าหน้าที่เก็บศพนั้นได้ยกศพที่ถูกผ้าปิดบังใบหน้าไว้ ผมจึงเห็นเพียงแค่ร่างที่ถูกบางสิ่งกรีดและข่วนจนเกิดรอยแผลเหวอะหวะเต็มร่างกายอีกทั้งส่วนช่องท้องยังถูกเปิดให้เห็นอวัยวะภายในที่มีคราบของเหลวสีดำอยู่ด้วย ไม่นานนักผ้าที่ปิดใบหน้าของศพกลับถูกพัดโดยลม ทำให้ผมได้เห็นว่าศพนั้นคือร่างของพี่ชายโดยใบหน้าของเขานั้นมีรอยแผลมากมายอีกทั้งยังถูกควักลูกตาทั้งสองออกไปจนกลวงโบ๋อีกด้วย ผมที่เห็นร่างของพี่ชายก็ได้สลดลง

                ก่อนที่ผมจะเดินไปพบบางสิ่งที่ถูกเคลือบไปด้วยของเหลวสีดำ ผมหยิบมันขึ้นมาดู แต่นั่นกลับทำให้ผมต้องอาเจียนออกมาเพราะสิ่งนั้นคือไตที่ถูกกัดกินไปโดยบางสิ่ง ผมโยนมันทิ้งลงพื้นทันที แต่แล้วอาของผมที่เห็นผมอาเจียนออกมาก็รีบพาผมขึ้นรถและกลับไปที่บ้านของเขาทันที ซึ่งใช้เวลาไปมากเพราะบ้านของพี่และอานั้นอยู่ห่างกันเกือบจะเป็นคนละเมือง จนทำให้มืดค่ำไปเสียก่อน เมื่อถึงบ้านของอา ผมนำข้าวของทั้งหมดที่อาเก็บมาให้ได้ไปวางไว้บนห้องนอน ในขณะที่ผมกลับเปิดคอนพิวเตอร์เพื่อเขียนเรื่องทั้งหมดที่ผมได้พบเจอมาไว้ในสื่อออนไลน์เป็นบทความ ทันที่ผมกดอัพโหลดบทความนั้นเพื่อเป็นการระบายอารมณ์ความรู้สึกไป มันคล้ายกับได้ลดทอนความรู้สึกเศร้าหมองและเจ็บปวดที่หนักอึ้งออกไปบ้าง ผมปิดคอมพิวเตอร์ลง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่อาผมบอกให้ผมขึ้นนอน เมื่อผมทำทุกอย่างเสร็จสิ้น ผมก็ไม่รอช้ารีบขึ้นไปนอนทันที แม้วันนี้จะไม่เหนื่อยล้ามากนัก แต่ด้วยการสูญเสียที่มากมายสำหรับเด็กหนุ่มอายุ 17 อย่างผมนั้นมันก็มากเกินไป

                ผมนอนครุ่นคิดไปมาภายในความมืดมิดอยู่พักใหญ่ ไม่นานนักเสียงของบางสิ่งก็ดังขึ้นอีกครั้ง ประตูค่อยๆถูกแง้มเปิด ผมนอนนิ่งลงทันที ทำเพียงข่มตาหลับ แต่ทันใดนั้นเองมือสองข้างของบางสิ่งได้จับหัวของผมไว้ นั่นทำให้ผมที่ไม่อยากจะเปิดตามามองมันต้องฝืนหรี่ตามอง

                อสูรกายตนเดิมมองมาที่ผมในตอนนี้หน้ากากของมันถูกเลื่อนไปไว้ข้างศีรษะแทนนั่นทำให้ผมได้เห็นดวงตาที่กลวงโบ๋ที่มีของเหลวสีดำไหลออกมาเป็นจำนวนมาก มันแสยะยิ้มจนมุมปากแทบฉีกจนถึงใบหู ผิวหนังของมันเมื่อถูกแสงจันทร์สาดส่องผ่านกลับแสดงให้เห็นถึงสีเทาหม่นหมอง

                “ฉันขอรับไตอีกข้างของนายแล้วกันนะ” มันงอกเล็บสีดำอันคมกริบของมันออกมา ก่อนจะเริ่มกรีดส่วนอกและส่วนท้องของผมออก ผมกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างมหาศาล

                ไม่นานนักมันก็ดึงกล้ามเนื้อส่วนหน้าท้องและหน้าอกของผมออกๆไปจนหมด ทำให้ทั้งผมและมันได้เห็นอวัยวะภายในที่กำลังทำงานอยู่ เลือดค่อยๆไหลออกจนคล้ายกับผมกำลังจะตาย แต่ในขณะนั้นเองเบ้าตาของมันกลับเปล่งแสงสีแดงออกมา ผมที่จ้องมองมันไป กลับรู้สึกคล้ายกับว่าผมจะไม่รู้สึกว่าสติผมจะเลือนลางอีกต่อไป รู้สึกว่าเลือดของผมกำลังแข็งตัวอยู่ตลอดเวลา และรู้ได้ว่าผมต้องทรมานอย่างนี้ไปจนกว่าผมจะถูกควักอวัยวะภายในออกจนหมด มันบ้วนของเหลวสีดำที่อยู่ในดวงตาของมันออกมาทางปากไปบนซี่โครงเพียงหยดเล็กๆ ไม่กี่จุด แต่กลับกัดกร่อนกระดูกซี่โครงของผมออกจนหมด มันเก็บเล็บยาวของมือขวาลงแล้วควักอวัยวะภายในของผมออกมาทีละชิ้น

                ผมกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียงด้วยความเจ็บปวดอย่างเหลือหลาย ผมพยายามจะใช้มือทั้งสองเข้าโจมตีใส่มันแต่กลับถูกเล็บยาวที่มือซ้ายตัดแขนทั้งสองจนขาดสะบั้นไปอย่างรวดเร็ว เลือดจากมือที่ถูกตัดไปนั้นไม่ไหลออกมาแม้แต่น้อย น้ำตาของผมไหลพรากด้วยความเจ็บปวด แต่แล้วประตูของผมก็ถูกเปิดขึ้นมา คล้ายกับเป็นเหตุการณ์ที่ผมเคยพบที่บ้านของพี่ แต่ในครั้งนี้กลับเป็นอาของผม เขามาพร้อมกับปืนพกที่จ่อยิงไปที่อสูรตนนั้น

                “นี่แกจะทำอะไรหลาน..ชะ..อั้ก” ยังไม่ทันที่อาของผมจะพูดจบ เขากลับถูกตัดมือที่ถือปืนพกอยู่ ก่อนที่จะถูกเล็บแหลมคมนั้นปาดคอจนศีรษะของเขาหล่นลงสู่พื้นดินอย่างรวดเร็ว เลือดนั้นพุ่งออกมาจากส่วนลำคอที่ถูกตัดออกไปด้วยแรงดันสูง ก่อนที่ร่างของเขาจะล้มลงไปนอนกองกับพื้น เป็นการปลิดชีวิตคนอื่นอย่างเลือดเย็น

                ผมที่มองอาตายต่อหน้าต่อตาได้หมดความหวังที่จะมีชีวิตลง นัยน์ตาของผมไร้แววความมีชีวิตชีวา ผมได้เพียงมองมันดึงลำไส้ของผมออกมากัดกินอย่างสบายใจ แต่แล้วเรื่องที่ไม่คาดฝันกลับเกิดขึ้น อากาศด้านบนผมและมันกลับเกิดรอยแตกร้าวก่อนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ปรากฏแสงสีชมพูจ้าสาดส่องเข้ามา มันร้อนมากพอที่จะทำให้ผมรู้สึกตัวว่ามันแทบจะหลอมผมเหลวไป ซึ่งนั่นเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น ต่างจากเจ้าอสูรตนนั้นที่กรีดร้องออกมาเพราะถูกรังสีสีชมพูนั้นแผดเผาร่างจนเหลวเละ หน้ากากของมันหลุดออกและตกลงสู่พื้นไปก่อนที่มันจะเหลวเละมารวมทับกันบนร่างของผม ทันทีที่ร่างของมันซึ่งเป็นดั่งโล่ป้องกันรังสีของผม ได้ถูกหลอมละลายไป มันก็เป็นตาที่ผมจะถูกความร้อนนั้นหลอมเหลวไปบ้าง แต่ในครั้งนี้มันแตกต่างออกไป เพราะมันกลับรู้สึกต่างจากการได้รับความเจ็บปวด แต่เหมือนกลับว่าร่างที่เหลวเละของอสูรตนนั้นกำลังหลอมรวมเข้ามาในร่างของผม จนสุดท้ายผมกลับทนไม่ไหวจนได้หมดสติไปเสียก่อน

                แสงอันเจิดจ้าดับลง ไม่นานหลังจากนั้นผมได้สติลืมตาตื่นขึ้น ผมมองเห็นศพของอาที่ถูกฆ่าไปโดยอสูรกายตนนั้น ผมรีบวิ่งไปหาเขาทันที

                “อาครับๆ ได้โปรดเถอะครับ..ผมไม่เหลือใครอีกแล้ว” ผมได้แต่ภาวนาในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้กับศพของคนที่ตายไปแล้วแน่นอน แต่เมื่อผมยื่นมือเข้าไปจับร่างของเขา ผมกลับพบว่าแขนของผมมีผิวสีเทาหม่นหมอง คล้ายกับผิวของอสูรกายที่ฆ่าอาไป ผมตกใจมากจนต้องดีดตัวขึ้นมายืนตะลึง

                แต่แล้วเมื่อผมหันไปในจุดที่มีกระจกเงาซึ่งสะท้อนภาพร่างกายของผมนั้นก็ได้ทราบว่าร่างที่เปลือยเปล่าของผมทั้งหมดมีผิวเป็นสีเทาหม่นหมอง ดวงตา จมูกและปากมีของเหลวสีดำไหลรินออกมา บาดแผลต่างๆถูกฟื้นฟูอย่างน่าประหลาด เล็บมือของผมเป็นสีดำและแหลมคมกว่าปกติมากจนอาจเท่ากับอสูรตนนั้นเสียด้วย และที่สำคัญดวงตาของผมกลับหายไปเหลืองเบ้าตาที่กลวงโบ๋ไว้เท่านั้น ผมได้กลายเป็นเจ้าอสูรตนนั้นไปแล้วเหรอ...

                วินาทีนั้นผมแทบเป็นบ้า แต่ด้วยการสูญเสียทั้งหมดทั้งมวลนั้นผมกลับแทบหมดความรู้สึกทุกอย่าง ผมหยิบหน้ากากที่ตกอยู่ มันเป็นหน้ากากที่มีเพียงรูของดวงตา ไร้ช่องสำหรับปากและจมูก หน้ากากของอสูรตนนั้นตกลงมาขณะที่ร่างของมันได้หลอมรวมกับผม ซึ่งมีสีน้ำเงินเข้ม อีกทั้งยังมีร่องรอยของของเหลวสีดำที่ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสอง ผมตัดสินใจใส่มันเพื่อปิดบังใบหน้าของผม ก่อนจะหยิบปืนพกและก้าวข้ามศพของอาไปอย่างช่วยไม่ได้ แล้วไปหาเสื้อผ้าที่เหลืออยู่ในกระเป๋า มันเป็นเสื้อกันหนาวสีดำและกางเกงขายาวสีเขียวเข้มและรองเท้ากีฬาสีดำเท่านั้น

                ผมเร่งเปิดประตูและเดินออกจากบ้านร่อนเร่ไปตามถนน โดยใช้ฮู้ดเป็นเครื่องกำบังไม่ให้ผู้อื่นเห็นใบหน้าของผม ก่อนที่ผมจะเริ่มยอมรับชะตากรรมอันแสนโชคร้ายและไม่ยุติธรรมนี้เอาเสียมาก อยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่มันก็ทำได้เพียงอยู่ต่อไปอย่างทรมาน ผมเดินมาจบลง ณ ตรงช่องว่างระหว่างตึกซึ่งเป็นสถานที่ที่สกปรกและมีแต่ขยะมากมาย ผมล้มตัวลงนั่งตรงนั้น ผมถอดหน้ากากออกด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งความหวัง ผมหยิบปืนพกออกมาจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมามองมันสักพักนึง รำลึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาในชีวิตและยิ้มเยาะให้กับมัน

                “ชีวิตของชั้นนี่..ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยนะ” ผมพูดขึ้นก่อนจะยกปืนพกนั้นขึ้นมาจ่อที่หัวแล้วเตรียมลั่นไก

                ปั้งงง!!! เสียงปืนนั้นดังขึ้นมาในย่านที่ไร้คนเดินเมื่อยามค่ำคืน ชายไร้ชื่อเสียงผู้โชคร้ามาทั้งชีวิตได้จบชีวิตลง ณ ที่แห่งนี้ ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่ผมคิด แต่ผมนั้นกลับลืมตากลับมาได้ ผมยังมีชีวิตอยู่ ผมหันหน้าขึ้นไปมองผู้ที่ขัดขวางการจบชีวิตด้วยตัวผมเองอยู่ เขาเป็นชายหนุ่มอายุรุ่นคราวเดียวกับผม ผมสีน้ำตาลคล้ำ กับดวงตาสีน้ำเงินสว่างแวววาว เขามองมาที่ผมอย่างไม่หวาดกลัวหน้าตาของผมแม้แต่น้อย เขายื่นมือมาสัมผัสหน้าอกของผม

                “คงจะเจ็บปวดมากสินะ..” ชายปริศนากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก “ข้างในนี้น่ะ”

                ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว หลังจากนั้นผมร้องไห้ออกมาเหมือนเด็ก มือที่ถือปืนซึ่งได้ถูกชายปริศนาปัดออกจากมือผมไปนั้นร่วงลงสู่พื้น ผมโผเข้ากอดเขาทันที ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม แต่ตอนนี้เขาได้เป็นคนที่ช่วยชีวิตสิ่งมีชีวิตที่ไร้ค่าและหมดความหวังเอาไว้ ก่อนที่เขาจะยื่นมือเข้ามาที่ผม ผมที่ปาดน้ำตาอยู่ก็ได้มองด้วยความสงสัย

                “มาเริ่มต้นใหม่กัน..” เขาพูดขึ้นมา พร้อมกับหยิบหน้ากากด้วยมือข้างที่เหลือมาให้กับผม ผมรับมันไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา “เรามาเป็นครอบครัวเดียวกันเถอะนะ..”

                วินาทีนั้น น้ำตาของผมไหลพรากออกมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันต่างจากครั้งก่อนๆ เพราะน้ำตาที่ไหลออกมาในครั้งนี้ มันเป็นน้ำตาแห่งความสุขและอิ่มเอมที่ได้รู้ว่าคนอย่างผมได้มีคุณค่าอีกครั้ง ชายคนนี้ได้เติมความหวังเล็กๆ ให้กับผม ผมหยิบหน้ากากขึ้นมาสวมเพื่อปิดบังใบหน้าตนเองเช่นเดิม แม้ว่าจะยังคงร้องไห้อยู่ ผมยื่นมือเข้าไปจับมือของเขาทันที ก่อนที่เขาจะดึงตัวผมขึ้นมาให้ยืนได้ดังเดิม

                “คุณชื่ออะไรครับ..” ผมถามผู้เติมความหวังให้กับผมออกไป

                “ผมคราย..คราย คราโอติคครับ” นั่นคือคำพูดที่ฝังลึกอยู่ในใต้จิตสำนึกของผม คำพูดแห่งความหวังและเป็นชื่อของบุคคลที่ทำให้ผมได้มีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่อีกครั้ง

                 “แจ็ค! ..แจ็ค! ..แจ็ค!!!”  เสียงของนิน่าได้ดังขึ้นมาจนมันสามารถดึงตัวผมออกจากวังวนของความทรงจำเก่าๆในหัว ผมหันหน้าไปหาเธอ ที่แสดงสีหน้าเป็นห่วงผมเป็นอันมาก

                 “เกิดอะไรขึ้นเหรอ..นิน่า” ผมถามเธอออกไปปด้วยน้ำเสียงจริงจัง

                 “ก็หลังจากที่นายตะโกนคำว่า ‘คราย’ ออกไป เธอก็นิ่งไปนานเกือบ 5 วิเลยนะ..” นิน่าพูดขึ้นด้วยท่าทีเป็นห่วง “นายเป็นอะไรหรือเปล่าน่ะ..แจ็ค”

                 “เปล่าหรอก..ชั้นไม่เป็นไร” ผมพูดออกไป ทำให้เธอถอนหายใจโล่งอกออกมา “แค่ความทรงจำเก่าที่เจ็บปวด กับความทรงจำของครายมันย้อนกลับมาน่ะ”

                 “ตกลงแล้วเจ้าบ้านั่นคือครายงั้นเหรอ..” นิน่าชี้ไปที่ชายผู้สวมหน้ากากสีขาวที่กำลังลอยอยู่เหนือร่างของสหายของพวกเรา

                 “ให้พูดว่าใช่..ก็คงจะพูดไม่เต็มปากล่ะนะ” ผมตอบกลับไปด้วยเสียงกังวลใจ “ครายน่ะเป็นคนที่จิตใจดี ใจเย็น สุขุม และมีเพียงแค่พลังเทเลคืเนซิส หรือ พลังเคลื่อนย้ายสิ่งของระดับต่ำเท่านั้น”

                 “แต่นี่..ไม่ใช่ครายที่ชั้นรู้จักแล้วล่ะ” ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง โดยสายตามองไปยังเพื่อนสนิทคนเก่าที่กลายเป็นศัตรูที่กำลังจะทำร้ายครอบครัวของพวกเรา “แต่เขาเป็นศัตรูที่อันตรายที่สุดของพวกเราไปแล้วต่างหากล่ะ”

                 “เฮ้! พวกนายเงียบหน่อย..เดี๋ยวเจ้าพวกนั้นก็ได้ยินเรากันพอดี” ลูว์ พี่ชายของเจฟได้เอ่ยขึ้น ก่อนที่ผมและนิน่าจะมองไปยังสถานการณ์เบื้องล่าง

                 “ถ้าเจ้าเป็นผู้ที่มีพลังมากที่สุดจากทั้งสามคนนั้น ก็จงแสดงมาให้ช้าได้เห็นซะ” ฮีโร่บรายกล่าวขึ้นมา ก่อนที่เขาจะพุ่งเข้าไปหาคราย พร้อมกับง้างมือเตรียมต่อยใส่ใบหน้าของคราย

                 แต่ในวินาทีที่กำปั้นของฮีโร่บรายจะซัดใบหน้าของคราย ร่างของเขากลับหยุดลงอย่างกระทันหัน แขนของเขาสั่นระรัว เหงื่อของผู้แข็งแกร่งไหลออกมาจากใบหน้าเป็นจำนวนมาก

                 “พลังของชั้นน่ะทำอะไรแกไม่ได้ก็จริง..แต่มันไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีผลกับอสูรร้ายที่อยู่ในจิตใจแกหรอกนะ” ครายแสยะยิ้ม แล้วเริ่มหัวเราะออกมา ในขณะที่ทางร่างของฮีโร่บรายนั้นเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง นิ้วมือของเขาได้หายไป มือของเขาบวมใหญ่ขึ้นจนเป็นบล็อคสี่เหลี่ยมสามมิติ มันเปลี่ยนสภาพร่างกายของฮีโร่บรายอย่างรวดเร็ว เหล่าครีปปี้พาสต้าคนอื่นๆนั้นตกใจอย่างมาก เขาพยายามจะเข้าไปช่วยฮีโร่บราย แต่ชายผู้แข็งแกร่งที่กำลังถูกโค่นลงได้ตะโกนออกไปทันใด

                 “พวกเจ้าทุกคนรีบหนีไปให้ห่างจากข้าให้เร็วและไกลที่สุดซะ..ก่อนที่มันจะสายไป” แทบจะทันทีที่ฮีโร่บรายกล่าวจบ ร่างกายของเขาก็ได้แปรสภาพเป็นบล็อคสี่เหลี่ยมไปทั้งตัว เปลือกตาของเขาหายไป ใบหน้าของเขาแบนราบลงเป็นดั่งสี่เหลี่ยม เสื้อผ้ากับผิวหนังของเขาถูกแนบติดกันเป็นชิ้นส่วนเดียวกัน ข้อต่อต่างๆหายไปจนหมดสิ้น ร่างของเขาหยุดนิ่งไปทันที

                 เหล่าครีปปี้พาสต้าฝ่ายผู้โจมตีต่างไม่เชื่อฟังคำพูดของฮีโร่บรายแต่อย่างใด พวกเขาต่างรีบเดินเข้าไปหาฮีโร่บรายในร่างบล็อคที่นิ่งเงียบไป ยกเว้นแต่ลาอ้อน แม็กซิมัส ลางสังหรณ์ของผมบอกถึงลางไม่ดีที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า

                 “เฮ้! เจ้าตาขาว.. นายเป็นอะไรมะ..” ไม่ทันที่เจฟจะได้พูดจบ ศีรษะของเขาพลันถูกแขนสี่เหลี่ยมฟาดใส่จนแหลกเหลวและปลิวกระเด็นไปชนกับผนังโกดังทันที

                 คลื่นพลังสีดำพุ่งพรวดออกมาจากร่างกายของชายผู้แข็งแกร่ง ซึ่งในตอนนี้ได้ถูกครายควบคุมจิตใจโดยสมบูรณ์แล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมามองเหล่าครีปปี้พาสต้าที่เหลือ ดวงตาสีขาวโพลนมีควันสีขาวทรงพลังลอยออกมาอย่างรุนแรง เขาเริ่มร่ายเวทมนตร์ออกมาเป็นภาษาที่ประหลาดที่ไม่ได้เกิดขึ้นบนโลกนี้ออกมา ทันใดนั้นเองบนฟากฟ้าพลันปรากฏสิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาดออกมา มันมีรูปร่างสีเขียวคล้ายพืชเถาวัลย์ มีหัวและลำตัวต่อกัน ไม่มีแขน มีขาอยู่สองคู่ใต้ร่างบล็อคสี่เหลี่ยมของมัน พวกมันต่างปรากฏออกมาเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยตัว เสียงบางสิ่งที่ดูคล้ายการจุดระเบิดดังขึ้นออกมา เหล่าสิ่งมีชีวิตประหลาดต่างเริ่มมีสีที่จางลง ต่างจากตัวของมันที่บวมขึ้นและสุดท้าย...

                 ตู้ม!!! ระเบิดจำนวนกว่าร้อยลูกกระหน่ำใส่เหล่าครีปปี้พาสต้าที่เหลือ โกดังนั้นพังทลายลงในชั่วพริบตาจนแม้แต่ผมและพวกของผมไม่ทันตั้งตัวจึงได้ร่วงหล่นลงมาพร้อมกับซากชิ้นส่วนโกดัง ส่วนทางแม็ก จูเนียร์ได้รับโล่พลังสีฟ้าจากครายที่มีโล่ป้องกันตัวเองเรียบร้อยแล้ว

                 เมื่อควันไฟจากการการระเบิดนั้นจางหายไปจนหมด ผมก็ได้มองไปยังเพื่อนฝูงที่เหลือ ผมเบิกตากว้างทันที เมื่อพบว่าเพื่อนทุกคนต่างนอนกองกับพื้น แต่ความน่าประหลาดใจคือพวกเขาไม่มีบาดแผลเจ็บปวดแม้แต่น้อย แต่เมื่อผมมองยังลาอ้อนที่เป็นคนเดียวที่ไม่ได้เข้าใกล้ฮีโร่บรายกับพบว่าเขานั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสมากกว่าทุกคน ใบหน้าและร่างกายของเขาถูกอาบไปด้วยเลือดและรอยแผล เสื้อของเขาขาดวิ่น คล้ายกับว่าตัวเขานั้นได้ดูดซับความเสียหายทั้งหมดของทุกคนไว้กับตัวเองที่เป็นเรียลิตี้เบนเดอร์ที่ตายยากอยู่แล้ว โดยเขานั้นได้สร้างโดมป้องกันตัวเองจากระเบิดไว้ด้วยเช่นกัน แต่เมื่อการระเบิดจบลง เขาก็นั่งทรุดลงกับพื้น โดยข้างหลัวเขานั้นมีเจน เดอะ คิลเลอร์นอนอยู่ ดวงตาของเธอเบิกขึ้นก็ได้พบกับเด็กหนุ่มผมทองนั่งทรุดลง

                 “ลาอ้อน!!!” เจนตะโกนออกไป ก่อนจะเคลื่อนที่เข้าไปดูอาการบาดเจ็บของเขา แล้วเธอจึงได้รู้ว่าพวกพ้องของพวกเธอทั้งหมดนั้นได้ถูกจัดการหมดแล้ว “ทุกคน!!!”

                 “อั้ก! นี่..เจ๊ เป็นอะไรมั้ย” ลาอ้อนถามเจนด้วยน้ำเสียงแหบแห้งและเป็นห่วง

                 “เด็กบ้า! ห่วงตัวเองบ้างสิย่ะ..” แต่เมื่อหญิงสาวจะเข้าไปดูแผลของลาอ้อน เธอก็ถูกผลักออก ก่อนที่ลาอ้อนจะพูดออกมา

                 “รีบหนีไปเถอะ..เจ๊ ไม่ต้องห่วงชั้นหรอก” ลาอ้อนพูดออกมาพร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มยียวนที่จวนจะหมดแรงเต็มที

                 “เจ้านั่นมีพลังมากกว่าที่ชั้นคิดไว้ซะอีกนะ” แม็กพูดกับจูเนียร์ที่ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับฮีโร่บราย แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ ครายก็ได้หันไปมองแม็ก

                 “จับพวกมันเอาไว้ในช่องว่างซะ..แม็ก” เมื่อครายพูดจบ แม็กก็เปิดหนังสือออกมาก่อนจะเริ่มร่ายเวทมนตร์ สร้างลูกแก้วใสล้อมรอบร่างเพื่อนครีปปี้พาสต้าที่สลบอยู่เอาไว้ ผมที่รู้สึกไม่ดีที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้แม้แต่ได้เพียงแค่มองพวกเขาถูกขังเอาไว้ในลูกแก้ว ไม่นานนักลาอ้อนและเจนก็ได้ถูกล้อมรอบด้วยลูกแก้วใส

                 “ใครมันจะไปยอมกันเล่า..” ลาอ้อนตะโกนออกมา เขาถีบลูกแก้วนั้นจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนจะต่อยใส่ลูกแก้วของเจนจนแตกออกเช่นเดียวกัน ลูกแก้วลูกอื่นที่ไม่ได้ถูกลาอ้อนต่อยใส่พลันเคลื่อนที่ไปที่แม็ก เมื่อเขาได้ปิดหนังสือลง เหล่าลูกแก้วทั้งหมดได้อันตรธานหายไปจนหมดเพียงชั่วพริบตา

                 “ดื้อดึงซะจริงนะ..ลาอ้อน แม็กซิมัส” ครายแสยะยิ้มก่อนที่จะสั่งการให้ฮีโร่บรายเข้าโจมตีใส่ตัวลาอ้อนที่บาดเจ็บสาหัสอยู่ ชายหนุ่มผมทองเห็นดังนั้นจึงจับแขนของเจนแล้วเหวี่ยงมาทางพวกผม

                 “ฝากเจ๊เค้าไว้ด้วยล่ะ..อายเลส แจ็ค” ทันทีที่ลาอ้อนพูดจบ ฮีโร่บรายพลันกระโดดลงมาโจมตีใส่ร่างของลาอ้อนทันที ชายหนุ่มได้เพียงใช้พลังเสริมกำลังให้กับตัวเองให้มากที่สุด แต่มันกลับไม่พอ ทำได้เพียงแค่ต้านการโจมตีของฮีโร่บรายได้เพียงแค่ 1 ครั้ง ก่อนจะถูกผลักออกไปแล้วถูกดาบสีฟ้าเล่นเดิมฟันขวางใส่ร่าง เลือดสาดกระเซ็นออกมาทันที ลาอ้อนที่ไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้านล้มคุกเข่าลงไปนอนกองกับพื้น ทางผมนั้นรีบพยุงตัวของเจนขึ้นแล้วรีบวิ่งออกไปที่ทางออกให้เร็วที่สุด แต่ครายและพวกของเขาได้เห็นพวกผมเสียก่อนแล้ว

                 “จัดการพวกมันซะ!!!” ครายตะโกนออกไป ฮีโร่บรายนั้นคำรามออกมาเป็นเสียงกึกก้องที่แฝงไปด้วยพลังของความบ้าคลั่งและความทรงพลังที่ไร้ขีดจำกัด

                 ฮีโร่บรายรีบกระโดดเข้ามาโจมตีใส่พวกผมด้วยใบดาบสีฟ้าที่ได้ใช้ฟันลาอ้อนไป แต่ในครั้งนี้ใบดาบนั้นกลับถูกอาบด้วยออร่าสีม่วงเข้มจนปรากฏคลื่นพลังที่มหาศาลไร้ขีดจำกัด ผมได้เพียงหวังว่าการโจมตีนั้นจะพลาดพลั้งไป แต่นั่นก็เป็นความหวังลมๆแล้งๆ

                 ...รึเปล่า!?

                 บางสิ่งพุ่งพรวดเข้ามาบังร่างของพวกเราทั้งหมด ชายผู้มีผมสีดำกับเสื้อแจ็กเก็ตสีน้ำเงินพลันปรากฏเบื้องหน้าผม นั่นทำให้การโจมตีที่ฮีโร่บรายฟันมา ถูกรับโดยชายปริศนาผู้นี้คนเดียว ผมมั่นใจว่าเขาต้องตายเป็นแน่แท้ไม่ว่าจะมีพลังมากแค่ไหนก็ตาม

                 ...แต่ผมคิดผิด...

                 ไม่มีแม้แต่เลือด ไม่มีแม้แต่เสียงกรีดร้อง ไม่มีแม้แต่การขยับเคลื่อนที่ของชายปริศนาผู้นี้ ในวินาทีหลังจากที่ฮีโร่บรายฟันใส่เขา ตัวของฮีโร่บรายกลับเปล่งแสงสีแดงรอบร่าง ชายผู้ไร้เทียมทานกระอักเลือดออกมา บาดแผลรอยฟันของดาบปรากฏขึ้นบนร่างของเขาทันใด ก่อนที่ร่างของเขาจะล้มลงและเปลี่ยนสภาพเป็นฮีโร่บรายร่างมนุษย์เช่นเดิม

                 “พวกท่านรีบหนีไปเถอะครับ” ชายปริศนาพูดออกมา ก่อนที่จะหันหน้ามาหาผม ผิวสีน้ำตาลคล้ำ กับใบหน้าที่ดูคล้ายชนชาวสุเมเรียนโบราณปนเปกับชาวอาหรับ นัยน์ตาของเขามีสีฟ้าดั่งลูกแก้วเรืองแสง ผมที่หยิกหยักศก พร้อมกับสัญลักษณ์ประหลาดบนศีรษะของเขา “ทางผมจะจัดการทางนี้เองครับ”

                 ในวินาทีที่ทุกคนทั้งฝั่งผมและผั่งของครายกำลังนิ่งอึ้งอยู่นั้น ชายคนนี้ก็เดินเข้าไปที่ร่างของลาอ้อนก่อนจะช้อนตัวของเขาขึ้นมาอุ้มบนอ้อมแขน แล้วจึงเดินเข้ามาส่งร่างให้กับผมอย่างสบายใจไม่ทุกข์ร้อนแต่อย่างใด

                 “พวกท่านกลับบ้านไปเถอะนะครับ..” ชายปริศนาพูดพร้อมกับใบหน้าที่มีรอยยิ้มที่อ่อนโยนประทับอยู่ ผมที่รู้สึกตัวจากคำพูดของเขาก็รีบรับร่างของลาอ้อนมาขี่หลัง “ที่นี่มันอันตรายเกินไปนะครับ”

                 “ขอบคุณคุณมากครับ..คุณก็ระวังตัวด้วยล่ะ” ผมกล่าวขอบคุณ ก่อนที่จะได้กล่าวบอกลา “..พวกผมไปล่ะครับ”

                 ชายปริศนาพลันหันมาทางพวกผม แล้วแสดงท่าทางวิงวอนแล้วจึงมองขึ้นไปบนฟากฟ้า

                 “ขอให้พระเจ้าทรงคุ้มครองพวกท่านด้วย..” ชายปริศนาพูดจบ ผมก็โค้งตัวแล้วรีบวิ่งออกไป ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่ครายและพวกของเขาตั้งสติกันกลับมาได้ ชายปริศนาคนนั้นจึงหันไปมองด้วยท่าทางไม่หวั่นเกรง โดยแม็กก็ได้จับตัวฮีโร่บรายที่บาดเจ็บเก็บไว้ในลูกแก้วและสลายหายไปเช่นเดียวกับคนอื่นๆ

                 “การหลงผิดทำร้ายผู้บริสุทธิ์เป็นหนึ่งในบาปที่หนักหนา..พวกท่านควรเลิกกระทำสิ่งนั้นเสียตอนนี้เถอะครับ” ชายแปลกหน้าเอ่ยออกไปด้วยความหวังดี ในขณะที่ทั้งสามคนต่างมองไปที่เขาด้วยสายตาที่หวั่นเกรง รวมทั้งครายด้วยเช่นกัน

                 “นี่แกเป็นใครกันน่ะ” บุรษทั้งสามต่างพูดพร้อมกัน ในขณะที่ชายปริศนายังคงยืนนิ่งอยู่

                 “ผมคือผู้กระทำบาปหนักคนแรกบนโลกแห่งนี้และถูกพระผู้เป็นเจ้าสาปเพื่อเป็นการลงทัณฑ์ต่อบาปนั้น” ชายปริศนากล่าวขึ้นมา ในขณะเดียวกันนั้นเองครายพยายามจะใช้พลังจิตของตนเองเข้าไปอ่านจิตใจของชายผู้นี้ แต่กลับได้รับบางสิ่งกลับมาแทน

                 “อ้ากกกกก!!!” ครายตะโกนกรีดร้องอย่างเจ็บปวด แม้ว่าชายตรงหน้าจะไม่ได้เคลื่อนที่แม้แต่น้อยก็ตาม

                 “คราโอติค!” แม็กตะโกนออกไปพร้อมมาดูอาการเพื่อนของตน ในขณะที่จูเนียร์ยังคงมองไปที่ชายผู้นั้นอย่างไม่ละสายตาลงแม้แต่น้อย

                 “ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ..ถ้าหากคุณไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายผม” ชายปริศนาโค้งตัวขอโทษศัตรูที่จะทำร้ายเค้า “ผมคงจะลืมบอกไปว่า...”

                 “คำสาปที่พระองค์ให้ต่อผมมานั้นคือ..สิ่งใดก็ตามที่กระทำการบางอย่างต่อผมทั้งสัมผัสหรือไม่สัมผัสก็ตามแต่ มันจะสะท้อนกลับคืนไปที่ผู้ใช้หรือสิ่งๆนั้น 7 ถึง 777 เท่า”

                 “ผมคือบุตรชายของมนุษย์คู่แรกบนโลกนี้ นามของผมคือ...” ชายปริศนาได้กล่าวขึ้นก่อนจะยื่นมือไปข้างหน้า แสดงท่าทีจะจับมือ “...คาอิน”

                 “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

          คาอิน บุตรแห่งอาดัมและอีฟ

 คาอิน บุตรชายแห่งอาดัมและอีฟ

รูปภาพ : http://img09.deviantart.net/7972/i/2014/158/4/a/scp_073_by_houry_hou-d7lhaj1.png

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา