The Water's Pure Heart: ดวงใจของสายน้ำ

-

เขียนโดย Valentinlover

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 22.14 น.

  56 ตอน
  0 วิจารณ์
  43.65K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 10.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

22) อ๊อดกับเมืองฟ้า.. ความสัมพันธ์..

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

         

กลับถึงห้องเมืองฟ้าก็เอากับข้าวที่ซื้อมาไปใส่จาน  อ็อดวางกระเป๋าแล้วมองเมืองฟ้าทำอะไรของเขาไปเรื่อย

ถ้าจะลำดับความของความสัมพันธ์ของเขากับเมืองฟ้า 

ความสัมพันธ์ที่เวียนมาครบรอบปีเมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา  ทั้งหมดเริ่มจากวันนั้น

วันหนึ่งกลางเดือนเมษายน  หลังสงกรานต์  ในช่วงปิดเทอมใหญ่ก่อนขึ้นม.หก

 

วันนั้นอ็อดกำลังเซ๊งสุดขีดกับการประกวดดนตรีที่พึ่งจบลงด้วยชัยชนะของจุ๊ยอย่างงดงามในประเภทเครื่องเป่า  แต่เขากลับพลาดในประเภทเครื่องสาย  เพราะความตื่นเต้นในรอบชิงชนะเลิศ

ก็ไม่ใช่ว่าจะอิจฉาจุ๊ยหรอก เพราะเขารู้ดีว่าจุ๊ยกับเขาต่างกันมากๆ  ต่อให้เขาจะนับเป็นมือหนึ่งเรื่องเครื่องสายของโรงเรียน  แต่ถ้าเทียบกับความสามารถที่อ๊อดอยากบอกว่าเหนือคนของจุ๊ยแล้ว  เขาก็เทียบไม่ได้จริงๆ  เพราะแม้แต่เครื่องสายที่ไม่ใช่เครื่องดนตรีถนัด  จุ๊ยก็ขาดแค่ทักษะการเล่นบางอย่างเท่านั้น  แต่ก็เกือบเทียบได้กับเขาเลยทีเดียว

แต่ที่ทำให้เขาต้องมานั่งเหงาอยู่นี่เพราะเซ็งความตื่นเต้นของตัวเอง

ตอนนั้นนึกๆ ก็เลยเอาไวโอลินมาสีแก้เบื่อ

เขาเล่นเพลง Sad Romance ให้กับเขากับอารมณ์ของตัวเอง

เขาเล่นไปตามอารมณ์  ในส่วนหย่อมเล็กๆข้างหอพักที่แทบจะร้างเพราะผู้เข้าพักส่วนใหญ่จะเป็นเด็กนักเรียน ซึ่งก็กลับบ้านหมด เพราะเป็นช่วงปิดเทอม  แต่อ๊อดไม่มีบ้านให้กลับ... อย่างน้อยที่สุดนั้นก็ไม่ใช่บ้านเขา

อ๊อดปล่อยอารมณ์ไปกับบทเพลง  หลับตาลง 

กระทั้งเพลงจบ  กลับมีเสียงปรบมือดังขึ้น

พอเขาหันมาก็เห็นร่างกะทัดรัดของเด็กหนุ่มยืนอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตดำกางเกงขาสั้นแดง  ยิ้มให้เขาและปรบมืออย่างตั้งใจ  ในแสงอาทิตย์ยามเย็น  เขารู้สึกราวได้เห็นเทวดาตัวน้อย

 

“เราพึ่งย้ายมาน่ะ” เมืองฟ้ากล่าวขณะนั่งร่วมโต๊ะกินข้าวกันในร้านอาหารตามสั่ง

“พอดีหอที่เราอยู่ก่อนหน้ามันแพงเกิน  เราก็เลยย้ายมานี่  เพราะเขาว่าถูกมาก  โรงเรียนก็ชอบมาเช่าให้เด็กทุนอยู่”

“ตอนนี้ย้ายไปหมดแล้วหล่ะ  เพราะอ๊อดเป็นรุ่นสุดท้ายแล้วที่โรงเรียนจะมาเช่าที่นี่  เพราะ เขามีหอใหม่ใกล้ๆโรงเรียน แล้วอาจารย์คนหนึ่งก็เป็นเจ้าของหอด้วย ก็เลยได้ราคาดีกว่า ส่วนอ๊อดนไม่ได้ไป เพราะห้องที่นั้นมันเต็ม” อ๊อดตอบ

เมืองฟ้าเงียบอยู่นิดหนึ่งเหมือนช่างใจก่อนจะถาม

“ทำไมอ๊อดเศร้าจังเลย คือเมืองอาจเล่นดนตรีสากลไม่เป็นนะ แต่ชอบฟังมากๆ  โดยเฉพาะไวโอลิน  แต่เสียงไวโอลินของอ๊อด เมืองว่ามันเศร้าจัง มีเรื่องอะไรรึเปล่า”

อ๊อดมองจานกระเพราะหมูที่กินอยู่

“วันนี้อ๊อดไปแข่งดนตรีรอบชิงมา  แล้วแพ้น่ะ” เขาตอบ แล้วตักข้าวขึ้นกิน  เคี้ยวจนหมดคำ

“อ๊อดตื่นน่ะ เล่นผิดหลายครั้งเลย  ก็เลยโดนตัดคะแนน  เลยแพ้”

เมืองฟ้าได้ฟังก็ถอนหายใจ

“น่าเสียดายเนอะ  อุตส่าห์มาถึงรอบชิงแท้ๆ”

“อืม... อ๊อดหวังไว้เยอะเลยหล่ะ  กะว่าถ้าชนะเลิศจะเอาเงินรางวัลไปซื้อไวโอลินใหม่  แต่นี่ก็อดไป”

แล้วก็หันมองกล่องไวโอลินข้างตัว

“อันนี้มันเก่ามากแล้ว แต่มันไม่ใช่ของดีอะไร  ก็เลยจะพังอยู่แล้ว  วันนี้ก็เอามันไปเหมือนกันนะ  แต่ครูอติบอกให้ใช้ตัวที่ครูเขาเอามาแทน”

เมืองฟ้าพยักหน้า

“เพราะไม่ถนัดหรือเปล่า แบบว่าใช้ไวโอลินที่ไม่ถนัดมืออะไรอย่างนี้ไง”

อ๊อดหัวเราะดังหึ

“แต่ไวโอลินตัวนั้นเป็นไวโอลินที่อ๊อดซ้อมประจำเลยนะตอนอยู่โรงเรียน”

“อ้าว” เมืองฟ้านิ่งทำหน้าเจื่อน

“ไปไม่เป็นเลยแฮะเรา  กะจะปลอบใจอ๊อดซะหน่อย”

อ๊อดยิ้มกับเสียงหัวเราะแหะๆของเมืองฟ้า

“ไม่ต้องแล้วหล่ะ  อ๊อดสบายใจแล้ว”

เขากล่าวแล้วก็ก้มหน้ากินต่อไป

“ก็ยังดีได้ที่สอง”

เมืองฟ้าสะดุด

“อ้าว... ได้ทีสอง... เมืองก็คิดว่าไม่ได้อะไรเลย”

“โอ้โห ได้ที่สองก็แย่แล้ว”

“อ้าวก็นึกว่าตกรอบ”

“จะตกได้ยังไง ก็บอกว่าเข้าชิง”

“เข้าขิงกันกี่คน”

“ก็สิบคน  แต่ถ้ารวมของรอบแรกก็ราวๆ ร้อยกว่าคนได้”

“โอ๊ยแล้วจะเสียใจทำไมเนี่ย... ได้ที่สองจากคนเป็นร้อยก็เก่งจะแย่แล้ว”

“แต่ไอ้จุ๊ยได้ที่หนึ่ง” “นั้นมันจุ๊ย...เขาเป็น Exceptional person ครูอติก็บอกอย่างนั้นนี่”

“ก็รู้  แต่ที่พูดไม่ได้อิจฉานะ  แต่ว่าแค่รู้สึกแย่เพราะเล่นพลาด  อยากจะเป็นเหมือนมันบ้าง เล่นไม่พลาดเลย”

“ก็ไม่เหมือนกัน  เราคือคนธรรมดา  แต่นั้นมันยอดมนุษย์  ได้ข่าวว่าเขาหูดีมากเลยนี่  แถมฟังเพลงที่เดียวก็เขียนโน้ตได้แล้ว เรามันคนธรรมดา  แค่นี่ก็เก่งมากแล้วอ๊อด...”

เมืองฟ้ากับอ๊อดเคยเห็นหน้ากันบ่อยๆอยุ่แล้ว เพราะเมืองฟ้าอยู่ชมรมดนตรีไทย  มักซ้อมถึงตอนเย็นๆเหมือนกัน  อย่างนี้กระมังทั้งสองจึงรู้คุยกันได้ถูกคออย่างรวดเร็ว

เมืองฟ้าแม้จะอยู่กลุ่มพวกอิมและเจ๊เหมียว  แต่บุคลิกของเมืองฟ้าไม่ได้ออกสาวเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ  เขาแค่ดูสะอาดสะอ้านเรียบร้อย  ไม่แต่งหน้าแต่งตา  แถมเวลาคุยกันนานๆจะพบว่าเมืองฟ้าเป็นคนพูดตลกได้ดีไม่แพ้ใคร  เพียงแต่ไม่ค่อยคุยกับใครก่อนก็เลยเหมือนเป็นคนไม่ค่อยพูด

 

เมืองฟ้าแกะห่ออาหารแล้วก็ยกมาวางที่โต๊ะญี่ปุ่นที่อ๊อดลากออกมากาง

ระหว่างกินกันไปเงียบๆ  เมืองฟ้าก็ตักไก่ชิ้นใหญ่ให้

“อ้าว... เมืองชอบไก่นี่” อ๊อดท้วง

“ไม่เป็นไร  นี่อ๊อดกินเยอะๆ เถอะ จะได้อ้วนๆ”

“อ้าว...ถ้าอ๊อดอ้วนเมืองก็เบืออ๊อดดิ”

เมืองฟ้ายิ้มละไม

“ไม่หรอก... ไม่แน่นอน”

อ๊อดยิ้มตอบ

“ไม่ทิ้งกันใช่ไหม”

“เปล่า... ไม่อยู่แน่นอน” เมืองฟ้าตอบแล้วหัวเราะเสียงใส

“งั้นนี่... มาแบ่งกันจะได้อ้วนคู่กันไปเลย” แล้วอ๊อดก็แบ่งไก่ออกเป็นสองส่วนตักใส่จานของเมืองฟ้า

“เป็นหมูเหมือนๆกันไง  หมูสองตัว”

แล้วก็ประสานหัวเราะกัน

 

แล้วพวกเขากลายจากเพื่อนเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร  ก็คงต้องย้อนไปถึงฝนหลงฤดูที่ตกมาหลายวัน และตกหนักมากๆวันนั้น

อ๊อดผิวปากสบายอารมณ์แข่งกับเสียงฟ้าร้องสนั่น  แม้จะเปียกไปครึ่งตัวแต่ก็ยังดีที่ท่อนบนไม่เปียกด้วยร่มที่แย่งมาจากไอ้จุ๊ย

ป่านนี้จุ๊ยคงเปียกฝนเป็นลูกหมา  นึกแล้วสะใจได้แก้แค้นที่มันแกล้งเอาร่มของเขาไปซ่อนแถมทำหายจริงๆอีกต่างหาก

แต่พอเปิดประตูห้องเท่านั้น  เข่าอ่อนแทบทรุด

“เหี้ย... ทำไมกรรมมันตามทันแต่กู...  กูลืมปิดประตูระเบียงงงง”

 ตอนนี่เมืองฟ้าขึ้นมาเห็นอ๊อดก็คือเห็นอ๊อดนุ่งกางเกงขาสั้นตัวเดียวทำความสะอาดห้องที่เปียกและกระจุยกระจายไปหมดด้วยเดชพายุฝน

“เกิดอะไรขึ้น... มีใครร่ายเวทย์พายุในห้องนี้เหรอ”

เมืองฟ้าไม่เปียกมากนัก  คงเพราะรอให้ฝนหยุดก่อนแล้วค่อยเดินเข้าซอยมา

“เวทย์อะไรเล่า... ลืมปิดประตูระเบียง” อ๊อดบอกก็ใช้ผ้าซับน้ำบิดลงถัง

“ฝั่งอ๊อดฝนสาดเต็มๆ  ถ้าลืมปิดประตูก็เรียบร้อย  ทั้งลมทั้งฝน”

เมืองฟ้าเดินเข้ามาดู

“หมดเลยเนอะ ทั้งเสื้อผ้าทั้งที่นอน” เขากล่าวอย่างไม่ทันคิด

พอหันมาเห็นอ๊อดทำตาขวางก็ยิ้มแห้งๆ

“ขอโทษ”

แล้วเมืองฟ้าก็มาช่วยอ๊อดเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายจนเสร็จ  แต่กระนั้นที่นอนก็ยังเปียก

“แล้วจะนอนยังไง” อ๊อดเกาหัวแกรก

เมืองฟ้ามองหน้าอ๊อดก่อนจะกล่าว

“ไปนอนห้องเมืองไหมหล่ะ”

แล้วทั้งสองก็สบตากันใน  แม้เสียงฟ้าที่ร้องสนั่นอยู่ข้างนอกก็เรียกให้ทั้งคู่หันเหไม่ได้

 

“เรานอนบนพื้นก็ได้นะ” อ๊อดบอก

“จะนอนยังไง  พื้นเย็นจะตาย”  เมืองฟ้าตอบพลางใช้ผ้าเช็ดผมแรงๆ

“ก็... เอาอะไรมาปูนอนเอา”

“เอาอะไรหล่ะ  ห้องนี้มีผ้าห่มผืนเดียว  คือเมืองยังไม่ได้ซื้อเพิ่มนะ ตอนย้ายเห็นมันหนักเลยไม่เอามาด้วย”

แล้วทั้งคู่ก็เงียบอีก

“นอนเบียดกันก็ได้มั้ง อุ่นดี” อ๊อดว่าแล้วนั่งลงข้างๆตัว

เมืองฟ้าไม่รู้หรอกว่าตัวเองหน้าแดงจนเป็นลูกตำลึง

“เอางี้สิ” เมืองฟ้าเสนอ

“เมืองจะเอาผ้าปูเตียงห่มตัว  ส่วนอ๊อดก็เอาผ้าห่มนี่ลงไปปูนอน”

“ไม่ต้องหรอก” อ๊อดตอบ

“ก็นอนด้วยกันนี่ล่ะ  ทีเวลานอนในค่ายรด.ยังนอนกันได้  หรือเมืองคิดอะไรกับอ๊อด”

เมืองฟ้าถึงกับอึกอัก

“ไม่ได้คิด... เหม่ก็เพื่อนกันนั้นหละ เอาถ้าอ๊อดไม่เป็นฝ่ายกลัวเอง  เมืองก็ไม่เห็นต้องกลัวนี่”

 

อ๊อดเป็นคนขี้เซาอยู่แล้ว  ตอนแรกก็แปลกๆ แต่พอคุ้นเคยก็หลับไป  คงเพราะความเหนื่อยจากการทำความสะอาดห้อง

กระนั้นเพราะไม่ได้นอนร่วมห้องกับใครมานานมาก นับตั้งแต่ไอ้ไก่ลาออกไป  อ๊อดก็เลยรู้สึกตัวขึ้นกลางดึก

เขาหันไป เห็นเมืองฟ้าก็หลับสนิท  คงเหนื่อยเหมือนกัน

จะว่าไปเมืองฟ้าก็มีโอกาสลักหลับเขาได้ง่ายๆ

แต่สำรวจแล้วกางกุงกางเกงก็ยังปกติ ไม่ร่องรอยล่วงละเมิด  อวัยวะสำคัญก็ปกติดีไม่ได้โดนทำอะไรแน่นอน

เขาก็เลยล้มตัวลงนอนต่อ

 

วันรุ่งขึ้นอ๊อดกับเมืองฟ้าก็เลยช่วยกันเอาผ้าของเมืองฟ้ามาตากดาดฟ้าตึก

“เมืองเป็นคนเชียงรายโดยกำเนิดหรือเปล่า” อ๊อดถามตอนตากผ้า

“อืม... แต่อย่าชวนอู้กำเมืองกันนะ  เพราะเมืองถูกเลี้ยงมาแบบไม่ได้ให้พูด  แถมยังมาเรียนกรุงเทพตั้งแต่เด็ก” เมืองฟ้าตอบแล้วเอาไม้หนีบหนีบผ้าปูเตียงไว้

“อ้ออยู่นี่กันเอง” แม่บ้านที่ดูแลอพาร์ทเม้นท์เดินขึ้นมา

“มีคนโทรมา  บอกว่าเรื่องด่วน ลงไปรับโทรศัพท์เร็วๆ”

ตอนที่เมืองฟ้าลงมาอ๊อดก็ยืนมองโทรศัพท์ค้างอยู่อย่างนั้น  เขาคุยไปแล้วและวางสายไปแล้ว

“เมือง  อ๊อดขอยืมสักพันได้ไหม  เอาไว้เบี้ยเลี้ยงซ้อมปิดเทอมออก อ๊อดคืนให้”

เมืองฟ้ามองหน้า

“เอาไปทำอะไรเหรอ”

“มีอะไรรึเปล่าอ๊อดหน้าซีดมากเลยนะ”

อ๊อดหลับตาเพื่อสงบใจ

“อ๊อดจะไปเชียงใหม่”

 

กลายเป็นว่าทั้งอ๊อดและเมืองก็นั่งรถทัวร์ไปเชียงใหม่ด้วยกัน  แต่อ๊อดนั่งเงียบตลอดเหมือนครุ่นคิด

พอถึงจุดพักรถ

อ๊อดก็กินข้าวต้มไปแค่นิดเดียว

“มันมีอะไรด่วนหรือเปล่าที่เชียงใหม่” เมืองฟ้าถามตอนนั่งรอเวลาขึ้นรถ

“มีใครที่บ้านเป็นอะไรหรือเปล่า”

อ๊อดหันมามองหน้าเมืองฟ้า

“อ๊อดไม่มีหรอกพ่อกับแม่นะ  เพราะท่านเสียไปนานแล้ว  อ๊อดเป็นเด็กที่เขาเก็บมาเลี้ยง “

“อ๊อดโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในโบสถ์คริสต์  โตมาชีวิตอ๊อดก็มีแค่เพื่อนที่โตมาด้วยกันกับ พี่เลี้ยงที่เป็นผุ้ชายสองคน”

อ๊อดเล่าด้วยเสียงพอได้ยินกันสองคน  แต่กระนั้นอ็อดกับเมืองฟ้าก็ต้องเอาหัวชนกัน

“ต่อมาก็มีครอบครัวหนึ่งเอาอ๊อดไปเลี้ยง  เป็นคู่สามีภรรยา ที่ไม่มีลูก ตอนนั้นอ๊อดประมาณแปดขวบ”

“ตอนแรกก็เหมือนจะดี  แต่อยู่มาวันหนึ่งน้าผู้ชายก็มีท่าทีเปลี่ยนไป”

“น้า” เมืองฟ้าทวนคำ

“อืม เขาให้อ๊อดเรียกว่าน้า”

อ๊อดตอบ  แล้วเขาก็นิ่งไปสักพัก ก่อนเล่าต่อ

“ตอนนั้นอ๊อดอายุได้สิบสาม  หลังจากนั้นได้ไม่กี่วัน  อ๊อดกำลังหลับอยู่ในห้อง  อยู่ดีๆน้าก็มาลูบเป้าของอ๊อด  แล้วเขาก็ทำให้อ๊อดจนเสร็จ”

“หือ” เมืองฟ้าผละออกมา

“อะไรนะ”

“เบาๆสิ” อ๊อดปราม

เมืองฟ้าจึงเอนกลับมาเหมือนเดิม

“อ๊อดโดนน้าผู้ชายทำอย่างนี้บ่อยๆ  จนกระทั้งขึ้นม.สาม  มันก็มากขึ้นเรื่อยๆ  ตาม อายุของอ๊อดนั้นหล่ะ ที่สุดอ๊อดก็ต้องทำทางประตูหลังให้น้าผู้ชาย เป็นอย่างนี้เกือบทุกสัปดาห์ที่น้าผู้หญิงที่เป็นพยาบาลเข้าเวรไม่กลับบ้าน”

แล้วอ๊อดกินิ่งไป

“จนกระทั้งวันหนึ่ง  น้าผู้หญิงเกิดกลับมาเจอพอดีตอนเรามีอะไรกัน  น้าผู้หญิงไม่ได้ว่าอ๊อดสักคำ  แถมเอาเงินให้อ๊อดร้อยหนึ่ง  บอกให้นั่งรถไปหาอะไรกินที่เซนทรัลแอร์พอร์ต”

“พอกลับมา ก็เจอตำรวจเต็มบ้าน  ปรากฏว่า  น้าผู้ชายพลั้งมือฆ่า น้าผู้หญิงตายเพราะมีปากเสียงกันรุนแรง  น้าผุ้ชายถูกพิพากษาจำคุกยี่สิบปี  ส่วนอ๊อดก็ได้ทุนของโรงเรียนจากความสามารถด้านดนตรี”

ตอนนี้อ๊อดมีน้ำตามาอาบแก้ม

“น้าผู้หญิงรักอ๊อดมากเลยนะ ท่านดูแลอ๊อดเหมือนแม่แท้ๆ แต่ที่จริงน้าผู้ชายก็เหมือนกัน  แต่อ๊อดอดคิดไม่ได้ว่า  นั้นเป็นเพราะเขาต้องการให้อ๊อดมีความสัมพันธ์กับเขาหรือเปล่า”

“อ๊อดไม่รู้ว่าตัวเองควรโกรธหรือทำยังไงดี หรือรู้สึกยังไงกับน้าผู้ชาย  ดังนั้นสามปีที่ผ่านมา อ๊อดถึงไม่เคยกลับไปเชียงใหม่เลย  เพราะถ้าไม่กลับไป  อ๊อดก็ไม่ต้องลำบากใจ และต้องไปเจอกับเขาอีก”

เมืองฟ้ามองอ๊อดร้องไห้

เขาไม่รู้จะทำยังไง  ก็เลยเอามืออ๊อดมากุมไว้

อ๊อดก็ซบหัวลงบนไหล่ของเขา  น้ำตาเปียกลงมา

 

การเผชิญหน้าของอ๊อดกับน้าที่รับเขาไปเลี้ยงเป็นไปอย่างเงียบกริบในช่วงแรก

บนเตียงมีร่างของชายที่ผ่ายผอมนอนอนอยู่ เขายังพูดได้ แต่ไม่ได้พูดมองอ๊อดด้วยแววตาที่สะสมด้วยความเศร้า

“ผู้ป่วยเป็นภูมิคุ้มกันบกพร่อง  คงจะติดเชื้อตอนคุมขัง  เพราะไม่ได้รับการดูแลสุขภาพอนามัยที่ดี  ตอนนี้ก็เลยหนักด้วยโรคสารพัด” พยาบาลอธิบายกับทั้งสองคนก่อนจะเข้ามาในห้อง

“คนไหนคือ อธิชัย” เธอถาม

อ๊อดก็แสดงตัวด้วยการยกมือขึ้นเสมอหู

“คนไข้เขาต้องการพบเธอมาก  ก็เลยขอร้องให้พี่ช่วยติดต่อ  พี่ก็โทรไปที่โรงเรียน เจอกับอาจารย์เวร  เขาเลยให้บอกว่าจะประสานงานให้”

 

ทั้งสองยังคงเงียบกริบ  โดยมีเมืองฟ้านั่งอยู่ห่างออกไปไม่เท่าไหร่  เขาหันไปมองผู้ป่วยคนอื่นเป็นระยะๆเมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหว

“น้าขอโทษ” ที่สุดขายบนเตียงก็กล่าวออกมา

“น้าเป็นคนผิดทั้งหมดในเรื่องที่เกิดขึ้น”

เมืองฟ้ามองหน้าอ๊อดเพื่อค้นหาแววตาของความรู้สึก  แต่แววตาของตอนนี้มันอ่านอะไรไม่ได้  อย่างน้อยที่สุดคือเกินความสามารถของเมืองฟ้าที่จะล่วงรู้

“แกไม่ต้องให้อภัยน้าก็ได้  เพราะน้าเป็นคนทำเรื่องทั้งหมด  เพราะน้ายับยั้งชั่งใจตัวเองไม่ได้”

อ๊อดก็ยังเงียบ

“แต่น้าอยากจะบอกอะไรแกไว้อย่างหนึ่ง จะได้ไม่ต้องทำผิดเหมือนน้า” แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นเพดาน

“ความผิดของน้าเกิดจากการที่น้าเกรงกลัวสายตาคนอื่น  กลัวคนอื่นจะนินทา  น้าเลยทำให้ชีวิตของน้าผู้หญิงของแกแหลกสลาย  ขออย่างเดียว  ในเมื่อน้าทำเรื่องแบบนั้นกับแกไปแล้ว  น้าก็กลัวมันจะตกถึงในใจแก  น้าอยากให้แกไม่ปฏิเสธตัวเอง  ไม่ว่าแกจะเป็นยังไง  และอะไร  อย่าลากเอาคนอื่นมาพัวพัน  หรือเป็นเครื่องกำบังให้แก  เพราะเวลามีปัญหาคนเหล่านั้นจะต้องเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าแก”

อ๊อดไม่ได้ตอบ  จริงๆคืออ๊อดไม่ได้พูดอะไรเลยจนแม้ออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว

ทั้งคู่นั่งกันเงียบๆในรถสองแถวจากโรงพยาบาล

“เราจะนอนกันที่ไหน” จู่ๆอ๊อดก็ถามออกมา

“อืม.. โรงแรมไหม  น่าจะมีห้องพักราคาไม่แพงอยู่นะ” เมืองฟ้ากล่าว

“แต่เราไม่มีเงินเลย” อ๊อดถอนหายใจ

เมืองฟ้าเอากระเป๋าสตางค์มาเปิดดู

“เราเหลืออีกพันกว่าๆ กับเงินในบัญชีอีกนิดหน่อย”

“เรายืมก่อนนะ  แล้วเราจะคืนให้” อ๊อดกล่าวแล้วก็นั่งเงียบไปอีก

แล้วโทรศัพท์ของเมืองฟ้าก็ดังขึ้น

“ฮัลโลครับ”

แล้วเมืองฟ้าก็ฟังอยู่ครู่ก่อนจะมองหน้าอ๊อด

“ครับ เราจะรีบไป” เขาตอบ

ไม่ต้องบอกอ๊อดก็รู้ว่ามาใครโทรมา  เพราะเมืองฟ้าเอาหมายเลขโทรศัพท์ของตัวเองให้ไปเป็นหมายเลขติดต่อกับโรงพยาบาลในกรณีฉุกเฉิน

 

น้าผู้ชายของอ๊อดจากไปอย่างสงบ   ตามคำบอกเล่าของพยาบาลคนเดิม  ร่างของเขาจะถูกเผาไปในวันรุ่นขึ้นโดยไม่ได้ประกอบพิธีอะไรตามคำสั่งเสียของผู้ตาย  เพราะสองเหตุผลคือ เขาเป็นคริสเตียน  และข้อสองคือ เขารู้สึกผิดอย่างมหันต์จึงไม่อยากจะทำพิธีทางศาสนาใดๆ

อ๊อดได้รับเงินจำนวนหนึ่งหมื่นบาท ซึ่งเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่เหลือติดบัญชีของน้าผู้ชาย  กับสร้อยคอทองคำสองบาทหนึ่งเส้น  ซึ่งเป็นมรดกก่อนสุดท้าย เนื่องจากน้าผู้ชายก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร  บ้านที่เคยอยู่ก็โดนธนาคารยึดไปแล้ว  ทรัพย์สินอื่นก็โดนขายทอดตลาดไปด้วย

เมืองฟ้ารออ๊อดอยู่ที่ฌาปนกิจสถานของจังหวัด เพราะอ๊อดบอกว่าจะไปทำธุระ  แล้วเขาก็กลับมาพร้อมกับไวโอลีนตัวใหม่หนึ่งตัว

ตอนที่ร่างของน้าผู้ชายที่เพียงห่อไว้ด้วยผ้าขาวถูกยกใส่เตาเผา

อ๊อดก็มองท้องฟ้าอยู่ครู่  ก่อนจะเริ่มต้นสีไวโอลีนเป็นเพลง Amazing Grace

เสียงเพลงที่ทอดเอื้อนเหมือนเสียงสะอื้นดังไปในความเงียบของยามสายภายในฌาปนกิจสถาน  เจ้าหน้าที่หลายคนจึงต้องออกมายืนชมดู   พยาบาลใจดีถึงกับต้องหลั่งน้ำตาออกมา  ทราบภายหลังคือพยาบาลท่านนี้เป็นเพื่อนสนิทกับน้าผู้หญิงเธอจึงยอมลงมาจัดการทุกอย่างให้

“การอภัยคือคุณสมบัติของการเป็นคนดีนะ  น้าก็แค่อยากจะวางความทุกข์ทุกอย่าง น้าก็อยากให้เธอทำอย่างนั้น  เพราะนี่คือหนทางเดียวจะปลดปล่อยเธอจากอดีต” พยาบาลสาวบอกอ๊อดก่อนหน้านี้

อ๊อดมองไปบนฟ้าที่มี  แสงที่สาดลงมาอย่างอ่อนโยนนี้คืออะไร  คือแสงแห่งการอภัย หรือแสงแห่งการพิพากษาของพระผู้เป็นเจ้ากันแน่

แต่ที่แน่ๆ คืออ๊อดรู้สึกว่าตนเองเป็นอิสระแล้ว... 

“ลาก่อนครับพ่อ แม่...” เขากล่าวออกมาก่อนจะเล่นช่วงสุดท้ายของบทเพลง ด้วยรอยยิ้ม

เมืองฟ้ามองรอยยิ้มนั้น นั่นทำให้เขายิ้มออกมา  บทเพลงช่วงสุดท้ายนั้นหวานกังวาน ราวกับเป็นเพลงจากเทพยดาเลยที่เดียว

 

แม้เมืองฟ้าจะเป็นคนเหนือเหมือนกัน  แต่เพราะไม่ค่อยได้มาที่เชียงใหม่  ดังนั้นเขาก็เลยขวนอ๊ฮดให้อยู่ต่ออีกสองวัน เพราะไหนๆมาแล้ว

ทั้งสองไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆภายในตัวเมือง  อ๊อดดูร่าเริงเหมือนเก่า  ที่จริงต้องบอกว่ากว่าเก่า  เขาพูดเล่นหัวเราะกับเมืองฟ้าอย่างเต็มที่  นึกแล้วคงเพราะเขาได้ทำลายตรวนที่พันธนาการเขามาหลายปีลงด้วยการอภัย

ระหว่างเดินทางกลับที่พัก  พอรถสองแถวผ่านย่านหนึ่งของเมือง

“แถวนี้เป็นย่านที่คนเขาจะมาซื้อบริการอย่างว่ากันน่ะ” อ๊อดบอก

แต่เมืองฟ้าก็ไม่เห็นมีอะไรอาจเพราะยังหัวค่ำ

“อ๊อดก็เคยมานะ” อ๊อดเล่า

ที่กล้าเล่าออกมาเพราะอยู่กันสองคนบนรถ

“คืออ๊อดมีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่ง “ เขาบอก

“ตอนนั้นอ๊อดก็เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังนั้นหล่ะ  เพราะอ๊อดสับสนมากๆไม่รู้จะปรึกษาใคร  ที่สุดเขาก็พาอ๊อดมาแถวนี้  ซื้อบริการผู้หญิงให้อ๊อด ออกตังค์ให้ด้วยนะ”

เมืองฟ้าไม่รู้ควรจะรู้สึกอย่างไรดี ตอนที่อ๊อดหัวเราะ

“แล้วยังไงหล่ะ” เมืองฟ้าถาม

“ก็.. ไม่รู้สิ ไม่บอกได้ไหมว่ารู้สึกยังไง” อ๊อดก้มหน้า หน้าแดงน้อยๆ

“แต่หลังจากนั้นแล้ว อ๊อดก็เกิดคำถามขึ้นมา  ว่าทำไมหนอในเมืองพระเจ้าทรงสร้างให้มนุษย์เป็นชายและเป็นหญิง  แต่ทำไมต้องสร้างคนมาเป็นเกย์ เป็นทอม เป็นดี้  เพราะอะไร เพราะจะได้ทรงเหวี่ยงลงบึงไฟเป็นเชื้อไฟนิรันดรกาลของพระองค์อย่างนั้นหรือ” อ๊อดมองไปนอกตัวรถ

“แต่ตอนนี้อ๊อดก็ไม่ได้เป็นคริสเตียนแล้วนะ  จริงๆต้องบอกว่าไม่ได้เป็นแต่ต้นนั้นหล่ะ  เพราะยังเคยแอบใส่บาตรตอนเช้าบ่อยๆ”

“แต่คำถามมันก็ยังอยู่นะ  ว่าจริงๆแล้วมันผิดอย่างที่ทุกคนคิด หรือว่าจริงๆมันไม่ได้ผิด... ถ้าเป็นไปได้อ๊อดก็อยากจะรู้เหตุผลนะ”

เมืองฟ้าก้มหน้าลง กล่าวออกมา

“อ๊อดบางอย่างมันไม่ต้องมีเหตุผลหรอก  เราก็แค่ทำตามหัวใจของเรา  เราอยากเป็นอะไร หรือไม่อยากเป็นอะไร  มันอยุ่ที่ตัวเราตัดสินใจไม่ใช่เหรอ... ในโลกของเมืองไม่มีพระเจ้ากำหนด  แม่บอกว่าเราเป็นคนตัดสินใจด้วยตัวเองทั้งหมด”

อ๊อดมองมาที่ใบหน้าของเมืองฟ้า ตอนนั้นใบหน้านั้นสะท้อนแสงไฟถนน

“สำหรับเมือง... เมืองไม่อยากรู้ว่ามันผิดหรือถูกแต่ เมืองแค่อยากจะอยู่ใกล้คนที่เรารักเท่านั้นเอง”

 

“ต้อง ย้ายห้องมาห้องเบอร์นี้นะ วันนี้ห้องข้างบนห้องที่น้องพัก น้ำมันรั่ว พี่ให้แม่บ้านย้ายของให้แล้วหล่ะ” เจ้าของโรงแรมที่ลงมาอธิบายด้วยตัวเองบอกขณะเอากุญแจให้

“แต่มันเป็นเตียงใหญ่เตียงเดียวนะ”

สองคนมองหน้ากัน

แม้จะบอกราตรีสวัสดิ์ไปแล้ว  แต่เมืองฟ้ายังข่มตาหลับไม่ได้  แต่เขาก็ไม่ขยับตัว นอนเงียบๆ หันหลังให้อ๊อดที่ขยับตัวนอนหงาย

ที่จริงนี่ก็ครั้งที่สองแล้วที่สองคนนอนด้วยกันบนเตียงเดียวกัน  แต่ครั้งแรกเมืองฟ้าหลับไปเพราะความเหนื่อยจากทำความสะอาดห้องของอ๊อด  แต่วันนี้จะหลับตายังยาก

“เมือง” อ๊อดเอ่ยขึ้น

“หือ” เมืองฟ้าขาน

“นอนไม่หลับใช่ไหม”

“เปล่าเกือบหลับแล้ว ถ้าอ๊อดไม่เรียก” เมืองฟ้าแกล้งตอบ

อ๊อดเงียบอยู่สักครู่แล้วพลิกตัวมาหาเมืองฟ้า

“อยากรู้ไหมว่าอ๊อดรู้สึกยังไงหลังจากมีอะไรกับผู้หญิงคนนั้น”

“ไม่อยากหรอก” เมืองฟ้าตอบ

“ลามกจังเลยอ๊อดเนี่ย”

“อ๊อดไม่รู้สึกอะไรเลยตอนที่ออกจากที่นั้น” อ๊อดกล่าวออกมาเอง

เมืองฟ้านิ่ง

“เพราะเป็นโสเภณีมั๊ง  อ๊อดก็เลยเฉยๆ  ก็ไม่รักใคร่อะไรกันนี่”  เมืองฟ้าตอบ

“หลังจากนั้นก็มีคนอื่นอีกด้วยนะ เป็นเพื่อนเรียนด้วยกัน เรียนดนตรีเหมือนกัน  เธอให้อ๊อดไปส่งที่หอ  แล้วเราก็มีอะไรกันด้วย” อ๊อดกล่าวต่อ

เมืองฟ้าชักจะทนไม่ไหว

“นี่อ๊อดจะเล่าชีวิตเซ๊กซ์ให้เมืองฟังทำไมหล่ะ” ลุกขึ้นนั่ง

“หรือว่าอ๊อดอยากจะบอกเป็นนัยๆว่าอ๊อดชอบผู้หญิง ไม่ได้ชอบผู้ชาย”

อ๊อดลุกขึ้นมานั่งเผชิญหน้าด้วย

เมืองฟ้าถอนหายใจ เมินไปทางอื่น

“ไม่ต้องบอกก็ได้  เมืองรู้ เมืองก็แค่...”

“อย่าพูดออกมานะ” อ๊อดห้าม ด้วยการเอามือปิดปากเขา

“เพราะอ๊อดไม่ได้จะบอกอย่างนั้น”

เมืองฟ้าเลยหยุด

แล้วอ๊อดก็ขยับเข้ามจนชิด

“สิ่งที่อ๊อดจะบอกคือ”

เมืองฟ้าหันมา ตอนนี้หน้าของเขากับอ๊อดมีเพียงห้วงอากาศระยะแค่หนึ่งฝ่ามือกั่นไว้

“หลังจากอ๊อดเหมือนเดินหลงทาง  เมืองก็เข้ามาทำให้อ๊อดแน่ใจ  ว่าจริงๆแล้วอ๊อดต้องการอะไร”

เป็นช่วงเวลาแค่ชั่ววินาที  แต่เมืองฟ้าเห็นราวเป็นภาพช้า  อ๊อดขยับเข้ามาแล้วจุมพิตอย่างแผ่วเบาบนริมฝีปาก  แล้วเขาก็กอดรอบร่างของเมืองฟ้าเข้าไป

ริมฝีปากทั้งสองบดกันด้วยความรู้สึกทีก่อนตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว  แล้วก็พลักดันให้เมืองฟ้าตอบสนองไปอย่างเต็มที่

ทั้งสองทิ้งร่างลงนอนบนเตียงนิ่ม  ทว่าสัมผัสของอ๊อดที่แตะต้องร่างกายของเมืองฟ้านั้นเป็นไปอย่างร้อนแรง ..

เป็นไปราวกับทำนองเพลงในบท Fourth Ritual Dance จากบทโอเปร่า The Midsummer Marriage ที่ประพันธ์โดยMichael Tippett

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา