Creepypasta Family The Broken Myth

9.5

เขียนโดย Leragan

วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.43 น.

  24 chapter
  9 วิจารณ์
  37.85K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 14.07 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

20) [ตอนพิเศษ 5] Sorrow Of The Wind (+Extra)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               ณ สถานที่แห่งหนึ่งของฐานทัพขนาดใหญ่ ภายในห้องประจำตำแหน่งของพลทหารเลื่องชื่อ ผู้ทำผลงานการปฏิบัติหน้าที่มากมาย รวมถึงการควบคุมจัดการกับเหล่าอมนุษย์ซึ่งเป็นผู้คนที่มีลักษณะทางกายภาพที่แปลกประหลาดหรือมีพลังพิเศษที่แตกต่างจากมนุษย์ปกติ

               ทหารอาวุโสผู้หนึ่งกำลังนั่งทำงานบนโต๊ะประจำของตนเองตามปกติเช่นทุกๆวัน

               ชายแก่ผู้มีร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อขนาดใหญ่และดูแข็งแกร่ง ใบหน้าที่ดูกล้าหาญ แข็งกร้าว กับดวงตาสีเทาที่แฝงไปด้วยความเมตตาและความใจดีอยู่ภายใน ซึ่งถูกปิดบังด้วยแว่นสายตาของผู้สูงวัยสีแดงเลือดหมู หนวดและเคราสีขาวโพลนที่เชื่อมเข้ากันกับผมทรงทหารที่หนาหยาบอย่างสมบูรณ์ แลดูคล้ายนักรบเฒ่าในยุคโบราณ

               ชายแก่ผู้มีนามว่า ‘พลโท ออโรรัส นอร์ทสตาร์’ ที่กำลังนั่งจัดเอกสารและตรวจสอบระเบียบการประจำกองทหารแต่ละกองอย่างประณีต ความกระหายที่เกิดขึ้นในบางครั้งทำให้เขาจำเป็นต้องหยิบแก้วน้ำชาบนโต๊ะทำงานขึ้นมาดื่มอยู่เป็นระยะ

               ความกระหายที่พลันเกิดขึ้นในลำคอ สร้างความต้องการดื่มน้ำที่สามารถหล่อเลี้ยงและดับความกระหายออกไปได้ แต่การหยิบจับถ้วยชาในครั้งนี้ทำให้พลโทนอร์ทสตาร์ได้สังเกตเห็นเงาดำรูปร่างมนุษย์สะท้อนจากด้านหลังจากน้ำชา

               ชายแก่รีบเลื่อนมือเข้าไปจับปืนพกที่เสียบอยู่ที่กระเป๋าข้างลำตัว และจ่อเล็งไปที่ศีรษะของเงาปริศนาอย่างว่องไว ก่อนที่เขาจะเหนี่ยวไกอย่างรวดเร็ว

               เสียงปืนที่ควรจะปรากฏให้ได้ยินขึ้น กลับไม่แสดงผลออกมา แม้จะเห็นลูกกระสุนพุ่งเข้าไปยังศีรษะของเงาดำและสะเก็ดเปลวไฟที่ปรากฏหลังจากการยิงปืนออกมา

               แต่แล้วกระสุนที่ควรจะพุ่งทะลุศีรษะของเงามืด กลับแหลกเหลวกลายเป็นเถ้าถุลีไปภายในเสี้ยววินาที ทหารแก่ตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมาก แต่หลังจากนั้นการกระทำของเงาดำนั้นก็ไม่มีทีท่าจะทำร้ายหรือแย่งชิงปืนของออโรรัสแม้แต่น้อย

               ชายแก่สังเกตความผิดปกติได้ จึงเพ่งมองเงามืดเบื้องหน้าเพื่อตรวจสอบหาความจริง แต่ทันใดนั้นเสียงที่เขาคุ้นเคยก็เปล่งออกมาจากบุรุษปริศนาเบื้องหน้า

               “ชั้นน่าจะพูดไปก่อนนะว่า ‘โว้วๆ!! อย่าพึ่งยิง..’ แต่การตอบสนองของนายมันเร็วเกินกว่าที่ชั้นจะพูดให้ทันซะอีกนะ..นอร์ทสตาร์” บุรุษปริศนาเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงยียวน

               บุรุษเบื้องหน้าสวมใส่เสื้อกันหนาวสีดำและกางเกงขายาวสีดำที่ถูกทับด้วยเสื้อกาวชายยาวถึงข้อเท้า ใบหน้าและฝ่ามือถูกปกปิดอย่างมิดชิดด้วยฮู้ดจากเสื้อกันหนาวและถุงมือสีดำตามลำดับ ความมืดที่เกิดขึ้นภายในฮู้ดโอบล้อมส่วนที่เป็นใบหน้าของชายผู้นี้อย่างมิดชิดจนยากที่จะสังเกตุเห็นแม้จะเพ่งมองก็ตาม

               “หึ..คนอย่างนายน่ะรึ? ที่จะพูดไม่ให้ชั้นยิงน่ะ..ความจริงแล้วนายคงไม่ต้องขอให้ชั้นหยุดยิงหรอก นายคงจะหยิบปืนออกจากกระเป๋าหรือเปลี่ยนปืนนี้เป็นน้ำไปแล้ว” นอร์ทสตาร์ถอดแว่นสีแดงเลือดหมูออก ก่อนจะหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ แต่กลับได้รับรสชาติแปลกประหลาดของน้ำชา จนต้องมองน้ำชาที่เปลี่ยนจากสีปกติเป็นสีส้ม

               “เหมือนที่ชั้นเปลี่ยนน้ำชาของนายเป็นน้ำส้มน่ะนะ” ชายปริศนาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงยียวนเช่นเดิม ในขณะที่มีกล่องข้อความสามมิติปรากฏขึ้น โดยภายในมีรูปอีโมติคอนเคลื่อนไหวได้ที่กำลังแสดงท่าทีหัวเราะลั่นอยู่ภายใน

               “น้ำส้มรสชาติดีนี่..แต่ก็ช่วยเปลี่ยนกลับเป็นแบบเดิมจะดีกว่า” ชายปริศนาที่ได้ยินพลทหารชั้นสูงเอ่ยขอจึงดีดนิ้วครั้งหนึ่ง ทำให้น้ำส้มในแก้วชาเปลี่ยนกลับมาเป็นน้ำชาเช่นเดิม

               “ดื่มชามากๆมันไม่ดีนะรู้มั้ย..เดี๋ยวได้ชาไปพร้อมกับน้ำหรอก” บุรุษที่สวมใส่เสื้อกันหนาวสีดำเอ่ยเล่นมุขออกมา แต่ผู้ฟังกลับแสดงสีหน้าเรียบนิ่ง

               “ชั้นควรจะขำ..ใช่มั้ย?” พลโทนอร์ทสตาร์กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

               “ก็แล้วแต่ล่ะนะ..นอร์ทสตาร์” ชายปริศนากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

               “นายเคยซักเสื้อบ้างมั้ยเนี่ย ชั้นจำได้ว่าตั้งแต่เจอนายมา..” พลทหารอาวุโสกล่าวถามชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ก่อนจะรินน้ำชาจากในกาน้ำชาใส่แก้ว “..ก็เห็นนายใส่เสื้อตัวนี้อยู่ตัวเดียวเลย”

               “ตกลงนายรู้จักชั้นดีพอหรือยังเนี้ย?..” ชายปริศนาเอ่ยถาม “รู้ใช่มั้ยว่าชั้นเป็นใคร?”

               “ดอกเตอร์ ลอสต์ ซีเคร็ต..หรือที่ชั้นรู้จักในนาม ‘ไอเกรียนฮู้ดดำ’ มีพลังรังสรรค์สรรพสิ่งให้กลายเป็นจริง” นอร์ทสตาร์ตอบกลับมาด้วยท่าทางนิ่งเฉย “ที่นายพูดอย่างนี้ก็บอกชั้นเป็นนัยๆแล้วว่า..เอ็งเสกมาใส่ตลอดเลยล่ะสิท่า”

               “รู้อยู่แล้วนี่..งั้นก็ดี ชั้นจะได้ไม่ต้องบอกว่าตัวชั้นเปลี่ยนเสื้อตัวนี้ทุกๆวินาที” ลอสต์เอ่ยออกมา แล้วแสดงทีท่าภูมิใจ

               “ว่าแต่นายมีเรื่องอะไรถึงเข้ามาหาชั้นน่ะ..” นอร์ทสตาร์เอ่ยถามเพื่อนลึกลับของเขา “ต้องการกำลังพลเหรอ..เห็นว่าเจ้าพวกครีปปี้พาสต้าที่นายช่วยเหลือถูกจับตัวไปกว่าครึ่งเลยนี่”

               “แต่เรื่องนั้นชั้นคงช่วยนายไม่ได้หรอกนะ..ทางรัฐบาลสั่งห้ามพวกทหารไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาโดยเด็ดขาด” นอร์ทสตาร์แจงให้ลอสต์ทราบ

               “นายก็รู้นี่ว่าชั้นไม่จำเป็นต้องใช้คนพวกนั้นหรอก..” ลอสต์เอ่ยเกทับกลับไป ซึ่งนอร์ทสตาร์ที่รับฟังก็ไม่ได้พูดตอบโต้ แต่ด้วยความสงสัย เขาจึงถามเพื่อนลึกลับของตนเองอีกครั้ง

               “งั้นนายมาหาชั้นทำไมกันล่ะ..” พลทหารอาวุโสมองไปยังลอสต์ที่เดินไปยืนพิงกับผนังห้องที่ถูกสร้างจากคอนกรีตหนาหลายฟุต

               “ก็แค่คิดถึง..เลยมาไงล่ะ จุ้บๆ” ลอสต์ เอ่ยยียวนกวนประสาทเพื่อนทหารอีกครั้ง แล้วจึงปรากฏกล่องข้อความสามมิติอีกครั้ง โดยในครั้งนี้เป็นรูปของรอยจูบที่กำลังเคลื่อนไหวเข้า-ออกไปมา

               หลังจากที่ใช้งานเสร็จแล้ว กล่องข้อความที่หมดประโยชน์ก็คดม้วนเป็นวงแหวนขนาดเท่าฝ่ามือ รอยจูบเคลื่อนไหวได้หลุดออกมาจากกล่องข้อความนั้นทันทีก่อนจะเปลี่ยนเป็นน้ำเชื่อมกลิ่นสตรอว์เบอร์รี่เข้ามาเคลือบให้กับวงแหวนของกล่องข้อความที่ค่อยๆเปลี่ยนสภาพเป็นแป้ง จนสุดท้ายก็ได้กลายเป็นโดนัทเคลือบสตอร์เบอร์รี่ไปในที่สุด

               “คนอย่างนายเนี่ยนะ..ที่จะมาเพราะคิดถึง ฮึๆ น่าขันสิ้นดี” นอร์ทสตาร์พูดจบจึงได้อ้าปากหัวเราะออกมาด้วยเสียงอันดัง “อย่างนายน่ะ..ถ้าจะมาหาชั้นคงต้องมีเรื่องที่อยากรู้หรือไม่ก็เรื่องทุกข์ใจอะไรอยู่แน่”

               “ฮึ..นายนี่รู้จักชั้นดีจังเลยนะ” ลอสต์กล่าวออกมา หากตัวเขามีใบหน้า..เขาคงจะยิ้มที่มุมปากเป็นแน่ แต่ก็แน่นอน..เขาไม่มีหน้า ไม่สิ..ไม่มีแม้แต่ร่างกายซะด้วยซ้ำไป

               “นายต้องการอะไรจากชั้น..ก็บอกมาตรงๆเถอะน่า” พลโทนอร์ทสตาร์วางถ้วยน้ำชาลง ก่อนจะหยิบปากกาขึ้นมาตรวจเช็คระเบียบการเช่นเดิม แต่เขาก็ต้องแปลกใจเพราะระเบียบการทั้งหมดที่เขาต้องทำกลับถูกเขียนด้วยลายมือของตัวเขาเองจนเสร็จเรียบร้อยไปหมดแล้ว

               “เรื่องนี้สำคัญถึงขนาดที่นายต้องทำงานให้ชั้นเลยงั้นเหรอ” ออโรรัสขำออกมา

               “ชั้นไม่ได้ทำสักหน่อย..นายต่างหากที่ทำ” ชายในฮู้ดสีดำกล่าวออกมา ทำให้สหายเบื้องหน้าต้องแสดงทีท่ามึนงง

               “ชั้นก็อปปี้งานของนายทั้งหมดจากในอนาคตอีก 12 ชั่วโมงมาวางทับกับสิ่งที่นายกำลังจะทำแล้ว” ลอสต์กอดอก นอร์ทสตาร์ที่ได้ยินจึงยิ้มที่มุมปาก “สิ่งที่ชั้นทำไม่มีผลกระทบกับไทม์ไลน์อื่นแน่นอน”

               “นั่นก็หมายความว่าตอนนี้ชั้นโล่งไปอีก 12 ชั่วโมงสินะ” ไอโอรัสกล่าวออกมา

               “ตามนั้นแหละ..” ลอสต์พูดตัดบท

               “ชั้นนี่ไม่เคยเดาทางนายออกจริงๆ..ว่าจะมาไม้ไหนกันแน่” นอร์ทสตาร์ยืนหลังพิงกับเก้าอี้ให้เอนไปด้านหลังจนเข้าที่ “จะพูดอะไรก็พูดมาเลย..เพราะอาจจะมีคนเข้ามาตอนไหนก็ได้”

               “ไม่หรอกน่า..ถึงจะมีชั้นที่เป็นพวกบิดเบือนความเป็นจริงอยู่ก็เถอะ” ชายในฮู้ดกล่าวออกมา “ใน 8 ชั่วโมงนี้ไม่มีใครเข้ามาหานายแน่นอน”

               “ชั้นคงอ้างอะไรไม่ได้อีกแล้วล่ะ..ต้องการอะไรก็พูดเลย”

               “ชั้นอยากรู้เรื่องพวกอมนุษย์ทั้งหมด..” ลอสต์เปลี่ยนโทนเสียง ทำให้ดูจริงจังจนน่าประหลาด “..ทั้งหมดที่นายและคนของนายควบคุมจัดการอยู่”

               “นายสนใจเรื่องนั้นด้วยงั้นหรือ?” นอร์ทสตาร์เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ

               “เดี๋ยวนายก็รู้เอง แต่ก่อนอื่น..ชั้นต้องการรายชื่อ ประวัติ และพรสวรรค์ที่ได้รับโดยละเอียดของพวกเขา” ลอสต์เอ่ยออกมาอย่างจริงจัง “ชั้นหวังว่านายจะหาได้ล่ะนะ”

               “ชั้นขอฟังจุดประสงค์หรือเหตุผลสักข้อได้มั้ย” นอร์ทสตาร์เอ่ยถามอีกครั้ง “..ชั้นแค่อยากรู้ว่านายจะต้องการฟังเรื่องนี้ไปทำไม”

               “ชั้นไม่ได้ต้องการให้นายเล่าเพื่อให้ชั้นรู้..แต่ในตัวพวกเขาทั้งหมดนั้นมีข้อมูลที่ชั้นต้องบอกให้นายรู้ต่างหากล่ะ” ลอสต์พูดกำกวมจนนอร์ทสตาร์ต้องกุมขมับ “..และชั้นก็มั่นใจว่าเรื่องนี้ไม่มีทางที่ใครจะรู้มาก่อนแน่นอน”

               “ก็ได้ๆ” พลทหารอาวุโสจำใจทิ้งคำถามในใจออกไปแล้วทำตามที่สหายจอมเกรียนของตนเองบอก “นายน่าจะสรุปเรื่องแล้วเล่ามาก็จบแล้วนะ..จะทำทำไมให้ยุ่งยาก แต่ช่างเถอะ..”

               “ดีมาก..” ลอสต์สัมผัสไปยังเอกสารทั้งหมดที่พลทหารระดับสูง ผ่านไปเพียงแค่สองวินาที บุรุษในฮู้ดจึงยื่นเอกสารคืน “อืม..มีทั้งหมด 2,184 คนสินะ อืม..”

               “โอเค..ชั้นจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้นายฟังเอง” “เรื่องมันก็มีอยู่ว่า…

               แต่ก่อนอื่นนัน ลอสต์กลับหันหน้ามาทางด้านหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากพูดกับอากาศและความว่างเปล่า

               “สำหรับผู้อ่านก็คงต้องไปรับชม ไม่สิ..คงต้องไปพบกับเนื้อเรื่องในอดีตของไอโอน่า นอร์ทสตาร์จากมุมมองในอดีตของเธอแทนแล้วกัน” ลอสต์เอ่ยบอกกับบางสิ่งที่นอร์ทสตาร์ไม่อาจรับรู้ได้

               “เดี๋ยวพอชั้นดีดนิ้ว..นายก็เล่าให้ชั้นฟังได้เลยนะ”

               “เฮ้อ! ได้ๆ” ชายแก่แสดงท่าทางเบื่อหน่ายออกมาทางสีหน้าและน้ำเสียง หลังจากนั้นไม่ถึง 3 วินาที เสียงดีดนิ้วพลันเปล่งเสียงออกมา

               ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งในประเทศที่เต็มไปด้วยพายุหิมะ ความหนาวเย็นกัดกินจิตใจของผู้คนให้เย็นยะเยือกไปเช่นเดียวกับมัน

               ความเย็นชา ความเห็นแก่ตัว ความตระหนี่ ไร้ซึ่งมิตรภาพ ไร้ซึ่งน้ำใจ ไร้ซึ่งสิ่งใดที่จะสร้างความอบอุ่น ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้กลับมีครอบครัวหนึ่งที่ต่างกันออกไป ครอบครัวที่ไม่ได้มีบ้านหลังใหญ่ ไม่ได้มีทรัพย์สินมากมาย แต่ก็ไม่ได้มีความเย็นชา ความเห็นแก่ตัว และความตระหนี่แต่อย่างใด

               โดยชั้นก็อยู่ในครอบครัวนั้นกับคุณพ่อคุณแม่และพี่ชายของชั้น พวกเราอยู่อย่างมีความสุข ต่างจากครอบครัวอื่นโดยสิ้นเชิง

               “ไอ..เช้าแล้วนะลูก” เสียงหวานของแม่ดังขึ้นในขณะที่ตัวชั้นกำลังหลับใหล ชั้นดึงตัวเองขึ้นมาจากภวังค์แห่งนิทรานั้น ก่อนจะยันตัวขึ้นมานั่งบนเตียงด้วยสภาพงัวเงีย

               ชั้นมองไปยังนาฬิกาที่ติดไว้ที่ผนังเบื้องหน้า แล้วจึงแลสายตาไปมองที่มันด้วยท่าทางสะลึมสะลือ ก่อนจะหาวออกมา นาฬิกานั้นแสดงให้เห็นว่าวันนี้ชั้นตื่นสายกว่าปกติเล็กน้อย แต่การตื่นสายก็ไม่ได้ทำให้ชั้นรู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาแต่อย่างใด

               ชั้นลุกออกมาจากเตียง เดินไปยังห้องน้ำเพื่ออาบน้ำและแปรงฟัน ในยามนี้ตัวชั้นมีอายุ 10 ปี และอีกไม่รู้กี่วันก็จะมีอายุ 11 ปีแล้ว ตัวชั้นมักจะฝันถึงวันเกิดของชั้นอยู่บ่อยๆ เพราะมันจะเป็นวันที่ทุกคนจะยิ้มและหัวเราะไปพร้อมๆกัน

               หลังจากที่ชั้นทำกิจวัตรของชั้นเสร็จ เมื่อชั้นเดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพเปียกโชกพร้อมกับผ้าเช็ดตัวผืนเล็กผืนหนึ่ง พี่ชายของชั้นก็ได้เปิดประตูออกมาจากห้องของตัวเองในสภาพสะลึมสะลือเช่นเดียวกับชั้น แต่ต่างกันก็ที่ผมที่ฟูฟ่องกระเซอะกระเซิง จนสามารถทำให้ชั้นที่ยังคงงัวเงียอยู่ต้องรู้สึกตัวขึ้นมาหัวเราะลั่นได้

               “หัวเราะอะไรเหรอ..ไอ” พี่ของชั้นพูดออกมาอย่างไม่รู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง

               “ก็ดูหัวพี่สิ..ฮ่าๆๆ” ชั้นหัวเราะลั่นออกมา ทำให้ผู้ถูกหัวเราะใส่ที่ง่วงอยู่ต้องมาสำรวจตัวเอง เขารีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำทันที

               “ผมชั้น!! เกิดอะไรขึ้นกับผมชั้นเนี่ย!!!” พี่ชายตะโกนออกมาอย่างตกใจ ในขณะที่ตัวชั้นที่เห็นใบหน้าของพี่ในตอนนั้นต้องยืนขำอยู่หน้าประตูห้อง

               “เลิกขำได้แล้ว..นี่มันไม่ตลกเลยนะ” ชายหนุ่มอายุ 17 ปีเบื้องหน้าชั้นตะโกนลั่น เขารีบพุ่งเข้ามาเขย่าร่างน้องสาวของตนเองเพื่อแก้เขิน แต่ตัวชั้นเองก็ไม่ได้สังเกตเลยว่าผ้าขนหนูที่ชั้นใช้ห่อหุ้มร่างกายอยู่นั้นมันค่อยๆคลี่ตัวออก

               ...จนหลุดออกมาในที่สุด เพราะแรงเขย่าของพี่ชายขี้อาย…

               ในวินาทีที่ผ้านั้นหลุดออก พวกเราต่างยุ่งอยู่กับการหยอกล้อกันจนชั้นรู้สึกถึงความโหวงเหวงบริเวณลำตัวชั้นจึงได้หันลงมาดูความเปลี่ยนแปลง พี่ชายขี้อายที่หยอกล้อกับชั้นอยู่จึงมองตามลงมา และจึงพบกับสิ่งที่รู้กันอยู่ว่าคืออะไร

               “...” ตัวชั้นเขินอายมากๆ ตอนนี้ชั้นไม่รู้เลยว่าใบหน้าของชั้นแดงขนาดไหน แต่น่าจะเปลี่ยนกลายเป็นสีแดงเหมือนผิวมะเขือเทศในห้างสรรพสินค้าไปแล้ว ชั้นค่อยๆหันหน้าขึ้นมามองพี่ชายที่กำลังทำสิ่งเดียวกันกับชั้น พร้อมทั้งใบหน้าที่แดงก่ำไม่แพ้กัน

               “พี่บ้า!!!” สัญชาตญาณการป้องกันตัวของเด็กสาวปรากฏขึ้นทันที ปลายเท้าของชั้นข้างหนึ่งถูกลากไปทางด้านหลัง และลอยขึ้นจากการงอเข่าจนต้นขาขนานกับพื้น ส่วนขาอีกข้างนั้นเหยียดตึง ภายในวินาทีต่อจากนั้นขาที่ถูกลากไปข้างหลังพลันพุ่งย้อนกลับมาในรูปแบบของครึ่งวงกลมอย่างรุนแรงและรวดเร็ว เป็นการเคลื่อนที่แบบหมุนตามหลักฟิสิกส์

               จุดหมายของลูกเตะนี้พุ่งเข้าไปยังบริเวณระหว่างขาทั้งสองของพี่ชาย แรงปะทะที่เกิดขึ้นมหาศาลทำให้พี่ชายของชั้นขาลอยสูงจากพื้นก่อนจะร่วงลงมานอนกองอยู่กับพื้นด้วยท่าทางเจ็บปวด ชั้นที่เห็นพี่ชายในสภาพนั้นก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปจึงรีบหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กของชั้นออกมา แล้วรีบไปแต่งตัวทันที

               หลังจากแต่งตัวในห้องของชั้นเสร็จ ชั้นจึงเปิดประตูห้องออกมา แต่ก็ยังคงพบพี่ชายนอนอยู่ตรงนั้นเช่นเดิม ชั้นที่เริ่มเป็นห่วงจึงรีบเข้าไปดูอาการของพี่เค้าทันที

               “พี่คะ..พี่เป็นอะไรมากมั้ยคะ” ชั้นถามออกไปด้วยความเป็นห่วง ด้วยความไร้เดียงสาของชั้น จึงไม่ได้มีโอกาสรู้เลยว่าการกระแทกใส่กล่องดวงใจกับเพศชายนั้นเป็นวิธีที่ใช้ในการป้องกันตัวหรือหลบหนีออกจากสถานการณ์ที่จะถูกละเมิดทางเพศได้เป็นอย่างดี

               “มะ..ไม่ ...เป็นไร” พี่ชายเลื่อนใบหน้าที่มีรอยยิ้มขึ้นมา แต่ใบหน้าของพี่นั้นกลับแสดงถึงความรู้สึกเจ็บปวดภายใน

               “ส่วนล่างพี่แค่ชามากจนไม่รู้สึกอะไรเลยน่ะ” พี่ชายหัวเราะในลำคอ “ช่วยพยุงพี่ขึ้นมาหน่อยสิ”

               “ค่ะ..” ชั้นตอบรับการช่วยเหลือพี่ ความแตกต่างของอายุของพวกเราทำให้ส่วนสูงและน้ำหนักของพวกเราต่างกันมากจนชั้นเกือบจะช่วยพี่ให้ลุกขึ้นไม่ได้ แต่สุดท้ายพวกเราก็ทำได้สำเร็จ พี่ชายแสดงความเจ็บปวดพร้อมกับกุมบริเวณที่ถูกชั้นเตะ

               ชั้นที่รู้สึกผิดกำลังจะถามไถ่พี่ แต่คุณแม่ก็เรียกชั้นเสียก่อน “ไอ..เอช มากินข้าวได้แล้วนะ..เดี๋ยวข้าวก็เย็นหมดพอดี”

               “คร้าบ! เดี๋ยวลงไปครับ” พี่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่หมดเรี่ยวแรง ก่อนจะหันมาทางชั้น “ไอไปกินข้าวเถอะ..เดี๋ยวพี่ขออาบน้ำก่อน”

               “ค่ะ..แต่พี่ไม่เป็นอะไรแล้วใช่มั้ยคะ” ชั้นพูดออกมาด้วยความกังวลใจ พี่เอชจึงหันมาทางชั้นและลูบหัว

               “ไม่เป็นไรหรอกน่า..พี่ออกจะแข็งแรง” พี่ชายฝืนเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก “แต่ทีหลังก็อย่าทำอีกล่ะ..มันจุกมากเลยล่ะนะ ผู้หญิงไม่เข้าใจหรอก”

               “เข้าใจแล้วค่ะ” ชั้นที่เห็นพี่ยิ้มออกมาก็ยิ้มตอบกลับไป แล้วจึงรีบวิ่งลงไปข้างล่างทันที

               หลังจากที่ตัวชั้นเดินลงมาจากบันไดจนถึงชั้นล่าง สายตาชั้นก็กวาดไปยังซ้ายทีขวาทีจนได้พบกับคุณแม่ที่กำลังทำอาหารอยู่ที่ห้องครัวกับคุณพ่อที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ใกล้ๆกับคุณแม่

               “ไอลงมาแล้วค่า..” ชั้นกล่าวประกาศออกไป แม่ที่ได้ยินจึงหันมาพร้อมทั้งรอยยิ้ม

               “วันนี้แม่ทำแพนเค้กไว้ให้ลูกนะ..ลองกินดูสิ” คุณแม่บอกชั้น แล้วจึงหันกลับไปทำอาหารต่อเช่นเดิม “อ่อ..แล้วก็อย่าลืมราดไซรัปด้วยล่ะ”

               “ค่าาา..” ชั้นตอบกลับแม่ไป ก่อนจะเริ่มรับประทานแพนเค้กเบื้องหน้าอย่างเอร็ดอร่อย ในระหว่างที่ชั้นทานอยู่ พี่เอชก็ลงมายังชั้นล่างและพ่อก็เก็บหนังสือพิมพ์ลงแล้วเดินไปนั่งบนโซฟาและเปิดโทรทัศน์ดูทันที

               “วันนี้มีแพนเค้กเหรอเนี่ย..ฝีมือแม่ด้วย!” พี่เอชประหลาดใจกล่าวชมคุณแม่ จนท่านต้องหันมายิ้มน้อยยิ้มใหญ่

               “ไอขอไซรัปหน่อยสิ” พี่ชายขอขวดน้ำเชื่อมไซรัปที่วางอยู่ใกล้มือชั้นให้กับเขา ชั้นจึงใช้มือเล็กๆหยิบขวดน้ำเชื่อมให้กับพี่ไปทันที ในขณะที่พี่กำลังจะราดน้ำเชื่อมลงแพนเค้ก เสียงภายในบ้านกลับเงียบลงจนเหลือเพียงแต่เสียงโทรทัศน์

               “ในขณะนี้ทางเมืองใกล้เคียงกับเมืองของพวกเราได้ถูกกลุ่มโจรลัทธิหัวรุนแรงจำนวนหลายพันคนเข้าทำลายจนไม่เหลือซาก ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีข่าวเพิ่มเติมการเคลื่อนไหวของกลุ่มโจรกลุ่มนั้นแต่อย่างใด แต่...” พ่อปิดโทรทัศน์ลงทันที ก่อนจะลุกขึ้นมามองพวกเราด้วยรอยยิ้ม

               “วันนี้ก็เป็นวันหยุด..เดี๋ยวพ่อกับแม่จะพาลูกไปเที่ยวกัน” พ่อพูดออกมา

               “เย้! วันนี้จะได้ไปเที่ยวด้วย” ชั้นกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ที่จะด้วยไปเที่ยวนอกบ้านในวันหยุดกับครอบครัวที่ชั้นรัก

               ชั้นรีบวิ่งขึ้นไปเปลี่ยนชุดจากเดิมให้หนาขึ้นเพื่อจะได้มีเครื่องป้องกันสภาพอากาศอันหนาวเหน็บภายนอก หลังจากเสร็จภารกิจ ชั้นก็รีบวิ่งลงไปยังชั้นล่างของบ้านทันที

               พ่อกับแม่ของชั้นดูเหมือนจะเตรียมพร้อมหลายๆอย่างเรียบร้อยแล้ว พวกเขานั้นกำลังนำตะกร้าปิกนิกไปด้วย ชั้นเข้าจถึงเรื่องนั้นดี ในเมืองใกล้เคียงที่พวกเราจะไปเที่ยวเล่นกันค่อนข้างจะขายอาหารในราคาที่แพงกว่าที่อื่นๆมาก อีกทั้งที่เราจะไปยังเป็นสวนสนุก ราคาขายของอาหารจึงแพงมากขึ้นไปอีก พ่อกับแม่ที่รู้เรื่องนั้นดีจึงได้เตรียมอาหารใส่ตระกร้าให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทาง ทำให้ประหยัดเงินที่ต้องใช้จ่ายไปมาก

               พี่ของชั้นเดินลงมาจากบันได แต่ไม่เร่งรีบนัก พี่เอชเลือกใส่เสื้อคอกลมแขนยาวสีน้ำตาลและกางเกงยีนส์ที่ขาดหลุดลุ่ย แต่ยังคงสวมใส่รองเท้าผ้าใบสีขาวเช่นเดิม

               พี่ยิ้มให้ทันทีเมื่อเขาเห็นชั้นที่สวมใส่ชุดเดรสสีขาวสะอาดตา หมวกจากไม้สาน และรองเท้าแตะสีแดง ซึ่งเป็นชุดตัวโปรดของชั้น

               “พี่เอช..อย่ามัวโอ้เอ้สิ” ชั้นบอกกับพี่เอชที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาใช้งาน ทำให้การเคลื่อนไหวของพี่ช้าลงไปอีก

               “จ้าๆ..” พี่ชายเก็บโทรศัพท์กลับลงไปที่กระเป๋ากางเกงเช่นเดิม แล้วจึงรีบเดินลงจนมาถึงข้างหน้าชั้น พี่ยื่นมือมาลูบศีรษะของชั้นเฉกเช่นทุกครั้ง “ไปเที่ยวกันเถอะนะ..ไอ”

               “ค่ะ..” ชั้นตอบกลับแล้วยิ้มกว้างให้พี่ชาย ก่อนที่พวกเราจะเดินไปยังรถที่จอดอยู่ และออกเดินทางสู่สวนสนุกของอีกเมือง

               เมื่อรถของพ่อหยุดลง ชั้นไม่รีรอรีบเปิดประตูรถและวิ่งออกไปด้วยความดีใจและมีความสุข ชั้นมองไปซ้ายแลขวา พบผู้คนจำนวนมาก พร้อมทั้งเหล่าเด็กวัยเดียวกัน กำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน มันยิ่งทำให้ชั้นยิ่งอดใจรอแทบไม่ไหว หัวใจของชั้นเต้นอย่างถี่รัว นั่นเป็นเพราะความตื่นเต้นจากการได้มาเห็นสวนสนุกของจริงที่ไม่ได้เป็นเพียงรูปภาพในหนังสือหรือภาพในโทรทัศน์

               ชั้นรีบวิ่งออกไปในทันที รอยยิ้มที่ประทับอยู่บนหน้าชั้นยากจะบอกได้ว่ามันมีลักษณะอย่างไรในขณะนั้น รู้เพียงว่าความสนุกและความสุขกำลังดึงชั้นไปยังดินแดนของพวกมัน

               “อย่าไปไกลนักสิ..ไอ” พี่ชายของชั้นตะโกนออกมาด้วยความเป็นห่วง เตือนสติให้ตัวชั้นไม่วิ่งเล่นจนหลงกับครอบครัวเสียก่อน

               “เด็กคนนี้..จริงเล้ยยย” พี่เอชพึมพำออกมาเล็กน้อยก่อนจะเดินมาหาชั้น แล้วลูบหัวชั้น “รู้ว่าตื่นเต้นที่ได้มาที่นี่ครั้งแรก..แต่อย่าระเริงจนลืมตัวสิ”

               “รับทราบค่ะ..” ตัวชั้นรีบตอบกลับไป ก่อนจะดึงมือพี่ชายให้ไปยังซุ้มน่าสนใจข้างหน้า

               “อย่ารีบนักสิ..” พี่ชายที่ถูกดึงมาได้แต่ยิ้มที่มุมปาก และแสดงสีหน้าเหนื่อยใจ พี่จึงจำใจไปกับชั้น...เหมือนเคย ส่วนพ่อกับแม่ก็ต่างยิ้มหวานให้ลูกทั้งสองที่เติบโตขึ้น ก่อนที่ทั้งสองจะเดินตามพวกเราไป

               พวกเราใช้เวลากันที่สวนสนุกอยู่นานกว่าเกือบ 4 ชั่วโมง แต่ชั้นยังอยากเล่นเครื่องเล่นที่ยังเหลืออีกกว่า 20 ชนิด แต่จากสุภาษิตที่ส่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง พวกเราจึงมานั่งพักกันในสวนสาธารณะของสวนสนุก

               บรรยากาศภายในสวนเต็มไปด้วยความเย็นใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ กลิ่นไอของดอกไม้และธรรมชาติที่สร้างความอิ่มเอมภายในใจ

               ตัวชั้นที่ล้มลงตัวนั่งพัก ถอนหายใจออกมา เพื่อที่จะสูดอากาศฟอดใหม่เข้าไป ความรู้สึกสดชื่นในลำคอ ฟื้นฟูสภาพร่างกายของชั้นไปได้ในระดับหนึ่ง แต่กระเพาะนั้นยังคงว่างเปล่าเช่นเดิม

               “พี่เอช..น้องไอ มากินของว่างกันเร็ว” แม่เรียกพวกเราที่กำลังกินลมชมวิว ไปทานของว่างที่แม่จัดเตรียมเอาไว้

               เมื่อพวกเราเดินมาและนั่งลงข้างหน้าพวกเขา แม่จึงได้เปิดตะกร้าปิกนิกและได้เห็นแซนด์วิชจำนวนหลาย 10 ชิ้น เยลลี่สีแดงก้อนใหญ่ สลัดผัก และที่สำคัญที่สุดวาฟเฟิลนุ่มราดไซรัปที่มีกลิ่นหอมอ่อน ที่คล้ายกับกลิ่นของอัลมอนด์

               กลิ่นหอมที่ส่งออกมา กระตุ้นต่อมน้ำลายทันที อีกทั้งท้องที่ส่งเสียงโครกคราก ตัวชั้นที่หิวโหยอยู่ เริ่มจะทนต่อสิ่งยั่วยวนนั้นไม่ไหวเสียแล้ว ตัวชั้นที่เห็นแม่กำลังปูเสื่อรองพื้นสีแดงสลับขาว และจัดเตรียมอาหารว่างอยู่ จึงรีบไปช่วยท่านให้เสร็จอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับพี่เอชที่รีบมาช่วยเช่นเดียวกัน ส่วนพ่อของเรานั้นก็ได้เดินออกจากสวนสาธารณะนี้ไปสูบบุหรี่ในสถานที่ที่จัดขึ้นไว้ให้โดยเฉพาะ

               หลังจากที่พวกเราช่วยแม่เตรียมอาหารว่างเสร็จแล้ว จึงได้เริ่มรับประทานกันอย่างเอร็ดอร่อยทันที รสชาติของวาฟเฟิลกลิ่นอัลมอนด์ที่ถูกราดด้วยไซรัปแสนหวาน ทำให้เกิดรสชาติขมอ่อนๆ ผสมผสานกับรสหวานเข้มที่เป็นรสนำ พร้อมกับกลิ่นอัลมอนด์ที่อมอยู่ภายในปากและลิ้น

               ด้วยความอร่อยของวาฟเฟิลที่แม่ทำ ทำให้ชั้นและพี่เอชเริ่มเปลี่ยนจากการทานปกติเป็นการสวาปามแทน จนแม่ต้องเข้ามาห้ามปราม และแบ่งวาฟเฟิลส่วนหนึ่งมาให้พ่อ แต่เนื่องจากการที่พี่เอชชอบกินไซรัปมากจึงทำให้ไซรัปที่แม่เตรียมไว้หมดลงเร็วกว่าที่แม่คาด จึงทำให้แม่ต้องใช้แยมสตอร์เบอร์รี่มาราดแทน

               หลังจากที่พวกเราสองพี่น้องทานวาฟเฟิลของตนเองจนหมด จึงได้หันไปมองแซนด์วิชในตะกร้าไม้สานสีอ่อนด้วยสายตาชั่วร้าย ชั้นและพี่เอชรีบเข้าไปหยิบแซนด์วิชขึ้นมา แล้วจึงฉีกกัดแผ่นขนมปังที่น่าสงสารอย่างโหดร้าย ของเหลวสีแดงไหลพุ่งออกมาในทันใด กลิ่นเฉพาะที่คละคลุ้งออกมาทำให้แม่ต้องสะพรึง ฟันทั้งสามสิบสองบดเคี้ยวและฉีกกัดเหยื่อของมันอย่างไม่ปราณี มันสมองของแซนด์วิช รวมทั้งไส้สีขาวแสนยาวร่วงหล่นสู่พื้น จนสุดท้ายแม่ที่ทนรับเรื่องที่โหดร้ายจึงต้องเข้ามาหยุดการกระทำของเราทั้งสองลง

               “ลูก..อย่ากินมูมมามจนเลอะเทอะสิ” แม่กล่าวห้ามปรามให้พวกเราหยุดการกระทำอันไร้มารยาทลง “ดูสิ..ไก่สับกับหอมใหญ่หล่นหมดแล้วนะ”

               “ค่าาา..” ชั้นตอบกลับไป แล้วจึงรับประทานอาหารที่ถืออยู่อย่างสุภาพขึ้น เช่นเดียวกับพี่เอชที่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

               ไม่นานหลังจากนั้นชั้นและพี่ก็ได้ทานอาหารจนอิ่ม พวกเราจึงเดินออกมานั่งพักยก ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่พ่อเดินกลับมาด้วยมาดเข้ม มือล้วงกระเป๋ากางเกงข้างนึง ใส่แว่นกันแดดสีดำ และมีบางอย่างคล้ายกับบุหรี่คาบไว้ในปาก

               ทันทีที่เดินมาจนถึงที่หมาย พ่อลดตัวลงมานั่งบนผื้นผ้าใบ แล้วจึงดึงบุหรี่ที่คาบนั้นอกจากปาก แต่กลับปรากฏว่านั่นเป็นลูกกวาด ไม่ใช่บุหรี่แต่อย่างใด ชั้นที่เกลียดควันบุหรี่จึงสบายใจขึ้นทันที แต่มืออีกข้างนึงของพ่อกลับยังคงล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกงเช่นเดิม

               “ไอ..” เสียงของพ่อดังขึ้น ทำให้ตัวชั้นต้องเพ่งสมาธิไปที่เขาทันที เมื่อเขาเห็นชั้นมองมายังเขาแล้ว พ่อจึงหยิบบางอย่างในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา

               กล่องทรงปริซึมสี่เหลี่ยมขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ ถูกยื่นขึ้นมาเบื้องหน้าของชั้น พร้อมกับกระดาษแผ่นเล็กที่เขียนไว้ว่า ‘สุขสันต์วันเกิด..ไอโอน่า ลูกสาวคนเล็ก - พ่อ แม่ พี่’

               ชั้นประหลาดใจมาก ไม่แม้จะนึกว่าวันนี้จะเป็นวันเกิดของฉันเสียด้วยซ้ำไป มือสองข้างพลันเลื่อนขึ้นมาปิดปาก ซาบซึ้งพ่อ แม่ และพี่เอชมากที่ยังคงไม่ลืมวันเกิดของชั้น ชั้นไม่รีรอรับกล่องนั้นมาเปิดออก จึงได้พบกับสร้อยข้อมือสีเงินแวววาว อีกทั้งยังมีจี้อัญมณีสีเขียวโปร่งแสงอยู่ในกรอบจี้สีเงิน

               แสงอาทิตย์ที่ส่องลงมายิ่งทำให้จี้ของสร้อยข้อมือเส้นนี้ประกายแสงเจิดจรัสมากยิ่งขึ้น รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าฉันทันใด

               “ขอบคุณนะคะ พ่อ..ขอบคุณนะคะ แม่” ชั้นรีบกล่าวขอบคุณทั้งสองคนทันที ส่วนคนที่นั่งอยู่ด้านหลังชั้น กลับหันหน้าหนีและเกาศีรษะ ชั้นหันมาแล้วยิ้มให้เขาไป แล้วจึงกล่าวขอบคุณ “แล้วก็..ขอบคุณพี่เอชด้วยน้าาา”

               “จ้ะ..แม่น้องสาวตัวแสบ” พี่ชายขานรับและหยอกล้อชั้นทันที ชั้นจึงกระโจนเข้าใส่พี่ชายแล้วกอดเขาทันที พ่อและแม่ต่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

               “ไอ..เราไปเล่นกันต่อเถอะ” เอชยันตัวลุกขึ้นมายืน ก่อนจะจับข้อมือบอบบางของชั้นขึ้น ชั้นที่รู้เหตุผลจึงรีบตามน้ำตามพี่ไป “ปล่อยให้พ่อแม่อยู่กันสองคนดีกว่าเนอะ..”

               “อือๆ” ชั้นตอบรับก่อนจะวิ่งตามพี่ไป

               “อย่าวิ่งเร็วนักสิลูก..เดี๋ยวก็ได้ล้มหรอก” แม่ที่กำลังจะเดินมาห้าม กลับถูกมือของผู้เป็นสามีจับเอาไว้เสียก่อน

               “ปล่อยสองคนไปเถอะ..พวกเราไม่จำเป็นต้องห่วงพวกเขามากแล้วล่ะ” พ่อพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แม่ที่ได้ยินจึงได้นั่งลงและใช้มืออีกข้างเข้าประคบมือของพ่อข้างที่จับอยู่ “สองคนนั้นเริ่มเป็นผู้ใหญ่ขึ้นแล้วล่ะ”

               หลังจากคำพูดสุดท้ายของพ่อ ชั้นก็อยู่ห่างไกลจากระยะของเสียงที่ชั้นจะได้ยินอีกแล้ว เมื่อพวกเราเดินออกมาจากสวนสาธารณะสำเร็จ พี่เอชจึงหยุดเดิน แล้วหันหน้ามาหาฉัน

               “มา..เดี๋ยวพี่ใส่สร้อยข้อมือให้” ชั้นจึงยื่นกล่องให้พี่ พี่ชายทำการเปิดกล่องออกมา แล้วหยิบสร้อยข้อมือสีเงินขึ้นมาใส่ให้ที่มือข้างชั้นยื่นไปให้ ทันทีที่ใส่เสร็จ แสงอาทิตย์พลันสาดส่องลงมาในบัดดล ทำให้ทั้งจี้มรกตทั้งสร้อยข้อมือสีเงินต่างประกายแสงและเจิดจรัสอย่างไม่น่าเชื่อ

               “ขอบคุณนะคะ”

               หลังจากนั้นพวกเราก็ได้สนุกกันอย่างยาวนานและมีความสุขกันมาก ตัวฉันไม่อาจจำได้ทั้งหมด แต่ที่จำได้แม่นยำที่สุดคงจะเป็นช่วงเย็นของวันนั้น เวลาที่พวกเราทั้งสี่คนต้องลาจากสถานที่อันแสนหรรษานี้ไป และพบกับความเป็นจริงอันโหดร้ายในเมืองบ้านเกิดอีกครั้ง

               ในช่วงเวลานั้น ชั้นอ่อนเพลียและหมดเรี่ยวแรงไปกับการเล่นเครื่องเล่นมากมายจนยากที่จำได้ทั้งหมด พี่เอชจึงรับอาสาหน้าที่พี่ชาย ประคองน้องขึ้นมาขี่หลังของเขา แล้วเดินไปกับพ่อแม่ที่เดินจูงมือกัน พร้อมทั้งแผ่รังสีหอมหวานกลิ่นวานิลลาออกมา

               ผู้คนจำนวนมากต่างก้าวเท้าเดินออกจากสวนสนุกกัน ด้วยจำนวนคนที่เลือกจะกลับบ้านในเวลานี้เป็นจำนวนมาก แต่พวกเรากลับบังเอิญออกมาจากสวนสนุกช้าเกินกว่าที่คิดเอาไว้ จากสาเหตุบางประการ จึงจำใจต้องมาติดอยู่ที่เดียวกันเป็นเวลาร่วมกว่าหนึ่งชั่วโมง

               ท่ามกลางความมืดที่กำลังคืบคลานเข้ามา สุดท้ายแล้วการรอคอยก็ได้มอบอิสระแก่เรา พ่อ แม่ และพี่เอชที่แบกร่างชั้นอยู่จึงเร่งฝีเท้าเดินไปขึ้นรถในทันที พี่เอชที่แบกตัวชั้นมากว่าชั่วโมง ย่อเข่าลง ทำให้ชั้นสามารถลงมานั่งบนเบาะรถได้ทันที ชั้นจึงขยับให้พี่ชายมานั่งข้างๆ แล้วจึงปิดประตูหลังด้านซ้ายของรถไป ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่พ่อแม่เข้ามาและปิดประตูลง   

               พ่อเรียกให้ชั้นและพี่สำรวจข้าวของอีกครั้ง แม้จะสำรวจตรวจสอบไปแล้วสองครั้งในสวนสนุก แต่เพื่อความแน่ใจ การตรวจอีกรอบจึงเป็นสิ่งที่พึงกระทำ หลังจากการสำรวจตรวจสอบอย่างรอบคอบแล้ว พบว่าไม่มีสิ่งใดหายไป พ่อจึงสตาร์ทรถและออกเดินทางกลับบ้านของเรา ด้วยความเหนื่อยล้าที่จากการวิ่งเล่นไปทั่วทั้งวัน ทำให้เปลือกตาล้าและเริ่มปิดลง

               “วันนี้เป็นวันที่มีความสุขที่สุดเลยค่ะ” ชั้นเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนที่ชั้นจะเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการหลับใหล

               คำพูดสุดท้ายของชั้นนั้นเป็นเรื่องจริงแท้จากความรู้สึกภายในจิตใจ ชั้นเฝ้าภาวนาต้องการจะให้เกิดความรู้สึกแบบนี้อีกครั้งในเร็ววัน แต่ด้วยคำพูดจากเด็กที่ไร้เดียงสา มันช่างเป็นคำพูดที่ผิดมหันต์ เพราะเหตุการณ์ต่อจากนี้คือโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเด็กสาวคนนี้จะประสบ

               ชั้นไม่อาจรู้ได้ว่าชั้นนอนไปนานมากเพียงใด แต่ด้วยแรงกระแทกจากการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นกับบริเวณส่วนล่างโดยเฉพาะบริเวณขาส่วนบน และแรงลมที่เข้าปะทะบริเวณใบหน้าอยู่หลายครา พวกมันต่างดึงชั้นกลับมาจากห้วงแห่งนิทรา เปลือกตาที่เคยปิดบดบัง

               วิสัยทัศน์ ได้ถูกเปิดออกอีกครั้ง ทันทีที่ชั้นตื่นขึ้น สิ่งแรกที่ชั้นเห็นคือร่างของพี่ชายที่กำลังแบกร่างของชั้นไว้บนหลัง โดยที่เขาคลเายกับกำลังหนีบางสิ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย เช่นเดียวกันกับ เหล่าเพื่อนบ้านจำนวนไม่ถึงสิบคนที่กำลังวิ่งนำอยู่เบื้อหน้า

               ความสงสัยกับความตื่นตระหนกเริ่มบังเกิดขึ้นภายในจิตใจของฉัน จนต้องรีบหันหลังกลับไปมอง เสียงฝีเท้าที่อยู่เบื้องหลังทันที

               พ่อ แม่ และเพื่อนบ้านต่างวิ่งตามพวกเรามาอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งเพื่อนบ้านอีกจำนวนหนึ่งที่วิ่งหนีบางอย่างมาด้วยสีหน้าหวาดหวั่นตื่นตระหนกสุดขีด

               รูปแบบการวิ่งของพวกเขาต่างทำให้เกิดเสียงรองเท้าเข้ากระทบกับพื้นดิน ด้วยความรุนแรงของฝ่าเท้า ทำให้เศษดินแตกกระจุยออกมาจากที่เดิม แต่นอกจากฝีเท้าของคนในหมู่บ้านแล้ว กลับมีเสียงบางสิ่งกำลังแหวกออกมาจากพงหญ้าด้านหลัง

               ทันใดนั้นเอง เสียงที่คล้ายกับปืนจากในภาพยนตร์ที่ฉันเคยได้ยิน ก็ถูกสร้างขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับแสงสว่างคล้ายประกายไฟขึ้น ไม่นานนักหลังจากที่เสียงปืนนัดแรกบังเกิดขึ้น เสียงระลอกใหญ่ก็ถูกกราดกระหน่ำใส่พวกเราที่ต่างไร้ทางสู้

               ร่างของเพื่อนบ้านที่อยู่ด้านหลังของชั้นและพี่ ต่างค่อยๆล้มลงนอนทีละคน เลือดสีแดงต่างออกมาจากจุดที่มีรูพรุนขึ้น เสียงกรีดร้องของผู้ถูกยิงดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ชั้นรีบเลื่อนมือสองข้างขึ้นมาปิดหูของชั้นทันที

               แต่ก่อนที่จะได้ปิดหูทั้งสองลง กลับได้ยินเสียงของพ่อและแม่กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ชั้นจึงรีบหันกลับไปและพบว่าแม่ได้ล้มลงไปนอนในอ้อมแขนของพ่อแล้ว แม่ถูกยิงจนเกิดรูพรุนบริเวณกลางหน้าอก เลือดไหลซึมเสื้อผ้าจนย้อมมันกลายเป็นสีแดงในบางส่วน ตาทั้งสองข้างถูกปิดลง เสียงของพ่อผู้ถูกยิงที่แขนขวาไม่อาจส่งไปถึงแม่ได้แม้แต่คราเดียว

               “พ่อ!!!..แม่!!!” ชั้นและพี่เอชต่างตะโกนออกไปพร้อมกัน แล้วจึงรีบหยุดวิ่งและหันกลับมามองทั้งคู่ โดยพ่อกลับมองมาทางพวกเราด้วยใบหน้าเปี่ยมโทสะยิ่งกว่าครั้งใด

               “รีบหนีไปเดี๋ยวนี้!!” พ่อตะโกนออกมาด้วยเสียงสั่น อีกทั้งยังมีเสียงฝีเท้าที่บ่งบอกถึงบางสิ่งที่กำลังใกล้เข้ามา “รีบหนีไปก่อนที่จะไม่ทัน!!!..นี่คือคำสั่ง!!!”

               พี่เอชจำใจยอมรับและรีบแบกร่างชั้นวิ่งไปเช่นเดิม แต่ตัวชั้นที่เห็นเหตุการณ์นี้ด้วยดวงตาทั้งสอง ทำให้น้ำตานันไหลออกมาโดยไม่อาจหยุดยั้งไว้ได้ ปากพร่ำรำพึงรำพันต่อพ่อและแม่ของชั้นด้วยความเศร้าโศก

               “ไอพวกโจรชั่ว..บังอาจมาฆ่าเมียชั้น” เสียงของพ่อดังก้อง โทสะที่พุ่งพรวดออกมาจากจิตใจ บดบังความกลัวตายและขีดจำกัดทั้งหมดลง จนกลายเป็นเพียงกายหยาบที่มีชีวิตต่อเพื่อสนองความแค้นเท่านั้น

               “อย่าอยู่เลยยย!!” นั่นคือเสียงสุกท้ายของพ่อหลังจากที่มีเสียงปืนจำนวนมากดังขึ้นในคราเดียวกัน น้ำตาของชั้นทั้งหมดได้รินไหลออกมา และจำใจยอมรับชะตากรรมอันแสนโหดร้ายนั้นไป

               พวกเราวิ่งอยู่นานระยะหนึ่ง จนสุดท้ายแล้วกลับพบถ้ำขนาดใหญ่ที่รอบด้านไร้พุ่มไม้ใดๆ เป็นที่แอบซ่อน ทุกคนที่เหลือรอดต่างมองหน้ากัน แต่แล้วความหวังของทุกคนต่างสูญสลายลง เมื่อเสียงฝ่าเท้าแปลกปลอมต่างเหยียบย่ำเข้ามาในบริเวณที่ตะเกียงของเพื่อนบ้านคนนึงส่องแสง จึงได้เห็นใบหน้าของเหล่าโจรผู้เป็นฆาตรกร

               แต่พวกมันกลับใส่หน้ากากผ้าสีดำที่มีรูปคล้ายหัวกระโหลกปิดบังเอาไว้ พร้อมทั้งชุดของกองกำลังทหารสีเขียวลายพราง แต่แล้วกลับมีบุรุษผู้หนึ่งแหวกตัวออกมาจากกลุ่มโจรเหล่านั้น ชายผู้มีแผลบากกลางใบหน้า ตัวเขาใส่ชุดคล้ายกับคนอื่นๆ แต่กลับไม่ใส่หน้ากากผ้าลายหัวกระโหลก แต่กลับมีชุดเกราะกันกระสุนที่พ่นสีเป็นรูปหัวกระโหลกสีขาวแทน อีกทั้งดวงตาสีเทาหม่นและไร้ซึ่งนัยน์ตา แฝงด้วยความวิปริตผ่านใบหน้าที่แสดงออกมา แต่ไม่นานนักเขากลับเปลี่ยนสีหน้าประหลาดใจขึ้นแทน ก่อนจะยิ้มที่ริมฝีปาก

               ชายคนดังกล่าวกลับหันหลังกลับไป ทำให้ตัวฉันได้เห็นรอยสักรูปหัวกระโหลกสีดำด้านหลังศีรษะที่ไร้เส้นผมใดๆปกคลุม ก่อนที่เขาจะเบือนหน้ากลับมามองที่พวกเราและแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย

               “ครั้งนี้ชั้นจะปล่อยพวกแกไปก่อน จงใช้ชีวิตที่เหลือต่อไป...” บุรุษปริศนาเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “..กับการเป็นอาหารให้กับหมาป่าเสียเถอะ”

               หลังจากที่ผู้นำกลุ่มโจรเอ่ยจบ เขาก็ได้เรียกเหล่าสมุนโจรให้หันหลังกลับและเดินหายไปในความมืดในที่สุด เมื่อพวกโจรเหล่านั้นหายไป หนึ่งในหมู่คนที่เหลือรอดพลันกรีดร้องและขาดหายไปอย่างน่าประหลาด จนทำให้ทุกคนต้องมองไปทางต้นเสียงโดยทันที ก่อนจะได้พบว่าชายคนนั้นได้เป็นร่างไร้วิญญานที่ถูกรุมล้อมด้วยหมาป่าจำนวนมาก พวกมันต่างฉีกร่างและกัดกินร่างของเขา ไม่นานนักพวกมันก็ได้หันมามองพวกเราก่อนจะส่งเสียงเห่าหอนออกมา

               ทันทีที่หมาป่าตัวนึงได้ส่งเสียงร้อง หมาป่าตัวอื่นจึงหยุดการกระทำของมันและจดจ่อมายังกลุ่มของเรา ทุกคนที่รู้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นต่อไป จึงรีบซอยเท้าวิ่งหนีไม่คิดชีวิต แต่ความเร็วของมนุษย์ไม่อาจเทียบฝีเท้าของหมาป่าได้แม้แต่น้อย คนในกลุ่มเกือบทั้งหมดถูกหมาป่าเข้าโจมตีใส่โดยทันที ก่อนจะล้มลงและร้องไห้ขอชีวิตอย่างน่าเวทนา แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถหนีออกมาจากสถานการณ์นั้นได้ทันการณ์ เช่น พวกเรา แต่กลับต้องพลัดพรากจากคนในกลุ่ม เพราะต่างคนต่างวิ่งจนกระจัดกระจายกันไป พวกเราที่เลือกจะวิ่งเข้าป่าแทนที่จะกลับไปทางเดิม จึงต้องฝ่าดงต้นไม้ที่แสนรกและสกปรก ดินโคลนต่างเปรอะเปลื้อนกระโปรงและรองเท้าของชั้น ไม่ต่างจากพี่เอชมากนัก

               หลังจากพวกเราวิ่งหนีจากหมาป่าได้ร่วมหนึ่งชั่วโมง พวกเราที่เหนื่อยหอบจึงเลือกจะหยุดพัก เพราะคิดว่าน่าจะหนีพ้นแล้ว พวกเราจึงได้นั่งพักลงใกล้จุดนั้น แต่แล้วเรื่องกลับยังไม่จบ

               “อ้ากกก!” พี่ร้องตะโกนออกมา ชั้นรีบหันไปหาเขาในทันที ทำให้ได้เห็นว่ามีงูตัวหนึ่งได้ฝังเขี้ยวของมันไว้ที่ข้อมือของพี่ พี่เอชที่ตั้งสติได้จึงรีบดึงตัวงูออก แล้วโยนมันออกไป มันจึงเลื้อยหนีเข้าพุ่มไม้ไป

               “พี่เอช!” ชั้นเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก ร่างกายของชั้นสั่นเทา ต่างจากพี่ที่เสียการทรงตัวจนแผ่นหลังชนกับต้นไม้ และล้มตัวลงนั่งในที่สุด

               “สงสัยพี่จะเผลอไปเหยียบหางมันน่ะ ฮ่ะๆ” พี่เอชยิ้มอ่อน แต่มันกลับไม่ได้ทำให้ชั้นรู้สึกสบายใจขึ้นเลย น้ำตาของเด็กสาวไหลพรั่งพรูออกมา ตัวชั้นไม่อยากสูญเสียใครไปอีกแล้ว

               “พี่ห้ามตายนะ..ขอร้องล่ะ ฮึกๆ ถ้าพี่ไป..แล้วใครจะอยู่กับหนูล่ะ” พี่เอชได้เพียงยิ้มอ่อนให้เพียงเท่านั้น ตัวชั้นเข้าโผกอดร่างของพี่ชาย พี่เอชจึงเลื่อนมือขึ้นมาลูบศีรษะเพื่อปลอบโยน

               “พี่คงไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ..ไอ” พี่ชายที่หน้าเริ่มซีดลง เอ่ยด้วยน้ำเสียงห่อเหี่ยวชวนให้โศก

               “เจ้างูตัวนั้นคืองูจงอาง..พิษของมันเร็วยิ่งกว่างูตัวไหนๆ”

               “ถ้าพี่ยังคงไปกับเธออยู่..ก็คงทำได้เพียงเป็นศพที่ถ่วงเธออยู่ดี”

               คำพูดของพี่ชายกลับทำให้ชั้นยิ่งเศร้าสลดขึ้นอีก ชั้นที่ยังคงกอดพี่อยู่กลับถูกแขนของพี่ดันออก ฉันที่ถูกดันออกมาทำได้เพียงร้องไห้อยู่เช่นเดิม อีกทั้งตอนนี้สีผิวของพี่ชายเริ่มเปลี่ยนเป็นขาวซีด อีกทั้งยังเกิดอาการบวมช้ำที่บาดแผลอีกด้วย พี่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาจับใบหน้าของชั้น รวมทั้งปอยผมสีฟ้าน้ำทะเล แล้วจึงเลื่อนมาจูบที่หน้าผาก ความอบอุ่นที่ชั้นเคยคุ้นชินจนเคยเบื่อกับมัน แต่ตอนนี้ชั้นกลับได้รู้ซึ้งถึงคุณค่าของมันเสียแล้วสิ เพราะมันอาจเป็นความอบอุ่นสุดท้ายที่ชั้นจะได้รับมาจากพี่ชาย

               “พี่ขอให้เธอมีชีวิตรอดต่อไป และพบเจอกับสิ่งที่ดีกว่านี้” พี่ชายเอ่ยด้วยเสียงและท่าทางอ่อนโยน “..ขอให้พบกับความสุขและความอบอุ่นประสบกับเธออีกครั้ง”

               “หวังว่าเธอจะเข้าใจนะ..” พี่ชายเอ่ยออกมา ก่อนจะยิ้มให้ ชั้นที่แม้จะไม่เต็มใจจะยอมรับ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจหลีกหนีได้ ชั้นจึงยันตัวขึ้นแล้วรีบวิ่งออกจากจุดเดิมทันที

               “ขอให้เธอได้พบเจอกับครอบครัวที่อบอุ่นและมีความสุขนะ...ไอโอน่า น้องพี่” ชายหนุ่มเอ่ยพึมพำกับตนเอง แล้วจึงปิดตาและเข้าสู่นิทราอันนิรันดร์ไปในที่สุด

               น้ำตามหาศาลไหลนองใบหน้า ตกลงสู่พื้นตามเส้นทางที่ชั้นได้วิ่งมา ความเศร้าโศกจากความสูญเสียได้เข้าครอบงำจิตใจชั้นเกือบทั้งหมด รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ครอบครัวแสนอบอุ่น คงไม่อาจมีอีกแล้ว ตัวชั้นทำได้เพียงหนีไปและทิ้งทุกคนไว้เบื้องหลัง เพราะตัวชั้นยังอ่อนแอเกินไป

               ชั้นวิ่งหนีมาจากจุดที่พี่ชายอยู่กว่าหนึ่งชั่วโมง ความอ่อนล้าได้เริ่มกัดกินร่างกายจนในที่สุดก็พ่ายแพ้ลง ชั้นที่ยังคงฝืนวิ่งอยู่ได้เหนื่อยหอบ สติที่หมดเรี่ยวแรงไปพร้อมกับร่างกาย ทำให้ขาดสติจนวิ่งสะดุดรากไม้ ร่างกายล้มกลิ้งไปนอนกับพื้นดิน จนร่างกายเปรอะเปรื้อนคราบคินโคลนไปทั่ว

               เด็กสาวที่สะดุดล้มรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่หัวเข่าน้อยของเธอ ทำได้เพียงพึมพำตัดพ้อกับชีวิตที่เหลืออยู่ เด็กสาวผมสีฟ้าทำได้เพียงกระพริบตาที่มีน้ำตาหลั่งไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ความมืดที่รุมล้อมอยู่ก็ไม่ต่างกับการที่ตัวชั้นจะปิดตาลงและเผชิญกับความความมืดที่ตัวชั้นสร้างขึ้นมาเอง เด็กสาวจึงได้เลือกที่จะหลับตาและปล่อยให้เวลานี้ผ่านไปอีกครั้ง

               หลังจากเวลาผ่านไปอย่างบอกไม่ได้ ความมืดที่เคยเกิดขึ้นได้ถูกแทนที่ด้วยแสงสว่างประหลาดที่คล้ายกับเกิดขึ้นทันใด แม้ตัวชั้นยังไม่ทันจะได้เปิดเปลือกตากลับมองเห็นสิ่งที่ส่องแสงเบื้องหน้าชั้นได้อย่างชัดเจน อากาศธาตุเกิดฉีกขาดจนเกิดช่องโหว่ แสงสีชมพูเรืองแสงส่องประกายเจิดจรัส ควันหรือไอน้ำที่เกิดขึ้นจากรอยโหว่นั้นสร้างความเย็นคล้ายลมให้ชั้นรู้สึกเย็นสบาย แต่แล้วลมที่เคยพัดอย่างเอื่อยเฉื่อยกลับเริ่มพัดโหมกระหน่ำดั่งพายุ ชั้นรู้สึกคล้ายร่างกายกำลังลอยขึ้นสูงจากพื้น และเคลื่อนที่เข้าใกล้แสงสีชมพูขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดร่างของชั้นก็ได้สัมผัสแสงสว่างนั้น ทันใดนั้นเองชั้นก็ได้สะดุ้งตื่นขึ้นมา

               ชั้นสำรวจร่างกายกลับไม่พบรอยไหม้หรือสิ่งแปลกปลอมอะไรบนร่างกาย และเมื่อดูสภาพแวดล้อมก็ได้รู้ว่าตัวชั้นได้หลับไปเพีัยงไม่นานเท่านั้น

               เมื่อชั้นยันตัวยืนขึ้น ชั้นก็ได้กลิ่นเหม็นสาบลอยมาตามสายลม ชั้นรีบหันมองเจ้าของกลิ่นเหม็นนั้นทันที จึงได้พบกับกลุ่มหมาป่าที่เคยคร่าชีวิตคนในหมู่บ้าน กำลังเข้ามารุมล้อมฉัน ชั้นยืนนิ่งอยู่พักนึง ส่วนพวกมันกลับเริ่มลดวงให้แคบลงหวังเผด็จศึกเหยื่อของมัน ชั้นที่ไร้ทางเลือก หากไม่เลือกตายเปล่าก็คงหวังจะวิ่งหนีและสู้กับความจริงนี้ต่อไป แต่ความเร็วของชั้นกลับไม่แม้จะใกล้เคียงมันเลย หมาป่าตัวหนึ่งพุ่งเข้ามาตะครุบเหยื่อของมันที่ต้นแขนก่อนที่ตัวอื่นจะเข้ามารุมล้อม

               เพียงการกัดครั้งแรกความเจ็บปวดพลันแล่นเข้าสู่เส้นประสาทและส่งไปยังสมอง ตัวชั้นกรีดร้องออกมา ปากพร่ำบอกเพียง ‘ไม่อยากตาย..ไม่อยากตาย’ จนในที่สุดชั้นก็ได้กรีดร้องจนสุดเสียง สัญชาตญาณในการเอาตัวรอดของมนุษย์คือการทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอด ซึ่งเช่นเดียวกับชั้นในตอนนี้ต่างกันตรงที่เมื่อชั้นต้องการมีชีวิตต่อและรู้ว่าต้องสู้กับพวกมัน กลับทำให้ชั้นรู้สึกถึงแรงลมที่โหมกระหน่ำอีกครั้ง รู้สึกถึงความร้อนที่ถูกฉีดหรือพุ่งเข้าใส่ร่างกาย เมื่อชั้นกลับมาลืมตาจึงได้พบว่าร่างของชั้นได้ลอยเหนือพื้น ส่วนมือทั้งสองข้างกลับมีทรงกลมโปร่งแสงห่อล้อมเอาไว้ ส่วนเจ้าพวกหมาป่าก็ถูกแรงลมนั้นฉีกร่าง เลือดและอวัยวะต่างๆของพวกมันต่างกระจัดกระจายไปทั่ว ชั้นตกใจกับสิ่งที่เห็นปะปนกับเรี่ยวแรงที่หายไปอย่างน่าประหลาด จนในที่สุดชั้นก็สลบลงในที่สุด

               นั่นคือครั้งแรกที่ชั้นได้ใช้พลังที่ชั้นได้มา พลังของชั้นไม่เป็นที่ยอมรับของทั่วไปเสียเท่าไหร่ เพราะพวกเขามักจะมองพวกเราเป็นพวกตัวประหลาดแปลกแยก เกิดมาเพื่อทำลายล้าง โดยพวกเขาเรียกพวกผู้มีพลังพิเศษที่ได้รับมาจากสิ่งเหนือธรรมชาติว่า ‘D-Borne’ ซึ่งเป็นชื่อโดยทางการ แต่ผู้คนมักเรียกพวกเราว่า ‘อมนุษย์ (Unhumanoid)’ โดยนี่คือจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ของชั้นที่ไม่สวยหรูและยากแค้น

               หากถ้าต้องเล่าเรื่องราวของชั้นหลังจากที่สลบไปนั้น คงไม่อาจเล่าได้หมดเพราะมันเป็นช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตของเด็กสาวคนหนึ่งต้องการจะลืมมันไปให้ได้

               หลังจากที่ตัวชั้นได้สลบไปนาน ก็ได้ตื่นขึ้นมาในกระท่อมของชายแก่ท่าทางใจดีคนหนึ่ง เขาได้ช่วยรักษาแผลให้ชั้น รวมทั้งยังมอบอาหาร เสื้อผ้า และความอบอุ่นให้กับชั้น เขาดูแลชั้นคล้ายกับเป็นดั่งลูกสาวของเขา ชั้นที่ซาบซึ้งในน้ำใจจึงได้วางใจและมีชีวิตอยู่กับชายคนนั้นในฐานะลูกสาวบุญธรรมเป็นเวลากว่าสี่ปี ชั้นได้ช่วยงานเขาในหลายๆด้าน ทั้งขนของ ตัดไม้ และอื่นๆจนร่างกายเริ่มที่จะแข็งแรง จิตใจที่เคยเศร้าโศกถูกลบเลือนความเศร้าด้วยความอบอุ่นที่ชายแก่ให้ ..แต่แล้ววันที่ชั้นไม่ต้องการให้มีก็ได้มาเยือน

               กลุ่มชายชุดดำได้เข้ามาเยือนที่บ้านของพวกเรา พวกมันต่างคุยกับชายแก่ด้วยท่าทางข่มขู่ โดยพวกมันคล้ายกับมาทวงหนี้ ชั้นที่เห็นเหตุการณ์จึงรีบเข้าไปยืนกับชายแก่ ในตอนนั้นร่างกายของชั้นที่เติบโตขึ้นมาก ใบหน้าที่ค่อนข้างงดงาม รูปร่างเพรียวและเฟิร์ม ดั่งรูปลักษณ์ที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องการ ตัวชั้นในตอนนั้นได้เข้าสู่ในช่วงวัยรุ่น เมื่อพวกชายชุดดำได้เห็นชั้นที่เดินเข้ามาหาชายแก่ถึงกับมองชั้นอย่างจดจ่อ เหมือนจะสแกนร่างของชั้นทุกตารางมิลลิเมตร เมื่อชายแก่รู้สึกตัวจึงรีบให้ชั้นมาหลบข้างหลังเขา แต่แล้วพวกนั้นก็ได้ยื่นข้อเสนอการปลดหนี้ทุกรูปแบบโดยแลกกับตัวชั้น แน่นอนว่าชายแก่คนนั้นเกิดอาการลังเล แต่เขายังคงปฏิเสธข้อเสนอไป แต่ชั้นที่รู้จักตัวชายแก่ดี ตัวเขานั้นมีภาระมากมายในชีวิต หากยังคงมีหนี้สินต่อไป ชีวิตของเขาคงจะมีเพียงความทุกข์ไปจนวันตาย ชั้นจึงเสนอตัวไปเอง ชายแก่รีบเข้ามาห้ามชั้น แต่ชั้นนั้นเพียงตอบไปว่าชั้นต้องการจะทดแทนบุญคุณของชายแก่บ้าง และเป็นคำขอบคุณที่เขาไม่เลือกจะขายชั้นเพื่อตัวเองทันที ชั้นเข้ากอดกับชายแก่คนนั้นเป็นครั้งสุดท้าย เขาเอ่ยคำลาและร่ำไห้ออกมา โดยชั้นได้ให้คำสัญญากับเขาว่าจะกลับมาพบกันในสักวัน

               ดังนั้นชั้นจึงได้ถูกนำตัวไปพร้อมกับชายชุดดำกลุ่มนั้น ขึ้นรถยนต์ที่คล้ายกับของคุณพ่อที่เสียไป แต่หรูหราและสะอาดกว่า อีกทั้งยังมีผิวรถเป็นสีดำและกระจกสีดำทึบแสง ชั้นนั่งรถคันนั้นไปกว่าครึ่งชั่วโมง แม้ชั้นรู้สึกอยากจะปลดปล่อยพลังออกมาให้ทุกคนในรถนี้ถูกแรงลมโหมกระหน่ำบีบอัดจนรถแตกออกก็ตาม แต่เพื่อชายแก่ที่ชั้นเคารพ ชั้นจึงต้องเก็บอารมณ์นี้เอาไว้และรอคอยเวลาที่เหมาะสม

               ในที่สุดก็มาถึงหน้าสถานที่ที่คล้ายกับโรงงานที่มีกรงขังมากมาย ชั้นได้ลงมาจากรถและเดินเข้าไปในโรงงานแห่งนั้นจึงได้พบกับความจริงว่าที่นี่คือโรงงานค้ามนุษย์ ซึ่งผิดกฏหมายอย่างแน่นอน ผู้คนต่างอยู่ในกรงขังในสภาพสกปรก หิวโหย และบางคนก็ติดเชื้อคล้ายจะเป็นโรค และที่แย่ที่สุดคือมีเด็กเล็กอยู่ในกรงขัง ชั้นกำมือแน่น ได้เพียงหลบสายตาที่มองมาและเดินตามพวกชายชุดดำไปเท่านั้น จนในที่สุดพวกเขาก็ได้หยุดลง โดยที่เบื้องหน้าคือบุรุษอ้วนเตี้ยในชุดสูทที่ถือเอกสารจำนวนหนึ่งเอาไว้ โดยกลุ่มชายชุดดำนั้นได้เรียกเขาว่าบอส ชายอ้วนได้มองมาทางชั้นแล้วถามกลุ่มชายชุดดำต่างๆนานา

               จนในที่สุดเขาก็ถามให้ชั้นเลือกรูปแบบที่จะถูกขายให้กับคนอื่น โดยมีตัวเลือกคือ  ‘เป็นทาสหรือนางบำเรอกาม’ แน่นอนว่าชั้นเลือกจะยอมเป็นทาสเสียจะดีกว่าเป็นนางบำเรอกาม ชายอ้วนจึงยิ้มและพาตัวชั้นไปยังออฟฟิศของเขา เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็ได้พบกับชายในชุดสูทคนหนึ่ง เขาเป็นชายแก่ที่ดูสงบเสงี่ยมคล้ายกับเป็นพ่อบ้านของพวกคนรวยมีฐานะ ชายอ้วนได้พูดคุยกับชายคนนั้น โดยพ่อบ้านคนรวยได้ทำการมองมาที่ชั้นครั้งหนึ่ง ก่อนจะตอบตกลง และเซ็นซื้อตัวชั้นด้วยราคาค่าตัวเพียงหนึ่งพันเหรียญ

               เมื่อจบการขายตัวชั้นก็ถูกพ่อบ้านคนนั้นพาตัวไปนั่งรถและกลับสู่คฤหาสน์ของเจ้านาย เมื่อชั้นได้เห็นคฤหาสน์ที่ชายผู้นี้ได้บอกจึงตกตะลึงในทันใด มันเป็นคฤหาสน์ที่ใหญ่พอๆกับในโทรทัศน์ ชั้นตกใจเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกไม่ดีบ้าง โดยพ่อบ้านได้จอดรถและพาชั้นเข้าไปหาเจ้านายของตน พวกเขาเป็นหญิงชายตระกูลสูงศักดิ์ที่มีอำนาจทางการเมืองสูง รวมทั้งเงินตรามหาศาล ด้วยใบหน้ายิ้มอย่างอ่อนโยน แต่ภายในกลับเหม็นเน่ากว่าศพ โดยชั้นได้รับหน้าที่ดูแลลูกชายของเขาที่แต่งตัวแลดูเป็นผู้ดี ...แต่ไม่ใช่เลย เขานั้นคือคนโรคจิตในคราบของลูกผู้ดีต่างหาก

               หลังจากชั้นได้ทำงานเป็นแม่บ้านในคฤหาสน์ เด็กหนุ่มก็เข้ามาพูดเซ้าซี้และบางครั้งก็เหยียดหยามชั้นบ้าง แต่ชั้นก็ทำได้เพียงถอนหายใจ ไม่แยแส และทำตามหน้าที่ของชั้น ในเดือนแรกนี้มันเป็นในรูปแบบนี้เรื่อยมา แต่ในเดือนที่สอง ชั้นได้บอกเขาให้รู้ว่ามันไม่เหมาะสมกับลูกผู้ดีอย่างเขา โดยเขาตะคอกใส่ชั้น แต่ก็แสดงท่าทีฉุกคิด ทำให้ในอาทิตย์แรกที่ชั้นได้เข้าไปบอก เด็กคนนี้ก็ได้ปรับตัว คำพูดคำจาที่เคยมากับลักษณะเหยียดหยามหรือเซ้าซี้ก็ได้ลดลงจนหมดไป ก่อนที่พวกเราทั้งคู่จะพูดดีกันได้ในเดือนที่สอง

               แต่ในเดือนที่สาม ชั้นกลับรู้ความจริงว่าที่เขาทำไปทั้งหมดเป็นเพียงเพราะเขาเริ่มสนใจในตัวชั้นขึ้นมา เขาเริ่มเข้าใกล้ชั้นมากขึ้น อีกทั้งในยามที่ชั้นเข้านอน เขาก็มักจะสัมผัสร่างของชั้น และหนักขึ้นทุกวัน บางครั้งถึงกับจับก้นกันดื้อ บางวันใช้มือมาบีบหน้าอกของชั้นโดยแม้แต่จะรู้สึกผิดใดๆ จนในวันสุดท้ายนั้นเอง ในขณะที่ชั้นได้ทำความสะอาดห้องเขาอยู่ เด็กคนนี้กลับเข้ามาใกล้ชั้น และสอดมือเข้าไปในกระโปรง หวังจะสัมผัสบางสิ่งที่ถูกปิดบังภายใต้กางเกงในของชั้น

               ชั้นที่รับไม่ได้กับเรื่องดังกล่าวหยุดยั้งเก็บอารมณ์ไม่ได้อีกต่อไป ชั้นปล่อยพลังสายลมออกมา ทำให้ร่างของเด็กหนุ่มปลิวกระเด็น และชั้นได้เสริมพลังให้กับเท้าและต่อยใส่ใบหน้าของเด็กหนุ่มทันที จนเด็กคนนั้นปลิวไปกระแทกกับกำแพง เลือดกำเดาไหลและเลือดกลบปาก พ่อแม่ของพวกเขาที่ได้ยินเสียงจึงรีบวิ่งมา เมื่อพวกเขาได้สภาพลูกของพวกเขาก็ตีตาราบาปชั้นด้วยความเกลียดชังและความรังเกียจ และสั่งให้ตำรวจประจำคฤหาสน์ประสานงานกับตำรวจทั่วไปให้ส่งชั้นไปยังสถานดัดสันดานเยาวชนเลวทราม

               ทันทีที่ชั้นได้ถูกส่งตัวไปที่นั่น ชั้นได้สูญเสียการมองโลกในแง่ดีไปแล้ว ในตอนนี้ชั้นรู้สึกเพียงความเบื่อหน่ายต่อผู้คน เวทนาต่อโลกแห่งความจริง เกลียดพวกคนสองหน้า เมื่อชั้นได้ก้าวเข้ามาในสถานพินิจแห่งนี้ ชั้นก็ได้ถูกพวกเขาต่างรุมด่าทอชั้นอย่างไร้เหตุผล บ้างก็แกล้งชั้น ส่วนพวกผู้ชายในนั้นกลับเป็นพวกขี้ขโมยบ้าง หื่นกระหายบ้าง พวกเขาชอบจะเข้ามาเซ้าซี้ ตอแยชั้น และบางครั้งถึงขั้นเข้ามาลวนลามทางเพศ ชั้นทำได้เพียงหลีกเลี่ยงและทำเป็นไม่สนใจ แต่การทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาสิ่งใดๆและทำเป็นหูทวนลมเป็นเวลานาน ทำให้ชั้นรู้สึกว่ามันเริ่มจะกลายเป็นนิสัยจริงในไม่ช้า

               โดยเหตุการณ์ต่อจากนี้คือหนึ่งในบทสนทนาที่ชั้นจำได้ เพราะมันคือบทสนาทนากับเพื่อนคนเดียวที่ชั้นพบในสถานพินิจ ใช่แล้ว!!..ชั้นไม่ได้อยู่ที่นั่นคนเดียวตลอด ชั้นได้มีเพื่อนกับเขาหลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์

               ในขณะที่ชั้นกำลังเดินถือถาดอาหารที่เต็มไปด้วยอาหารจากวัตถุดิบราคาถูก ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นเนื้อไก่ต้ม ซุปกระดูกแกะ แซนด์วิชเนยถั่ว และนมไขมันต่ำ โดยอาหารที่นี่ค่อนข้างจะเยอะกว่าตอนที่ชั้นอยู่ที่กระท่อมของชายแก่ แต่ก็ไม่ได้มีความสุขและความอบอุ่นเหมือนกับที่นั่น เพราะที่นี่หากไม่แข็งแกร่งก็ไม่อาจจะอยู่ได้ เกิดเรื่องชกต่อยกันจนเป็นเรื่องปกติเสียแล้ว ชั้นเป็นหนึ่งในคนที่ไม่ชอบในเรื่องการใช้กำลัง หากไม่เหลืออดจริงๆ แต่ที่นี่มันทำให้ชั้นรู้สึกฟิวส์ขาดง่ายยิ่งกว่าทุกๆที่ที่ชั้นเคยไปมา ทำให้ชั้นมักได้แผลเล็กน้อยกลับมาตลอด ต่างจากคู่ชกส่วนใหญ่ที่มักจะถูกหามส่งโรงพยาบาล รอหยอดข้างต้ม เพราะชั้นได้ใช้พลังเข้าเสริมในการต่อสู้ จนได้ถูกขนานนามว่า ‘ไอโอน่า หมัดสยบมาร’ แต่สำหรับชั้นกลับไม่ได้รู้สึกอะไรกับนามที่ได้มาแม้แต่น้อย เพราะการถูกกล่าวที่ดีนั้นย่อมต้องเกิดจากการทำความดี ไม่ใช่เพราะเรื่องวีรกรรมอย่างนี้

               ในขณะที่ชั้นกำลังเดินครุ่นคิดอยู่นั้น ชั้นกลับเดินไปชนผู้หญิงคนหนึ่งจนล้มลง ซุปบนถาดของชั้นหกเลอะเสื้อของเธอจนหมด เคราะห์ดีที่ซุปนี้ไม่มีความร้อนแต่อย่างใด และหญิงสาวคนนั้นก็ไม่ได้ถือถาดอาหารเหมือนกับชั้น เธอพึ่งจะวางถาดลงบนโต๊ะและชั้นเดินเข้ามาชนเธอเพียงเท่านั้น แต่แค่เพียงการเดินชนเพียงครั้งเดียวทำให้ทุกคนต่างมองพวกเราด้วยสายตาเดียวกัน

               “ขอโทษนะ..เธอเป็นอะไรมั้ย” ชั้นรีบวางถาดอาหารลงบนโต๊ะ และช่วยเหลือเธอขึ้นมา แม้จะรู้ว่าจะถูกต่อว่าและมีเรื่องต่อมา แต่สิ่งที่ชั้นไปเป็นมารยาทของผู้ดีที่คนส่วนใหญ่ในสถานพินิจแห่งนี้ไม่ได้ถูกสั่งสอนมาเสียเท่าไหร่

               “ไม่เป็นไรค่ะ..” เธอตอบกลับมาอย่างสุภาพต่างจากคนอื่นๆที่มักจะตอบกลับด้วยคำพูดไม่ดีและกวนประสาท ชั้นจึงเกิดประหลาดทันที

               “แค่เสื้อเปรื้อนนิดหน่อยเอง คุณ..เออะ” เมื่อเธอหันกลับมามองหน้าชั้นถึงกับอึ้ง เธอกลืนน้ำลายเสียงดังคล้ายกับแสดงท่าทางหวั่นเกรงชั้นมาก ชั้นที่มองเธอออกจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที

               “เสื้อเปรื้อนเหรอ..งั้นเดี๋ยวไปเอาเสื้อที่ห้องชั้นนะ” ชั้นที่กระทำผิด ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่กระทำลงไป แต่ก่อนที่ชั้นจะเดินไป หญิงสาวเบื้องหน้ากลับยั้งชั้นเอาไว้

               “ยังไม่ต้องก็ได้ค่ะ..คุณไอโอน่าทานอาหารให้เสร็จก่อนก็ได้ค่ะ” เธอเอ่ยกลับมาอย่างสุภาพ ชั้นได้แต่คล้อยตามคำพูดของเธอ และนั่งลงกินอาหารของตนเอง ซึ่งในขณะนั้นก็เกิดบทสนทนาระหว่างชั้นกับเธอขึ้น

               “คุณไอโอน่า...เอ่อ” เธอพยายามจะเอ่ยชื่อเต็มของชั้น แต่กลับไม่อาจเอ่ยได้ เพราะ ณ ที่แห่งนี้ ไม่เคยมีใครได้รู้ชื่อเต็มของชั้นมาก่อน

               “ไอโอน่า วิกเซียน ค่ะ” ชั้นเอ่ยนามเต็มของชั้นไป เธอจึงแสดงท่าทีตอบรับ

               “คุณไอโอน่า วิกเซียน คุณออกจะเป็นคนดีแตกต่างจากคนอื่นนะคะ..คุณทั้งช่วยปกป้องคนที่อ่อนแอกว่า คุมเรื่องกฎระเบียบ และต่อกรกับพวกหัวโจกรุ่นก่อนๆจนอยู่หมัด” เธอกล่าวสาธยายมาหลายคำ แต่กลับรวมได้เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น

               “เธอต้องการจะถามชั้นสินะว่า..ชั้นเข้ามาอยู่ในสถานพินิจเพราะเหตุผลอะไรสินะ” เธอพยักหน้าตอบกลับ

               “ชั้นต่อยลูกเศรษฐีจนหน้ายับน่ะ..พอดีมันมาลวนลามชั้นน่ะ” ทันทีที่ชั้นเอ่ยออกไป เหล่าผู็ชายที่เงี่ยหูฟังพลันหันกลับไปทันที ทำให้ชั้นรู้สึกสบายใจขึ้นที่ไม่กลายเป็นสายตา “แล้วคุณเข้ามาที่นี่ได้ยังไงกัน..คุณออกจะดูมีมารยาทและอ่อนโยน”

               “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ..ชั้นเข้ามาที่นี่ก็เพราะผลักคนให้รถชนจนพิการน่ะค่ะ อิอิ” เธอเอ่ยออกมาหน้านิ่ง ชั้นที่ฟังอยู่ถึงกับหน้าถอดสี เธอทำร้ายคนได้อย่างน่าตาเฉย แต่แล้วในชั่ววินาทีนั้นเอง เธอกลับยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ใบหูของฉัน

               “เรื่องนี้ชั้นจะอธิบายตอนที่พวกเราอยู่ในห้องนะคะ..ยังไม่ต้องกลัว เพราะชั้นไม่ได้จะทำร้ายเค้า เพราะเหตุผลส่วนตัว” เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะกลับมานั่งยิ้มอ่อนเช่นเดิม ชั้นที่ตะลึงกับท่าทางของเธอกลับรู้สึกกลัวเธอขึ้นมาแล้ว

               หลังจากชั้นได้ทานอาหารเสร็จ ชั้นก็ได้พาตัวเธอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องของชั้น โดยในระหว่างทางไปห้องก็ได้เกิดบทสนทนาขึ้นเป็นระยะ

               “ว่าแต่คุณไอโอน่า อายุเท่าไหร่เหรอคะ” เธอเริ่มถามไถ่เรื่องอายุ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการทำความรู้จักเพื่อนใหม่(ละมั้ง!?)

               “ชั้นอายุ 16 น่ะ..พึ่ง 16 ได้ไม่กี่เดือนเอง” ชั้นตอบกลับไป “แล้วเธอล่ะ..เอ่อ ยังไม่รู้ชื่อเธอเลยนี่”

               “ชั้นอาจจะชื่อแปลกไม่คุ้นหูหน่อยนะคะ..” เธอกล่าวออกมาเพื่อให้ชั้นเข้าใจเสียก่อน “ชั้นชื่อ ‘คอบบิ้น เจ’ ค่ะ”

               “ส่วนอายุก็เกือบจะ 18 แล้วค่ะ” ชั้นที่ได้ยินอายุของเธอถึงกับตกตะลึง เพราะเธอยังคงดูอ่อนเยาว์ เพียงแค่ดูคล้ายคนที่อดหลับอดนอนจนขอบตาดำคล้ำเท่านั้น

               “พี่คอบบิ้นคะ..ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้คะ” ชั้นรู้สึกไม่ดีเลยที่ใช้สรรพนามผิดกับคนที่น่านับถือและอาวุโสกว่าชั้น “ชั้นใช้สรรพนามผิดเลยเนี่ย!”

               “แหมๆ ก็แค่อยากให้ไอโอน่าถามชั้นถามก่อนนี่” คอบบิ้นเอ่ยออกมาเชิงหยอกล้อ

               ชั้นเริ่มสังเกตเธออย่างถี่ถ้วน เธอเป็นสตรีรูปร่างปกติ เธอสูงพอๆกับผู้หญิงปกติ ต่างจากชั้นที่สูงเกินหน้าเกินตาไปจนผู้ชายยังอาย ผมสั้นสีแดงเข้ม ผิวของเธอค่อนข้างอยู่โทนเข้ม อีกทั้งยังมีกระอยู่บริเวณแก้มใต้ตาทั้งสองข้าง ดวงตาสีแดงแวววาวดั่งทับทิมส่องประกายอยู่ตลอดเวลา มันทำให้ชั้นรู้สึกแปลกใจกับดวงตาทั้งสองข้าง เพราะเวลาที่ชั้นมองไปยังมันกลับเห็นแสงสีฟ้าสว่างส่องออกมาจากดวงตาอยู่หลายครา

               ไม่นานหลังจากนั้น พวกเราก็ได้มาถึงห้องพักของชั้น โดยเมื่อเข้าห้องเสร็จ คอบบิ้นก็ได้เริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยสลับตัวที่เปรื้อนกับเสื้อเก่าของชั้น

               “ชั้นไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เขาต้องถูกรถชนจนพิการหรอกนะ” เธอเอ่ยออกมาในขณะกำลังสวมเสื้อใหม่

               “แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณ เอ้ย! พี่คอบบิ้นต้องทำอย่างนั้นล่ะคะ” ชั้นถามเธอกลับไปด้วยท่าทางสงสัย

               “ชั้นมองเห็นสิ่งมีชีวิตจากต่างโลกหมายเอาชีวิตเขาอยู่น่ะสิ..ถ้าชั้นเปลี่ยนชะตาเขา เหตุการณ์นั้นก็จะไม่เกิดขึ้น” เธอเอ่ยออกมา มันช่างไร้ซึ่งเหตุผลและแก่นสารเลย ชั้นจึงแสดงสีหน้าไม่เชื่อ เธอจึงถอนหายใจออกมา “ชั้นรู้อยู่แล้วว่า..ถ้าชั้นเล่าให้ใครฟังก็คงไม่มีใครเชื่อหรอกนะ”

               “แต่ชั้นบอกว่าชั้นเป็นผู้หยั่งรู้ล่ะ..แล้วคุณจะเชื่อชั้นมั้ยคะ ผู้ควบคุมวายุสลาตัน” เมื่อเธอเอ่ยคำนั้นออกมาทำเอาชั้นตกตะลึงทันใด ชั้นว่าชั้นเก็บยั้งพลังเอาไว้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมีคนสังเกตุเห็นสายลมอ่อนๆ ด้วย ชั้นที่คิดว่าเธอแค่สังเกตเห็นกำลังจะเริ่มพูด แต่กลับถูกขัดเอาไว้เสียก่อน “คุณคงคิดว่าชั้นเห็นตอนคุณใช้พลังสายลมสินะ..งั้นเอาอย่างนี้”

               “เริ่มแรกคุณอยู่ในครอบครัวที่อบอุ่นและมีความสุขท่ามกลางกลุ่มคนที่เห็นแก่ตัว พ่อแม่และพี่เอชเตอร์ของคุณได้พาคุณไปสวนสนุกไปเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่พวกเขาจะตายโดยถูกสังหารโดยกลุ่มโจรหัวกระโหลก ส่วนพี่เอชเตอร์ที่พาคุณหนีก็ถูกงูจงอางชกจนต้องนอนรอความตาย ส่วนคุณก็เกือบเอาชีวิตไม่รอดจากหมาป่า แต่ได้รับพลังสายลมมาก่อนจึงรอดพ้นมาได้ ซึ่งสิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่กับตัวคุณมีเพียงสร้อยข้อมือสีเงินกับจี้มรกตเส้นนี้ที่คุณใส่ติดตัวมาตลอดใช่มั้ยคะ”

               หญิงสาวเบื้องหน้ากล่าวเรื่องราวทั้งหมดของชั้นอย่างถูกต้องทั้งหมดไม่มีผิดเพี้ยน อีกทั้งยังรู้จักชั้นในอดีต รู้การตายของแต่ละคน และที่สำคัญเขารู้ว่าพี่ของชั้นชื่อเต็มจริงว่า ‘เอชเตอร์’ ซึ่งไม่น่าจะมีคนรู้มาก่อนเพราะพี่มักจะใช้ชื่อว่า ‘เอชเตก’ เสียมากกว่า

               “ค่ะ..ชั้นเชื่อพี่แล้วค่ะ” ชั้นทำคอตกเมื่อถูกคนอื่นรู้อดีต แต่เมื่อชั้นนึกถึงอายุของหญิงสาวเบื้องหน้า ทำให้ชั้นตระหนักคิดได้สิ่งหนึ่ง “นี่..พี่คอบบิ้นใกล้จะอายุ 18 แล้วนี่ หมายความว่าพี่อาจจะถูกโยกย้ายไปยังเรือนจำแล้วน่ะสิ”

               “ใช่จ้ะ..แต่นั่นก็อีกตั้ง 3 เดือนกว่าชั้นจะอายุครบ 18 ปี และเวลาทำการโยกย้ายก็ใช้เวลาเกือบครึ่งปี ซึ่งชั้นเห็นว่าเรายังไม่จำเป็นต้องรีบ เพราะยังไงเราก็ต้องจากกันอยู่แล้ว” เธอพูดตัดพ้อเล็กน้อย แต่ชั้นกลับมีความคิดบ้าๆ ขึ้นมาในหัว

               “ไม่หรอกค่ะ..ชั้นว่าเมื่อใกล้ถึงวันนั้นแล้ว ชั้นพาพี่หลบหนีจากที่นี่เองค่ะ” ชั้นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

               “ชั้นว่าไม่ต้องก็ได้นะ อีกอย่างเธอจะ..อุ๊บ!..” ชั้นใช้มือปิดปากของพี่คอบบิ้นเอาไว้ เพื่อขัดคำพูดของเธอ

               “ชั้นว่าคนดีน่ะควรได้รับโอกาสนะคะ..ดังนั้นเชื่อมือชั้นเถอะค่ะ” ชั้นเอ่ยออกมาอย่างร่าเริง

               “ถ้าจะเป็นอย่างนั้น..พี่ก็ขอร่วมด้วยจ้ะ” หญิงสาวยิ้มอ่อนตอบกลับให้กับชั้น นั่นทำให้ชั้นเริ่มวางแผนรอวันที่กำลังจะมาถึงทันที

               โดยส่วนใหญ่เวลาที่ชั้นสูญเสียไปมักจะเสียไปกับการออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังเริ่มวิ่งในลู่วิ่งในเวลากลางดึก เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต การฝึกฝนของชั้นนั้นหนักขึ้นทุกๆวัน เช่นเดียวกับร่างกายของชั้นที่เริ่มมีกล้ามเนื้อออกมาให้เห็นเด่นชัด คล้ายกับพวกนักกล้ามหญิงจนบางครั้งกับดูน่าเกลียดไปบ้าง ซึ่งพี่คอบบิ้นที่มีความสามารถปรุงยาก็ได้ปรุงยาปรับรูปร่างให้ชั้น ทำให้ชั้นที่เคยอยู่ในสภาพนักกล้ามกลับมาในรูปร่างที่คล้ายซูเปอร์โมเดลอีกครั้ง

               และสุดท้ายเมื่อทุกอย่างคงตัว ชั้นวิดพื้น สควอตจัมพ์ และซิทอัพอย่างละสามรอบ รอบละ 500 ครั้ง ยกดัมเบลหนักสามสิบกิโลกรัม สองลูกได้สามเวลา เวลาละ 150 ครั้ง ยกบาร์เบลหนัก 120 กิโลกรัม สามเวลา เวลาละ 50 ครั้ง และสุดท้ายวิ่งด้วยความเร็วที่เร็วเท่ากับสายลมจนคล้ายหายตัวไปดื้อๆ

               ซึ่งทั้งหมดนั้น ชั้นล้วนใช้พลังสายลมเข้าช่วยทั้งหมด ดังนั้นคงไม่ต้องแปลกใจ ส่วนจำนวนครั้งที่ชั้นทำได้จริงโดยไม่พึ่งพลังพิเศษ คงต้องหารจำนวนครั้งลงด้วย 10 และลดน้ำหนักของดัมเบลและบาร์เบลลงครึ่งนึง ส่วนเรื่องการวิ่ง หากไม่ใช้พลัง ชั้นก็ไม่ใช่คนที่วิ่งไวที่สุด แต่จะเป็นคนที่วิ่งอึดที่สุด เพราะตัวชั้นได้วิ่งสามเวลา เวลาละ 15 รอบ ซึ่งการจะวิ่งให้ครบรอบจำเป็นจะต้องวิ่งทั้งหมด 1000 เมตร นั่นหมายถึงชั้นได้วิ่งไปวันละ 45000 เมตร หรือ 45 กิโลเมตรต่อวัน ส่วนเรื่องแผนหลบหนีชั้นก็ได้เตรียมการโดยการใช้วิธีต่อยกำแพงห้องพักของชั้นทุกๆวันด้วยพลังสลาตันของชั้น ทำให้กำแพงแตกง่ายขึ้นเป็นว่าเล่น

               เมื่อถึงเวลาอันสมควร ซึ่งก็คืออีกหนึ่งวัน พี่คอบบิ้นจัถูกโยกย้ายไปยังเรือนจำ ชั้นก็ได้เรียกพี่เค้าให้มาที่ห้องชั้น ก่อนจะเปิดพิธีด้วยการต่อยครั้งสุดท้าย ทำให้กำแพงแตกออก แล้วพวกเราจึงรีบวิ่งหนีเข้าป่าไป

               “ขอบคุณมากนะ..ไอโอน่า” พวกเราที่วิ่งกันมาจนได้ระยะพอสมควรจึงหยุดลง โดยพี่คอบบิ้นได้หอบหายใจต่างจากชั้นที่ยังคงไม่รู้สึกถึงสิ่งใด

               “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ..อย่างที่ชั้นบอกคนดีย่อมได้รับโอกาสค่ะ” ชั้นตอบกลับไปอย่างซื่อตรง

               “เอ่อ..ช่วงนี้ เธอใช้พลังมากเกินไปหรือเปล่า..ทำไมผมสีสวยของเธอึงเปลี่ยนเป็นสีขาวล่ะ”

               “อ่อ..สงสัยจะออกกำลังกายมากไปน่ะค่ะ..คิกๆ”

               “เอ่อ..ก่อนจะจากลา ชั้นอยากจะบอกเธออย่างนึง” พี่คอบบิ้นเข้ามากระซิบใกล้หูฉัน

               “บางทีเอชเตอร์อาจจะยังไม่ตายนะ..”เมื่อพี่เขาเอ่ยออกมา ทำให้ดวงตาของชั้นต้องเบิกกว้าง ชั้นรีบเงยหน้ากลับมา กลับไม่พบสิ่งใดอีกแล้ว

               ชั้นที่งุนงงจึงทำได้เพียงหลบซ่อนตัวไปในช่องว่างของตึก ซึ่งในขณะเดียวกันนั้นเอง..ชั้นจึงได้พบกับชายผู็ใส่ชุดซอมซ่อกำลังใช้ปืนจี้ปล้นป้าแก่คนนึง แล้วพูดเชิงรีดไถทรัพย์ ชั้นที่เห็นจึงไม่รอช้า รีบวิ่งเข้าไปช่วยป้าคนนั้นทันที

               ชั้นรีบเข้าไปจับมือข้างที่ปืน ก่อนใช้มืออีกข้างปัดปืนให้ออกจากมือ แต่กลับทำแรงเกินไปจนนิ้วของหัวขโมยหัก เขากรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ส่วนป้าแก่ที่รู็ว่าชั้นด้วยช่วยเธอไว้ได้โค้งขอบคุณและหนี ชั้นจึงยิ้มให้กับเธอ

               แต่แล้วกลับมีร่างของบุรุษยักษ์ปรากฏตัวขึ้นมาเบื้องหน้าชั้น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราสีขาว พร้อมกับชุดทหารชั้นพลตรีได้เดินเข้ามาหาชั้น ชั้นที่เห็นร่างของเค้าได้ผงะไปเล็กน้อย แต่ยังคงตั้งสติมาได้และพร้อมจะเข้าต่อสู้ แต่ทันทีที่ชั้นออกหมัดเสริมพลังลมไป กลับถูกชายเบื้องหน้ารับหมัดเอาไว้ ก่อนจะใช้นิ้วชี้ดีดหน้าผากชั้นเต็มๆ

               “โอ๊ยย!!” ชั้นร้องออกมา โดยภายในใจหวังจะโจมตีสวนกลับ แต่เมื่อคิดดูดีๆแล้ว ฝ่ายเริ่มเป็นชั้นก่อน นั่นทำให้รู้ว่าการอยู่ในสังคมที่ก้าวร้าวไม่ถึงปี จะทำให้ชั้นก้าวร้าวได้ถึงขนาดนี้

               “ดูจากสภาพแล้ว..เธอคงพึ่งแหกสถานพินิจมาสิท่า” ชายแก่วิเคราะห์ “มองเสื้อผ้าก็รู้แล้ว”

               “เธอนี่ก็มีฝีมือเหมือนกันนะ..ไอโอน่า วิกเซน” ชายแก่เอ่ยนามของชั้นออกมา ทำให้ชั้นอึ้งตะลึงพอสมควร แต่ชายแก่ก็ได้แถลงไขข้อสงสัยของชั้นลง “พ่อของเธอเคยเป็นคู่หูชั้นในสมัยก่อนน่ะ..ก่อนที่เขาจะถูกพวกโจรสังหาร เขาได้บอกชั้นว่าให้ตามหาเธอและเลี้ยงเธอแทนเขาด้วย”

               “ดังนั้น..เธอต้องการจะมาอยู่กับชั้นในฐานะบุตรบุญธรรมมั้ยล่ะ”

               “...ชั้นสัญญาว่าจะทั้งความสุข ความอบอุ่น และความรักกับเธอ เหมือนที่พ่อเธอที่เคยให้เธอมา”

               “มาเป็นครอบครัวเดียวกันเถอะ..ไอโอน่า” ชายแก่ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับชั้น มันทำให้ชั้นนึกถึงหน้าของทุกๆคน ทั้งพ่อ แม่ พี่เอชเตอร์ และชายแก่ในกระท่อม พวกเขาต่างให้สิ่งเหล่านี้แก่ฉันอย่างเต็มใจ พวกเขาเหล่านี้คือคนที่ชั้นจะไว้วางใจได้

               “ตกลงค่ะ..คุณทหาร” ชั้นตอบรับไป ก่อนจะยิ้มอย่างมีความสุข เช่นเดียวกับพลทหารคนนั้น

               “ชั้นชื่อ ‘ไอโอรัส นอร์ทสตาร์’ เธอจะเปลี่ยนสกุลตามชั้นก็ได้นะจะได้เป็น ‘ไอโอน่า นอร์ทสตาร์’ ..อืม เหมาะดีนะ ว่ามั้ย”

               “ค่ะ..คุณพ่อ” บทบาทลูกสาวขี้อ้อนกลับมาที่ชั้นเช่นเดิม แล้วนี่ก็คือความปรารถนาที่พ่อแม่และพี่ต้องการให้เป็นจริง ซึ่งสุดท้ายมันก็ได้เป็นจริงดั่งหวังแล้ว ขอให้พ่อ แม่ไปสู่สุคตินะคะ และพี่เอชเตอร์ ถ้าที่พี่คอบบิ้นพูดความจริง ชั้นคงต้องเริ่มออกค้นหาแล้วสิ

               “โว้วๆ ก่อนที่พวกคนอ่านอย่างนายจะไปฟังเรื่องราวของสาวน้อยไอโอน่า ซึ่งมันไม่มีต่อ..เราคงต้องพักมาชมสิ่งที่น่าสนใจอย่างการฟังตาแก่นี่บ่น” ลอสต์พูดในขณะหันมาทางคุณ ก่อนจะหันกลับไปคุยกับไอโอรัสที่กำลังนั่งดื่มน้ำชาอยู่

               “นายทำเรื่องของนายเสร็จแล้วสินะ..” ชายแก่ที่กำลังนั่งดื่มชาอย่างสุภาพ ได้วางแก้วน้ำชาลงกับจานรองอย่างเบามือ แล้วจึงตีหน้าเข้มใส่ลอสต์เมื่อหันกลับมา “อะไรคือสิ่งนายต้องการบอกชั้นกันแน่..ลอสต์ ซีเคร็ต”

               “อ้าวๆ ..อย่าพึ่งทำหน้าจริงจังอย่างนั้นสิ ผ่อนคลายก่อน..” ลอสต์แสดงท่าทีคล้ายจะห้าม โดยมีกล่องข้อความสามมิติแสดงขึ้น ภายในมีภาพคนนั่งโซฟานุ่มอยู่ ไอโอรัสที่เห็นก็ได้แต่หยิบแก้วน้ำชามาดื่ม เมื่อลอสต์เห็นดังนั้น เขาจึงได้เอ่ยพูดต่อ

               “นายคงรู้สินะว่า ‘D-Borne’ หรือเจ้าพวกอมนุษย์นี่มันมีพลังพิเศษเหนือธรรมชาติ..” ลอสต์เอ่ยออกมา แล้วจึงเสกอ่างน้ำขนาดเล็กมานั่งภายใน หากเป็นคนอื่นคงตกใจและถามว่า ‘ทำเพื่ออะไร’ ต่งจากไอโอรัสที่เคยชินจนเห็นเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

               “เรื่องนั้นใครๆก็รู้” ชายแก่ยกกาน้ำชามาเติมใส่แก้วหลังจากที่น้ำชาในแก้วได้หมดลงไปแล้ว

               “อืม..ก็ใช่อยู่ แต่ถ้าเป็นเรื่องนี้ล่ะ..” ลอสต์หยุดพักหายใจ แล้วจึงกล่าวต่อ “เจ้าพวกอมนุษย์พวกนี้ไม่ได้เกิดมาจากเชื้อพันธุกรรมของมนุษย์หรือความผิดปกติของยีน โครโมโซม อะไรก็ตามแต่”

               “เจ้าพวกนี้เคยเป็นมนุษย์ปกติมาก่อนเหมือนที่พวกนายรู้..แต่พวกเขาไปได้รับสสารประหลาดจากโลกอื่นแทรกซึมเข้าไปในยีนของพวกเขาอย่างน่าประหลาด”

               “อย่างที่นายรู้ดีผู้ที่ได้รับสารนี้มีพลังพิเศษเหนือธรรมชาติ..นั่นทำให้พวกเขาเป็นกลุ่มเป้าหมายที่จะถูกศัตรูของชั้นสังหาร”

               “สังหาร??” พลทหารแก่แสดงท่าทีสงสัย “ศัตรูนายต้องการฆ่าพวกเขาไปทำไม..กำจัดพวกตัวเกะกะรึไง”

               “หึ..ต่อให้มีพวกที่มีพลังพิเศษเท่าจำนวนประชากรบนโลกปัจจุบันเข้ารุมโจมตีเจ้านั่น..มันคงจะใช้เวลาเพียงแค่ชั่วพริบตาในการกำจัดพวกเขาทั้งหมด” ลอสต์กอดอกหลังพิงโซฟาหนัง “เจ้านั่นน่ะแข็งแกร่งเกินไป..เก่งจนโกงเลยล่ะ ไม่สิ..เข้าขั้นเกรียนเลยดีกว่า”

               “เหมือนนายอ่ะนะ..หึหึ” ไอโอรัสพูดเหน็บแนมลอสต์โดยไม่ได้คิดอะไร

               “ที่นายพูดก็ถูกอยู่..เจ้านั่นน่ะพลังเกรียนและโกงพอๆกับชั้นเลยล่ะ” ลอสต์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำเอาพลทหารอาวุโสหน้าถอดสี กลืนน้ำลายลงคอทันที จนต้องเปลี่ยนมาอยู่ในท่าทางครุ่นคิด

               “นี่..นายล้อชั้นเล่นใช่มั้ย” ไอโอรัสเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึม แต่นัยน์ตาของเขาแฝงไปด้วยความกังวลอยู่ภายใน “ถ้าเจ้านั่นมีพลังพอๆกับนาย..และอยู่คนละฝั่งกับพวกเรา เจ้านั่นก็คือหายนะระดับพระเจ้าเลยไม่ใช่เหรอ”

               “นั่นคือสิ่งที่ชั้นต้องการให้นายรู้ไง..ไอโอรัส” ลอสต์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง  “ดังนั้น..ชั้นจะขอร้องนายให้ทำบางอย่างให้กับชั้น”

               “ช่วยพาพวกเขาไปหลบในที่ปลอดภัย” สิ่งที่ลอสต์ได้พูดออกมากลับดูไม่สมเหตุสมผลเลยแม้แต่น้อย ถ้าศัตรูของเขามีพลังเท่าตัวเขาจริงๆ มันไม่ยากเลยที่จะหาคนพวกนั้น

               “จากที่นายพูดในความคิดของนาย..ก็อาจจะใช่” ลอสต์เอ่ยขึ้นหลังจากอ่านความคิดของคู่สนทนา “แต่ที่ๆชั้นจะพาให้พวกเขาไปซ่อนตัวคือโลกใหม่ที่พวกเขาจะอาศัยอยู่ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการถูกเจ้านั่นฆ่า”

               “ชั้นจะให้นายพาพวกเขาไปทีประตูมิติที่ชั้นจะสร้างขึ้นที่โกดังร้างใกล้ๆกับที่ของนาย แล้วก็..”

               “พาลูกบุญธรรมของนายไปด้วย..ไปให้ห่างจากโลกนี้และพวกครีปปี้พาสต้านั่นให้เร็วที่สุด”

               ไอโอรัสเริ่มเกิดความแปลกใจในตัวของคู่สนทนาที่ดูแปลกไป เขาดูจริงจังต่างจากเดิมมาก และพูดคล้ายกับว่าจะรักษาชีวิตเพื่อนอย่างเขา แล้วทิ้งให้เหล่าครีปปี้พาสต้าที่มีสมาชิกบางคนที่มีพลังอมนุษย์อยู่ตายไป ทั้งๆที่พวกเขาก็เป็นมิตรสหายกัน

               ...หรืออาจจะไม่ใช่ บางทีทุกอย่างนั้นอาจเป็นเพียงการเสแสร้ง เพื่อให้ตัวเองบรรลุเป้าหมายอะไรบางอย่าง…

               เมื่อไอออรัสเอะใจบางอย่างได้ ลอสต์กลับดีดนิ้ว ทำให้โซฟาหนังหายไป พร้อมกับลุกขึ้นยืน มือล้วงกระเป๋ากางเกง แล้วจึงหันหน้าที่ไม่มีอะไรเลยมาหาชายแก่

               “ชั้นหวังว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเราจะได้เจอกันอีก” ลอสต์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างที่ไม่เคยมีใครเคยได้ยินมาก่อน “ชั้นจะถือว่าชั้นได้เตือนนายไปแล้วนะ”

               “ตอนนี้ชั้นหมดหน้าที่กับนายแล้ว..” ลอสต์เดินไปยังผนังคอนกรีต ที่ได้เกิดช่องว่างมิติสีฟ้าขึ้นในบัดดล ก่อนที่เขาจะเข้าไป เขาได้กล่าวคำพูดสุดท้ายออกมาก่อนจะหายไปพร้อมกับช่องว่างมิติ “ขอให้ปีกแห่งนิมิตนำทางเจ้า”

               ณ สุสานใหญ่แห่งหนึ่ง หินจารึกนามผู้ตายต่างเรียงรายอยู่มากมาย โดยในวันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่หมอกลงหนา การมาเยี่ยมเยียนเหล่าญาติบรรพบรุษจึงเป็นไปด้วยความยากลำบากยิ่ง

               แต่ในสุสานแห่งนี้ กลับมีสตรีที่ใส่เสื้อแจ็กเก็ตลายทหารที่ภายในเป็นเสื้อกล้ามสีขาว เบื้องล่างเป็นกางเกงวอร์มสีดำธรรมดา กับรองเท้าผ้าใบสีเขียวเข้ม เธอยืนอยู่หน้าหลุมศพทั้งสามที่ตั้งอยู่ห่างจากหลุมศพเพียงไม่กี่ฟุต เธอมองไปยังนามที่สลักบนหลุมศพพลางกัดฟัน นึกถึงอดีตที่ตนยังคงอ่อนแอเกินกว่าที่จะปกป้องทุกคน

               หญิงสาวผมสีฟ้าน้ำทะเลหยิบดอกไม้จากภายในกระเป๋าเสื้อของเธอออกมา ดอกกุหลาบสีขาวและดอกกุหลาบสีดำอย่างละสาม เธอนำมาวางไขว้กัน แสดงถึงความรักอันบริสุทธิ์แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เว้นแต่หลุมศพด้านขวาสุดที่เธอวางเพียงดอกกุหลาบสีขาวเอาไว้ ส่วนดอกกุหลาบสีดำกลับถูกนำไปปักไว้ที่ต้นไม้ใหญ่ต้นนึงที่ได้ตายลงได้ไม่นาน

               เมื่อเธอทำกิจของเธอเสร็จก็ได้เดินออกมาจากจุดเดิม เตรียมจะออกจากสุสานทที่มีหมอกหนาทึบจนยากจะมองเห็น แต่แล้วทันใดนั้นเองหญิงสาวกลับได้ยินเสียงลมที่มีทิศทางประหลาดพุ่งเข้ามาที่ศีรษะของเธอ หญิงสาวผู้มีพลังสายลมใช้พลังเคลื่อนที่ไปตามสายลมเพื่อหลบหลีกการโจมตีนั้นไป แล้วเธอจึงกลับมายังพื้นทางเดิน โดยเธอได้สร้างแรงลมปะทะ ทำให้หมอกถูกผลักออกไปในบริเวณกว้าง แต่มันกลับดูท่าว่าหมอกเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองจากธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งที่บางสิ่งสร้างขึ้นมา

               ทันใดนั้นเอง เสียงปรบมือพลันดังขึ้นด้านหลังของเธอ หญิงสาวรีบหันหลังกลับไปพร้อมกับตั้งการ์ดในระดับสายตา นัยน์ตาของเธอจ้องมองไปยังศัตรูอย่างมุ่งมั่น ก่อนจะพบกับบุรุษผู้หนึ่งที่สวมเสื้อโค้ตหนังสีเทาหม่นปิดบังร่างกาย ดวงตาของเขาถูกปิดบังด้วยแว่นกันแดด

               “ชั้นนึกว่าเจ้าพวกหมู่บ้านนั้นจะตายไปหมดทุกคนแล้วนะ..ไม่น่าเชื่อว่ายังเหลือพวกตระกูลวิกเซนไว้คนหนึ่ง” บุรุษปริศนาเอ่ยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและแหบแห้ง ซึ่งนั่นเป็นเสียงที่ไอโอน่าไม่เคยลืมได้ลง ชายคนนั้นได้ถอดแว่นตาของตนเองออก แล้วจึงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ด้วยนัยน์ตาสีแดงก่ำดั่งโลหิตที่ถูกรายล้อมไปด้วยสีดำที่เข้ามาแทนที่สีขาว โดยบริเวณดวงของเขานั้นก็มีควันมืดแพร่กระจายออกมา “และดูท่าว่าเธอจะไม่ใช่ยัยเด็กขี้แงที่เอาแต่ร้องไห้อีกแล้ว..แต่กลับเป็นยอดทหารของกองทัพเชียว”

               “แกต้องการอะไรจากชั้น..” ไอโอน่าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เธอไม่แม้แต่จะลดการ์ดของเธอลงแม้แต่น้อย “แกมาหาชั้นทำไมกัน”

               “แค่รู้สึกเสียมารยาทนิดหน่อยน่ะที่เมื่อเจ็ดปีก่อนไม่ได้แนะนำตัวก่อนจะปล่อยให้ถูกพวกหมาสกปรกนั่นลากไปเป็นอาหาร” เมื่อบุรุษคนนั้นพูดจบ ร่างของเขาพลันสลายเป็นหมอกควันสีดำสลายหายไปในหมอกสีขาวทึบ แต่แล้วเพียงเสี้ยวพริบตา เขาก็ปรากฏตัวอีกครั้งที่ข้างกายของหญิงสาว “แล้วชั้นก็ยังไม่ได้รู้จักเธอซะด้วยสิ คิกคิกคิก”

               ไอโอน่าเบิกตากว้างด้วยความเคียดแค้นอัดพลังไปที่ฝ่ามือ เธอบิดช่วงสะโพกสร้างแรงตรึงในกล้ามเนื้อ แล้วฟันเข้าที่ท้ายทอยของชายปริศนา โดยสายตาของเธอกลับเหลือบไปเห็นหัวกระโหลกสีดำที่หลังศีรษะ นั่นทำให้เธอยิ่งมั่นใจขึ้นไปอีกว่าคนๆนี้คือคนที่เธอควรฆ่าให้ตายทรมานที่สุด เธอรวบรวมพลังลมแรงอัด สร้างกลุ่มก้อนแรงกระแทกไว้ที่มือข้างที่จะโจมตีจนเกิดทรงกลมที่ปล่อยแสงสีขาวขึ้น เธอฟาดมันลงบนล่างของชายคนนั้น แต่กลับพลาดพลั้ง เพราะร่างนั้นเป็นเพียงแค่ควันเท่านั้น แต่แล้วนั้นเองกลับมีมือปริศนาพุ่งทะลุร่างของหญิงสาว สร้างความเจ็บปวดมหาศาลภายในร่างกายของหญิงสาว

               “ทีหลัง..เวลาผู้ใหญ่พูดก็หัดฟังไว้บ้างนะ” ชายปริศนาเอ่ยขึ้น ก่อนจะโยนเธอให้กระเด็นออกไป แล้วตัวมันก็ได้ถอดโค้ตออก เผยให้เห็นว่าเป็นผู้คุมระดับหัวหน้าขององค์กรปริศนา SCP “ชื่อชั้นของชั้นคือ‘เดเมียน สโมกเกอร์’ ..แล้วเธอล่ะมีชื่อเสียงเลียงนามว่าอะไร“

               “ไอโอน่า นอร์ทสตาร์..ไม่สิ ชั้น ไอโอน่า วิกเซียน ผู้สืบสายเลือดตระกูลวิกเซียนเพียงคนเดียวที่ยังคงเหลือรอดอยู่ในตอนนี้” ไอโอน่าประกาศกร้าว ก่อนจะลุกยืนขึ้นมา ถอดแจ็กเก็ตลายทหารลงกับพื้น

               เธอได้ใช้พลังของเธอปล่อยแรงลมมหาศาลออกมาจากฝ่ามือ ผลักดันกลุ่มหมอกควันที่ล้อมรอบกายให้หมุนเป็นเกลียวพายุหมุนลูกใหญ่ล้อมรอบร่าง ในขณะที่ชายในชุดผู้คุมยังคงยืนยิ้มอย่างพอใจ

               “ยังเข้าไปไม่ถึงสินะ..” สโมกเกอร์เอ่ยออกมา พร้อมกับยิ้มอย่างพอใจ ก่อนที่เขาจะพุ่งไปรอบร่างหญิงสาว “ชั้นไม่ได้ต้องการจะให้เรื่องนี้มันจบเร็วหรอกนะ..แต่เวลาของชั้นมันก็มีจำกัด”

               ผู้คุมอมนุษย์ที่เริ่มเคลื่อนไหว กลับเปลี่ยนร่างของตนเองให้เป็นควัน แล้วจึงพุ่งเข้าสู่ลมหมุนอันรุนแรงของไอโอน่าหวังจะเข้าโจมตีจากภายใน แต่ทันใดที่เขาพุ่งร่างเข้าไปในพายุเกลียว แรงลมทั้งหมดกลับกระชากฉีกกลุ่มควันจนจางหายไปในพายุหมุน แต่ไอโอน่ากลับไม่ปักใจเชื่อ เพราะชายคนนั้นคงต้องรู้อยู่แล้วว่าถ้าเข้ามาในลมหมุนคงต้องถูกฉุดกระชากจนร่างควันแหลกสลายไปทั่วลมหมุน

               ซึ่งทันใดนั้นเอง ลมหมุนที่เธอเคยสร้างกลับเปลี่ยนสีจากโปร่งแสงเป็นขุ่นมัว ก่อนจะเริ่มดำมืดขึ้นทุกที เธอจึงตัดสินใจพุ่งร่างออกมาจากพายุหมุน และทำได้สำเร็จ เมื่อเธอหันหลังกลับไปจึงได้พบว่าพายุหมุนที่เธอได้สร้างขึ้นนั้นกลับถูกแทนที่ควันไฟแทน แล้วไม่นานมันก็ได้ระเบิดออกอย่างรุนแรง หญิงสาวรีบสร้างโล่อากาศขึ้นมาป้องกันควันไฟที่เกิดจากการระเบิด แรงปะทะที่เกิดขึ้นอย่างมหาศาล ทำให้ควันไฟถูกผลักออกมามาก จนพื้นที่บริเวณนั้นถูกเขม่าควันปกคลุม

               หญิงสาวที่เห็นว่าท่าไม่ดี จึงปล่อยพลังลมออกมาอีกครั้งเพื่อปัดเป่าควันไฟให้ออกจากวิสัยทัศน์ แต่เมื่อทำสิ่งนั้นแล้ว เธอก็ต้องเป็นอันตกใจ เมื่อเบื้องหน้าของเธอนั้นคืออสูรกายเขม่าควันในเค้าโครงร่างของมนุษย์ เบื้องหลังของมันมีลูกแก้วทรงกลมสีดำลอยอยู่ แต่แล้วเจ้าอสูรกายตัวดังกล่าวกลับเคลื่อนย้ายลูกแก้วจากด้านหลังมาไว้ด้านหน้า มันจึงได้เริ่มทำการดูดซับกลุ่มก้อนควันที่ตกค้างจากการระเบิดของพายุหมุนมาไว้ที่ลูกแก้วจนเริ่มลูกแก้วสีดำนี้เริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น หญิงสาวผมสีฟ้าเห็นท่าทางของศัตรู เธอจึงรวบรวมพลังไว้ในฝ่ามือที่ประคบกันของทั้งสองข้าง

               เมื่อทางสโมกเกอร์ได้ทำการเปลี่ยรสสารก้อนเขม่าควันออกมาในรูปบีม ไอโอน่าที่เรือนผมเปลี่ยนกลายเป็นสีขาวจึงได้ปลดปล่อยตามร่างอสูรของสโมกเกอร์ทันที พลังของทั้งคู่ต่างเข้าปะทะกันอย่างรุนแรง หมอก ควันและสายลมต่างเริ่มเปลี่ยนทิศทาง แต่ในทางธรรมชาติแล้ว ลมย่อมชนะหมอกควันอยู่เป็นนิจ ..ยกเว้นแต่ว่าเขม่าควันจะมีรูปแผนในการจัดการลมหรือผู้ใช้ลมได้

               ในขณะที่การดวลพลังของทั้งคู่จะรู้ผล กลุ่มควันจากด้านหลัง เริ่มก่อร่างสร้างตัวเป็นกายหยาบโดยที่หญิงสาวยังไม่ทันจะรู้ตัว สุดท้ายกลับกลายเป็นร่างของหัวหน้าผู้คุมสโมค บุรุษที่ภายในเป็นดั่งอสูรวิปริตได้เดินเข้ามายังด้านหลังของหญิงสาว มือของมันตั้งอยู่ในแนวขนานกับพื้นดิน รอยยิ้มปรากฎขึ้นแสดงถึงจิตที่บิดเบี้ยวของชายคนนี้ได้อย่างชัดเจน

               “ชู่ๆ..มันไม่เจ็บมากนักหรอก” เสียงทุ้มต่ำแหบแห้งของชายจิตวิปลาสได้เอ่ยออกมา ทำให้ไอโอน่าได้รู้ว่าเธอนั้นได้ติดกับดักเข้าแล้ว แต่มันก็ไม่ทันการณ์ เพราะแขนแห่งอสูรควันได้พุ่งทะลุร่างเธอไปแล้ว

               แม้จะไม่สร้างบาดแผลใดๆ แต่กลับสร้างความเจ็บปวดเกินบรรยาย เหยื่อที่ติดกับดักกรีดร้องออกมาด้วยความทรมาน มันยิ่งทำให้นักล่าจิตวิปลาสยิ่งชอบใจ มันจึงได้ผายมือออก เรียกให้กลุ่มควันร่างมนุษย์ซึ่งเป็นตัวล่อ ได้สลายตัวออกมารวมตัวเป็นก้อนควันในมือของหัวหน้าผู้คุมสโมค แต่แม้จะดูดซับไปเท่าใดกลับไม่หมดเสียที จนในที่สุดก้อนควันที่รวบรวมมาได้ถูกอัดแน่นไปด้วยมวลสารของมลพิษและเขม่าถ่าน แต่ร่างของอสูรควันที่ใช้เป็นเหยื่อยังคงอยู่ มันจึงได้ตัดจบด้วยการกำมือแน่นแล้วกระชากมือออกจากร่างของหญิงสาวสร้างความทุกข์ทรมานอีกครั้ง แต่มันกลับไม่เพียงแค่นั้น เพราะกลุ่มควันจากร่างอสูรควันกลับแตหตัวแล้วพุ่งทะลุร่างของไอโอน่าออกมา หญิงสาวไม่อาจรับความเจ็บปวดนี้ต่อไปได้อีก ดวงตาของเธอหมุนกลับจนขาวโพลน เรือนผมสีขาวของเธอกลับกลายมาเป็นสีฟ้าน้ำทะเลเช่นเดิม แล้วจึงหมดสติไปในที่สุด อสูรคว้าร่างของเธอไว้ก่อนจะยกเธอขึ้นมาพาดไว้บนไหล่

               ทันใดนั้นเอง ร่างของเด็กสาวผู้สวมชุดสาวใช้ไหล่พองสไตล์ฝรั่งเศสที่มีเพียงสีขาวเท่านั้น พร้อมกับริบบิ้นผูกที่คอเสื้อกลม และจุดเด่นของเธอนั้นคือโบว์ยักษ์สีชมพูอ่อนที่ประดับอยู่บนเรือนผมสีดำยาว รวมทั้งดวงตาสีแดงก่ำที่แฝงไปด้วยความเย็นชา เธอปรากฏขึ้นมาข้างหลังของหัวหน้าผู้คุมอย่างไม่ทราบสาเหตุ

               ชายที่แบกร่างของสตรีผู้ใช้พลังสายลมอยู่ หันกลับไปมองหน้าเด็กสาวที่ปรากฏตัวขึ้นมา ด้วยสายตาไม่สบอารมณ์เสียเท่าไหร่

               “ช้าจังนะ..สโมกเกอร์” เด็กสาวแสดงทีท่ากอดอก “ตอนนี้ลอร์ดซัลโก้และท่านแบล็กกำลังรอนายอยู่นะ..รีบๆเข้า”

               “ชั้นรู้แล้วน่า..ชิ!” สโมคแสดงท่าทีไม่พอใจเสียเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ทำตามที่เด็กสาวคนนั้นได้เอ่ยไว้ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้เคลื่อนย้ายร่างกายออกจากจุดนั้นมายังสถานที่แห่งหนึ่ง

               สถานที่แห่งนี้เป็นเพียงพื้นที่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้รูปร่างประหลาด เมฆสีดำที่มีสายฟ้าสีแดงแลบไปมา โดยเสียงของพวกมันกลับไม่เปรี้ยงปร้างดั่งปกติ แต่มันกลับเป็นเสียงกรีดร้องของผู้คนจำนวนมากแทน

               แม่น้ำสายเลือดที่เต็มไปด้วยกองปฏิกูล น้ำหนอง กลิ่นศพที่ลอยมาตามน้ำปะปนกันไป ท้องฟ้าสีแดงครึ้มไร้ที่ติ รวมถึงสิ่งมีชีวิตที่มีเนื้อหนังเหลืออยู่บางส่วน อีกส่วนเป็นโครงกระดูก บางตัวสามารถเห็นอวัยวะภายในทำงานอยู่ได้อย่างชัดเจน บางตัวมีดวงตาที่หลุดห้อยลงมา พวกมันต่างมีสายตาที่หวาดกลัวอย่างที่สุด เมื่อได้พบคนแปลกหน้าจนต้องหนีไป ทั้งคู่ต่างเดินมายังทางที่รายล้อมไปด้วยรั้วโครงกระดูกที่บางจุดยังคงมีเนื้อหนัง รวมถึงน้ำหนองให้ไหลออกมาอยู่ บางจุดยังคงมีหนอนเคลื่อนตัวไปมาอยู่บริเวณจุดนั้น โดยเด็กสาวเบื้องหน้าสดฒคกลับไม่รู้สึกขยะแขบงพวกมันแต่อย่างใด

               พวกเขาได้เดินมาตามทางได้สักพักนึงจึงได้พบกับปราสาทโครงกระดูกมนุษย์ ซึ่งทางเข้าถูกประดับด้วยอวัยวะจำนวนมากทั้งแขน ขา มือ ลูกตา ศีรษะ และอื่นๆ เมื่อเด็กสาวเดินมาจึงถึง เธอได้เอ่ยคำพูดที่คล้ายกับเสียงย้อนกลับ หากนำมากลับคำจะได้ว่า ‘หน้าต่างเอ๋ย..จงปิดลง’

               ทันใดนั้นประตูหนังมนุษย์พลันเปิดออก ทั้งสองจึงได้เดินเข้าไปยังบัลลังก์ที่มีอสูรกายที่มีรูปร่างยากจะอธิบายนั่งอยู่ และยังคงเหลือออีกหกที่นั่งว่างเปล่าเบื้องล่างของอสูรดั่งกล่าว ทั้งสองต่างเดินไปจนถึงจุดหนึ่ง เด็กสาวได้ทำการหมอบคุกเข่าลง ส่วนสโมคยังคงยืนอยู่เช่นเดิม

               ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานก็ได้มีกลุ่มคนในชุดคลุม ดวงตาของพวกเขามีสีแดงก่ำดุจแอ่งโลหิต ผู้คนจำนวนกว่าหลายร้อยคนได้เดินเข้ามาจากด้านหลังบัลลังก์ของซัลโก้ และมายืนอยู่ด้านหลังของแมรี่ ดอลและสโมค โดยมีคนอีกสองคนยื่นมือเข้ามาช่วยยกร่างไร้สติของไอโอน่าแทนหัวหน้าผู้คุม โดยเขาจึงส่งมอบร่างของเหยื่อไปให้กับผู้ศรัทธาในซัลโก้ หลังจากนั้นไม่นานอสูรกายเบื้องหน้าก็ได้ปริปากพูดออกมา

               “พวกเจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ..” เสียงอันไร้แก่นของความเป็นมนุษย์ได้ถูกเอ่ยออกมา “สุดท้ายเหยื่อก็ครบจำนวนตามแผนของข้าเสียที เหลือแค่รอขั้นตอนสุดท้ายที่จะรอทรมานเหล่าหนูที่เดินเข้ามาช่วยเพื่อนของมันและได้ติดกับดักของพวกเราซะเอง”

               “และเราจึงจะเริ่มทรมานมันให้สาสมกับที่เจ้านั่นเคยทำกับชั้นไว้..เจ้าพวกครีปปี้พาสต้า” ทันทีที่จอมมารอสูรกายนามว่า ‘ซัลโก้’ ได้เอ่ยออกมาจนจบ  ปากอีกสองแห่งจากหกแห่งบนร่างกายพลันอ้าปากหัวเราะออกมาอย่างคลั่ง จนมันทำให้ทุกสิ่งต้องหัวเราะออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ทั้งเหล่าผู้ศรัทธาในซัลโก้ หรืออีกนามนึงคือ ‘Liar’ ต่างหัวเราะออกมา ไม่เว้นแม้จะเป็นแมรี่ ดอล หรือสโมคก็ตาม เสียงหัวเราะอันเกิดจากจิตที่วิปลาสอันไม่ชวนฟังและบิดเบี้ยวดังไปทั่วทุกสารทิศ

               แต่กลับมีจุดหนึ่งที่กลับมีเสียงหัวเราะที่แผ่วเบา สตรีผู้สวมผ้าคลุมนางหนึ่ง เธอยืนอยู่แถวหลังของกลุ่ม ‘Liar’ โดยเธอไม่แม้จะส่งเสียงหัวเราะออกมาเลย ดวงตาทั้งสองของเธอที่ยังคงปิดอยู่ ได้ถูกเปิดขึ้นมา แสดงให้เห็นนัยน์ที่เป็นดั่งทิบทิมอันเลอค่า แต่กลับถูกแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอมเขียวที่เรืองแสงออกมา

               ‘ชั้นจะไม่ยอมให้มีคนธรรมดาต้องมาบาดเจ็บอีกต่อไปแล้ว’ เธอหันกลับไปมองหญิงสาวผมสีฟ้าน้ำทะเลอย่างเป็นห่วง ‘ชั้นสัญญาว่าชั้นจะช่วยเธอให้ได้นะ..ไอ’

 

               Extra Scene

               ภายในห้องคอนกรีตสี่เหลี่ยมขนาด 6x6 เมตร ทุกๆด้านนั้นล้วนเป็นสีขาวสว่างจนคล้ายกับว่าไม่มีกำแพงใดขวางกั้น คล้ายกับว่าเป็นห้องที่ไร้จุดสิ้นสุด ภายในห้องนี้มีเก้าอี้และโต๊ะไม้ตั้งอยู่ โดยมีชายอายุราว 50 ปีนั่งอยู่บนเก้าอี้นั้น และกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ หนวดเคราสีทองเต็มใบหน้าแต่ยังคงดูสะอาดตา สวมใส่เสื้อผ้าที่ดูธรรมดา เสื้อคอมกลมและกางเกงขายาวสีขาว กับรองเท้าแตะสีขาวหนึ่งคู่

               ทันใดนั้นเอง เสียงของมิติเวลาที่บิดเบี้ยวปรากฏขึ้นมาอย่างกระทันหัน ชายแก่เหลือบไปมองโดยไม่มีความรู้สึกหวาดกลัวหรือตกใจแต่อย่างใด

               เมื่อเสียงดังขึ้น จึงปรากฏประตูมิติรูปวงรีที่ภายในเป็นสีสันมากมาย แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในโทนเข้มมืด ไม่นานนักจึงได้มีบุรุษผู้หนึ่งเดินออกมา ชายปริศนาที่เราทุกคนรู้จักกันดี ชายผู้สวมเสื้อกันหนาวสีดำ และทับด้วยเสื้อกาวนักวิจัย เขาได้เดินออกมาจากประตูมิติโดยมือทั้งสองข้างทำการล้วงกระเป๋าเสื้อกาวอยู่ ชายแก่เห็นชายดังกล่าวเดินออกมาจากประตูมิติจึงปิดหนังสือลง และได้ใช้มือเกาใต้คาง

               ลอสต์ที่เดินออกมาจากประตูมิติที่เขาสร้างขึ้น หันไปมองชายคนดังกล่าวเข้า จึงสั่งให้ประตูมิติหายไป แล้วจึงเดินเข้าไปหาชายผู้นั้นทันที

               “ไง..หมายเลข 343” ลอสต์ที่พึ่งพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกับไอโอรัสได้กลับมาอยู่ในภาพเดิมอีกครั้ง “ไซต์นี้เป็นไงบ้าง..น่าอยู่หรือเปล่า”

               “ก็ใช้ได้อยู่หรอกนะ..แต่คนแถวนี้ชอบทำหน้าเคร่งเครียดกัน แถมไม่ค่อยมาคุยกับชั้นอีก” บุรุษผู้สูงอายุเอ่ยออกมา “ว่าแต่มาหาชั้นนี่มาแวะคุยเล่น..หรือมาปรึกษากันแน่”

               “ชั้นไม่นึกว่าคนที่มีพลังต่ำกว่ามหาจักรพรรดิ์อยู่หนึ่งขั้นอย่างนาย..จะมีพลังมากพอจะอ่านคนที่มีพลังระดับผู้พิทักษ์แห่งอนันตกาลได้นะ” ลอสต์เอ่ยเชิงเหน็บแนมชายตรงหน้า แล้วจึงขำออกมาสั้นๆ

               “ข้าก็ไม่ได้มีพลังอะไรมากขนาดนั้นหรอกนะ” ชายคนกล่าวเอ่ยอย่างถ่อมตน ก่อนจะยิ้มออกมา

               “อืม...” ลอสต์เสกเก้าอี้ออกมานั่ง ก่อนจะใช้ขาอีกข้างพาดไขว้กับขาที่เหยียบกับพื้น แสดงอากัปกิริยาท่าทางที่ไม่เหมาะสมต่อหน้าผู้อาวุโสกว่าเป็นอย่างมาก

               “นั่งอย่างนั้นต่อหน้าผู้เฒ่าผู้แก่แบบนี้เสียมารยาทมากรู้มั้ย” ชายแก่เอ่ยออกมา แม้มุมปากจะแสดงให้เห็นถึงรอยยิ้มก็ตาม “ระวังจะถูกฟ้าดินลงโทษเอานะ”

               “ชั้นจะกลัวฟ้าดินทำไมในเมื่อชั้นก็ควบคุมฟ้าดินได้” ลอสต์เอ่ยออกมาด้วยท่าทางไม่แยแสสิ่งใด

               “กล้าพูดดีนี่..ดร.ลอสต์” ชายแก่ยิ้มออกมา “เอาเป็นว่ามาเข้าเรื่องกันดีกว่า..”

               “อืม..” ลอสต์ที่ก้มตัวนั่งหลังค่อมกลับมายืดตัวตรง และแสดงท่าทางจริงจังขึ้น “เรื่องต่อไปนี้ชั้นจะขอให้นายรับฟังชั้นไว้ด้วยล่ะ”

               “ตอนนี้ชั้นรู้แล้วว่าเจ้าซัลโก้..มันได้หักหลังเจ้าพวกครีปปี้พาสต้า และแยกตัวออกมาอยู่กับฝ่ายของแบล็กแล้ว ทำให้ตอนนี้กำลังพลของแบล็กเริ่มจะแข็งแกร่งขึ้นเป็นเท่าตัว”

               “ตอนนี้ชั้นจึงสั่งให้ไอโอรัสพาพวกอมนุษย์ทั้งหมดย้ายไปอยู่ที่มิติที่ 2 เพื่อความปลอดภัย และชั้นได้ย้ายพวกครีปปี้พาสต้า พวกซัลโก้ พวกแบล็ก และพวก SCP ออกมาอยู่ในอีกโลกนึง เพื่อป้องกันไม่ให้คนทั่วไปโดนลูกหลงจากสงครามครั้งนี้”

               “ในขั้นตอนต่อไปชั้นคิดว่าถ้าไม่รีบชิ้นส่วนกุญแจของฝั่งครีปปี้พาสต้ามาก่อน คงถูกแบล็กชิงไปก่อนแน่ เพราะตอนนี้กุญแจไขประตูแห่งอนันตกาลได้ถูกเปิดเผยตัวตนครบ 3 ชิ้นเรียบร้อยแล้ว ..ถ้าชั้นไม่รีบชิงศิลานิมิตกับสมุดโน้ตไร้ขีดจำกัดมาก่อน พวกครีปปี้พาสต้าคงถูกแบล็กถล่มทิ้ง แล้วชิงชิ้นส่วนกุญแจไปเป็นแน่”

               “นายหมายความว่าจะหักหลังพวกครีปปี้พาสต้าอย่างนั้นสินะ...ทั้งที่นายเล่นไปผูกมิตรกับพวกเค้าเองเนี่ย” ชายแก่ครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เชื่อชั้นเถอะให้เวลาพวกเขาอีกหน่อย”

               “นายหมายความว่าไง ว่าจะให้ชั้นให้เวลาพวกนั้นอีกหน่อยน่ะ” ลอสต์แสดงอาการงงงวย

               “ชั้นเชื่อว่าพวกครีปปี้พาสต้าแค่ต้องการเวลาเท่านั้น..อีกอย่างพวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าพวกเขากำลังเข้ามายุ่งเกี่ยวกับอะไรกันแน่ ถ้าให้เวลากับพวกเขาหน่อยและปล่อยทุกอย่างไปตามความเป็นจริง บางทีพวกเขาอาจจะเป็นกุญแจสำคัญในการจบสงครามครั้งนี้ก็เป็นได้” ชายแก่เอ่ยออกมา ก่อนจะดึงชิ้นส่วนของโต๊ะไม้มาใส่ซอสมะขือเทศแล้วกินอย่างเอร็ดอร่อย ลอสต์ที่เห็นดังนั้นจึงทำการหักชิ้นส่วนของโต๊ะไม้มากินบ้าง

               “ก็อย่างที่ชั้นบอก..พวกเขายังไม่ได้มีโอกาสที่จะพิสูจน์ตัวเองเลยด้วยซ้ำ” ชายแก่ที่กินชิ้นส่วนโต๊ะไม้เสร็จ จึงได้ดึงเส้นผมของตนเองออกมาหนึ่งเส้น ก่อนจึงมันแล้วดึงออกจนเป็นผืนผ้าสีขาวมาเช็ดปาก “อย่าทำร้ายคนที่เราผูกมิตรและทำลายความเชื่อมั่นของคนที่ไว้ใจเรา”

               “ไม่ก็จริงของนายนะ ..343” ลอสต์กอดอกแล้วพยักหน้าตอบกลับ “ตอนนี้ชั้นคงต้องออกมาจากกลุ่มพวกนั้นสักพัก แล้วรอพวกนั้นรวบรวมพรรคพวกของตนเองให้ได้เสียก่อนแล้วกัน”

               “หรือบางทีชั้นก็ควรจะหายไปจนกว่าพวกเขาจะลืมชั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ความจริงที่ถูกบิดเบี้ยวจนมีรูปพองาม จะบิดเบือนไปยิ่งกว่านี้อีก”

               “ก็อาจจะใช่..สิ่งที่นายคิดจะทำนั้นอาจถูกต้องก็เป็นได้” ชายแก่ตอบกลับไป “หลังจากนี้ก็ปล่อยให้เป็นไปตามสิ่งที่นายพูดไว้ ..‘ขอให้ปีกแห่งนิมิตนำทางเจ้า’ ให้เธอคนนั้นสานต่องานของนายไป ส่วนนายก็มีหน้าที่แค่หาทางสนับสนุน วางแผนสำรอง สำหรับจบสงครามในมิตินี้ก็เท่านั้น”

               “อืม..ก็เป็นความคิดที่ดีเลยนี่นา” ลอสต์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เขาหันหลังและเดินไปยังจุดเดิม ทำท่าจะเปิดประตูมิติอีกครั้ง แต่ก็ได้หยุดชะงักลง “ชั้นว่าห้องนี้มันโล่งไปสำหรับคนอย่างนายน่ะนะ..หาอะไรมาตกแต่งซะบ้างสิ แต่ไม่เอาแบบสไตล์อังกฤษแล้วนะ ชั้นเห็นจนเอียนแล้ว”

               “ชั้นชอบอย่างนั้นมากกว่าน่ะ ฮ่ะๆ” ชายแก่ขำออกมาเล็กน้อย แต่แล้วเขาก็นึกบางอย่างที่สำคัญขึ้นมาได้ “จริงด้วย!..เจ้าหนูนั่น!”

               “ใครเหรอ?” ลอสต์หันกลับมาทันที

               “เอเบล ออโรร่า ของมิติที่ 2 ไง..ชั้นมัวแต่อยู่ที่มิตินี้จนลืมไปดูเจ้าหนูนั่นเลย” ชายแก่แสดงท่าทีตื่นเต็นเล็กน้อย “ว่าแต่ตอนนี้เจ้าหนูนั่นไปถึงไหนแล้วล่ะ”

               “อืม..” ลอสต์แสดงท่าทีครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยตอบชายแก่ไป “ตอนนี้คงจะได้ต่อสู้กับเมดูซ่าจนชนะไปแล้วล่ะ”

               “โธ่! น่าเสียดายจริงๆ ลืมไปเสียสนิทเลย..” ชายแก่แสดงใบหน้าผิดหวังและเสียดาย “เหมือนกับตอนที่ลืมสวนเอเดนไปไม่มีผิดเลย”

               “ว่าไงนะ..นายลืมกระทั่งสวนเอเดนเลยงั้นเหรอ” ลอสต์ตะโกนพร้อมกับหัวเราะดังลั่น “คนบ้าอะไรลืมของที่สร้างขึ้นมากับมือ..ทำตัวอย่างกับคนแก่ไปได้ ฮ่าๆๆ”

               “ก็ชั้นแก่แล้วไงเล่า..แต่ชั้นก็ว่าดีแล้วล่ะ” ชายชรายิ้มออกมา “ดีนะที่ก่อนจะลืมสวนเอเดนไป..ชั้นได้ให้อาดัมับอีฟกลับมาอยู่เสียก่อน..ไม่อย่างนั้นสวนแสนรักของชั้นคงจะสกปรกแน่ๆ”

               “ถ้านายพาอาดัมกับอีฟกลับมาอยู่ในสวนแล้ว..ทำไมนายไม่ให้คาอินกลับไปด้วยล่ะ” ลอสต์เอ่ยออกมาด้วยความสงสัย “เจ้านั่นก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วนี่..ว่าเขาสำนึกผิดและกลับตัวกลับใจแล้ว”

               “ก็ถ้าเจ้านั่นกลับไป..ใครจะเป็นคนคุมเจ้าเอเบิลที่ทำตัวงี่เง่าเหมือนเด็กๆนั่นเล่า” ชายแก่อธิบายเหตุผล ก่อนจะเลื่อนมือลงไปจนทะลุพื้น ก่อนจะชักมือที่ถือแก้วใสที่เต็มไปด้วยน้ำส้มขึ้นมาดื่มอย่างสบายใจ “คำสาปของจอกแห่งบาปคงจะกัดกินเจ้าเด็กนั่นจนกู่ไม่กลับแล้ว..บาปที่เจ้านั่นก่อคงต้องไม่จบสิ้นแน่”

               “ชั้นจึงคิดว่าปล่อยให้เจ้าสองพี่น้องนั่นดูแลกันเอง..ก็คงจะดีกว่าให้กลับไปตีกันในสวน”

               “อืม..มีเหตุผลดีนี่” ลอสต์เอ่ยจบ ก็ได้ดีดนิ้วสร้างประตูมิติขึ้นมา “ขอบคุณที่ให้คำปรึกษานะ 343”

               ก่อนที่เขาจะกลับเข้าไปในประตูมิติที่เขาสร้างขึ้น จึงได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ก่อนจากไป

               “ระวังเจ้าเทวดาตกสวรรค์ไว้ด้วยล่ะ 343..ไม่สิ” ลอสต์เอ่ยออกมา “บางทีชั้นควรจะเรียกนายเหมือนกับที่คนอื่นเรียกนายล่ะนะ”

               “ไว้เจอกันใหม่นะ..” ลอสต์เอ่ยออกมาก่อนที่ประตูมิติจะค่อยๆเลื่อนปิดลง เสียงหนึ่งจึงได้หลุดลอดออกมาเป็นการจบคำอำลาโดยสมบูรณ์

               เมื่อชายแก่ได้ยินคำนั้นจึงพิงตัวลงนั่งเก้าอี้เช่นเดิม ไม่นานนักเขาก็ได้ตบไปที่โต๊ะไม้อย่างแรง ทำให้ห้องที่ถูกสร้างจากคอนกรีตพังทลายลงและแทนที่ด้วยบ้านไม้ที่มีปล่องไฟในบรรยากาศและการตกแต่งสไตล์อังกฤษในอดีต เมื่อทำเช่นนั้นเสร็จ ชายชราจึงได้หยิบหยังสือขึ้นมาอ่านอีกครั้ง

               “ ‘พระเจ้า’ งั้นเหรอ?” ชายชราเอ่ยออกมาด้วยเสียงสูงขึ้นจากเดิมเล็กน้อย “ลอสต์ไม่ได้เรียกชั้นด้วยนามจริงของชั้นมานานแค่ไหนแล้วนะ”

 Iona Northstar (Iona Vixeon) Age : 19 

ที่มา : https://www.pinterest.com/pin/389631805241846145/

 Marie Doll And (Chibi) Zalgo 

Marie Doll (Dolliella Marielle) Age : 14 (Potential), 20 (Real)

 Zalgo (The King Of All Sins ,Sin Of Lie) Age : Unknown 

ที่มา : https://www.pinterest.com/pin/480970435182150834/

 

 

               ขออภัยท่านผู้อ่านเป็นอย่างสูงที่คนเขียนได้หายไปนับแรมปี แต่ตอนนี้ นิยาย Creepypasta Family The Broken Myth ได้ดำเนินเรื่องราวมาจนถึงครึ่งทางแล้ว แม้ว่าผู้อ่านบางท่านอาจจะยังคงอ่านไม่รู้เรื่อง เพราะปมที่เยอะแยะมากมาย กับตัวละครครีปปี้พาสต้าที่ไม่คุ้นตา แต่อีกไม่นานปริศนาต่างๆจะเริ่มถูกคลี่คลายลง ซึ่งจะนำพาปูทางไปสู่ตอนจบนั่นเอง

               ขอบคุณท่านผู้อ่านทุกท่านที่ยังคงติดตามนิยายเรื่องนี้ของกระผมมาโดยตลอด และมาพบกันใหม่ใน chapter ต่อไปที่มีชื่อว่า 'ออกตามหา (Regroup II)'

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา