Creepypasta Family The Broken Myth

9.5

เขียนโดย Leragan

วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.43 น.

  24 chapter
  9 วิจารณ์
  37.85K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 14.07 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

18) ก่อนการได้รับ (Before The Gain)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               ภายในคฤหาสน์ของมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้า สถานที่ที่เหล่าครีปปี้พาสต้าจำนวนหนึ่งอาศัยอยู่ ซึ่งในขณะนี้ประชากรผู้อยู่อาศัยนั้นหายไปเกือบครึ่งหนึ่ง ซึ่งต้นเหตุนั้นเกิดจากการการเข้าไปต่อสู้กับกลุ่มศัตรูที่มีพลังเกินหยั่งถึง

               โดยผู้ที่น่าจะเป็นผู้นำของกลุ่มศัตรูนั้นคือ ชายผู้สวมหน้ากากสีขาวรูปร่างโค้งมน พลังจิตที่กล้าแกร่งของเขายังสามารถสยบฮีโร่บรายผู้แข็งแกร่งได้อย่างง่ายดาย โดยที่ตนแทบไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายเลย อีกทั้งยังมีแม็ค ชายปริศนาที่ปิดบังใบหน้าด้วยหน้ากากโปเกมอนสีเหลือง ผู้ใช้เวทมนตร์ดำ อํญเชิญอสูรและสร้างลูกแก้วกักขังเหล่าครีปปี้พาสต้าเอาไว้ภายใน และสุดท้ายเจ้าของพละกำลังและความคงกระพัน จูเนียร์ ชายผู้สามารถยืนหยัดอยู่ได้แม้จะต่อสู้กับฮีโร่บรายตัวต่อตัว

               แม้ลาอ้อนจะเสียสละตนเองดูดซับความเสียหายทั้งหมดจากพวกพ้อง หวังจะช่วยทุกคนให้ได้ แต่มันก็ไม่เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้เลยแม้แต่น้อย ร่างกายของเขาบาดเจ็บสาหัสอย่างรุนแรง หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากบุรุษผู้เป็นบุตรชายแห่งมนุษย์คนแรกนาม คาอิน พวกเขาทั้งหมดอาจต้องถูกจับไปเช่นเดียวกัน

               และด้วยความช่วยเหลือจากพอสทัล เอดจ์ เพื่อนสนิทของลาอ้อน ทำให้อาการบาดเจ็บของเขาถูกเยียวยารักษาอีกครั้ง แต่ในระหว่างการหลบหนีออกมากลับถูกพวกผู้คุมจากองค์กร SCP เข้ามาขัดขวาง แต่มันก็ไม่ได้หนักหนาแต่อย่างใด และในช่วงสุดท้ายพวกเขาก็ได้ช่วยเหลือสตรีงามจากเผ่าเอลฟ์ที่ถูกพวก SCP บังคับให้มาสู้รบ โดยเธอนั้นได้กลับไปกับพอสทัล เอดจ์ เพื่อฝึกฝนการเป็นนักธนูผู้ชำนาณ แต่ในข่าวดีนั้นก็ย่อมมีข่าวร้าย ซึ่งนั่นก็คือการที่ร่างกายของเจนกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์อย่างน่าประหลาด

               ในขณะนี้เจนที่กลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ ทำให้เธอนั้นไร้พลังกายอันมหาศาลเหมือนเช่นแต่ก่อน หญิงสาวผู้ไร้พลังและชายที่รัก จึงเดินกลับที่ห้องของตนอย่างเศร้าสร้อย เธอทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอนสองชั้น ในห้องที่ไม่ค่อยจะมีเฟอร์นิเจอร์มากนัก เธอก้มหน้าลง สองมือสัมผัสที่ใบหน้าด้วยความกระวนกระวายภายในใจ เพราะในขณะนี้เธอติดต่อกับวีน่าไม่ได้แม้แต่น้อย

               ซึ่งในช่วงเวลานั้นเองกระจกบานหนึ่งบนฝาผนังห้อง กลับปรากฏใบหน้าของหญิงสาวผู้หนึ่งที่มีผมสีขาว นัยน์ตาแดงก่ำ ดวงตารอบนอกกลับเป็นสีดำสนิท พร้อมกับชุดราตรีสีขาวที่มีชายเสื้อขาดวิ่นและเปื้อนเลือด หญิงสาวผู้เป็นเพื่อนสนิทของเจนได้เคลื่อนร่างออกจากกระจากบานนั้น พร้อมกับมานั่งข้างหญิงสาวผู้เป็นเพื่อน

               “เจนนี่..เธอเป็นอะไรน่ะ” หญิงสาวผู้เคลื่อนที่ออกมาจากบานกระจกเข้ามาถามไถ่เพื่อนสาวอย่างห่วงใย แต่เมื่อเจนหันหน้ามาสบตากับเธอ หญิงสาวผู้ไร้พลังรีบโผเข้ากอดเพื่อนสาวทันใด

               “แมรี่...ฮึก ฮึก” สายน้ำตาของหญิงสาวผู้เสียพลังไปไหลออกมา สิ่งที่เธอต้องการกลับมานั้นไม่ใช่พละกำลังหรือพลังพิเศษใดๆ มันเป็นเพียงคนที่เธอรักและห่วงใยเท่านั้น “เจฟ..เค้าถูกจับตัวไป แถมเด็กที่อยู่ในจิตใจของชั้นอีกคนก็หายไปดื้อๆ”

               “พลังของชั้นก็หายไปแล้ว..ชั้นควรจะทำอะไรดี แมรี่! ฮึก ฮึก ฮึก” หญิงสาวร้องไห้ฟูมฟายออกมาเหมือนเช่นตอนที่ยังเป็นเด็ก บลัดดี้แมรี่เห็นเพื่อนสาวร้องไห้อย่างเป็นทุกข์ จิตใจของเธอก็ว้าวุ่นไปหมด แต่เธอกลับยิ้มอย่างอ่อนโยนและสุขุม

               “ทุกอย่างจะต้องเป็นไปได้ด้วยดีนะ..เจน” แมรี่กล่าวออกมาเพื่อสร้างกำลังใจให้กับเพื่อนสาว แต่ดูท่าเจนจะไม่หยุดคร่ำครวญลงเลย

               “การที่คนที่เรารักได้จากไป มันก็เจ็บปวดล่ะนะ..” แมรี่เอ่ยออกมาอย่างใจเย็น และยิ้มอย่างอ่อนโยน ใช้แขนขวาประคองร่างเพื่อนสาวอย่างนุ่มนวล “แต่เราไม่ควรจะจมปรักอยู่กับความเศร้าแบบนี้ตลอดไป..เราควรจะกลับมาเข้มแข็งให้เร็วที่สุดและเร่งหาทางแก้ปัญหาต่างหากล่ะ”

               แต่หญิงสาวที่เสียคนรักของเธอไปก็ยังคงไม่หยุดร้องคร่ำครวญแต่อย่างใด แมรี่จึงได้แต่ทำหน้าฉงนสงสัยเท่านั้น เธอจึงได้เอ่ยถามเธอไป

               “นี่ชั้นเผลอพูดอะไรผิดไปใช่มั้ยเนี่ย แฮะ..แฮะ” แมรี่ใช้มือลูบศีรษะตนเองเบาๆ เจนที่ได้ยินจึงหันหน้าขึ้นมาแล้วตอบคำถามเธอไป

               “เจฟยังไม่ได้ตายซะหน่อย..พูดแบบนี้มันทำร้ายหัวใจดวงน้อยๆของชั้นนะ” แมรี่ที่รับรู้คำตอบจึงใช้มือของเธอลูบศีรษะตนเองเบาๆ

               “ไม่! ไม่! ไม่! ชั้นไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะ..มันก็แค่เปรียบเทียบน่ะ แฮะ..แฮะ” แมรี่พูดแก้ต่างให้ตนเอง “อีกอย่างเธอก็น่าจะรู้นี่..เจฟเฟอรี่น่ะตายยากขนาดไหน ขนาดแมลงสาบยังอายเลยนะ คิกๆๆ”

               ‘เปรียบเทียบอย่างนั้นก็ได้เหรอ..แต่ตาเจฟก็เป็นอย่างนั้นจริงๆล่ะนะ ทึกอย่างกับแมลงสาบ!!!’ เจนตั้งคำถามในใจ แต่ภายนอกกลับเริ่มหยุดร้องคร่ำครวญ ปาดน้ำตาออก แล้วกลับมายิ้มอีกครั้งได้อย่างรวดเร็ว

               “ว่าแต่แมรี่ไปรู้ได้ยังไงว่าตาเจฟเขาตายยากน่ะ..” เจนในร่างของหญิงสาวปกติได้ถามเพื่อนสาวในวัยเด็กของเธอซึ่งในขณะนี้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติไปแล้ว “ตอนเด็กๆ เขาก็ไม่ได้ต่างจากเด็กผู้ชายทั่วไปเลยนะ”

               “แฮะ..แฮะ เธอคงไม่รู้สินะว่าหลังจากชั้นตาย..ชั้นก็มาอยู่แต่ในกระจกมาตั้งแต่นั้น” แมรี่ตอบคำถามด้วยเสียงอ่อนโยนต่างจากครั้งแรกที่พวกเธอเจอกันในร่างของครีปปี้พาสต้าโดยสิ้นเชิง “ชั้นที่ไม่มีอะไรทำก็ได้แต่เฝ้าดูเธอกับเจฟเท่านั้นแหละ..ชั้นก็เลยรู้มาบ้างเกี่ยวกับเรื่องของเจฟตอนมาเป็นครีปปี้พาสต้าน่ะ”

               “แต่ชั้นก็ไปเห็นตอนที่เธอสองคนจูบกันด้วย..ฟินมากเลยจ้ะ ทีหลังบอกก่อนล่วงหน้านะ..จะได้เอากล้องไปถ่ายด้วย” เธอพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่มีความสุขอย่างล้นหลาม โดยที่เพื่อนสาวของเธอกลับเริ่มปรากฏสีแดงระเรื่อที่แก้มไปจนถึงใบหู ใบหน้าและศีรษะเริ่มมีความร้อนจากความเขินอายเกิดขึ้น

               “แมรี่!!!!!!!!!!” เจนตะโกนลากเสียงยาวด้วยความเขินอาย ก่อนจะใช้ฝ่ามือตบไปที่แขนของแมรี่ด้วยแรงปกติ

               กร็อบ!!! เสียงกระดูกเคลื่อนตัวดังสนั่นออกมา ทั้งเจนและแมรี่ต่างทำหน้าเหวอกันทั้งคู่ ก่อนที่ทั้งคู่จะมองไปที่แขนของแมรี่ที่ถูกเจนตบ จึงพบว่าแขนนั้นเกิดผิดรูปไปเรียบร้อยแล้ว และในเสี้ยววินาทีนั้นเองความเจ็บปวดพลันแล่นเข้าสู่สมองทันใด แมรี่กัดฟันทน ทั้งยังน้ำตาคลอทันที เธอค่อยๆหันมาที่เจนอย่างช้าๆด้วยอาการที่ไม่สู้ดีนัก

               “ชั้นคิดว่าพลังของเธอที่หายไปไม่น่าจะใช่เรื่องพละกำลังแล้วล่ะนะ..” แมรี่ฝืนความเจ็บ และยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เจน ทำให้หญิงสาวเบื้องหน้ายิ่งรู้สึกผิดเข้าไปกันใหญ่

               “เค้าขอโทษ!!!” เจนเตรียมจะโผเข้ากอดแมรี่ กลับกลายเป็นแมรี่ที่รีบเคลื่อนตัวออกห่างไปทันที โดยสีหน้าของเธอนั้นมีความกลัวแฝงอยู่

“อย่าดีกว่าจ้ะ..ชั้นยังไม่อยากกระดูกหักทั้งตัว” แมรี่พูดเสียงสั่น

               “ว่าแต่...” แมรี่เอ่ยขึ้น เธอมองขึ้นบนเพดาน แล้วนึกบางอย่างที่กำลังพูด “เมื่อไหร่ชั้นจะได้เห็นหน้าหลานล่ะ”

               “แมรี่!!! ไปเอาคำพูดนี้มาจากไหนกัน..ลบมันออกจากสมองเดี๋ยวนี้เลยนะ” เจนเตรียมจะใช้มือทั้งสองทุบไปที่ร่างของแมรี่ดังเช่นเด็กผู้หญิงที่เขินอาย แต่มันต่างกันตรงที่เธอมีพละกำลังมากกว่าช้างหลายสิบเชือก แมรี่ที่รู้ว่าหากโดนทุบเข้าไป อาจได้ตายเป็นครั้งที่สองแน่ เธอรีบโผตัวออกมาทันที

               “ล้อเล่นน่า..ล้อเล่น” เธอยิ้มอย่างอ่อนหวานออกมา แม้ว่าหยาดเหงื่อจะไหลท่วมใบหน้าของเธออย่างมากมายก็ตาม

               “นี่..แมรี่ ชั้นมีเรื่องอยากจะถามเธอน่ะ” เจนเอ่ยนำบทสนทนาใหม่ขึ้น

               “อะไรเหรอเจนนี่..” แมรี่ตอบกลับก่อนจะเคลื่อนร่างกลับเข้าไปด้วยความระมัดระวัง หากเกิดการจู่โจมที่ไม่ได้ตั้งตัว

               “ทำไมตอนที่เธอปรากฏตัวมาจากกระจก ท่าทางของเธอตอนนั้นอย่างกับคนละคนกันเลยนะ” เจนกล่าวอย่างเป็นห่วงปนเปกับความฉงนสงสัย

               “งั้นชั้นขอตอบคำถามของเธอด้วยคำถามแล้วกันนะ..” คำพูดของแมรี่ ยิ่งทำให้เจนเกิดความฉงนสงสัยขึ้นไปอีก “เธอคิดว่าซัลโก้เป็นคนยังไง”

               “เรื่องที่ชั้นถามเธอไปเกี่ยวอะไรกับซัลโก้เหรอ” เจนถามเธอกลับไป แต่แมรี่กลับมองจ้องมาที่เธออย่างจริงจัง จึงได้เข้าใจว่าสิ่งเธอกำลังจะตอบมันสำคัญมากอย่างแน่นอน

               “ซัลโก้น่ะเหรอ..ตั้งแต่ชั้นเข้ามาอยู่ที่คฤหาสน์ครีปปี้พาสต้าก็ได้เจอกับเขาไม่ถึงห้าครั้ง แต่ถ้าให้พูดเขาเป็นคนที่ดูเงียบ เก็บตัว ดูลึกลับ บางทีก็มองว่าเป็นคนเจ้าเล่ห์ ไม่เป็นมิตร” เจนตอบตามความรู้สึกของเธอ “แต่ถ้าบวกกับที่เขาบอกกันมาว่าซัลโก้เป็นจ้าวแห่งความชั่วที่แท้จริงทั้งเจ็ดและมีพลังเวทย์ที่เกิดจากบาปแห่งความเท็จ ไร้ซึ่งความจริงอย่างมหาศาล ก็คงบอกได้แค่ว่าเขาไม่น่าเชื่อใจได้หรอกนะ”

               “ถือว่าตอบได้ดี..” แมรี่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างไปจากเดิม เริ่มดูเย็นชาและจริงจังขึ้น “เอาเป็นว่าชั้นจะสรุปแบบรวบรัดให้แล้วกัน”

               “ที่ชั้นทำนั่นเป็นแค่การเสแสร้งเท่านั้น” 

               “ดังนั้นไม่ต้องกังวลอะไรเกี่ยวกับตัวชั้นหรอกนะ..ชั้นยังคงเป็นแมรี่ที่เธอรู้จักอยู่เหมือนเดิม”

               “แต่ที่ชั้นถามถึงเรื่องซัลโก้นั่นน่ะ เพราะมันมีเรื่องที่น่าสงสัยและไร้เหตุผลมากอยู่หลายจุด”

               “แทนที่ชั้นจะตายไปแบบคนทั่วไป..แต่ชั้นกลับถูกปลุกชีพขึ้นมาบนโลกเบื้องหลังกระจก และคนนั้นก็มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับเธอในร่างครีปปี้พาสต้ามากเลย” เจนเบิกตากว้างขึ้นทันที เพราะคนที่แมรี่พูดถึงนั่นก็คือคนที่ปลุกชีพเจนขึ้นมาหลังจากถูกร่างเงาปีศาจที่คล้ายกับเจฟสังหาร

               “นั่นก็คือคนที่ชุบชีวิตชั้นเหมือนกัน..” เจนกล่าวออกมา มันกลับทำให้แมรี่แสดงสีหน้าประหลาดใจขึ้น

               “นี่เธอตายไปแล้วเหรอเนี่ย..เจน” แมรี่กล่าวถามขึ้นทันที “ตายตอนไหน..ไปตายมาได้ไงกัน”

               “คือเรื่องมันยาวน่ะ...” เจนพูดตัดบทไป “เอาเป็นว่าชั้นตายแล้วถูกชุบขึ้นมาด้วยคนๆเดียวกับเธอ”

               “อืม..อย่างนั้นสินะ เอาเป็นว่ากลับเข้าเรื่องกันต่อ” แมรี่กล่าวนำสู่บทสนทนาต่อไป

               “การที่เธอคนนั้นได้ฟื้นคืนชีวิตชั้นกลับมาอีกครั้ง..ชั้นเลยตั้งตนช่วยเหลือเธอคล้ายกับมือขวาของเธอ”

               “มันทำให้ชั้นรู้เรื่องในหลายๆอย่างและไปได้มากมายหลายที่ จนวันนั้นก็มาถึง...”

               “เธอเคยได้ยินข่าวเรื่องที่ป่าถุลีที่อยู่อีกด้านของเมือง” เจนกลับแสดงท่าทีสงสัยขึ้น เธอจึงต้องอธิบายต่อ “คือเหตุการณ์ที่จู่ๆป่าใหญ่ก็เกิดกลายเป็นขี้เถ้าไปจนหมด ทั้งที่ไม่มีเหตุการณ์ไฟไหม้ใดๆเลยหรือเปล่าล่ะ”

               “อ๋อ..ไอข่าวไฟป่าปริศนาสินะ” เจนตอบกลับมา ซึ่งเธอก็ยังคงตั้งใจฟังอยู่

               “ใช่แล้ว..แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่ไฟป่าปริศนาอะไรเลย ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ซัลโก้ทำทั้งหมด”

               “มันเผาผลาญชีวิตทั้งหมดให้ตายลง นำเหล่าพลังงานของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นมาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวเพื่อสร้างชีวิตขึ้นมา”

               “ซัลโก้จะสร้างอะไรกันน่ะ..จำได้ว่าดอลลิเอลล่ายังไม่ตายนี่ รู้สึกว่าจะตายหลังจากเธอตั้งเกือบ 4 เดือน” เจนเอ่ยขึ้น เพราะเกิดเงื่อนงำในหัวของเธอจำนวนมาก

               “เธอจำคำพูดของดอลลิเอลล่าที่ปรากฏตัวมาพร้อมกับซัลโก้ได้มั้ยล่ะ” แมรี่พูดทบทวนความจำ จึงทำให้เจนนึกขึ้นได้ และเกิดต้องตกตะลึงขึ้นมาทันใด

               “มิลโร่!!!” เจนเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ แมรี่ที่ได้ยินก็ยิ้มที่มุมปากและพยักหน้าตอบรับ นั่นทำให้เจนเกิดวิตกขึ้นทันที “แล้วทำไมเธอถึงมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับดอลลิเอลล่าซะขนาดนั้นล่ะ”

               “ดอลลิเอลล่าไม่น่าจะรู้จักกับซัลโก้นี่ อีกอย่างเธอก็ไม่น่าจะไปทำอะไรให้เตะตาซัลโก้หรอก..จริงมั้ย”

“ผิดแล้ว..ผิดแล้ว” แมรี่พูดขึ้น พร้อมส่ายหน้า

               “เธอไม่สงสัยเลยเรอะว่าทำไมชั้นถึงกลายเป็นคนแรกที่เกิดตายจากโรคประหลาดนี่..ในเวลาที่ชั้นได้ทุนไปเรียนมหาวิทยาลัยก่อยจบมัธยมปลายปี 3 หรือในเวลาที่ชั้นได้รับคำชื่นชมจากทั้งทุกคน และกลายเป็นคนดังในโรงเรียนในมัธยมปลายแทนดอลลิเอลล่า จนแทบจะคล้ายกับว่าชั้นแกล้งแย่งทุกอย่างไปจากเธอนะ”

               “อย่าบอกนะว่าดอลลิเอลล่า...” เจนแสดงสีหน้าตกใจมาก

               “ใช่แล้ว..เธอโกรธ เกลียด และอยากจะฆ่าชั้นมาก” แมรี่กล่าวขึ้น “ความชั่วที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของเธอมันมากจนเตะตาจ้าวแห่งความชั่วอย่างซัลโก้เข้า”

               “มันเลยยื่นข้อเสนอให้กับดอลลิเอลล่าโดยมันจะกำจัดชั้นให้ แลกกับการที่ดอลลิเอลล่าต้องมารับใช้มันในนามของมือขวา”

               “ในช่วงเวลานั้น ใจที่มีแต่ความชั่วของเธอก็ตอบรับไปอย่างยินดี ทำให้สามวันหลังจากวันนั้นชั้นก็ตายลง ถ้าหากเทียบกับช่วงเวลาก่อนเกิดเหตุการณ์ป่ากลายเป็นขี้เถ้าก็เกิดก่อนประมาณ 1 เดือน”

               “ในช่วงที่ทำการสร้างชีวิต ซัลโก้ซึ่งมีดอลลิเอลล่ามาคอยช่วยเหลือจึงใช้จำลองกายหยาบของดอลลิเอลล่าเพื่อสร้างกายหยาบให้กับมิลโร่ แต่ก็ยังไม่ได้ใส่รูปแบบเฉพาะตัว นิสัย รูปแบบพฤติกรรม หรือความคิดลงไป มันก็เลยเหมือนกับเป็นแค่ร่างเปล่าเท่านั้น...”

               “แต่นับจากวันนั้นมา ดอลลิเอลล่าก็เริ่มม่ค่อยไปช่วยเหลือซัลโก้เสียเท่าไหร่ จนสุดท้ายก็เงียบหายไป แต่การเงียบหรือหายไป..มันใช้กับซัลโก้ไม่ได้หรอกนะ เพราะดวงตาของมันอยู่กับทุกสิ่ง ทุกสิ่งที่สร้างบาป..มันล้วนเห็นทุกสรรพสิ่ง”

               “นับแต่นั้นมันจึงได้สาปเธอที่ผิดคำพูดกับมันไว้ ทำให้ไม่นานหลังจากนั้นเธอก็ตายลงในแบบเดียวกับชั้น และถูกปลุกชีพให้มาเป็นทาสของมันตลอดกาล” แมรี่ที่พักหายใจและเตรียมจะเล่าต่อ กลับถูกเจนยกมือขัดเสียก่อน

               “เธอไปรู้เรื่องนี้มาได้ยังไงกันน่ะ..นี่มันเรื่องก่อนที่เธอจะตายเลยนะ” เจนถามขึ้นมา

               “ชั้นคงจะลืมบอกเธอไป..โลกนี้ก็คล้ายกับพกวคอมพิวเตอร์หรือคนเรานั่นแหละนะ” แมรี่พูดเปรียบเปรยขึ้นมา “พวกมันต่างต้องมีพื้นที่เก็บความทรงจำ..คอมพิวเตอร์ก็คือไดร์ฟ คนก็คือสมอง”

               “แต่โลกแห่งความจริงน่ะมันเก็บความทรงจำเป็นเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนโลก ในมิติอีกฝั่งนั่นก็คือโลกเบื้องหลังกระจกที่มีแต่ความว่างเปล่า เป็นทุ่งกว้างที่พื้นเป็นผืนน้ำไร้จุดสิ้นสุด ซึ่งขนานกับผืนฟ้าที่ห่างไกลไร้จุดจบ”

               “ซึ่งก็จะมีเม็ดน้ำขนาดเท่าหัวแม่มือลอยขึ้นอยู่ในระดับต่างๆจำนวนมาก เม็ดน้ำเหล่านั้นแหละคือที่เก็บความทรงจำของโลกเอาไว้ ชั้นเลยใช้พวกมันดูอดีตของชั้นผ่านความทรงจำของทั้งโลก”

               เจนที่ได้ฟังมาทั้งหมดนั้นถึงกับใช้ฝ่ามือทั้งสองกุมศีรษะตนเอง ในขณะยังคงแสดงสีหน้าตื่นตะลึงอยู่เช่นเดิม

               “อะไรมันจะแฟนตาซีขนาดนี้” เธอพูดพึมพำกับตนเอง แมรี่ที่เห็นก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนจะเริ่มกลับมาจริงจังเช่นเดิม

               “ชั้นขอพูดต่อให้จบแล้วกันนะ” แมรี่กล่าวออกมา แล้วจึงพูดต่อทันที “ในตอนนั้น ชั้นไม่สามารถรู้ได้เลยว่าซัลโก้มันใช้มิลโร่เพื่อทำอะไรกันแน่ แต่ตอนนี้ชั้นรู้แล้วล่ะ..”

               “ซัลโก้มันมีแผนที่จะ...” แมรี่ยังไม่ทันจะพูดต่อจนจบ กลับมีร่างสีดำปริศนาปรากฏขึ้นเบื้องหน้าภายในชั่วพริบตา มันใช้มือที่สวมถุงมือผ้าเนื้อหยาบสีดำมาแตะที่ริมฝีปากของแมรี่ ทำให้เธอต้องเบี่ยงความสนใจของเธอไปหาเจ้าของมือข้างนี้ เจนนั้นก็ทำเช่นเดียวกัน จึงได้พบกับคนที่เธอรู้จักอยู่แล้ว

               “นี่..แกเป็นใครกันเนี่ย” แมรี่มองบุรุษที่สวมชุดนักวิจัยทับชุดกันหนาวสีดำ ซึ่งเจนก็คิดที่จะบอกแมรี่ไปว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเธอนั้นคือใคร ไม่สิ..คืออะไรมากกว่า

               “ถ้าอยากจะบอกเธอ..ก็บอกไปเลย ชั้นยิ่งขี้เกียจแนะนำตัวอยู่ด้วย” บุรุษผู้นั้นพูดออกมา โดยเขาทอดสายตาไปหาเจนที่นั่งใกล้ๆกับแม่รี่ พร้อมกับเกิดกล่องข้อความสามมิติที่มีอีโมติคอนที่กำลังแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายเกิดขึ้นบนศีรษะของชายผู้นี้ แล้วจึงถูกชายผู้นั้นนำมาม้วนและทำอีกหลายๆอย่างจนหดกลายเป็นไม้จิ้มฟัน ก่อนที่เขาจะใช้ให้เห็นต่อหน้าทั้งสอง

               “เอ่อ..แมรี่ นี่คือ ลอสต์ ซีเคร็ต” เจนแนะนำคนที่ยืนแคะขี้ฟันอยู่ข้างหน้าเพื่อนของเธอ ...ถึงจะไม่มีขี้ฟันให้แคะเธอ อย่าว่าแต่ขี้ฟันเลย ฟันเอย..หน้าเอย ขนาดตัวมันยังไม่มีเล้ยยย

               “คนนี้เขาเป็นคนที่ช่วยเหลือเราบ้างในหลายครั้งหลายคราว” เจนพูดขึ้นมา

               ‘ตามจริงก็แค่สองสามครั้ง แต่ถ้าให้จริงกว่านี้ก็อย่าเรียกว่าช่วยเลย พาไปตายยก๊วนซะมากกว่า’ หญิงสาวยิ้มทางสีหน้า แต่ภายในใจกลับคิดบ่นอุบอิบ

               “การนินทาน่ะ..นินทาในใจได้ แต่ไม่ใช่กับคนที่ความสามารถอ่านความคิดนะจ๊ะ” ลอสต์พูดยียวนขึ้น ก่อนจะหยิบไม้จิ้มฟันมาเปลี่ยนเป็นจรวดกระดาษ ก่อนจะปาให้มันล่อนไปโดนกำแพง แทนที่มันจะชนและตกลงมา มันกลับบินทะลุไปซะอย่างนั้น ยิ่งทำให้ทั้งสองสาวตกตะลึงขึ้นไปยกใหญ่ แต่แล้วลอสต์นั้นกลับคว้ามือของแมรี่ และพูดทิ้งท้ายกับเจน “นิทานบางเรื่องมันก็ยากอยู่นะที่จะเล่าจบ เพราะมักจะมีอุปสรรคมาขวางไว้ซะก่อน”

               “ซึ่งชั้นนี่แหละอุปสรรค ว่ะฮ่าฮ่าฮ่า...ต้องหัวเราะแบบชั่วร้ายด้วย” เมื่อเขาเอ่ยจบ ร่างของทั้งคู่ก็ได้อันตรธานหายไปทันที ทิ้งไว้แต่เจนที่ยังคงงงงวยกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในห้องคนเดียว

               “ตกลงเจ้าลอสต์มีแผนลับหรือมันปัญญาอ่อนกันแน่เนี่ย” เจนบ่นออกมา แล้วค่อยหงายร่างลงบนเตียงนุ่ม

               ภายในห้วงอวกาศอันแสนห่างไกลจากโลกนับหลายหมื่นปีแสง เหล่าดวงดาวมากมายส่องแสงประกายแพรวพราวระยิบระยับน่าดูชม ความสว่างอันเจิดจรัสของมันช่างตัดกับพื้นหลังอวกาศสีดำมืดและเงียบสงัด

               แต่แล้วกลับปรากฏร่างลอสต์และบลัดดี้ แมรี่ขึ้นในจุดเล็กๆจุดหนึ่งบนอวกาศอันกว้างใหญ่ หญิงสาวผมสีขาวต่างหันลีหันขวางอย่างแตกตื่น เนื่องจากการที่ลอสต์เลือกที่จะวาร์ปมาในอวกาศที่ไร้ผู้คน แทนที่จะเป็นนอกห้องของเจน

               “ที่นี่มันไม่มีอากาศไม่ใช่เหรอ..เดี๋ยวชั้นก็หายใจไม่ออกตายพอดี” แมรี่เอ่ยออกมาอย่างตกใจ แต่เธอดันลืมไปเสียสนิทว่า...เธอตายไปแล้ว

               “สงสัยชั้นต้องสอนวิทยาศาสตร์ชั้นประถมให้กับเธอใหม่ซะแล้วล่ะ” ลอสต์พูดยียวนกวนประสาท “เสียงที่เราสามารถได้ยินได้ต้องมีตัวกลางระหว่างต้นกำเนิดเสียงกับตัวรับเสียง โดยอากาศเป็นตัวกลางที่ใกล้ตัวเราที่สุด ดังนั้นถ้าเธอได้ยินเสียงของตนเองที่พูดออกไป ก็หมายความว่า...”

               “ที่นี่มีอากาศ..ไม่สิ สสารสถานะแก๊สบางชนิดเป็นตัวกลางให้เสียงสามารถเคลื่อนที่ได้ยังไงล่ะ” ลอสต์กล่าวออกมา พร้อมแสดงท่าทางวางมาดเข้ม “แต่ตามความจริงแล้ว..เธอน่ะไม่จำเป็นต้องการอากาศหายใจด้วยไม่ใช่เรอะ”

               “อ้าว..ทำไมอ่ะ” แมรี่ยังคงหลงลืมกับสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่ในขณะนี้

               “ก็เธอน่ะ..มันตายไปแล้ว” ลอสต์หันไปชี้หน้าแมรี่อย่างหนักแน่น ทำให้เธอนึกขึ้นมาได้ทันที “ใช่..เธอมันตายไปแล้ว แมรีโอเนีย สเตฟานี่ ทอเรนต้า”

               “นี่...นี่! นายรู้ได้ยังไงกัน!” แมรี่เกิดท่าทีประหลาดใจ “นี่..นายรู้ชื่อกลางชั้นได้ยังกัน”

               “นอกจากพ่อกับแม่แล้ว..ก็ไม่น่ามีใครรู้ชื่อกลางชั้นได้หรอก” แมรี่เกิดความขุ่นเคืองและสับสนขึ้น “นายเป็นใครกันแน่..”

               “สำหรับคำถามแรก คนที่ชุบชีวิตเธอบอกชั้นมา และสำหรับคำถามที่สอง..อะแฮ่ม!” ลอสต์ตอบคำถามข้อแรก แล้วจึงเริ่มทำเสียงเข้ม “ชั้นก็แค่ไอเกรียนที่ลักพาตัวเธอไงล่ะ...ว่ะฮ่าฮ่าฮ่า”

               “นี่..นายไปรู้จักกับคุณบัทเทอร์ฟลายได้ยังไงกัน” แมรี่ที่ดูไม่สนใจคำพูดส่วนหลังของลอสต์ได้กล่าวถามอย่างประหลาดใจ

               “เธอเรียกยัยนั่นว่า..บัทเทอร์ฟลายเรอะ ฮ่าฮ่าฮ่า..น่าตลกชะมัด” ลอสต์หัวเราะออกมา “จะปิดบังชื่อเต็มของตัวเองไปทำไมกัน..ยัยตามืดมัว”

               “นี่..นายรู้ชื่อเต็มของตุณบัทเทอร์ฟลายด้วยเหรอ!!” แมรี่ยังคงประหลาดใจและสับสนอยู่ดี

               “ก็รู้สิ..ก็เกิดมาด้วยกันนี่” คำพูดที่ลอสต์ได้กล่าวออกมา ทำเอาแมรี่ติดสตั้นท์ไประยะนึง ลอสต์ที่เห็นท่าทีของแมรี่ก็ขำเล็กน้อย “จำไว้ให้ดี..ชื่อเต็มของคนที่เธอยอมรับนับถือพระคูณน่ะคือ...”  

               “บัทเทอร์ฟลาย โฮปเรย์ ดรีมเมอร์!!!” ลอสต์ประกาศชื่ออกมาด้วยเสียงอันดังในอวกาศอันเงียบสะงัด ส่วนคู่สนทนาก็ยังคงนิ่งอึ้งอยู่ แต่แล้วลอสต์กลับเคลื่อนพื้นที่บริเวณศีรษะอันว่างเปล่าของเขาไปใกล้ใบหูของหญิงสาว แล้วเอ่ยบางอย่างออกมา “...กระจกเงาที่ขนานและตั้งฉากกัน สร้างโลกที่ซ้อนทับกันมากมาย แต่ยากต่อการมองเห็นจุดสุดท้าย ต่างจากการสร้างโลกด้วยกระจกเงาที่เอียงทำมุมต่อกันและกัน จักสร้างโลกอย่างไร้ขีดจำกัดอย่างแท้จริง...”

               “...ไร้ขีดจำกัดเช่นเดียวกันกับความจริง ความฝัน และจินตนาการ ทั้งสามสิ่งถูกคาบเกี่ยวกันด้วยความคิดอันยากจะคาดเดาได้ของมนุษย์ สำหรับความฝันนั่นก็เป็นเช่นเดียวกับสะพานที่เชื่อมระหว่างความจริงกับจินตนาการ คือสิ่งที่สะท้อนโลกอีกด้านจากหลังบานกระจก โลกเบื้องหลังกระจกนั้น..ณ ที่แห่งนั้น ข้ามีนามว่า...”

               “...อิมมาจิสต์(Imagist)...” เมื่อลอสต์กล่าวนามของตนเอง แมรี่ที่นิ่งอึ้งอยู่ก็ได้สติขึ้น และรีบคุกเข่าของตนเองลงทันที

               “ท่านอิมมาจิสต์..ตัวแทนแห่งจินตนาการ” แมรี่เปลี่ยนวิธีการพูดกับลอสต์ทันที เธอกลับสุขุมและจริงจังขึ้น “ขออภัยที่ก่อนหน้านี้..ชั้นได้เสียมารยาทกับท่านไปอย่างสูง”

               “ฮ่าฮ่าฮ่า..ไม่ต้องคิดมาก ปกติชั้นก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้วล่ะ” ลอสต์เอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ พร้อมกับเกิดกล่องข้อความสามมิติ และภาพเคลื่อนไหวได้ของอีโมติคอนที่กำลังหัวเราะอยู่

               เมื่อมันหมดหน้าที่ กล่องข้อความก็ได้สลายไป ทำให้อีโมติคอนรูปหัวเราะนั้นได้ร่วงหล่นลงไปอย่างไร้จุดสิ้นสุด ก่อนที่มันเริ่มจะส่องแสง และกลายเป็นดาวฤกษ์ดวงใหม่ไปในที่สุด ซึ่งถ้าเป็นแมรี่ก่อนจะรู้ว่าลอสต์เป็นใครคงจะตะลึงงันเป็นแน่ แต่ในตอนนี้เธอกลับนิ่งเฉย ดุจสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา

               “นี่เธอไม่คิดสงสัยว่าชั้นไม่ใช่ตัวจริงบ้างเลยเรอะ..” ลอสต์เอ่ยขึ้นมา หากตัวเขามีใบหน้าคงจะมีรอยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์เป็นแน่

               “สิ่งที่ท่านได้กล่าวออกมานั้นคือบทสวดภาวนาเพื่อไปยังโลกเบื้องหลังกระจกเมื่ออยู่เบื้องหน้ากระจกเงา ซึ่งในโลกนี้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ยังมีผู้ล่วงรู้การมีตัวตนของโลกเบื้องหลังกระจกเพียงไม่ถึงยี่สิบคน” แมรี่เอ่ยออกมา โดยเธอนั้นได้ศึกษามาก่อนเป็นอย่างดี จากมั้งการถามไถ่จากบัทเทอร์ฟลายและการสืบค้นด้วยตนเอง “ส่วนผู้ที่รู้บทสวดภาวนานั้นมีเพียงแค่ชั้น คุณบัทเทอร์ฟลาย และท่านอิมมาจิสต์เท่านั้นที่ล่วงรู้”

               “และไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถรู้นามของท่านได้ หากไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร...โดยเฉพาะการเอ่ยคำว่า ‘Imagist’ ซึ่งเป็นคำที่ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง ทำให้เป็นการยากที่ใครจะเดาออกและสวมรอยแทน จึงมีเพียงแค่ชั้นและคุณบัทเทอร์ฟลายเท่านั้นที่รู้ว่าคุณมีอีกนามว่าอะไร”

               “นี่เธอไปเอาข้อมูลมาจากไหนเนี่ย!” ลอสต์กล่าวด้วยความประหลาดใจ

               “คุณบัทเทอร์ฟลายได้เล่าให้ชั้นฟัง” หญิงสาวพูดอย่างสำรวมซึ่งแฝงไปด้วยแฝงไปด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม “เป็นข้อมูลที่ถูกต้องทั้งหมดสินะ”

               “ไม่ทั้งหมดหรอกนะ” ลอสต์พูด และนำแขนทั้งสองขึ้นกอดอก

               “มันไม่น่าเป็นไปได้นี่..” แมรี่เอ่ยขึ้นอย่างตกใจ เพราะเธอมั่นใจในข้อมูลของเธอมากว่าครบถ้วนและถูกต้อง “มันผิดตรงไหนล่ะ”

               “มันไม่ได้ผิดหรอกนะ..มันแค่ไม่ครบ” ลอสต์ชี้แจงให้แมรี่ “ภ้าจะให้เล่าทั้งหมดคงจะยาวจนคนอ่านเบื่อ..เอาเป็นว่าชั้นจะเล่าแบบกระชับแล้วกัน ไม่น่าเกิน 50 บรรทัด...”

               “คนอ่าน!? ...50 บรรทัด!?” แม้ว่าปาฏิหารย์ต่างๆที่ลอสต์ทำมา แมรี่จะพอยอมรับได้ แต่การพูดถึงคนอ่านกับเรื่องบรรทัด คงยากที่ตะยอมรับและเข้าใจอย่างมาก

               “คนที่มาหลังบานประตูแห่งอนันตกาลน่ะไม่ได้มีเพียงแค่ชั้นกับบัทเทอร์ฟลาย” ลอสต์ที่ดูจะไม่ได้สนใจข้อสงสัยของหญิงสาว ยังคงเล่าเรื่องของตนต่อ “ยังมีอีกคนหนึ่ง...”

               “นามของเขาคือ..เกรย์ ทวินส์ ตัวแทนแห่งความจริง แต่เกรย์น่ะพอเกิดมา ภายในตัวเขาก็มีอยู่สองด้านคือด้านของความชั่วและความดี”

               “ซึ่งหลักจากนั้นไม่กี่แสนล้านปี เขาก็ถูกด้านมืดเข้าครอบงำอย่างสมบูรณ์ และกลายเป็นแบล็ก ทวินส์ คู่ปรับตลอดกาลของชั้น และคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์การค้นหาวัตถุแห่งการเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงทั้งสาม และเหตุการณ์ที่คราโอติค ครีปปี้พาสต้าจูเนียร์ และครีปแม็คพาสต้าได้ทำการเอาชนะเหล่าครีปปี้พาสต้าเกือบทั้งหมดและลักพาตัวไป”

               “เจ้านั่นกับชั้นมักจะต่อสู้กันยู่หลายครั้ง บางครั้งก็นักซะจนมีผลกระทบต่อโลกไปเลย อย่างเช่นเมื่อประมาณ 65 ล้านปีก่อน ชั้นก็อยากจะเล่นเจ้านั่นให้น่วมด้วยการปาอุกกาบาตใส่มันซะเลย..แต่ดันคาดคะเนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของอุกกาบาตผิดไปไม่กี่สิบกิโลเมตร ก็เลยทำให้สิ่งมีชีวิตอย่างเช่นไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปเลย” ลอสต์เอ่ยออกมาอย่างหน้าตาเฉย..ถึงแม้ว่าจะไม่มีหน้าก็ตาม

               “ส่วนครั้งที่สอง เจ้าแบล็กก็กะจะแช่แข็งชั้นไว้ตลอดกาล มันเลยสร้างพายุหิมะเข้ามาโถมใส่ชั้นซะเต็มที่ แต่มันไม่รู้ว่าตอนนั้นชั้นไปอยู่ที่มิติอื่น..โลกก็เลยเข้าสู่ยุคน้ำแข็งซะงั้น”

               “ส่วนครั้งอื่นๆก็จะเป็นการปั่นหัวผู้นำแต่ละประเทศให้ทำการรบกัน อย่างเช่นในสงครามโลก หรือสงครามระหว่างประเทศ ชั้นกับเจ้านั่นก็อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เหล่านั้นล่ะนะ”

               “แล้วเจ้าแบล็กก็รู้นามแห่งความฝันของชั้นด้วย..ชั้นก็เลยถามเธอว่าถ้าเจ้าแบล็กเกิดสวมรอยเป็นชั้น แล้วเธอจะดูยังไง” ลอสต์หันกลับมาถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

               “นามแห่งความฝัน...” แมรี่แสดงท่าทางไม่เข้าใจ

               “ยัยนั่นคงลืมบอกเจ้าอีกแล้วสินะ” ลอสต์เอ่ยบอกอย่างเบื่อหน่าย “นามแห่งโลกเบื้องหลังกระจกก็คือนามแห่งความฝัน”

               “ดังนั้นโลกเบื้องหลังกระจกก็คือโลกแห่งความฝันและความทรงจำเช่นกัน” ลอสต์อธิบายให้แมรี่ฟัง

               “เพราะยัยบัทเทอร์ฟลายนั่นก็เป็นตัวแทนแห่งความฝันยังไงล่ะ” ลอสต์ที่กอดอกอยู่ ได้เลื่อนมือลงแล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแทน ก่อนจะหันไปอีกทางขวาของตนเอง “ส่วนต่อไปคนอ่านไม่ต้องจำก็ได้นะ..มันรกสมองเปล่าๆ แค่คิดตามก็พอ”

               “ท้องฟ้าในโลกแห่งความฝันนั้นตามความจริงแล้วไม่ได้เป็นสีฟ้าอย่างที่เจ้าเห็นหรอกนะ..แต่มันเป็นแสงสีขาวสว่างจ้าต่างหาก”

               “สิ่งที่ทำให้มันเป็นสีฟ้า..คือละอองแสงจากพลังแห่งความฝัน ดวงดาวที่สุกสกาวบนท้องฟ้าพกวนั้นคือฝันดีของมนุษย์ ส่วนดาวที่ไร้ซึ่งแสง ยากที่จะมองเห็นคือฝันร้ายของมนุษย์”

               “ผืนน้ำที่เธอเหยียบไม่ได้มีพื้นหรอกนะ..มันมีแต่น้ำทั้งหมดคล้ายกับมหาสมุทร แต่ความจริงแล้วน้ำพวกนั้นนึคือความหวังและความทรงจำของเหล่ามนุษย์”

               “ทีนี้เธอคงจะพอเข้าใจแล้วนะ” ลอสต์ถอนหายใจออกมา “แล้วอีกอย่างนึง..พวกเราทั้งสามต่างมีโลกที่ปกครอง”

               “บัทเทอร์ฟลายปกครองโลกแห่งความฝัน แบล็กหรือเกรย์ปกครองโลกแห่งความจริงที่พวกเธออยู่กัน”

               “ส่วนชั้นปกครองโลกที่เธอกำลังยืนอยู่..โลกแห่งจินตนาการอันไร้ขีดจำกัด” เมื่อลอสต์พูดจบ มือข้าซ้ายที่ล้วงกระเป๋าก็ได้ถูกเลื่อนขึ้นมาอยู่ในระดับสายตา ก่อนจะดีดนิ้วให้เกิดเสียงดังป้อก!

               มันปรากฏวงกลมแสงสว่างใต้ฝ่าเท้าของชายลึกลับ ก่อนที่มันจะขยายตัวออกไปสู่พื้นที่ของอวกาศอย่างรวดเร็ว เมื่อแสงสว่างเหล่านั้นจางลง ก็เปลี่ยนสภาพทั้งหมดให้กลายเป็นทุ่งดอกไม้อันกว่างใหญ่สุดลูกหูลูกตา แมรี่ที่พึ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก ก็ได้แต่ตะลึงงันอยู่กับที่ ซึ่งในระหว่างนั้นเองลอสต์ก็เริ่มเข้าเรื่องสำคัญของตนเอง

               “แล้วเรื่องที่เธอไปสืบมา..ถึงไหนแล้วล่ะ” ลอสต์พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

               “ตอนนี้ซัลโก้ได้หายตัวไปจากทุกๆแห่งบนโลก ชั้นเลยไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าซัลโก้กำลังทำอะไรอยู่ แต่...” แมรี่เว้นช่วงระยะการพูด “ซัลโก้มีทีท่าต้องการเด็กสาวที่มีนามว่า ‘มิลโร่’ อย่างมาก โดยตอนนี้ยังไม่รู้จุดประสงค์ของมันเลย”

               “อืม..งั้นเราคงจะต้องรอดูผลต่อสินะ” เมื่อเขาฟังการรายงานความคืบหน้าจบ เขาก็หันหลัง แล้วยกมือขึ้นมาเตรียมจะดีดนิ้วเพื่อส่งตัวแมรี่กลับไป หญิงสาวก็ได้เอ่ยปากถามชายลึกลับไป

               “แล้วครีปปี้พาสต้าที่ถูกจับตัวไป..เราจะทำอย่างไรดีล่ะ” แมรี่เอ่ยถามออกมา ซึ่งลอสต์ก็จำออกมา ก่อนจะหันบริเวณของใบหน้าที่ว่างเปล่าไร้ตัวตนมาหาเธอ

               “ก็จงรอดูต่อไป..บางครั้งเธออาจจะได้เจอเพื่อนก็ได้” ลอสต์พูดจบ เขาก็ดีดนิ้วส่งแมรี่กลับไปยังห้องของเจนทันที ส่วนตัวเขาก็ยังคงอยู่ในโลกแห่งจินตนาการต่อไป

               “ครั้งนี้แกเล่นใหญ่นะ..แบล็ก เล่นเอาจ้าวแห่งความชั่วทั้งเจ็ดมาช่วยอย่างนี้...”

               “มันก็ยิ่งสนุกเข้าไปกันใหญ่สิ...” เขาพูดจบ ร่างของเขาก็พลันอันตรธานหายไปทันใด ก่อนที่โลกแห่งจินตนาการจะเปลี่ยนสภาพกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าในอวกาศเช่นเดิม

               ภายในห้องของเจนซึ่งไร้วี่แววของหญิงสาวที่เคยนอนอยู่บนเตียงเลย ผ้าห่มบนเตียงนอนนั้นได้ถูกพับอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว หลอดไฟจากเบื้องบนก็ได้ถูกปิดลงมาได้สักระยะแล้ว พร้อมทั้งอากาศเย็นที่ยังคงหลงเหลืออย่างเบาบาง เพราะเครื่องปรับอากาศที่ปิดตัวลงมาได้สักระยะ

               ทันใดนั้นเองร่างของหญิงสาวผมขาวก็ได้อันตรธานมายืนบนพื้นห้องของเจนที่มืดมิด หญิงสาวที่ถูกส่งกลับมา ตรวจสอบสถานที่และตัวเจนเอง ซึ่งในห้องนั้นกลับไม่มีวี่แววของเจนแม้แต่น้อย เธอจึงได้เดินออกมาจากห้องนอน จึงได้ยินเสียงดังจากภายในห้องรับแขกขนาดใหญ่ เธอตัดสินใจเดินไปตรงนั้นหวังว่าเจนจะอยู่ ณ ที่นั้น

               “ทำไมคุณไม่บอกเรื่องนี้กับเราตั้งแต่แรกล่ะ..แจ็ก” เสียงของมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าดังขึ้นผิดปกติ เขาดูจะรู้สึกหัวเสียเป็นอันมาก แมรี่ที่กำลังเดินอยู่ จึงเริ่มเร่งฝีเท้าขึ้นเพื่อที่จะได้ยินบทสนนาได้ชัดเจนกว่าเดิม

               “มันจำเป็นจริงๆนี่ครับ ถ้าหากผมเกิดบอกท่านมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าไปก่อน มันอาจจะทำให้ทุกอย่างจบลงก็ได้นี่” อายเลสแจ็กตอบกลับไปทันที “บางทีมันอาจจะกลับไปเป็นเหมือนในนิมิตของท่านก็ได้”

               “แต่เหตุการณ์ทั้งหมดที่มันเริ่มแย่ลง ก็เป็นเพราะพวกเราไปทำตามเจ้าลอสต์นั่นไม่ใช่หรือไงกัน” ลูว์ที่กลับมายังคฤหาสน์ พูดตอบโต้กลับไป ในเวลาเดียวกันกับที่ซูซานกำลังนำกระสุนที่ฝังในกล้ามเนื้อของเขาออกและเย็บบาดแผลของเขาให้เข้าที่เช่นเดิม

               “มันก็จริง..แต่ลอสต์บอกชั้นว่าเรื่องนี้จะบอกได้ก็ต่อเมื่อเราได้สูญเสียไปก่อนแล้ว” แจ็กยังคงพูดในสิ่งที่เขาได้ยินมาจากลอสต์

               “แล้วไอลอสต์มันเป็นอะไรกับนาย..แจ็ก นายจะไปฟังมันทำไมกันเล่า” ลูว์ยังคงโต้เถียงกับแจ็ก ส่วนมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าก็ได้แต่กุมขมับของตนเอง สเลนเดอร์ที่สังเกตเห็นก็รีบเข้าหาทันที

               “ลอสต์..เขาอาจจะมีเหตุผลอะไรบางอย่างก็ได้นี่” เจนพูดขึ้นมาอย่างมีความหวัง ซึ่งซานดร้าที่อยู่กับริกะก็เตรียมจะพูดเช่นเดียวกัน โดยในขณะนี้นั้นลาอ้อนกลับไม่ได้อยู่ที่คฤหาสน์ และยังไม่ได้รับการติดต่อกลับมาหรือติดต่อไปได้เลยแม้แต่น้อย ทั้งสองจึงเป็นห่วงเป็นอย่างมาก

               “นี่..เธอยังจะเชื่อในตัวมันอีกเหรอ เจน” ลูว์พูดออกมาด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม ความโกรธเริ่มแฝงไปภายในคำพูดมากยิ่งขึ้น “เจ้านั่น..มันทำให้เจฟและคนอื่นๆต้องถูกจับไปนะ”

               “นั่นมันก็ใช่อยู่หรอก แต่พี่ลูว์คะ...” เจนไม่กล้าจะพูดต่อ จิตใจของเธอก็เจ็บปวดมามากเกินพอแล้ว แต่มันก็ไม่อาจจะเทียบได้กับความเจ็บปวดที่พี่ชายแท้ๆของเจฟได้รับอยู่ตอนนี้ แม้ภายนอกจะแสดงออกไม่ได้มาก แต่ลูว์ก็รักน้องชายของเขามากเช่นกัน

               “เราไม่ต้องไปฟังไอเจ้าลอสต์มันแล้ว..ตอนนี้เราพบแต่ความสูญเสียก็เพราะมันคนเดียว ดังนั้น...”

               “คุณยังไม่ได้เห็นผลลัพธ์ในสิ่งที่คุณทำเลยนะค่ะ..คุณลูว์” หญิงสาวผมขาว เดินมาจนถึงบันไดทางลงไปที่ห้องรับแขกที่อยู่ชั้นล่าง เธอเข้ามาพูดขัดลูว์เสียก่อน

               “แมรี่..นี่เรียกว่ายังไม่เห็นผลลัพธ์อีกงั้นเหรอ” ลูว์ขึ้นเสียงดัง เชาในตอนนี้ หากไม่นับซูซานและเหล่าเพื่อนพ้องครีปปี้พาสต้า เขาก็เหลือเพียงแค่เจฟเท่านั้น และตอนนี้เจฟก็ถูกจับตัวไป ทำให้เขาเกิดโกรธแค้นเป็นอย่างมาก “ผลลัพธ์น่ะมันก็เห็นๆอยู่ไม่ใช่เหรอไง..การที่เราไปฟังไอเจ้าลอสต์นั่น ทำให้พวกเราต้องสูญเสียพวกพ้องของพวกเราไป”

               “ชั้นเข้าใจเรื่องที่นายเป็นห่วงน้องชายมาก..แต่บางสิ่งที่มันจำต้องเป็นไปก็อาจจะต้องเป็นไป” แมรี่เอ่ยออกมาอย่างสงบ ในขณะนั้นลูว์ที่กำลังตอบโต้สวนกลับไป กลับถูกแมรี่พูดขัดเสียก่อน

               “ก่อนที่ชั้นจะมาคุยกับพวกคุณทั้งหมด..ชั้นได้ไปคุยกับท่านลอสต์ ซีเคร็ตมาแล้ว” แมรี่เอ่ยขึ้น

               “นี่เธอเรียกหมอนั่นว่าท่านเลยเรอะ..” นิน่าที่ไม่ได้มีเสียงตอบโต้เสียเท่าไหร่พูดออกมาเบาๆ

               “ท่านลอสต์ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ไว้แล้ว ซึ่งพวกเราจะได้เห็นผลลัพธ์นั้นในอีกไม่นาน” แมรี่ยังคงกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจ ลูว์ถึงแม้ว่ามือของเขาจะถูกกำไว้แน่น แต่เขาก็ยังคงจำต้องรับฟัง เพราะตัวเขาไม่ใช้พวกไร้สมองที่จะตะคอกใส่ผู้หญิงอย่างไร้เหตุผล

               “สำหรับพวก Reality Bender นั้นจะมีความสามารถบิดเบือนความเป็นจริง หากเป็นอย่างความสามารถของมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าที่เป็นนิมิตที่เห็นอนาคตแล้ว ถ้าเกิดภายในเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่นั้นกลับมีพวก Reality Bender อยู่ด้วยล่ะก็เหตุการณ์ภายในนิมิตจะกลับตาลปัตรทันที หรือไม่ก็เปลี่ยนไปจากในนิมิตอย่างสิ้นเชิง”

               “และก่อนที่เขาจะพาชั้นกลับมาที่นี่..เขาก็ได้พูดทิ้งท้ายเอาไว้อยู่ประโยคหนึ่ง” แมรี่ยิ้มออกมา “บางทีเราอาจจะได้พบกับเพื่อนก็ได้”

               ทันทีที่เธอพูดจบ เสียงเคาะประตูพลันดังขึ้น แต่ก่อนที่จะมีคนเดินไปเปิดประตูของคฤหาสน์นั้น ร่างของชายหนุ่มผมทองนามลาอ้อนก็ได้ปรากฏขึ้นกลางวงของทุกคน โดยตัวเขานั้นมีรอยไหม้และรอยแผลจำนวนมากเต็มร่างกาย ซึ่งพวกมันนั้นค่อยๆสมานกลับมาเป็นเช่นเดิม โดยบนมือทั้งสองของเขานั้นได้ถือกระเป๋าถือโลหะปริศนาอยู่สองชิ้น

               “นี่..ยัยพิงกาเมน่า ชั้นได้ของที่เธอต้องการมาแล้วนะ” ลาอ้อนตะโกนออกมา ทำให้หญิงสาวผมสีชมพูในชุดกี่เพ้าได้ปรากฏตัวออกมา เธอยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย “เธอแน่ใจนะว่านี่คือของทั้งหมดที่เจ้าลอสต์วางแผนจะใช้ในการสวนกลับเจ้าสามตัวนั้นน่ะ”

               “ใช่แล้วล่ะ..ทีนี้ก็แค่เหลือเวลาให้ทุกอย่างพร้อมดำเนินการ” พิงกาเมน่ากล่าวออกมา โดยไม่แม้จะสนใจคนรอบข้างที่ยังไม่เข้าใจสิ่งที่ทั้งสองกำลังพูดกันอยู่ ซึ่งการที่ทุกคนหันไปสนใจกับทั้งสอง จึงทำให้ประตูทู่กเคาะดังขึ้นแล้วดังขึ้นอีกก็ยังไม่ถูกเปิดออกเสียที

               ปั้งงงง!!! เสียงค้อนก่อสร้างขนาดใหญ่ถูกฟาดใส่ประตูจนประตูทั้งบานต้องกระเด็นออกไปกระแทกใส่ศีรษะลูว์ ทำให้เขาสลบไปทันที ทุกคนต่างตกใจ และหันไปหาคนที่กระทำสิ่งที่เกิดขึ้น

               “เคาะประตูถือเป็นมารยาท..แต่ถ้าไม่มีคนโดนฟาด เค้าคงจะไม่เปิดให้” เสียงของหญิงสาวที่ดูมีจิตใจค่อนข้างวิปริต แต่คนอื่นมองเธอด้วยสายตาแปลกๆเกี่ยวกับคำพูดที่ฟังไม่ค่อยได้ศัพท์เสียเท่าไหร่

               ผมสีขาวราวหิมะ ดวงตาของเธอเป็นสีเทาจางและมีบริเวณรอบดวงตาเป็นสีดำสนิท เธอใส่ผ้าพันคอสีดำสลับขา และเสื้อกล้ามสีดำ พร้อมกับกางเกงยีนส์ขาสั้นครึ่งน่องสีดำ อีกทั้งยังมีชายคู่หนึ่ง และหญิงอีกนางหนึ่งเดินตามกันมา ชายคนแรกนั้นมีผมสีน้ำตาลเข้ม ใส่ชุดแขนยาวสีน้ำเงิน และกางเกงดำขายาว พร้อมกับหน้ากากที่มีดวงตาสีดำ และรอยยิ้มที่ถูกเขียนด้วยเลือดแดงฉาน ชายข้างหลังกลับต่างออกไป เขาใส่เสื้อโค้ตสีน้ำตาลเข้มชายยาว เสื้อชั้นในเป็นเชิ้ร์ตสีเทาปนน้ำตาลอ่อน พร้อมกับกางเกงที่มีสีเข้มเหมือนกับเสื้อโค้ต เขาสวมหมวกสีมืด โดยดวงตาและภายในปากของเขาเปล่งแสงสีเหลืองสว่างออกมา และสุดท้ายหญิงสาวผู้มีผมสั้นสีเหลือง ดวงตาของเธอเป็นสีดำแวววาว ผิวขาวอมชมพูของเธอเปล่งประกายออกมา เธอสวมใส่ชุดนักบวชหญิงในสมัยศตวรรษที่ 12 พร้อมกับดาบอัศวินที่ยังคงดูใหม่อยู่เช่นเดิม อีกทั้งยังมีถุงน้องสีขาวและรองเท้าส้นสูงสีขาวด้วย

               “บลัดดี้ เพนเทอร์..พัพเพ็ทเทียร์ แล้วก็ซีโร่กับจัดจ์ แองเจิลด้วย” เจนกล่างออกมาอย่างมีความสุข เช่นเดียวกับทุกคนที่ต่างยิ้มปริ่ม ยกเว้นลูว์ที่ได้สลบไปแล้ว ทำห้ซูซานยิ้มขำเล็กน้อย

               “ยิ้มกันทำไมเหรอ..วันนี้มีคนจัดงานวันเกิดเหรอ” ซีโร่หันซ้ายหันขวาไปมาด้วยใบหน้าเหรอหรา โยที่ไม่รู้เลยว่าพวกเขาทั้งสี่นั้นอาจเป็นหนึ่งในความหวังของผองเพื่อนทุกคน

 

                              

                                Bloody Painter (Helen Otis)   Age : 20

       ที่มา : http://shining-san.deviantart.com/art/Bloody-Painter-620620659

                              

                                     Judge Angel (Dina Angela)  Age : 19

                    ที่มา : https://www.pinterest.com/pin/496451558901613005/

 

                                

                         The Puppeteer (Jonathan Blake)  Age : 22

                    ที่มา : https://www.pinterest.com/pin/344243965244541976/

 

                              

                                  Zero (Alice M. Jackson)  Age : 18

                    ที่มา : https://www.pinterest.com/pin/445645325609853635/

 

                              

          Bloody Mary (Marionea Stephanie Thorenta)  Age : 18

          ที่มา : http://pm1.narvii.com/6784/29a9c448205de791c6995bf4f7fb275b840d539dv2_00.jpg

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา