Creepypasta Family The Broken Myth

9.5

เขียนโดย Leragan

วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.43 น.

  24 chapter
  9 วิจารณ์
  37.84K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 14.07 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

24) [ตอนพิเศษ 6] Lost Secret

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          ท่ามกลางเมฆฟ้าอึมครึมหยาดน้ำฝนร่วงหล่นตกลงมาพรมผืมแผ่นดินอย่างอ่อนโยนโดยไม่มีทีท่าว่าจะเบาลงเลย

          ภายในพื้นที่ขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง มันเต็มไปด้วยแผ่นศิลาปักอยู่เต็มผืนดิน พร้อมทั้งดอกไม้สีขาวที่ถูกวางเรียงรายมากน้อยตามพื้นที่ โดยมันได้ถูกวางไว้บนดินที่นูนขึ้นจากระดับพื้น

          ใช่แล้ว..ที่นี่คือสุสานของเหล่าผู้วายชนม์

          เวลานี้ในสถานที่อันใหญ่โตเช่นนี้กลับมีผู้คนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่อยู่ในพื้นที่ของสุสาน ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเดินทางของเหล่าลูกหลาน

          แม้กาลเวลาจะร่วงเลยผ่านไปร่วมชั่วโมง แต่เมฆฝนกลับไม่เบาบางลงเลยแม้แต่น้อย มีแต่จะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นไปอีก

          ในท้ายที่สุดเหล่าผู้คนที่ได้มาเยี่ยมสุสานก็ได้พ่ายแพ้ให้กับอำนาจของพายุฝนและล่าถอยกลับที่พักอาศัยของตน แต่นั่นก็ไม่ใช่กับกลุ่มคนที่อยู่บริเวณใจกลางของสุสานแห่งนี้ ที่น้ำฝนกลับไม่อาจเข้าถึงพื้นที่บริเวณนั้นได้เลย

          ผู้คนเหล่านั้นมีหลากหลายเชื้อชาติ หลากหลายการแต่งกาย แต่ยังคงอยู่ในโทนดำมืดหมองหม่นตามธรรมเนียมปฏิบัติสากล ผู้ร่วมงานทุกคนได้นำดอกไม้สีขาวช่อใหญ่มาวางไว้หน้าหลุมศพ พร้อมโค้งตัวเคารพหลุมศพก่อนจะกลับไปยังตำแหน่งของตน

          บาทหลวงวัยชราหนวดเคราหงอกยาวได้เดินออกมาทางด้านหน้าของผู้ร่วมงานคนอื่นๆมายืนเคียงคู่กับเจ้าภาพงาน อันเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการจบลงของพิธีกรรม ทุกคนที่ร่วมงานจึงเดินมากล่าวแสดงความเสียใจและกล่าวลากับเจ้าภาพ พวกเขาเริ่มทยอยเดินออกจากบริเวณดังกล่าวไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อผ่านไปเพียง 5 นาทีก็ได้เหลือแขกไม่ถึง 10 คนเสียแล้ว

          เด็กสาวผู้เป็นเจ้าภาพของพิธีศพ ไม่อาจทนต่อความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาในหัวใจดวงน้อยได้อีกต่อไป เธอหันหลังวิ่งไปพร้อมกับสายน้ำตาที่หลั่งไหลพรั่งพรูออกมา

          “อเล็กซานดร้า!” ชายหนุ่มหันหลังกลับไปเรียกสาวน้อยผู้มีบาดแผลบนหัวใจ แต่เสียงเรียกของเขากลับไปไม่ถึงเธอเสียกระนั้น

          “อายุไม่เท่าไหร่ก็ต้องเสียแม่ไปทั้งคน..” บาทหลวงได้เดินเข้าหาชายหนุ่ม “ชั้นขอแสดงความเสียใจกับคุณด้วยนะ..คุณมาร์ซ”

          “ขอบคุณนะหลวงพ่อ”  เด็กหนุ่มผู้มีผมหยักศกสีเหลืองตัดกับนัยน์ตาสีส้มแดง เอ่ยขอบคุณบาทหลวง “สำหรับเฟอ..ผมหมายถึงสำหรับอลิซาเบธ การที่เธอได้เสียสละชีวิตของเธอเพื่อปกป้องทุกสรรพสิ่งเอาไว้ มันคือเกียรติอันสูงสุดในชีวิตของเธอ..”

          เสื้อแขนขวาเกิดกระตุกเล็กน้อย หนุ่มน้อยถอนหายใจด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย แล้วจึงเลื่อนมือซ้ายไปหยิบของที่อยู่ในกางเกงยีนส์ของเขาขึ้นมา มันคือผ้าพันคอจากใยไหมสีชมพู ที่เปล่งแสงสว่างและปลิวไหวแม้ไม่มีแรงลม

          “คุณคงยังไม่ชินกับการไม่มีแขนขวาสินะ..คุณมาร์ซ” บาทหลวงเอ่ยถึงชายหนุ่ม แต่สายตาของเขากลับมองไปยังทิศทางอื่น

          “หลวงพ่อฟรานซิส เลอมานเดรย์..คุณนี่ช่างเหมาะสมกับฉายา The Overseer เสียจริง” มาร์ซกล่าวชมเชย บาทหลวงจึงหันกลับมายิ้มตอบรับ

          มาร์ซจับไปที่แจ็กเก็ตและเลื่อนออก เผยให้เห็นเพียงผ้าพันแผลที่พันรอบหัวไหล่ข้างขวาอย่างแน่นหนา “อย่างที่คุณได้เห็น ผมเสียแขนข้างนี้...ไปในสงครามครั้งที่ผ่านมา”

          “ตัวตนแห่งสงครามพ่ายแพ้และเสียแขนขวาไปอย่างนั้นรึ..นับวันแล้วคุณยิ่งเหมือนกับเทพแห่งสงคราม อาเรส เลยนะ” เมื่อบาทหลวงพูดจนจบ ทั้งคู่จึงได้หัวเราะออกมา

          หลวงพ่อกุมมือไว้ด้านหลัง เขากวาดตามองท้องฟ้าอันมืดครึ้มกับสายฝนที่ไม่อาจตกถึงตัวเขาได้ “คนเราเมื่อตายไปก็มักจจะชอบทิ้งสิ่งของและความทรงจำให้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ล่ะนะ..สัจธรรมของชีวิต”

          “เป็นไปตามที่คุณว่ามา..พวกเขามักจะทิ้งมันไว้ให้คนที่มีชีวิตคิดถึงและเจ็บช้ำใจอยู่ตลอด” มาร์ซมองไปที่ผ้าพันคอสีชมพูนั้นด้วยแววตาเศร้าหมอง หลวงพ่อฟรานซิสจึงเลื่อนมือขึ้นมาตบไหล่ปลอบใจ

          “มาร์ซ..” เสียงของสตรีนางหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง

          พวกเขาทั้งสองได้หันไปมองเจ้าของเสียง จึงได้พบกับผู้มาเยือน 2 คน นั่นคือชายในชุดขุนนางฝรั่งเศสและหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของเสียงอีกคนหนึ่งที่สวมใส่ชุดยูกาตะสีดำ พร้อมกับเรือนผมที่ยาวสลวยสวยงาม

          “สวัสดีครับ..ท่านมหาจักรพรรดิ์” มาร์ซโค้งคำนับอย่างนอบน้อมให้กับมหาจักรพรรดิ์ (Caesar Caelestis) ที่มาเยือนในทันที

          “สวัสดีท่านมหาจักรพรรดิ์” บาทหลวงโค้งคำนับต่อแขกผู้สูงส่งกลุ่มนี้ “ไม่เคยนึกฝันว่าจะได้เห็นตัวจริงเสียงจริง..ช่างเป็นบุญตาเสียเหลือเกิน”

          “เจ้าคงจะเป็นบาทหลวงที่มาร์ซว่ายวานมาสินะ..” บุรุษผู้มาเยือนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบ แล้วจึงได้เดินเข้าไปจับมือบาทหลวงฟรานซิสอันเป็นการทักทายตามหลักสากล “ขอบคุณที่มาทำพิธีในงานศพของเธอนะ..ขอบเขตสติปัญญาของมนุษย์ปกติปิดกั้นต่อการรับรู้ตัวตนของพวกข้าจนหมดสิ้น นั่นเป็นเหตุให้เราเชิญบาทหลวงปกติมาไม่ได้”

          หลวงพ่อฟรานซิสหัวเราะออกมา แล้วเขาจึงค่อยเอ่ยตอบกลับไป

          “ดีแล้วที่เรียกชั้นมา..การเป็นบาทหลวงคนเดียวของโรงเรียนในมิติที่ 8 มันเป็นอะไรที่น่าเบื่อมากเลยนะจะบอกให้”

          “แม้เจ้าจะรู้จักพวกข้าแล้วก็ตาม..แต่เพราะนามธรรมของสิ่งที่ถูกเรียกว่า วัฒนธรรม นั้นมันช่างวุ่นวายเหลือเกิน” บุรุษผู้ดีฝรั่งเศสแสดงท่าทางความรู้สึกเหมือนแสดงละครเวที “เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วคงจะช่วยไม่ได้..”

          “ตัวข้าคือนักประพันธ์(The Author) มหาจักรพรรดิ์แห่งความเป็นไป” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงเรียบ “นามที่แท้จริงของตัวข้าเป็นภาษาแห่งอุนด์อันทรงปัญญา..”

          “นามนั้นคือ ซิมโฟนีค ฮาโปพาอินยัค เอ็มโมธิลาเฟลลิ เฟอลักซ์โอเอ็มพาเทียส มอนซิอารูยส์ เอ็นเทลเลลลัส” เมื่อเอ่ยจบ ผู้ประพันธ์หันมองปฏิกิริยาของคนทั้งสอง ซึ่งมาร์ซได้แต่ยิ้มแห้ง ส่วนหลวงพ่อกลับยิ้มมุมปาก คล้ายจะรู้อยู่แต่เดิมแล้ว

          ชุดของขุนนางฝรั่งเศสที่มีโทนมืดดำกับผ้าคลุมสีม่วง ผมหยิกหยักศกสีขาวนวล พร้อมกับใบหน้าของผู้ดีชาวยุโรป ที่ทั้งหล่อเหลา นวลเนียน และสวยงามแล้วยังแสดงสีหน้าที่ไร้อารมณ์ กับดวงตาสีโลหิตอันเย็นชา

          “เป็นไปตามคาด นามที่แท้จริงของเราคงจะสูงส่งเกินกว่าที่พวกเจ้าจะเข้าใจมันได้สินะ..”

          “เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าจักเรียกตัวข้าด้วยนามแห่งกายหยาบนี้ นามนั้นคือ เคานต์ กลิสเลโต้ เดอราฮาน ริเอนเต้ หรือ จะเรียกข้าว่า เอ็นเต้ เพียงอย่างเดียวก็ย่อมได้..ข้าให้สิทธิ์นี้แก่พวกเจ้า”

          “ส่วนตัวข้านั้นคือมหาจักรพรรดิ์แห่งการทำลายล้าง(The Destroyer)” หญิงสาวผู้สวมใส่ยูกาตะสีดำกลมกลืนไปกับดวงเนตรสีนิล และเรือนผมอันดำขลับเงางามที่ถูกปล่อยยาวจนถึงกลางหลัง

          ทรวดทรงองเอวเป็นไปตามรูปแบบของหญิงสาววัยเจริญพันธุ์ แม้ชุดจะรัดมิดชิดแต่ก็ปล่อยให้เห็นเนินอกอยู่บ้าง เช่นเดียวกับผิวขาวของนางที่เงาและน่าจับต้อง กลิ่นหอมละมุนของดอกไม้โชยออกมาจากร่างกายของเธออย่างน่าหลงใหล

          “Overseer อย่างคุณคงจะรู้เรื่องที่ข้าไม่ได้เป็นผู้หญิงแต่แรกสินะ..ใช่มั้ย?” หญิงสาวเอ่ย ใบหน้าแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มเล็กๆ

          “ย่อมต้องใช่อยู่แล้ว..” บาทหลวงตอบกลับ “ชั้นคิดว่าคุณดูสุขุมและเยือกเย็นขึ้นมาก บางทีคุณควรจะเกิดมาเป็นเพศหญิงแต่แรกนะ”

          “แฮะๆ” เธอหัวเราะแห้งๆ “ข้าแพ้การเดิมพันแห่งโชคชะตาไป 9 รอบ จากบุรุษสุดเทพหุ่นนักรบไวกิ้ง แปรเปลี่ยนสู่ร่างของสตรีนางรำเสียอย่างนั้น”

          “ถ้าข้าไม่โลภแล้วเลือกที่จะหยุดตั้งแต่ 2 ครั้งแรก คงไม่ต้องสูญเสียความเป็นชายทั้งทางร่างกายและจิตใจไปจนหมด แถมยังได้รับความคิดของสาวบริสุทธิ์มาอีก ข้า..”

          “ใช่..เจ้ามันโง่” เสียงเรียบนิ่งของบุรุษดังขึ้น สตรีหันไปมองค้อนอย่างไม่พอใจ ส่วนอีกสองคนก็นิ่งเงียบและอมยิ้ม “อ้าว..ข้าพูดความจริงนิ พวกบ้าสงครามอย่างเจ้า..จะมีสมองไว้ใช้ทำอะไรกัน เจ้าไม่ต้องการมันหรอก..สมองน่ะ”

          “นี่! ชั้นว่าคุณพูดกับเธอแรงไปนะ ผู้ประพันธ์” บาทหลวงเอ่ยเตือนด้วยสายตาตระหนกเหมือนได้เห็นอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น

          สตรีถอนหายใจออก ก่อนจะตั้งสติเพื่อให้ใจเย็นลง เธอมองเข้าสบตากับผู้ประพันธ์อีกครั้ง สายตาไม่พอใจกลับกลายเป็นเรียบนิ่งอีกครั้ง

          “จริงอย่างเจ้าว่ามาแหละนะ..ข้ามันโง่” เธอเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบ แต่แล้วไม่นานเธอก็ยิ้มที่มุมปาก “แล้วก็จริงอย่างที่เจ้าว่ามาอีกนั่นแหละ..พวกบ้าสงครามอย่างข้ามันไม่ต้องการสมอง..”

          ทันใดนั้น ในมือของเธอพลันปรากฏดาบญี่ปุ่นปลายแหลมคมขึ้น เธอจับและกำไว้แน่น ปรากฏประกายสายฟ้าแล่นไปทั่วคมดาบ ใบหน้าของเธอนั้นแปรเปลี่ยนสู่ความเหี้ยมโหดในทันใด ส่วนมาร์ซเริ่มแสดงท่าทีตื่นตระหนก บาทหลวงฟรานซิสเตรียมจะเข้าไปห้าม

          “..เพราะตัวข้าต้องการเพียงอาวุธมาตัดลิ้นสกปรกของเจ้าซะ!!!” เธอจับดาบเข้าสู่ท่าเตรียมต่อสู้ เช่นเดียวกันกับผู้ประพันธ์ที่ได้เสกไวโอลินขึ้นมา

          “พอได้แล้ว!” มาร์ซตะโกนห้ามเสียงดัง แม้จะอยากเข้าไปแยกทั้งสอง แต่ด้วยคลื่นสายฟ้าของเทพีแห่งการทำลายล้างกลับมีพลังมากจนเขาทั้งสองไม่สามารถเข้าใกล้ได้เลย

          “พอๆๆ หยุดได้แล้ว..นี่พวกคุณคิดจะฆ่าแกงกันเลยรึไง?” หลวงพ่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวล

          “ก็ใช่น่ะสิ!!!” สองมหาจักรพรรดิ์ตะโกนตอบบาทหลวง ทำเอาฟรานซิสยกมือขึ้นมาประคบข้างศีรษะและถอนหายใจ

          สองมหาจักรพรรดิ์พุ่งเข้าใส่กันอย่างรวดเร็ว แต่ทันใดนั้นเองร่างของทั้งคู่พลันปรากฏออร่าสีขาวขึ้น ทั้งยังปลดอาวุธทั้งหมดออก มันทำให้มาร์ซและบาทหลวงตกใจเป็นอย่างมาก

          ออร่าสีขาวเหล่านั้นได้เชื่อมเข้าหากันแล้วดึงทั้งคู่เข้ากระแทกกันอย่างแรง เป็นการจบการต่อสู้ที่แปลกประหลาดที่สุด

          “นี่แก!” ผู้ทำลายล้างที่ถูกคลายผลจากออร่าสีขาวร่วงตกลงมานอนบนพื้นเช่นเดียวกับผู้ประพันธ์ เธอหันไปมองที่สตรีที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกระทันหัน

          “สตรีสีขาว..” ผู้ประพันธ์มองขึ้นไปมองสตรีนางนั้น “เจ้ามาทำอะไรในที่แห่งนี้?”

          “ก็มาหยุดพวกเธอน่ะสิ..” สตรีสีขาวเอ่ยด้วยเสียงเอือมระอา “เฮ้อ! นี่มันงานศพนะ ..ไม่ใช่ลานไก่ชน”

          “เป็นไปไม่ได้!” หลวงพ่อฟรานซิสตื่นตกใจ “นี่คุณเป็นใครกัน! ทำไมความเป็นไปที่ชั้นเห็นถึงไม่มีคุณล่ะ ทั้งที่ตาชั้นเห็นเธอยืนอยู่”

          “Overseer..คุณบาทหลวงฟรานซิน เลอมานเดรย์” เธอเอ่ยขึ้น

          เพราะร่างกายของหญิงสาวนั้นถูกหมอกควันที่ไร้ที่มาบดบัง มาร์ซและหลวงพ่อจึงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของสตรีนางนี้ได้เลย

          “สิ่งที่คุณมองความเป็นไปนั่นนะ มันคือความจริง”  สตรีนางนั้นกล่าวต่อ “แล้วคุณคิดว่าจะมองเห็นความจริงจากความจริงได้มั้ยล่ะ?”

          “หมายความว่าอะไรกัน?..” หลวงพ่อตื่นตกใจอย่างหนัก

          “นั่นคือคนที่อยู่เหนือกว่า 5 มหาจักรพรรดิ์..” มาร์ซได้ตอบออกไป “เธอคือหนึ่งในสามอัตตาแห่งอนันตกาล เธอคือ...”

          “..อัตตาแห่งความเป็นจริง” มาร์ซและมหาจักรพรรดิ์ทั้งสองตอบพร้อมกัน  ทันใดนั้นเอง หมอกควันปริศนาพลันหายไป

          “ตามที่พวกเขาได้พูดมา ชั้นคืออัตตาแห่งความเป็นจริง ไวท์ เพอร์ซิเวรา เรียลลิตี้(White Percivera Reality) ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

          หญิงสาวปกติปรากฏขึ้นหลังจากหมอกและควันได้อันตรธานหายไป เธอสวมใส่เสื้อผ้าทันสมัย  เป็นเสื้อไหมพรมสีขาวยาวถึงต้นขา สวมทับด้วยเสื้อโค้ตหนังตัวใหญ่สีดำ ที่เรียวขาปกคลุมไปด้วยถุงน่องสีม่วงอมดำ และลงมาจากหัวเข่าก็จะเป็นรองเท้าบู้ตหนังสีดำที่มีการยกส้นสูงไว้ในตัว

          หากให้พรรณนารูปร่างหน้าตาของเจ้าตัว คงสวยงามไม่ต่างจาก The Destroyer มากนัก เว้นแต่ดวงตาและเส้นผมสีเงิน และออร่าประกายดาวสีขาวสว่างรอบกาย

          “แม้ว่าหมอกจะหายไป..แต่ก็ยังไม่เห็นคุณอยู่ดี” บาทหลวงกล่าวออกมา “คงจะจริงอย่างที่คุณพูด..”

          “เหมือนกับการส่องกระจกเพื่อจะมองกระจกที่ใช้ส่องนั่นแหละ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว” ไวท์ยกตัวอย่างให้กับชายชรา “เว้นซะแต่จะมีกระจกอีกบานวางอยู่ตรงข้าม..ซึ่งกระจกบานนั้นชั้นเรียกมันว่าคำอนุญาต”

          เมื่อเอ่ยจนจบ ภาพจากตาทิพย์ของฟรานซิสได้เผยให้เห็นว่าจากที่เบื้องหน้าเป็นความว่างเปล่า เปลี่ยนกลายเป็นเธอผู้นี้ได้มายืนอยู่เบื้องหน้าของเขาแบบเดียวกันกับที่มองเห็นด้วยตาเปล่า

          แต่ความน่าประหลาดใจยังไม่จบลงเท่านั้น เมื่อ The Overseer ได้มองกลับไปยังอดีต เขาได้พบว่าทุกช่วงเวลาของพิธีศพ เธอยืนอยู่ด้วยตลอดพิธี ทั้งที่ในความเป็นจริงก่อนที่ไวท์จะปรากฏตัว ตาทิพย์แห่งผู้เฝ้ามองกลับมองไม่เห็นเธอได้เลย

          “ความเป็นจริง..” ชายชราจ้องมองเธอด้วยสีหน้าตกตะลึง ก่อนจะแสยะยิ้ม “ชั้น..ในฐานะของ The Overseer คงจะมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกมาก เช่นนั้นแล้วก็ขอฝากตัวด้วย”

          “เช่นกันค่ะ..” ทั้งสองเดินเข้ามาจับมือกัน และโทนของบรรยากาศจึงเปลี่ยนกลับมาดีเช่นเดิม ไวท์ที่แนะนำตัวเสร็จสิ้นก็หันไปมองคู่มวยที่เกือบจะได้ปะทะกัน

          “นี่..พวกเธอจะมาตีกันในงานศพอย่างนี้ไม่ได้นะ” ไวท์ว่ากล่าวกับสองมหาจักรพรรดิ์ด้วยสีหน้าเป็นกังวล

          “ก็เจ้านี่มันเริ่มก่อน..” ผู้ทำลายรีบโบ้ยไปให้ผู้ประพันธ์ทันที “เจ้านี่มันด่าข้าว่าโง่..ไม่มีสมอง”

          “แต่เจ้าก็ยอมรับนี่..” ผู้ประพันธ์รีบสวนกลับ สตรีในชุดญี่ปุ่นหันขวับจ้องเขม็งที่บุรุษหนุ่มอย่างไม่พอใจ

          “นี่แก!” ทั้งสองเริ่มโต้เถียงกันอีกครั้ง ไวท์รู้สึกเหนื่อยหน่ายกับเด็กน้อยที่โบ้ยความผิดให้กันและกัน ทั้งที่ทั้งสองก็ผิดกันทั้งคู่ เธอมองไปที่หลุมศพของเพื่อนสาว พลางส่ายหน้าไปมา

          “คุณไม่ได้มีสถานที่ที่จะต้องไปอย่างนั้นรึ? The Author” บาทหลวงเอ่ยด้วยเสียงเรียบนิ่ง ผู้ถูกกล่าวสะดุ้งเล็กน้อย เขาหยุดการโต้เถียงกับสตรีเบื้องหน้า และหันหน้ามาทางบาทหลวงด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง

          “ถูกของเจ้า..” บุรุษหนุ่มก้าวเดินออกมาจากจุดเดิม ปล่อยให้สตรีคู่โต้เถียงของเขายืนพล่ามอย่างเกรี้ยวกราดอยู่คนเดียว โดยผู้ประพันธ์มิได้ใส่ใจเธอเลย “เช่นนั้นแล้ว ข้าขอไปกล่าวลาสตรีแห่งความรักเป็นครั้งสุดท้ายก่อนก็แล้วกัน”

          “เข้มแข็งไว้ล่ะ..ตัวตนแห่งสงคราม” เอ็นเต้กล่าวออกมา ขณะเดินผ่านตัวของมาร์ซไปยังหลุมศพ

          “หากไร้ซึ่งเจ้า พ่อลูกคู่นี้คงไปไม่รอดเป็นแน่” เอ็นเต้เอ่ยทิ้งท้าย ก่อนจะเดินไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมา

          “เฮ้อ! ขอบคุณนะ..หลวงพ่อ”  ไวท์กล่าวออกมา พร้อมกับปาดเหงื่อที่ใบหน้า

          “ไม่เป็นไร..ชั้นก็รู้สึกเหมือนกับคุณนั่นแหละ” ทั้งสองต่างหัวเราะออกมา โดยผู้ทำลายต่างมองหน้าทั้งสองสลับไปมา

          “พวกเจ้าพูดถึงข้างั้นรึ?” ไวท์และฟรานซิสหยุดหัวเราะทันที พวกเขาหันกลับมามองสตรีนางนี้ ก่อนจะหันกลับมามองหน้ากันอีกครั้ง

          “เปล่าเสียหน่อย..” ไวท์ตอบกลับไป ก่อนจะยิงคำถามใส่ผู้ฟังเพื่อไม่ให้ตั้งตัว “ว่าแต่ผู้รังสรรค์ไม่ได้มากับเธอด้วยงั้นเหรอ?”

          “อืม..พวกเขามาที่นี่กันก่อนแล้วน่ะ” เธอตอบกลับไป “เคออส แม็กซิมัสเรียกประชุมแผนสำคัญในอนาคตน่ะ..เจ้านั่นเรียกพวกมหาจักรพรรดิ์ทั้งหมด กับพวกตัวตนระดับ Deity บางตน”

          “แล้วเธอล่ะ? ไม่ได้มาพร้อมกับพวกเขางั้นรึ?”

          “ข้าไม่ต้องมาพร้อมกับท่านพี่ ..ข้าหมายถึงท่านผู้สร้างน่ะ” เธอแสดงท่าทีเขอะเขินเล็กน้อย “มีแค่ท่านพะ..ท่านผู้สร้าง ผู้พิทักษ์ และผู้คุมเวลาที่มีบทบาทสำคัญจริงๆ”

          “ส่วนข้าน่ะ..เดี๋ยวจะไปพร้อมกับเจ้าหัวขาวนี่แหละ” เธอตอบกลับคำถามของไวท์ พลางมองไปยังผู้ประพันธ์ที่กำลังเดินมายังบริเวณของเธอ

          “ข้าร่ำลาสตรีแห่งความรักเสร็จเรียบร้อยแล้ว..” ผู้ประพันธ์พูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

          “ตัวตนแห่งสงคราม ผู้เฝ้ามอง และอัตตาแห่งความเป็นจริง ข้าขอลาพวกเจ้า..หวังว่าความเป็นไปจะนำพาเรามาพบกันอีก” เคานต์ริเอนเต้กล่าวลาทั้งสามเสร็จ จึงได้ก้าวเดินจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว

          “ข้าก็ขอลาไปก่อนก็แล้วกันนะ” ผู้ทำลายล้างเอ่ยลาด้วยรอยยิ้มอ่อนกับท่าทางของสาวน้อยเยาว์วัย

          “ท่านไม่ไปกล่าวลากับอลิซาเบธก่อนรึ?” มาร์ซรีบถาม ก่อนที่สตรีนางนี้จะจากไป

          “จะไปลาทำไมล่ะ..”  The Destroyer หันกลับมาพูดทั้งรอยยิ้ม “เดี๋ยวข้าก็ต้องเจอเธออีกรอบนึงอยู่ดี”

          “ก่อนที่ข้าจะพาเธอไปที่แดนพิพากษา..เดี๋ยวค่อยบอกลาเธอก็ได้”

          “แต่คงต้องรอให้ภารกิจใหญ่จบเสียก่อนล่ะนะ” เธอมองสบตากับไวท์ แล้วจึงขยิบตาให้เธอ แสดงท่าทีเชิงสัญลักษณ์ถึงความหมายที่ทั้งสองต่างทราบกันเป็นอย่างดี

          เมื่อสนทนากันเสร็จสิ้น หญิงสาวในชุดยูกาตะสีดำหันหลังกลับ เดินไปตามทางเคียงข้างชายหนุ่มในชุดขุนนางฝรั่งเศสจวบจนถึงทางออก พวกเขาทั้งสองก็ได้อันตรธานหายไปในที่สุด

          “ผู้หญิงคนนั้นมีชื่อแบบที่ไม่ใช่ฉายามั้ย?” บาทหลวงฟรานซิสถามไวท์ที่ยืนมองไปในทิศทางที่สองคู่ขาได้เดินจากไปอย่างเหม่อลอย เธอหันกลับมามองหลวงพ่อด้วยสายตาเรียบ ก่อนที่ตัวเองจะสะดุ้ง

          “หา..ว่าไงนะ อ่อ..Destroyer งั้นเรอะ” ฟรานซิสพยักหน้าตอบรับ พลางเหลือบตาไปมองมาร์ซ ที่ในตอนนี้เขาได้เดินกลับไปที่หลุมศพของอลิซาเบธ เขาพูดบางอย่างและจัดดอกไม้ที่ถูกวางอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบให้กลายเป็นช่อ

          “ถ้าตอนเป็นบาบาเรียนตัวผู้ก็จะมีชื่อว่า อาเซริสก์ นิสค์เทอรอน(Arzaeryx Nisk’terlron)”

          “แต่ตอนมาเป็นผู้หญิงนี่..ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่ายัยนี่ไม่ชอบให้เรียกด้วยชื่อนี้มากๆ ใครก็เรียกไม่ได้ ยกเว้นพี่ชายตัวเองเท่านั้นแหละ”

          “The Creator สินะ..พี่ชายของเธอน่ะ” บาทหลวงฟรานซิสพูดขึ้น ไวท์จึงพยักหน้าแล้วจึงเอ่ยต่อ

          “ดังนั้นก็อย่าไปเรียกเธอล่ะ..แค่รู้เอาไว้ก็พอ” สตรีสีขาวย้ำเตือนอีกครั้ง “ชื่อของเธอคือ ไอริน มิเรนน่า(Irin Mirenna)”

          “ไอรินงั้นรึ? เป็นชื่อที่เพราะดีนะ” บาทหลวงยิ้มอ่อน หลังจากนั้นเขาได้เลื่อนมือข้างนึงขึ้นมาเพื่อดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ “อืม คงถึงเวลาที่ชั้นจะต้องไปแล้วล่ะนะ”

          “ถ้าจะไปก็อย่าลืมไปบอกมาร์ซซะล่ะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้น ก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบบางสิ่งออกมา “อ่ะนี่..”

          “มันคืออะไรล่ะนั่น” บาทหลวงเอ่ยถาม พลางเลื่อนมือไปหยิบมา เมื่อเขาสังเกตให้ดีแล้วจึงพบว่ามันคือลูกกวาดในรูปลักษณ์ของกุญแจ “กุญแจลูกกวาดนี่คืออะไร?”

          “สิ่งนี้เอาไว้ใช้เปิดประตูกลับมิติของคุณน่ะ” ไวท์อธิบายของวิเศษ “เจ้านี่แค่เอามาทำท่าไขประตู แล้วคิดที่ที่จะกลับไป แค่คุณกระพริบตาก็จะกลับไปที่แห่งนั้นทันที”

          “แต่ใช้ได้ครั้งเดียวนะ..มันเป็นของโคลนของกุญแจไร้รูปร่างแห่งสุลัยมาน ก็เลยมีขีดจำกัดน่ะ” ไวท์เอ่ยพูดด้วยยิ้มเล็กๆ “งั้นคุณก็ไปลามาร์ซก่อนก็แล้วกัน..ชั้นมีคนที่จะต้องไปหาต่อ”

          “ขอบคุณมาก อัตตาแห่งความเป็นจริง” หลวงพ่อฟรานซิสจับมือกับผู้สูงศักดิ์อีกครั้งหนึ่ง “ช่างเป็นบุญตาที่มนุษย์อย่างชั้นได้พบกับคุณ”

          “พูดซะเขินเลย..แหม่” เธอเลื่อนมือลูบศีรษะแก้เขิน เมื่อทั้งสองจับมือกันเสร็จ จึงเดินแยกออกจากกันไปคนละทาง

          “ขอให้สนุกกับความบันเทิงในอีก 10 ปีข้างหน้านะ..Overseer” หญิงสาวเอ่ยก่อนจะยิ้มที่มุมปาก บาทหลวงผู้นี้ได้ยินคำพูดนั้นอย่างชัดเจน เขาได้แสยะยิ้มอย่างพอใจ

          “หวังว่าจะเป็นความบันเทิงที่สมกับการรอคอยก็แล้วกันนะ หึๆ”

 

          หลังจากแยกตัวออกมาจากบาทหลวงและมาร์ซ ไวท์ได้เดินไปในอีกทิศทางนึง อันเป็นทางตรงกันข้ามกับบริเวณพิธี นั่นคือบริเวณต้นไม้ใหญ่ที่อเล็กซานดร้าได้วิ่งมา

          หญิงสาวแห่งความจริงได้เดินไปจนถึงต้นไม้ต้นนั้น เธอเลื่อนมือเข้าสัมผัสกับต้นไม้ พลางมองขึ้นไปบนกิ้งก้านสาขาของต้นไม้ใหญ่ แรงลมพัดผ่านมันจนโบกสะบัด เกิดเสียงเป็นจังหวะสลับกับเสียงเด็กน้อยสะอื้นไห้

          “อเล็กซานดร้า..” ไวท์เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน สายตาของเธอเหลือบมองเด็กน้อยนั่งกอดเข่าฟุบหน้า

          เธอที่นั่งพิงหลังกับต้นไม้ใหญ่ เมื่อได้ยินเสียงของไวท์จึงแหงนใบหน้าเปื้อนน้ำตาขึ้นมามองเธอ โดยยังคงส่งเสียงสะอื้นอยู่เป็นระลอก

          “พี่ไวท์เหรอคะ..” เด็กน้อยส่งสายตาเศร้าสร้อย เธอได้ยื่นมืออันสั่นเทาของเธอไปหาพี่สาวเบื้องหน้า ไวท์เลื่อนมือข้างหนึ่งไปรองรับมือน้อยๆข้างนั้นเอาไว้ เธอสัมผัสมือเล็กอย่างอ่อนโยน

          “เด็กน้อย..” ไวท์แสดงยิ้มน้อยออกมา ขณะเดินเข้าไปใกล้กับเด็กสาวอีกก้าวหนึ่ง เธอนั่งยองลงแล้วเลื่อนมืออีกข้างไปลูบหัวหนูน้อยอเล็กซานดร้าอย่างอ่อนโยน “ทำไมหนูถึงร้องไห้ล่ะคะ?”

          “เพราะคุณพ่อไม่มาหาแม่ค่ะ ฮึกๆ” เด็กน้อยร้องไห้อีกครั้ง ไวท์ส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะหันหลังล้มตัวลงมานั่งพิงกับต้นไม้ “ฮึกๆ วันนี้เป็นวันสำคัญแท้ๆ..แต่คุณพ่อก็ไม่มา ไม่มาเหมือนกับทุกครั้ง”

          “ทั้งวันเกิดของหนูหรือจะวันเกิดของคุณแม่ คุณพ่อก็ไม่เคยมาเลย”

          “ไม่ว่าคุณพ่อจะสัญญาอะไรไว้ก็ไม่เคยทำได้ตามสัญญา”

          “หนูน่ะเกลียดคุณพ่อที่สุดเลย! ฮึกๆ” น้ำเสียงของเธอดังแหลมสูงด้วยความคับแค้น

          “งั้นเหรอ? อืม..” ไวท์มองขึ้นบนท้องฟ้า เห็นสายฝนที่โปรยปรายตกลงสู่ม่านพลังที่คุมพื้นที่บริเวณสุสานอยู่ “แล้วแม่ของหนูได้ตำหนิเขาหรือเปล่า?”

          “ไม่ค่ะ..ฮึก ไม่เลยค่ะ” เด็กน้อยยังคงสะอื้นไห้ เสียงของเธอสั่นเครือ อารมณ์ของเธอคงจะเศร้าและแค้นใจอยู่บ้าง “คุณแม่ไม่เคยว่าคุณพ่อเลยค่ะ..คุณแม่เอาแต่บอกว่าพ่อติดงานติดธุระตลอด”

          “คุณแม่เอาแต่ปกป้องคุณพ่ออยู่ตลอด..ไม่เคยว่าคุณพ่อเลย”

          “แต่พี่ว่าซานดร้าน่าจะลืมบางอย่างไปนะ..” เด็กน้อยหันมองหญิงสาวด้วยสายตาเศร้าสร้อยปะปนไปกับความสงสัย

          “หนู..ฮึก ลืมอะไรไปเหรอคะ พี่ไวท์” เด็กน้อยเอ่ยถาม ไวท์หันกลับมามองเด็กตัวน้อย เธอยิ้มอ่อนให้ก่อนจะเลื่อนมือไปปาดน้ำตาของเด็กน้อย

          “ก่อนที่พี่จะเล่าเรื่องนั้นให้หนูฟัง” ไวท์ยังคงยิ้มอ่อน มือของเธอถูกเลื่อนจากกลางกระหม่อมกลับมาอยู่ใกล้ตัว “พี่ขอถามอะไรหน่อยสิ”

          “คะ?” เด็กน้อยใช้มือเล็กๆของตนเช็ดน้ำตาออก เสียงสะอื้นของเด็กน้อยก็หายไปด้วยเช่นกัน

          “พ่อของหนูชื่ออะไร?” ไวท์ได้ยิงคำถามออกไป เมื่อเด็กน้อยได้ยินเข้า เธอก้มหน้าลง แล้วส่ายหน้าไปมา

          “หนูไม่รู้ค่ะ” หนูน้อยเอ่ยตอบด้วยสายตาละห้อยน่าสงสาร “หนูไม่รู้จริงๆค่ะ”

          “แล้วหนูไม่สงสัยเหรอ?”

          “สงสัยค่ะ”

          “แล้วทำไมหนูถึงไม่ถามพ่อของหนูล่ะ?..” เด็กน้อยมองหน้าไวท์ด้วยสายตาละห้อย “มีอะไรจะบอกพี่งั้นหรือ?”

          “พี่ไวท์คะ..หนูน่ะเจอพี่มากกว่าเจอคุณพ่ออีกนะคะ” ไวท์เบิกตากว้างด้วยความตกใจ “หนูกับคุณพ่อก็ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ด้วยค่ะ..เพราะคุณพ่อยุ่งอยู่ตลอดเวลาเลย”

          “แม้แต่คุณแม่ก็ไม่เคยบอกหนูเหมือนกันค่ะ” แม้ว่าเธอจะเลิกสะอื้นและหยุดร้องไห้ไปแล้วก็ตาม แต่กลับมีน้ำตาไหลงมาอาบแก้ม “หนูรู้แค่ว่าผู้ชายหน้าตาแบบนี้คือพ่อของหนูเท่านั้นค่ะ”

          น้ำตาของเด็กน้อยได้ไหลเอ่อล้นจากเบ้าตาน้อยๆ ไวท์ส่ายหน้าไปมา เธอเลื่อนมือเข้าสัมผัสกระหม่อมของหนูน้อย แล้วลูบไปมาอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง

          “พี่ขอโทษนะ..ที่ต้องถามเรื่องนี้ พี่ขอโทษจริงๆ” ไวท์ก้มหน้าลงมองไปที่เด็กน้อยคนนี้ “แต่นั่นเป็นแค่สิ่งเดียวที่พี่ต้องการจะรู้เท่านั้นแหละ”

          “เพราะต่อไป..พี่จะเล่าบางอย่างเกี่ยวกับลอส เซเคร็ต(Lost Secret) พ่อของหนู ให้หนูได้ฟังและได้เข้าใจเอง”

          “อเล็กซานดร้า..หนูคิดว่าพ่อของหนูน่ะเป็นคนยังไง” ไวท์หันกลับไปมองเบื้องหน้าของตนเอง “ถึงจะเจอกันน้อย แต่คงจะพอรู้บ้างใช่มั้ย?”

          “พ่อของหนู..” หนูน้อยแหงนหน้าขึ้นมองใบไม้ พลางคิดระลึกถึงคนๆนั้น “คุณพ่อเป็นคนเงียบๆ ชอบทำหน้าเครียดกังวลอยู่ตลอด แล้วก็จริงจังกับงานมากค่ะ”

          “คุณพ่อจะกลับบ้านดึกเสมอ..กลับถึงบ้านก็ไม่ค่อยจะทักทายหรือคุยกับใครเลย พ่อจะมาทักทายแม่กับหนูก็ตอนเช้าของอีกวัน พ่อชอบหักโหมทำงานหนักๆ ไม่ยอมดูแลตัวเอง และที่สำคัญคือคุณพ่อไม่มีอารมณ์ขันเลย” หนูน้อยหันกลับมาที่ไวท์เมื่อพูดจบ

          “ใช่..ที่หนูพูดมามันถูกทั้งหมด” ไวท์ยิ้มอ่อน “ลอสต์..พ่อของหนูเป็นคนอย่างนั้นแหละ”

          “ถ้าหนูลองสังเกตดูจะรู้ว่าทุกอย่างที่พ่อให้ความสำคัญเป็นหลัก..ไม่ใช่ครอบครัว แต่เป็นงานเป็นธุระ”

          “แล้วหนูรู้รึเปล่า? พ่อของหนูทำงานอะไร” เด็กน้อยหันมองหน้าไวท์ด้วยใบหน้าไม่พอใจ

          “แต่ถึงจะเป็นงานอะไร..มันก็ไม่สำคัญเท่ากับครอบครัวไม่ใช่เหรอคะ พี่ไวท์” เธอพูดค้านด้วยเสียงดัง

          “ถ้าเป็นงานปกติน่ะใช่..แต่งานของพ่อหนูมันไม่ใช่งานปกติน่ะสิ” ไวท์มองกลับมาที่เด็กน้อย “มันเป็นงานที่มีความเสี่ยงสูงมากและไม่อาจจะผิดพลาดได้”

          “เพราะถ้าผิดพลาดขึ้นมา..ไม่ใช่แค่ครอบครัวของหนู แต่ครอบครัวทั่วโลกจะต้องเกิดการสูญเสีย”

          “พ่อหนูถึงต้องทุ่มเท ตั้งใจ และจริงจังกับเรื่องนี้มาก แต่..” ไวท์เงียบไปพักหนึ่ง “นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่พ่อของหนูจะไม่มีเวลาให้กับครอบครัว”

          “แล้วอะไรที่ทำให้พ่อของหนูไม่ค่อยมีเวลาเลยล่ะคะ?” เด็กน้อยเอ่ยถาม

          “มันเป็นความผิดของพี่เองนี่แหละ..” ไวท์พูดด้วยเสียงสั่น “10 ปีที่ผ่านมา..ร่างกายของพี่เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายพี่ไม่อาจแบกรับงานที่เคยทำได้อีกต่อไป”

          “พี่ต้องขอให้ลอสต์ทำงานในส่วนของพี่แทน..” ไวท์น้ำตาคลอเบ้า “..ทั้งๆที่อเล็กซานดร้าพึ่งจะมาลืมตาดูโลกได้แค่ไม่กี่วันแท้ๆ”

          “พี่ไวท์..” เด็กน้อยขยับเข้ามาใกล้กับพี่สาวคนสนิท เธอผายมือเข้าโอบกอด “อย่าร้องไห้นะ..”

          “โถ..เด็กน้อย” ไวท์เผยรอยยิ้ม เธอปาดน้ำตาออกจนหมด “ขอบใจนะ..พี่สัญญาว่าพี่จะไม่ร้องนะ”

          “ค่ะ..” เด็กน้อยผละตัวออกมาจากการกอด เธอกลับมานั่งด้วยใบหน้า

          “มันไม่ใช่ความผิดของพี่ไวท์หรอกค่ะ..”

          “เราทุกคน..ไม่ว่าจะเป็นใคร มีพลังอำนาจพิเศษสูงเพียงไหน ก็ย่อมต้องเจอเข้ากับอุปสรรคและปัญหา แม่หนูได้เคยบอกกับหนูไว้อย่างนี้”

          “แต่ถึงอย่างนั้น..ทำไมพ่อถึงไม่มาในงานพิธีศพของแม่ในวันนี้ล่ะคะ?” เด็กน้อยหันกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ถ้าพ่อรักแม่ เหมือนแบบที่พูดอยู่ตลอดทุกครั้งก่อนออกจากบ้านจริงๆ..”

          “ถ้ารักแม่จริงๆ ทำไมถึงไม่ยอมมาหาแม่ล่ะ! พ่อไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณแม่จากไปเพราะอะไร!”

          “รู้สิ..เขาต้องรู้อยู่แล้ว” ไวท์ตอบกลับ เด็กน้อยที่แสดงสีหน้าไม่พอใจได้หยุดชะงักไป “เพราะเขาน่ะ..เห็นคนรักถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา”

          หยดน้ำตาไหลลงมาจากดวงตาของเด็กน้อย ใบหน้ากริ้วโกรธของเธอได้มีสายน้ำตาไหลอาบเต็มไปหมด

          “ทั้งที่รู้ว่าแม่ของหนูถูกฆ่าตายไป..ต่อหน้าต่อตา แล้วทำไมพ่อถึงไม่ช่วยแม่ล่ะค่ะ?” เธอพูดออกมาด้วยเสียงดัง ใบหน้าของไวท์ไม่อาจยิ้มอ่อนได้อีกต่อไป เธอแหงนหน้ามองขึ้นไปมองอย่างไร้จุดหมาย คิดย้อนกลับไป ณ เหตุการณ์ในวันนั้น

          “อเล็กซานดร้า..ลองคิดดูนะ สมมติว่าอเล็กซานดร้าเป็นทหารยอดฝีมือขององค์ราชา มีหน้าที่พิทักษ์ปกป้องปวงประชาและอาณาจักร”

          “ครั้นวันหนึ่งเกิดมีกองโจรนับพันบุกเข้าปล้น ฆ่า และทำลายอาณาจักร ในวันนั้นองค์ราชาสั่งบัญชาให้อเล็กซานดร้าช่วยเหลือประชาชนให้ได้มากที่สุด”

          “โชคร้าย..ทหารทุกคนต่างรับมือกับกองโจรอย่างเต็มกำลัง ไม่อาจให้ความช่วยเหลือใครได้”

          “ในตอนนั้นอเล็กซานดร้าที่พึ่งจะจัดการกลุ่มโจรสำเร็จ ได้เดินไปพบเข้ากับบ้านของตนเองที่มีภรรยาอันเป็นที่รักอยู่ภายในกำลังต่อสู้กับกลุ่มโจรที่เข้ามาปล้น แต่อีกฝั่งหนึ่งกลุ่มโจรอีกกลุ่มได้บุกรุกเข้าโบสถ์อันเป็นที่หลบภัยของประชาชนจำนวนหนึ่ง”

          “โดยหากเลือกช่วยเหลือส่วนใดส่วนหนึ่งแล้ว จะไม่มีเวลาไปช่วยอีกส่วนหนึ่ง”

          “ถ้าเป็นหนู หนูจะทำอย่างไร?” ไวท์จ้องมองไปที่ดวงตาของเด็กน้อย

          “ฮึก..หนู หนูไม่อยากเลือก มันต้องมีทางอื่นสิค่ะ ฮึก..” เด็กน้อยเริ่มร้องไห้งอแงอีกครั้ง “ถ้าหนูเลือกคุณภรรยา จะมีคนตายเยอะ ฮึก..แต่ถ้าหนูเลือกคนในโบสถ์ คนที่หนูรักก็ต้องตาย หนูไม่อยากเลือก ฮึก..มันต้องมีทางอื่นสิค่ะ..พี่ไวท์”

          “สำหรับหนูในตอนนี้ มันมีทางเลือกอื่นอยู่เสมอ” ไวท์เปลี่ยนอิริยาบถ เธอบิดตัวให้มานั่งในท่าขัดสมาธิเข้าหาตัวของหนูน้อย เธอเลื่อนมือไปสัมผัสที่กระหม่อมของอเล็กซานดร้า

          “แต่ในตอนนั้น พ่อของหนูไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว” ไวท์กล่าวจบ หนูน้อยร้องไห้โฮออกมา น้ำตาไหลพรากเป็นทารก เด็กน้อยโผเข้ากอดร่างของไวท์ หญิงสาวลูบศีรษะของซานดร้าประหนึ่งมารดาและบุตร

          ใบหน้าของเธอแต่งแต้มไปด้วยความเศร้า แต่เธอไม่อาจเปล่งเสียงร้องออกมาได้ เพราะเธอต้องทำตัวให้เข้มแข็งขึ้นตามสัญญา “พ่อของหนูจึงเลือกช่วยคนในโบสถ์จำนวนหนึ่งจากกลุ่มโจร”

          “แต่ความจริงแล้ว ในเวลานั้นพ่อของหนูได้ช่วยเหลือผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน และสละผู้หญิงที่เขารักที่สุดให้จากไปต่อหน้าต่อตา” ไวท์พูดด้วยเสียงสั่นเครือ “ในวันนั้น เขาได้เสียหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาไปอย่างไม่อาจหวนคืนกลับมาได้”

          “และในวันนั้น มันเป็นครั้งแรกที่พี่ได้เห็นลอสต์หลั่งน้ำตาและร้องไห้เหมือนเด็ก”

          “อเล็กซานดร้า..” ไวท์เอ่ยชื่อหนูน้อยอีกครั้ง เธอยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่เช่นเดิม เธอเพียงเลื่อนตัวขึ้นมาสบตากับหญิงสาว

          “ที่ลอสต์..พ่อของหนูไม่ได้มาในวันนี้ ไม่ใช่เพราะเขาไม่รู้เรื่องแม่หนู..ไม่ใช่เพราะเขาไม่ใส่ใจเรื่องของแม่หนู..ไม่ใช่เพราะเขาไม่รักแม่ของหนู แต่เพราะเขารู้ เขาใส่ใจ และเขารักแม่ของหนูยิ่งกว่าใครๆ ร่วมกับความรู้สึกผิดที่ไม่อาจปกป้องเธอไว้ได้..สิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้ตัวของลอสต์เจ็บปวดทุกข์ทรมานยิ่งกว่าใครอื่น”

          “แม้ลอสต์จะไม่ได้มาในวันพิธี แต่พี่มั่นใจว่าลอสต์จะต้องมาหาแม่ของหนูในเร็ววัน” ไวท์ยิ้มอ่อนให้กับเด็กน้อยที่น้ำหูน้ำตาไหลเละเทะเต็มไปหมด

          “แต่พี่ไม่ได้มาหาหนูเพราะลอสต์ขอร้องหรอกนะ..” ไวท์ใช้ผ้าผืนเล็กเช็ดหน้าเช็ดตาเด็กน้อยอย่างเบามือ แต่เพราะอเล็กซานดร้ายังไม่หยุดร้องดี น้ำตายังคงไหลอาบแก้มอยู่เช่นเดิม “แต่เพราะนี่คือคำขอสุดท้ายของเอลี่”

          “แม่ของหนูคงจะกลัวลูกสาวจะเข้าใจคุณพ่อผิดไป..” ไวท์เลื่อนมือกลับมาใกล้ตัว หนูอเล็กซานดร้าก็หยุดร้องไห้ได้บ้างแล้วเช่นกัน “ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ อิอิ”

          “พี่ไวท์คะ..” อเล็กซานดร้าเช็ดน้ำตาออกจนหมด แต่สุดท้ายน้ำตาและเสียงสะอื้นไห้ยังคงมีอยู่ดี “ขอบคุณพี่ไวท์มากๆเลยนะคะ”

          “ถ้าพี่ไวท์ไม่เล่าเรื่องนี้ให้หนูฟัง หนูก็คงยัง..ฮึก” อเล็กซานดร้าเงียบไปชั่วขณะ ไวท์เผยรอยยิ้มอ่อนโยน

          “พี่ถึงต้องมาคุยกับหนูไงล่ะ..เด็กน้อย” ไวท์ยิ้มกว้าง “ไม่ต้องขอบคุณพี่หรอกนะ..แต่ให้สัญญากับพี่ได้มั้ย?”

          เด็กน้อยนิ่งเงียบไป ก่อนที่เธอจะหลับตาพร้อมสูดหายใจเข้าเต็มปอด และผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ อเล็กซานดร้าเบิกตากว้าง สายตามุ่งมั่นสบตากับหญิงสาว เธอจึงพยักหน้าตอบรับ

          “สัญญากับพี่นะ..ว่าหนูจะรักพ่อของหนู” ไวท์เลื่อนมือของเธอไปจับมือเล็กๆของหนูน้อยอเล็กซานดร้ามากุมเอาไว้ “จะรักมากเท่าๆกับที่หนูรักแม่ของหนู”

          “ดูแลลอสต์ให้ดีๆนะ..ถึงจะเป็นคนที่ดูเข้มแข็ง แต่จิตใจเจ้านั่นมันอ่อนแอมาก”

          “ขอเพียงแค่ความรักจากอลิเซะ.. พี่หมายถึงจากหนูอเล็กซานดร้า มันก็เพียงพอที่จะทำให้เจ้านั่นกลับมายิ้มได้อีกครั้งแล้วล่ะ” ไวท์ยิ้มอ่อน ก่อนจะลุกขึ้นมายืน “หวังว่าจะทำตามสัญญานี้ได้นะ..ฮีโรอิค อเล็กซานดร้า”

          “ได้แน่นอนค่ะ..พี่สาวของหนู” อเล็กซานดร้าลูกขึ้นมาสวมกอดหญิงสาว “หนูจะทำตามสัญญานี้ให้ดีที่สุดค่ะเพื่อคุณแม่..”

          “..และคุณพ่อของหนู”

          เมื่ออเล็กซานดร้าเอ่ยจบ เสียงตะโกนโหวกเหวกได้ดังขึ้นจากทางด้านหลังของเธอ มันเป็นเสียงที่คุ้นเคย

          เสียงของพี่ชายอีกคนนึงของเธอ ..มาร์ซ

          “อเล็กซานดร้า..” มาร์ซวิ่งตรงเข้ามาในบริเวณของต้นไม้ใหญ่ พร้อมเสียงหอบหายใจ

          “พี่ไปก่อนนะ..” เสียงของหญิงสาวดังขึ้น เมื่อหนูน้อยหันกลับไปมองพี่สาว เธอกลับพบเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น

          “อเล็กซานดร้า..แฮ่ก เอาซะพี่เป็นห่วงเลยนะ แฮ่ก” ชายหนุ่มแขนเดียวเอ่ยออกมาพลางหอบหายใจถี่รัว

          “พี่มาร์ซ..” อเล็กซานดร้ามองไปยังชายหนุ่ม ก่อนจะโค้งตัวลง “หนูขอโทษนะคะ..ที่จู่ๆก็วิ่งออมาอย่างนั้น”

          “โถ เด็กน้อยคิดมากไปได้” มาร์ซเลื่อนมือที่เหลืออยู่ไปลูบหัวสาวน้อย “ตอนนี้แขกก็กลับไปกันหมดแล้ว..คุณบาทหลวงก็กลับไปแล้ว”

          “ไปลาคุณแม่..แล้วกลับบ้านกันเถอะนะ ซานดร้า”

          “ค่ะ..” เด็กน้อยตอบรับ ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินจากไปจากบริเวณต้นไม้ใหญ่ ซึ่งในเวลานั้นพายุฝนได้สลายตัวไปอย่างช้าๆ สายฝนที่เคยหนักหน่วงได้ซาลงจนในที่สุดก็หายไปจนหมด

          เด็กน้อยหันขึ้นมองบนท้องฟ้าสีมัวหมอง เธอเผยรอยยิ้มบนใบหน้าน้อยๆของเธอ ก่อนที่ทุกอย่างจะหายไปในสีดำมืด

 

          สตรีผู้เยาว์วัยตื่นขึ้นจากภวังค์แห่งการหลับใหล ดวงตาทั้งสองได้เปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า เธอเลื่อนมือไปยันที่พื้นเพื่อยันตัวเองให้ขึ้นมาจากท่านอน

          ดวงเนตรสีดำสนิทของเธอและสีผิวที่ขาวซีดเสียยิ่งกว่าหิมะ บ่งบอกความพิเศษและความพิศวง

          เธอเลื่อนศีรษะหันมองรอบกาย พบเพียงแต่ผืนน้ำใสสะอาดดั่งกระจกเงา ภายใต้กระจกเงาเหล่านั้นปรากฏฟองน้ำหลากสีสันหลายขนาด เช่นเดียวกันกับท้องฟ้ายามรุ่งสางที่เต็มไปด้วยดวงดาวทั้งที่ดับสูญจนดำมืดและเจิดจ้าจนขาวสว่าง

          เธอลุกขึ้นมาจากเตียงคริสตัลอันตั้งอยู่ใจกลางผืนน้ำ เมื่อฝ่าเท้าสัมผัสกับผืนน้ำ เตียงนอนคริสตัลพลันแปรเปลี่ยนสู่ผีเสื้อกระจกนับพันตัวบินกระจายตัวออกไปอย่างไร้จุดหมาย

          เพียงชั่วพริบตานั้นเอง อากาศธาตุตรงหน้าเธอเกิดบิดเบี้ยวและฉีกขาดฉับพลัน ปรากฏร่างของบุรุษใต้เสื้อกันหนาวสีดำ เขาก้าวเดินออกมาจากมิติที่ขาดออกอย่างเชื่องช้า จนฝ่าเท้าเข้าประทับกับผืนน้ำกระจกเงา

          “Oh Shit!” ลอสต์อุทานออกมา เมื่อร่างของเขาตกลงไปในพื้นน้ำแทบจะทันทีที่เหยียบลงไป

          “ให้ตายเถอะน่า..ลอสต์!” โฮปตะโกนลั่น ก่อนจะเลื่อนมือมากุมขมับและถอนหายใจออกหนึ่งฟอดใหญ่ “เลิกเล่นได้แล้ว..”

          เธอเลื่อนมือไปข้างหน้าพลางกระดิกนิ้ว ร่างของบุรุษปริศนาจีงได้ถูกดึงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างถูกซ่อมไปในชั่วพริบตา นั่นรวมถึงตัวลอสต์ที่ควรจะเปียกโชกกลับแห้งสนิท

          “โอ้..ขอบใจ” ลอสต์กล่าวขอบคุณเสร็จก็ปิดประตูมิตินั้นลง แต่ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นแสงยามรุ่งสางของดินแดนแห่งความฝันได้บังเอิญสาดส่องเข้าไปภายในฮู้ดสีดำนั้น ดวงตาของเธอเบิกกว้างเล็กน้อย

          “นี่..นาย?” โฮปเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อเธอได้มองเห็นโครงหน้าท่อนล่างของชายผู้ควรจะไร้ตัวตน

          “ใช่” ลอสต์หันกลับมาด้วยสายตาจริงจัง “ตามที่เธอเห็น..พลังของชั้นกำลังจะหมดลงในอีกไม่ช้า”

          “งั้นรึ?..จะว่าไป ไม่ใช่ว่าพลังของจินตนาการเนี่ย..มันไร้จุดสิ้นสุดไม่ใช่งั้นรึ?” โฮปถามเขาด้วยเสียงเรียบนิ่ง

          “พูด งั้นรึ? ฟุ่มเฟือยจังเลยะ” ลอสต์เผยรอยยิ้มให้ได้เห็น “แต่ช่างเถอะ..ชั้นไม่ได้มาที่นี่ เพราะต้องการคุยเรื่องไร้สาระหรอกนะ”

          “ชั้นมาที่นี่เพื่อคุยกับนิมิตที่เธอเห็น” ชายผู้เป็นตัวตนของจินตนาการกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าทุกๆครั้ง “สิ่งที่เธอเห็นนั่นน่ะ..ไม่ใช่นิมิตหรอกนะ”

          “ไม่ต้องบอกก็รู้อยู่แล้ว..ชั้นเป็นตัวตนแห่งความฝันนะ คิดว่าชั้นจะแยกนิมิตกับสิ่งอื่นไม่ถูกงั้นรึ?” สตรีสาวยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะแสดงสีหน้าจริงจังขึ้น “แต่..ความทรงจำนั่นมันคืออะไรกัน?”

          “หึ..นึกว่าจะรู้จริงเสียอีก เอาเป็นว่านะ..สิ่งที่เธอเห็นนั่นน่ะคือความทรงจำที่ชั้นพยายามซ่อนเอาไว้”

          “...” สตรีแห่งฝันยืนอึ้งกับสิ่งที่ได้ฟัง แม้ใบหน้าของเธอยังคงเรียบนิ่งเช่นเดิม “เฮ้อ! เราคงต้องคุยเรื่องนี้กันยาวแน่ งั้นก็..”

          หญิงสาวดีดนิ้ว ทันใดนั้นเหล่าผีเสื้อกระจกพลันแห่บินเข้ามาหาเธอแล้วเปลี่ยนเป็นโซฟาสองตัวที่ดูนุ่มสบาย

          “โอ้! ขอบคุณ..เมื่อยอยู่พอดีเลย” ลอสต์กล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม แล้วจึงหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟา “จำไว้นะ..ห้ามทำหลายๆอย่างพร้อมกัน มันจะดูดพลังงานของเธอมากกว่าที่เธอคิดเสียอีก”

          “งั้นรึ? เอาเป็นว่า..เรากลับเข้าเรื่องกันเถอะ” สตรีแห่งความฝันนั่งไขว่ห้าง “มันหมายความว่าอะไร? ..นายต้องการซ่อนคามทรงจำไปทำไมกัน?”

          “แล้วเธอจำแผนการสังหารบอสได้หรือเปล่าล่ะ?” ลอสต์ตอบคำถามกลับด้วยคำถาม “ถ้าจำได้..ลองปะติดปะต่อเข้ากับสิ่งที่เธอเห็นดูสิ”

          “จำได้สิ อีกอย่างการสังหารบอสน่ะ..มันจะเริ่มในปีนี้ไม่ใช่เรอะ?” เธอเลิกคิ้วสูง “โอเค ชั้นเริ่มจะเข้าใจบางอย่างแล้วล่ะ”

          “นายต้องการจะปิดบังเรื่องราวของบางคนสินะ”

          “ตามนั้นแหละ..ชั้นหยิบหมาก 3 ตัวออกมาจากกระดานหมากรุก” ลอสต์เอ่ยตอบ พรางหยิบห่อองุ่นขาวออกมาจากกระเป๋าในเสื้อกันหนาว เพื่อมาหยิบกินเล่นตามประสาลอสต์ “นั่นก็คือ ไวท์ กับลูกเมียของชั้น”

          “แล้วนายทำไปทำไมกัน? นายคิดว่าโอกาสชนะจะเพิ่มขึ้นงั้นรึ?” โฮปแสดงสีหน้าฉงนสงสัย

          “จะว่าใช่ก็ไม่เชิง..จะว่าไม่ก็ไม่เชิง” ลอสต์ตอบด้วยภาษากำกวม “มันเกี่ยวกับเรื่องของความได้เปรียบเมื่อเกิดรู้ความลับมากกว่า”

          “หากเราจะลอบสังหารผู้นำ..การทำให้แผนเป็นความลับคือสิ่งสำคัญ เพราะถ้าเกิดฝั่งผู้นำรู้เรื่องเสียก่อน การลอบสังหารก็จะเป็นไปได้ยากขึ้นจนอาจไม่สามารถสำเร็จได้เลย”

          “สรุปแล้ว..นายต้องการจะบอกว่าสิ่งที่นายปกปิดเอาไว้ คือแผนล้มศัตรูงั้นเหรอ? แต่ตามแผนที่เราวางไว้ ทั้งสามคนนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับแผนเลยนี่” โฮปยังคงไม่เข้าใจความหมายที่ลอสต์พยายามสื่อ

          “งั้นชั้นจะบอกอะไรให้..สามคนนั้นคือสิ่งที่เชื่อมโยงเข้าหากัน เป็นกุญแจสำคัญในการล้มศัตรู” ลอสต์ตอบกลับไป “ส่วนแผนเดิมจะถูกเลื่อนเป็นกุญแจย่อยที่คอยเสริมความแข็งแรงของกุญแจหลัก”

          “แล้วทำไมแผนเดิมถึงต้องกลายเป็นแผนย่อยล่ะ? แผนที่เราทุกคนช่วยกันวางไว้มันก็ดีอยู่แล้วนี่” โฮปแย้งกลับไป

          “ฟังชั้นนะ..” ลอสต์เว้นคำพูด “แผนนั้นมันพังไปตั้งแต่ตอนที่ Chaos กับ Order Maximus ตายไป แล้วยิ่งพวกสายเลือดโอริซิสของเธอหายไปจนเหลือแค่หยิบมือ”

          “เธอคิดว่าแผนนี้จะยังสมควรเป็นแผนหลักอยู่อีกเหรอ”

          “..ก็จริง ลืมเสียสนิทเลย” สตรีแห่งความฝันเลื่อนหลังไปพิงกับโซฟา พลางถอนหายใจออกมา “ความทรงจำที่นายปิดไว้จะเป็นตัวชี้ชะตาของพวกเราสินะ..”

          ลอสต์พยักหน้าตอบกลับ โฮปจึงเอ่ยถามต่อ “งั้นแล้ว..สิ่งที่นายปกปิดมีแค่ความทรงจำนี้แน่เหรอ”

          “พูดได้ตรงประเด็นดี..” ลอสต์เลื่อนมือขึ้นมาปรบเป็นเสียงบางเบาเล็กๆ “มันไม่ได้มีแค่อันเดียวหรอกนะ ยังมีอีกเป็นร้อยเป็นพัน..แล้วก็อีกอย่างนึงคือชั้นไม่ได้ปิดแค่เธอ”

          “ชั้นปิดมันจากทุกความเป็นจริง ทุกช่วงเวลา และจากทุกคน” ลอสต์เอ่ยด้วยเสียงเรียบ “รวมไปทั้งมหาจักรพรรดิ์ ตัวตนระดับพระเจ้า แม้กระทั่งพวกเลือดผสม ..ชั้นปิดมันไว้ทั้งหมด โดยเฉพาะจากแบล็ก”

          “แต่นิมิตที่หลุดรอดไปนี้..ชั้นคิดว่าทุกคนในเหตุต้องได้เห็นมันแน่..ทั้งคนที่เกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องก็ตาม” ลอสต์ลุกยืนขึ้นจากโซฟานุ่มตัวนั้น “ชั้นจึงมาที่นี่..เพื่อขอให้เธอเป็นอีกแรงนึงที่จะช่วยชั้นในการปกปิดความลับนี้เอาไว้”

          “แล้วไหงถึงเป็นชั้นล่ะ? ..คนอื่นก็มีนี่” โฮปเอ่ยด้วยเสียงสูง

          “อย่างแรกนะ มันเป็นความทรงจำในจิตใต้สำนึก ทำงานคล้ายความฝันหรือนิมิต ซึ่งเป็นเรื่องถนัดของเธอ อย่างที่สอง เธอคือคนที่ชั้นไว้ใจมาก รองลงจาก เฟอะ..ตัวตนแห่งความรัก ที่ชั้นไว้ใจมากที่สุด” ลอสต์เอ่ยบางอย่างติดขัดจนผิดสังเกต “ฉะนั้นเธอก็เข้าใจแล้วเนอะ..”

          “อืม..ก็นะ พูดมาซะขนาดนี้” โฮปยิ้มที่มุมปาก “งั้นชั้นก็ขอช่วยด้วยก็แล้วกัน..”

          “ขอบคุณมาก..บัตเตอร์ฟลาย” ลอสต์เอ่ยชื่อจริงของเธอ “ชั้นจะเปิดความทรงจำทั้งหมดให้กับเธอก่อน..พอเสร็จแล้ว ชั้นก็จะยกอำนาจหน้าที่นี้ให้กับเธอแบบสมบูรณ์”

          “พร้อมนะ?” ชายหนุ่มเดินไปยังสตรีแห่งความฝัน เธอพยักหน้าตอบรับ เขาจึงเลื่อนมือไปสัมผัสศีรษะของเธอ พลันปรากฏแสงสว่างขึ้น “การใช้พลังที่อยู่ในขอบเขตของคนอื่นเนี่ย..ใช้พลังเยอะกว่าการใช้พลังในขอบเขตตัวเองเกือบ 10 เท่าได้ นี่แหละสาเหตุที่ชั้นต้องให้เธอมาช่วย..เพราะของพวกนี้มันอยู่ในขอบเขตของเธอน่ะ”

          “เมื่อเห็นทุกอย่างแล้ว..ถ้าเกิดคำถามก็เก็บเอาไว้ก่อน” ลอสต์เอ่ยขึ้น ในขณะที่แสงนั้นเริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ “เพราะกาลเวลาจะเป็นคนตอบคำถามนั้นเอง”

          เมื่อลอสต์เอ่ยจนจบ ในชั่ววินาทีนั้นเอง แสงได้ถูกเร่งให้สว่างจนถึงขีดสุด ก่อนจะดับลงในพริบตาเดียว บัตเตอร์ฟลายลืมตาตื่นด้วยใบหน้าประหลาดใจเกินกว่าที่เธอควรจะเป็น

          “...” เธอเงียบไปพักนึง ก่อนจะแสยะยิ้มออกมา “หึ..ชั้นเข้าใจทั้งหมดแล้วล่ะ”

          “นี่..นายปกปิดความจริงทั้งหมดตั้งแต่ตอนนั้นเลยงั้นรึ?” หญิงสาวเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “นอกจากความทรงจำที่เปิดให้..นายยังเอาความทรงจำของนายมาใส่ด้วยงั้นเหรอ”

          “สรุปแล้ว..แผนที่นายวางไว้น่ะ คิดจะยิงปืนนัดเดียวให้ได้นกถึงห้าตัวเลยสินะ” เธอยิ้มกริ่ม “เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงและกำไรสูง”

          “ทุกคนต่างรู้ว่านายคืออัตตาแห่งจินตนาการ..แต่ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วนายเป็นอะไรกันแน่”

          “เลยใช้ชื่อนี้เพื่อปิดบังตัวตนมาตั้งแต่ตอนนั้น..ชื่อของความลับทุกอย่างที่นายต้องการให้มันหายสาบสูญไปจากทุกคน เพื่อสักวันนายจะกลับมาเปิดมันและใช้มันจบเรื่องราวบ้าๆนี่สินะ”

          “Lost Secret..ช่างเป็นชื่อที่ไร้หัวคิดเสียจริงนะ อัตตาแห่งจินตนาการ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา