ลำนำนิทานดอกต้อยติ่ง

8.2

เขียนโดย snowred

วันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 16.56 น.

  1 บท
  3 วิจารณ์
  3,573 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 17.13 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) เพลงที่ ๑ : กระดาษเปียกฝน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เพลงที่ ๑

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

กระดาษเปียกฝน

                  ‘ต้อยติ่งเอ๋ย ฝนที่กระทบนั้นเจ้ากลัวฤๅไม่ กลีบบางเบาดูละไมมุนน่าถนอม ดูเจ้ายอมให้เหยียบย่ำ  ประปรายยามฝนพรำ ตัวเจ้าไม่พบยากแต่น้อยที่ย้ำจำ สายน้ำที่ไหลรินผ่าน เป็นเพื่อนเจ้ายามเหงาหงอย…’

 

                “เป็นเพื่อนเจ้ายามเหงาหงอย…”

                เด็กชายผมสีงาช้าง เกล้าผมที่สั้นเกือบถึงบ่าส่วนหนึ่ง ติดกิ๊บสีดำกับสีขาวเพื่อเก็บผมด้านหน้านั้น กำลังใช่ดวงตาสีดำมองผ่านแว่นกรอบสีเดียวกันไปยังดอกต้อยติ่งที่บานสะพรั่ง สีม่วงกับกลีบนั้นช่างดูหวานละมุนน่าทะนุถนอม แต่มันเกิดบนผืนดินทั่วไปและเป็นหญ้า  ทำให้ความงามนั้นถูกลดลงไปจนดูไร้ค่าและไม่น่าสนใจ ทว่าเด็กชายกลับรู้สึกชอบใจอย่างบอกไม่ถูก จนต้องยืนมองอยู่พักหนึ่ง

                “เมี๊ยว…”

                เขาสะดุ้งเล็กน้อยเพราะตกใจที่อยู่ดี ๆ มีสัมผัสอ่อนนุ่มมาคลอเคลียที่ข้อเท้า  พอก้มมองดูก็พบว่าเป็นแมวขนสีครีม เด็กชายนั่งยอง ๆ ก่อนจะอุ้มมันขึ้นและลูบหลังเบา ๆ พอเกาคางแมวสีครีมก็มีสีหน้าที่พอใจ  เห็นดังนั้นเด็กชายก็ยิ้มบาง ๆ ออกมา  ก่อนที่จู่ ๆ น้ำจะหยดบนศีรษะ …ความหวาดกลัวคืบคลานเข้ามา เมื่อทราบว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้คืออะไร

                …ฝน…

                สิ่งที่เด็กชายหวาดกลัวคือน้ำที่โปรยปรายจากฟากฟ้า แต่มันไม่ใช่ความกลัวแบบปรกติอย่าง กลัวเสื้อเปียก ฟ้าร้อง หรือสัตว์ที่ชอบความชื้น ทว่ามันคือความกลัวแบบเจอสัตว์ร้าย… ไม่สิ ความรู้สึกเย็นยะเยือกนั้นเขาเปรียบเทียบว่าฝนคือความตาย

               ต้องรีบกลับ

               รู้สึกว่าร่างลอยขึ้น ความเย็นเชียบไล่จากปลายเท้าลามขึ้นมาตามร่างกาย ความรู้สึกที่เหมือนในกายนั้นไม่มีอวัยวะทำให้มวนท้องบอกไม่ถูก  พอวิ่งเหยาะ ๆ เพราะไม่ไหวภาพเบื้องหน้าก็เลือนรางขึ้นทุกที

               “นี่ ทำไมถึงได้กลัวฝนขนาดนั้นล่ะ”

               ฉันตอบไม่ไหวหรอก

               ระหว่างวิ่งตามทางที่เปล่าเปลี่ยวไม่มีผู้คนนั้น ก็ได้ยินเสียงนุ่มที่ให้ความรู้สึกเย็น เขาไม่ได้ตอบคำถามนั้นเพราะเพียงจะพยุงสติก็เต็มกลืนแล้ว กระนั้นอีกฝ่ายก็ยังคงถามต่อ

               “ทำไมถึงทำใจให้ชอบมันไม่ได้?”

               อยากชอบอยู่หรอก แต่ร่างกายมันไม่ยอมรับ

               “แล้วนายอยากรู้ไหม ว่าทำไมตนเองถึงกลัวฝน”

               ทำไมตัวเราถึงกลัวฝนน่ะเหรอ?

               เขาหยุดเดินแต่ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้นนอกจากยืนนิ่ง ๆ รอว่าอีกฝ่ายจะกล่าวอะไรต่อ

               “อยากรู้ไหม?” เจ้าของเสียงนุ่มถามอีกครั้ง “อยากรู้… แต่คงไม่จำเป็น”

               “ทำไมจะไม่จำเป็น เผื่อจะแก้โรคกลัวฝนได้นะ …อันธการ” เด็กชายรีบหันไปหาต้นเสียง แต่แล้วก็ต้องหยุดเมื่ออาการวิงเวียนศีรษะค่อย ๆ แรงขึ้น “ทำไม… ทำไมถึงรู้ชื่อฉันได้?”

               “คงไม่ได้เจอกันนานจนลืมแล้วสินะ? แต่เอาเถอะ มันก็ไม่ได้จำเป็นมากนัก …นี่ ฉันอยากรู้ปริศนาโรคกลัวฝนจริง ๆ นั่นแหละ ที่แวะมาหาในวันนี้ก็เพราะอยากเสนออะไรบางอย่าง”

               เด็กชายเจ้าของนามอันธการนึกถึงในนิยายหรือสื่อบันเทิง ที่ตัวเอกจะถูกบุคคลปริศนายื่นข้อเสนอบางอย่าง จากนั้นชีวิตของเจ้าตัวก็จะพลิกผัน คิดได้ดังนั้นเขาก็ส่ายหน้าก่อนจะพยายามอ้าปากตอบ

               “คิดจะมาหลอกอะไรฉันหรือเปล่า?”

               “เพื่อประโยชน์ของนายเองนะ เอ้า ฉันใส่ในกระเป๋านักเรียนของนายแล้ว กลับไปบ้านก็ลองอ่านดูล่ะ”

               อีกฝ่ายไม่ตอบอันธการ และนำกระดาษที่ขอบแผ่นขาด ๆ และเป็นสีเหลือง บ่งบอกว่าใช้งานมานานน่าดูมาใส่ในกระเป๋านักเรียนแบบถือ

               อันธการออกวิ่งอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่แม้แต่จะสนใจเสียงใด ๆ ที่ได้ยิน

 

               “ปวดหัวชะมัด”

               พอกลับมาถึงบ้านแล้วขึ้นไปที่ห้องนอนบนชั้นสอง เขาก็ทิ้งกระเป๋าลงพื้นและเดินโซซัดโซเซไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ เมื่อนั่งเท้าแขนกับโต๊ะและใช้มือนวดศีรษะก็รู้สึกว่าอาการดีขึ้นหน่อย อาจเพราะไม่ได้อยู่ท่ามกลางฝนก็เป็นได้

               “อาการดีกว่าแต่ก่อนแฮะ ปรกติป่านนี้เราคงล้มกลางทางแล้ว” พอถอนหายใจเพราะเบื่อหน่ายกับโรคของตนเอง อันธการก็นึกถึงขึ้นได้ว่าเจ้าของเสียงก่อนหน้าได้มอบของบางอย่างให้  จากนั้นก็เดินไปหยิบกระเป๋าแล้วหาของที่คิดว่าไม่เคยมีอยู่ เมื่อพบกระดาษขนาดพอดีมือเขาก็คลี่ออกอย่างช้า ๆ ก่อนที่ตัวหนังสือสีจาง ๆ จะปรากฏสู่สายตา

               “หืม? ก็แค่เพลงนี่”

               อันธการพึมพำพลางอ่านตัวอักษรที่ร้อยเรียงเป็นเพลง

               ในวันก่อนฉันฝันถึงพวกเขา

               ท่ามกลางดอกต้อยติ่งนั้นพวกเขาวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน

               บ้างก็บินอ้อยอิ่งในอากาศที่มัวหมอง แต่ความเย็นนั้นกลับรู้สึกสดชื้นราววันฟ้าใส

               บ้างก็ว่ายอย่างพลิ้วไหวในน้ำที่ใส

               เบื้องหลังของพวกเขามีขนมหวานที่แทบนับไม่ได้

               ฉันรู้สึกอิ่มเอมกับภาพมายานี้ และไม่อยากตื่นจากความฝัน

               แต่บางครั้งที่นี่ก็ชวนหนักใจ

               พวกเขาชอบเล่นอะไรแปลก ๆ และพูดชวนงง พอถามก็ได้คำตอบกำกวม

               แต่ฉันไม่คิดมากเพราะนี่ไม่ใช่โลกความเป็นจริง

               ปล่อยตัวตามสบายกับจินตนาการที่พวกเขาค่อย ๆ บรรจงรังสรรค์

               อาจเละบ้างแต่ก็ดูบริสุทธิ์

               แต่อย่าได้มองลึกเข้าไปล่ะ เพราะพวกเขาน่ากลัวกว่าที่เธอคิด

               เขาเผลอร้องตามเนื้อเพลงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็มิอาจทราบได้ จากตอนแรกที่คิดว่าเนื้อหานั้นดูง่ายและน่ารักดี ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่เพราะช่วงสุดท้าย เขาสงสัยเล็กน้อยตรงท่อนสุดท้าย ว่าทำไมพวกเขาถึงน่ากลัวหากมองลึกเข้าไป อันธการอ่านเนื้อหาทวนอีกรอบหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจนำกระดาษแผ่นนี้ไปเก็บใส่ในลิ้นชัก

               “เนื้อเพลงแปลกแต่น่าสนใจดีแฮะ พรุ่งนี้ลองมาบรรเลงดนตรีประกอบก็ไม่เลว” อันธการยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเหลือบสายตาไปทางหน้าต่างที่มีภาพสายฝนเป็นฉากหลัง เห็นดังนั้นก็รู้สึกง่วงขึ้นมา

               “น่าจะตื่นทันมาทำการบ้าน” อันธการเงยหน้าดูนาฬิกาที่เข็มสั้นชี้เลขสี่ เมื่อวางกำหนดการเสร็จแล้วก็ขึ้นเตียงนอน

               .

               .

               .

               บุ๋ง…

               “?”

               ความเย็นเชียบแทบจะซึมเข้ามาในผิว รู้สึกว่าร่างลอยคว้างโดยไม่ยึดกับสิ่งใด อันธการค่อย ๆ ลืมตาก่อนจะพบว่าโดยรอบนั้นมีแต่ความมืด… ไม่สิ เหนือศีรษะของตัวเขามีแสงมัว ๆ ส่องลงมา พอขยับตัวก็เพิ่งเอะใจว่าตนเองอยู่ในน้ำ

               ระหว่างที่จะว่ายขึ้นไปนั้นปลาทองสีสดตัวหนึ่งซึ่งมีขนาดพอ ๆ กับอันธการก็ว่ายวนเวียนที่รอบตัว  เขาเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงกับร่างกายที่ใหญ่เกินกว่าปรกติ แม้จะดูน่ากลัวบ้างแต่ก็ชวนหลงใหล ครีบบาง ๆ ที่ไล่สีจากส้มอมทองเหลืองเป็นใสเมื่อถึงปลาย  หัวสีส้มนั้นก็ดูนุ่มนิ่มน่าหยิก ลำตัวที่มีเกล็ดก็เรียงอย่างงดงาม มันเป็นประกายยามต้องแสงมัวจากด้านบน

               ในขณะที่กำลังตกอยู่ในห้วงความงาม เขาก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าก่อนหน้านี้ตนเองอยู่ในห้อง นึกได้ดังนั้นก็รีบว่ายน้ำขึ้นไปต่อ ระหว่างนั้นก็รู้สึกว่าร่างกายที่กำลังขยับอยู่มันแปลก ๆ แต่ก็ไม่อยากใส่ใจนักเพราะคิดว่าขืนอยู่นานเข้าได้ขาดอากาศแน่

               เดี๋ยว… ขาดอากาศ?

               อันธการฉุกคิดได้ว่าตนเองหายใจในน้ำโดยไม่ต้องเอาอากาศเข้าทางปาก ทว่าความคิดที่ว่านี่เป็นความฝันทำให้ไม่ได้ใส่ใจ

               วูบ…

               รู้สึกว่ามีบางอย่างไล่ตามหลัง พอหันไปมองก็พบว่าปลาทองตัวนั้นกำลังว่ายเข้ามาพร้อมกับปากที่อ้าออก ลางสังหรณ์ร้ายบอกว่ามันกำลังจะกินเขา

               เฮ้ย!

               อันธการรีบว่ายอย่างทุลักทุเล ทว่าไม่ทันไรภาพเบื้องหน้าก็กลับด้าน ไม่สิ ต้องกล่าวว่าศีรษะของเขานั้นมาอยู่ด้านล่างถึงเห็นภาพสลับกัน หลังจากนั้นร่างของเด็กชายก็ดิ่งลงสู่ที่ต่ำเมื่อกระเด็นออกจากแก้วน้ำที่ใหญ่เท่าอาคารสามชั้น พร้อมกับปลาทองที่ไหลตามน้ำ

               พอตกลงมาถึงพื้นก่อนที่ตัวจะเด้งขึ้นดึ๋งดั๋งแล้วนอนแผ่หลา เขาก็มองภาพโดยรอบว่าตนเองอยู่ที่ไหน สภาพที่เห็นเป็นบ้านเรือนไทยซึ่งมีต้นไม้เป็นขนมฟู ลำต้นก็เป็นแป้งขนมเบื้อง เนื้อภายในมีครีมหวาน ท่ามกลางใบไม้ที่เป็นแป้งขนมฝอยก็มีลูกชุบเป็นผล บางต้นรากอากาศเป็นฝอยทอง แม่น้ำก็เป็นกะทิ พื้นดินเปลี่ยนเป็นขนมชั้น และอีกสารพัดหลายอย่างที่จะสามารถแปรเป็นขนมได้ ทุกสิ่งอย่างล้วนมีลวดลายสีอ่อนเป็นกนก กระนั้นก็ดูเข้ากันราวกับเป็นลายแบบตะวันตก

               อะ--- อลิซในแดนมหัศจรรย์เรอะ?!

               ตอนนี้อันธการสับสนกับสิ่งที่ตนเองเจอมาก  เขาพยายามคิดว่านี่เป็นความฝัน และอดเปรียบเทียบกับนิทานที่ตนเองเคยอ่านตอนเด็ก ๆ ไม่ได้ เมื่อเริ่มชินกับสภาพโดยรอบก็หันไปมองว่าปลาทองมันจะตามมาไหม แต่ก็หาได้พบไม่ สิ่งที่เหลืออยู่คือแก้วน้ำที่ล้มลงนอนกับน้ำชาเขียวที่มีฟองนมอยู่ตรงฝั่งตรงข้าม และถูกคั่นกลางด้วยแม่น้ำกะทิ เห็นดังนั้นก็โล่งใจเพราะคิดว่าห่างมาพอสมควร อย่างน้อยปลาทองก็คงว่ายอยู่ในแม่น้ำนั่นแหละ

               “ว่าแต่ทำไมจู่ ๆ แก้วน้ำถึงล้มได้ล่ะ?” เด็กชายสวมแว่นพึมพำเบา ๆ ก่อนจะเดินบนพื้นขนมชั้นที่เรียบเนียนยืดหยุ่น แล้วเกิดความคิดว่าที่ตนเองตัวเด้งเมื่อถึงพื้นก็เพราะพื้นขนมชั้นนี่เอง

               ความรู้สึกที่ผ่านมาชัดเจนมาก บางทีนี่อาจจะไม่ใช่ความฝัน แล้วทีนี้จะทำยังไงต่อดีล่ะ?

               รู้สึกกังวลใจขึ้นมา และเผลอนึกถึงเนื้อเพลงที่เจ้าของเสียงนั้นให้ อันธการคิดว่าต้องเป็นเพราะมันแน่ ๆ ที่ทำให้ตนเองพบกับความฝันเช่นนี้

               “ค่ะ ค่ะ คน?!”

               ในขณะที่นั่งลงกับพื้นพร้อมกุมหน้าผาก ก็มีเสียงเล็กแหลมใสดังขึ้นจากด้านขวา พอหันไปมองก็พบว่าเป็นกระต่ายสีชมพูที่สะพายแครอทไว้ด้านหลังกับเชือก  มันมีสีหน้าตกตกตะลึงสุด ๆ อันธการมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกเดียวกัน

               พูดได้ด้วย?!

               “ฮึบ!” ระหว่างที่เหม่ออยู่นั้นเจ้ากระต่ายก็ยกมีดที่ยาวกว่าตัวฟันเข้าที่เด็กชาย แต่ดีที่หลบได้เลยไม่เป็นไร “ทำอะไรของเธอนี่ ฉันเกือบตายแล้วนะ!”

               “ก็หวังให้ตายน่ะสิ” หน้าตาใสซื่อกับคำพูดช่างขัดแย้งกันเหลือเกิน อันธการแทบจะกุมขมับเพราะไม่รู้จะอธิบายสิ่งมีชีวิตตัวนี้อย่างไรดี

               “ช่วยบอกเหตุผลมาหน่อยได้ไหมว่าทำไมถึงอยากฆ่าฉัน?”

               “ก็เพราะเป็นคนไง”

               “ช่วยขยายความทีครับ”

               “ที่นี่ไม่มีคน เพราะฉะนั้นถ้ามีคนก็ถือว่าเป็นตัวแปลกประหลาด” อันธการค่อย ๆ ก้าวถอยหลัง รู้สึกว่ารอบตัวกระต่ายสีชมพูมีรังสีอันตรายแผ่ออกมา เขาคิดว่าสถานการณ์ตอนนี้ขำไม่ลงแล้วล่ะ

               “เดี๋ยว ๆ ใจเย็นก่อน ถึงฉันจะเป็นตัวประหลาดสำหรับโลกนี้ แต่ฉันยังไม่ได้สร้างความเดือดร้อนเลยนะ!”

               “ทำไมจะไม่ได้ทำ ในเมื่อเธอเป็นคนทำแก้วน้ำชาเขียวนมหก ที่สำคัญกว่านั้นคือทำให้เกลอหนีออกไปได้!” หากนี่เป็นการ์ตูน อันธการคงเห็นกระต่ายตัวนี้กำลังควงมีดเตรียมสับตัวเขา

               “เกลอ? ใครน่ะ?”

               “ก็ปลาทองไง! อย่าทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นนะ!

               “เอ๊า! ก็คนมันไม่รู้จริง ๆ นี่ เจ้ากระต่ายงี่เง่า!” เด็กชายสวมแว่นนึกถึงปลาทองที่ไล่งับตนเอง พอคิดถึงมันแล้วก็อดจะขนลุกไม่ได้ สิ่งมีชีวิตแบบนั้นปล่อยให้หนีไปได้ จะเป็นการโปรดสัตว์อย่างยิ่งในความคิดของเขา

               “อ้าว ทำอะไรอยู่เหรอจ๊ะ?” เสียงใสที่แฝงความอ่อนโยนดังขึ้นใกล้ ๆ พวกเขา ทั้งสองที่กำลังขู่กรรโชก (?) หันไปมองผู้มาใหม่ ก่อนจะพบกับแมวสีนวลที่กำลังแย้มปากเพื่อยิ้ม เขี้ยวเล็ก ๆ นั้นทำให้ดูน่ามันเขี้ยวบอกไม่ถูก

               “นวล! ดูสิ ๆ มีตัวประหลาดเข้ามาที่โลกเราล่ะ”

                “ตัวประหลาด…” แมวเจ้าของนามนวลมองอันธการอย่างแปลกใจ ก่อนจะยิ้มบาง ๆ ให้ “ความฝันกำลังซ้อนทับอยู่สินะ”

                “ความฝันกำลังซ้อนทับ?” อันธการทวนคำอีกฝ่าย นวลพยักหน้าก่อนจะกล่าวต่อ “ จ้ะ เธอกำลังฝันในขณะหลับอยู่ แต่โลกนี้เป็นความฝันที่เชื่อมต่อกับโลกของเธอ ฉะนั้นประสาทสัมผัสของร่างกายจะรู้สึกชัดเจน และจะส่งผลไปยังร่างจริงด้วย”

                “ร่างจริง… ตัวเราในโลกเดิมสินะ” อันธการพยายามทำความเข้าใจและยอมรับมัน แม้จะเหลือเชื่อจนอดว่าตนเองไม่ได้ว่าเพ้อฝันอยู่ แต่เรื่องแบบนี้บางครั้งก็เอามาล้อเล่นไม่ได้

                “จ้ะ จริงสิ รูปร่างก็จะเปลี่ยนไปด้วยนะ” นวลหยิบกระจกออกมาจากกระเป๋าที่สะพายอยู่ พออันธการรับมาส่องหน้าเขาก็แทบจะโยนมันทิ้งเสียเดี๋ยวนั้น เมื่อพบว่าร่างกายตนเองหดเหลือเพียง ๑๐ เซนติเมตร แถมศีรษะยังใหญ่กว่าลำตัวเหมือนตัวการ์ตูนขนาดย่อไม่มีผิด

                “ทำไมร่ายกายฉันถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้ล่ะ?!” อันธการวิตกในใจขึ้นมา เขาแทบจะไม่เชื่อสายตาตนเอง “อย่ากังวลไปเลย ร่างกายของเธอเป็นเฉพาะในโลกนี้เท่านั้นแหละ พอตื่นไปที่โลกเดิมก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมน่ะจ้ะ” นวลอธิบายต่อและพยายามปลอบไม่ให้เด็กชายตระหนกไปมากกว่านี้

                “อธิบายเสร็จยังจ๊ะ …ฉันจะได้เชือดเจ้าสิ่งแปลกปลอมนี่เสียที” แววตาของกระต่ายสีชมพูราวกับมีเส้นแสงแวบผ่าน อันธการละความสนใจจากเรื่องเมื่อครู่ เขารู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก  และพยายามจ้องตาอีกฝ่ายจนเหมือนเป็นสงครามประสาท นวลเห็นภาพเบื้องหน้าก็ทำได้เพียงแต่ยิ้มแห้ง ๆ พร้อมกับเหงื่อที่ไหลเท่านั้น

                “ใจเย็นก่อนสิชาเย็น ฉันอยากอธิบายให้เขาเข้าใจก่อน เธอเองก็ไม่ควรลงไม้ลงมือนะ” กระต่ายสีชมพูเจ้าของนามชาเย็นเก็บมีดที่เอามาจากไหนก็มิอาจทราบได้ เธอมีสีหน้าซึมลงไปจนอันธการรู้สึกเอ็นดูขึ้นมา

                “ต่อนะจ๊ะ …อยากที่บอกไปว่าแม้จะเป็นโลกความฝัน แต่ก็จะส่งผลต่อร่างจริงและจิตใจของเธอด้วย ฉะนั้นการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จึงควรระวังมาก ๆ และเส้นทางในแต่ละแห่งจะสับเปลี่ยนไปมาครั้งละ ๑ รอบต่อสามชั่วโมง  แต่หากเราทำใจให้เป็นสมาธิก็จะเห็นว่ามันกลับมาเป็นเหมือนเดิมแหละจ้ะ”

                “แล้วฉันจะออกจากที่นี่ได้ยังไงล่ะ? ถ้าฉันนอนหลับฝันในคืนพรุ่งนี้จะเจอแบบนี้อีกรึเปล่านะ” อันธการคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องตลกแล้ว เพราะหากมีอันตรายต่อตัวเขาในความฝันโลกความจริงก็จะได้รับผลกระทบด้วย นวลเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบเบา ๆ

                “ต้องเจออีกจ้ะ …แต่ถ้าไม่อยากเจอฉันจะใบ้วิธีแก้ให้นะ” นวลจ้องตาอันธการอย่างเด็ดเดี่ยว จนอันเจ้าตัวนิ่งไปเพราะไม่ทันตั้งตัวกับกิริยาที่เปลี่ยนไปของแมวตัวนี้ “เธออยากให้โลกนี้เป็นอย่างไร ตัวเธอก็ต้องเป็นอย่างนั้นล่ะจ้ะ”

                “หมายความว่า… ต้องแก้ที่ตัวฉันก่อนสินะ?”

 ทีแรกอันธการคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะการที่คนเราจะฝันนั้นเกิดจากจิตใจคนเรา ซึ่งอาจเป็นเพราะต้องระบายความเครียดหรือสิ่งที่อยู่ในจิตใจ จนต้องสร้างภาพหลายอย่าง ขึ้นมาไม่ก็อาจเป็นเพราะจิตหลุดออกจากร่างแล้วออกไปเจอกเหตุการณ์ต่าง ๆ แต่พอมาคิดดูอีกทีก็คิดว่าไม่น่าใช่ …เพราะดวงตาของอีกฝ่ายเป็นประกายระริกราวกับมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่

                ดวงตาเด็ดเดี่ยวแบบนั้น… เธอคงไม่ได้โกหก แต่มีเรื่องอีกอย่างที่ยังไม่ได้บอก

                อันธการเผลอเงียบตามนวลที่หยุดเอ่ยไปด้วย เขาก้มหน้าลงแล้วถอนหายใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นด้วยความรู้สึกที่ดีกว่าเดิมเล็กน้อย

                อย่าคิดมากน่า

                “ตอนนี้ฉันอยากตื่นแล้ว ช่วยพาออกไปทีสิ” อันธการกล่าวหลังจากลังเลใจครู่หนึ่งว่าจะอยู่ต่อหรือออกไป “เสียใจด้วยนะจ๊ะ …ตอนนี้เธอยังออกไปไม่ได้หรอกจ้ะ”

                “ฮ่ะ ฮะ?” เด็กชายสวมแว่นร้องออกมาอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะ? หรือต้องรอให้ร่างกายตื่นเอง”

                นวลส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วเงียบไป อันธการเดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายไม่รู้ ไม่อยากตอบ หรืออธิบายไม่ถูกกันแน่

                “เอาล่ะ อย่างน้อยที่นี่ก็น่าจะมีที่พัก ใช่หรือเปล่า?”

                “มีสิ! แต่ไม่ให้พักที่ของฉันหรอกนะ แบร่!”

                จู่ ๆ ชาเย็นที่ยืนเงียบอยู่นานก็ตอบแทนนวล อันธการอุตส่าห์โล่งอกที่มันเป็นอย่างนั้นก็ทำหน้าบอกบุญไม่รับ

                ใครจะไปอยากนอนที่บ้านหล่อนกัน?

                บางทีเด็กชายผมสีงาช้างก็อดคิดไม่ได้นะ ว่าเจ้ากระต่ายสีชมพูตัวนี้หลงตัวเองหน่อย ๆ

                หลังจากนั้นทั้งสองตัวกับหนึ่งคน (?) ก็ออกเดินเพื่อไปยังบ้านของตน ก้าวตาม               บันไดที่เป็นขั้นจากหนังสือ พอมาอยู่ที่สูงแล้วจึงเห็นว่าพื้นที่แต่ละแห่งอยู่ในหน้าหนังสือ แต่ทั้งหมดก็หาใช่กระดาษไม่  ส่วนบนท้องฟ้านั้นเป็นเยลลี่สีฟ้าคราม ปุยเมฆก็คือครีมที่จับตัวกัน

               อันธการมองภาพสิ่งต่าง ๆ อย่างเพลิดเพลิน แล้วเริ่มเปลี่ยนความคิดว่าที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร หากไม่ตั้งตนอยู่ในความประมาท ในขณะนั้นเขาก็เห็นสายฝนที่โปรยปรายเป็นเม็ดใหญ่ ๆ เขาหยุดกึกแล้วมองมันอย่างเหม่อลอย น่าแปลกนักทั้งที่เกลียดแสนเกลียดและร่างกายปฏิเสธ แต่ตอนนี้มันกลับดึงดูดเขาเหลือเกิน

               โดยเฉพาะลวดลายในหยดฝนที่เหมือนมีคริสตัลหรือผงเพชรบรรจงแต่ง…

ภาพนั้นยังคงดำเนินต่อไป นวลกับชาเย็นไม่ได้สังเกตว่าเขาหยุดจึงเดินไปก่อน ระหว่างนั้นมุมของกระดาษ ณ ที่แห่งหนึ่งก็ถูกน้ำฝนหยดใส่ และแผ่วงกว้างจนค่อย ๆ เปียกและสลายหายไป

               ---พื้นที่โลกความฝันถูกกลืนกิน---

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา