The Water's Pure Heart: ดวงใจของสายน้ำ

-

เขียนโดย Valentinlover

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 22.14 น.

  56 ตอน
  0 วิจารณ์
  43.66K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 10.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

42) โรงแรมนี้ชื่อรักสายน้ำ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

         

โรงแรมนี้เป็นบูติกโฮเตลขนาดเล็ก  ดังนั้น อาราอิกับจุ๊ยต้องยืนรออยู่นานพอสมควรเมื่อมาเช็คเอาท์  ระหว่างนั้นจุ๊ยก็เหลือบเห็นเปียโนแนวตั้งอยู่หลังหนึ่ง เขาก็เลยนั่งลงหันมองซ้ายมองขวา

“เฮ้ยเดี่ยวเขาก็ว่าหรอก” อาราอิเดินมา

“นิดเดียวน่า ไม่ได้เล่นนานละ” จุ๊ยว่าแล้วเปิดฝาครอบคีย์

แล้วก็บรรเลงเพลง Piano Sonata No 2 in B flat minor ของ โชแปง

สักครู่ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาตามเสียงนั้น  แล้วได้เห็นจุ๊ยนั่งเล่นเปียโนอยู่

เธอรอกระทั้งเพลงจบ  แล้วจึงกล่าวทัก

“จุ๊ยใช่ไหม”

จุ๊ยหันไป

“ครับน้าเก๋”

ภายในห้องทำงาน น้าเก๋รอให้เด็กเอาเครื่องดื่มมาเสริพแล้วถอยออกไป

“นี่ไม่รู้นะว่าจุ๊ยมาพัก  ไม่อย่างนั้นจะให้พักห้องใหญ่สุดเลย"

“ผมก็ไม่ทราบหรอกครับว่าที่นี่เป็นของน้าเก๋” จุ๊ยตอบแล้วมองหน้าอาราอิ

“พอดีผมกับเพื่อนขับรถผ่านเห็นโรงแรมสวยเลยเข้ามาเลย”

“ไม่ เจอกันนานมากเลยนะ  ตั้งแต่งานศพของไตร” เธอยิ้มแล้วก็มองไปบนผนัง  รูปของเด็กหนุ่มผิวสองสีสวมหมวกเบสบอลกลับหลัง ยืนกอดประคองแซกโซโฟนอยู่โดยมีรอยยิ้มละไม

จุ๊ยก็หันมองภาพนั้น  เขาก็ยิ้มออกมา

“มิน่าผมถึงได้รู้สึกเหมือนคุ้นเคยแปลกๆ”

“ก็ น่าจะเป็นอย่างนั้นหล่ะจ๊ะ  เพราะที่นี่สร้างขึ้นตามความฝันของไตรเลยนะ  เขาเคยบอกว่าอยากจะสร้างโรงแรมสักแห่ง  แล้วเขาจะได้มาใช้ชีวิตที่ภูเก็ต” น้าเก๋กล่าวในรอยยิ้มเมื่อนึกถึงอดีต

“ยังเล่นดนตรีอยู่ใช่ไหม” น้าเก๋ถาม

“ครับ  ยังเล่นอยู่” จุ๊ยตอบ

“ก็ดีแล้วหล่ะ  เพราะไตรเขาก็อยากให้จุ๊ยเดินทางนี้ไปตลอด เขาบอกว่าจุ๊ยมีพรสวรรค์ จะต้องไปได้ไกลกว่าใครแน่นอน” น้าเก๋กล่าว

 

พูดคุยสักครู่ส่วนใหญ่คือถามไถ่ถึงเพื่อนเก่าๆของไตรเช่นฐา  ส่วนจุ๊ยก็ถามถึงสุขภาพและการงานของครอบครัวของไตรที่เขารู้จัก  แล้วก็ต้องลากัน

น้าเก๋เดินมาส่งจุ๊ยกับอาราอิที่รถ

“ถ้าไตรรู้ว่าจุ๊ยมาที่นี่คงจะดีใจมาก  หรือไม่แน่จะเขาอาจดลใจให้จุ๊ยผ่านมาก็ได้”

“ผมจะไปบอกเพื่อนพี่ไตรคนอื่นๆ  เรื่องโรงแรม  พวกเขาจะได้มาเยี่ยมคุณน้าบ้าง” จุ๊ยบอก

น้าเก๋ยิ้ม

“ดีแล้วหละ  นึกว่าจุ๊ยจะลืมพี่ไตรไปแล้วซะอีกนะ”

จุ๊ยยิ้ม

“ไม่ลืมหรอกครับ  เพราะผมเก็บพี่ไตรไว้ในอดีตที่แสนดีเสมอ  แต่เพราะชีวิตของเราต้องก้าวไปข้างหน้าตลอด ตอนนี้และอนาคต  ผมก็มีคนที่จะสร้างความทรงจำใหม่ๆต่อไปครับ แต่พี่ไตรจะอยู่ในอดีตของผมตลอดไป”

ประโยคนี้จุ๊ยพูดแล้วหันไปสบตากับอาราอิ 

น้าเก๋เห็นแววตาของสองคนแล้วก็ยิ้มออกมา

 

พอกลับรถเรียบร้อย  น้าเก๋ก็ยังยืนอยู่แถมทำท่าเหมือนจะบอกอะไร  อาราอิเลยเปิดกระจกลง

“เดี่ยวเลี้ยงขวาออกไปจะง่ายกว่า  มันจะมีถนนตัดไปเจอกับถนนเส้นหลักเลย  แล้วถ้าหิวจะมีร้านขนมจีนอร่อยๆอยู่ข้างทาง  แวะทานกันก็ได้นะ  บอกเจ้าของร้านว่าเป็นหลานของน้า เราเป็นญาติกัน  เขาจะให้จุ๊ยเป็นพิเศษ จะได้อิ่มๆ” น้าเก๋บอก

จากนั้นก็บอกกับอาราอิ

“เป็นดารา  ต้องระวังเรื่องภาพลักษณ์  เรื่องที่เรามาพักที่นี่น้าจะไม่บอกใครก็แล้วกันนะ  น้าจะกำชับไม่ให้เด็กเอาไปพูดต่อ แล้ววันหลังอยากมาพักภูเก็ตสองคนแบบไม่มีใครรบกวนก็บอกนะ”

อาราอิกล่าวขอบคุณ

จุ๊ยยกมือไหว้อีกครั้ง

 

รถเลี้ยวออกไปแล้ว  เก๋สูดลมหายใจลึกๆ

“จุ๊ยเป็นคนน่ารักเนอะ ไตร  อยู่กับใครก็อดรักเขาไม่ได้หรอกจริงไหม  แต่ถ้าวันนั้นไตรบอกแม่สักคำว่าคนที่ไตรรักคือจุ๊ย  ไม่แน่นะตอนนี้คนที่ขับรถอยู่อาจเป็นไตรก็ได้”

แล้วเธอก็มองป้ายชื่อโรงแรมที่ลูกชายเป็นคนตั้งตอนที่เล่าความตั้งใจให้ฟัง

รักสายน้ำ..

“เอหรือไตรบอกแม่แล้วแต่แม่ไม่สังเกตเองก็ไม่รู้”

 

 

กลับกรุงเทพมาได้หลายวันแล้ว จุ๊ยก็พยายามทำตัวให้เป็นปกติ  เขายังคงทำความทำงานตามหน้าที่ไปอย่างเดิม  แต่ความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก็มีให้เห็น นั่นมาจากท่าที่ของป๊าต่อเขา  เหมือนป๊าจะอยากพูดอะไรกับเขา

แต่จุ๊ยก็รู้ว่าป๊าปากหนักเกินกว่าจะเอ่ยปากเอง  แล้วจุ๊ยเองก็ไม่อยากจะพูดถึงด้วย

ระหว่างที่จุ๊ยกำลังเตรียมอาหารเย็นอยู่นั้นเอง  อ็อดก็โทรเข้ามา

“ว่างไหม” อ๊อดถาม

“อืม ก็ว่างนะ  แต่ตอนนี้กำลังทำกับข้าว”

“เดี่ยวออกมาเจอกันหน่อยสิ  พี่สรรค์จะคุยเรื่องวงดนตรีใหม่  ไอ้ฮ้อยมันตกลงแล้ว”

จุ๊ยพยักหน้าพลางฟังพลาง มือก็ผัดผักบุ้งไปด้วย

 

พี่สรรค์เป็นออแกนไนเซอร์ที่เชียวชาญเรื่องดนตรี  ในอดีตเคยเป็นนักร้องสมัยเป็นวัยรุ่น  ตอนนี้เรียนจบแล้วก็ผันตัวมาเป็นคนจัดหาวงดนตรีให้กับงานอีเว้นท์ต่างๆ

พี่สรรค์มีบุคลิกแสดงออกชัดว่าเป็นคนชอบเพศเดียวกัน  แม้จะไม่ได้สาวแต่ก็มักจะเผลอปรายหางตาเวลาคุย

“เล่นเป็น Trio ก็ดีเหมือนกัน  พี่ชอบมากเลย” พี่สรรค์กล่าวสรุปในตอนท้าย

“รับงานเลยก็ได้มั๊ง พี่มีงานอาทิตย์หน้าพอดี เป็นงานของพี่เองหล่ะ  “

จุ๊ยกับฮ้อยก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว พอโดนถามก็เลยตอบตกลงไป

 

พี่สรรค์อาสามาส่งพวกจุ๊ย  แต่น่าแปลกว่าเขากับไปส่งจุ๊ยก่อนทั้งจากจุดนัดพบ  จะต้องถึงที่พักของอ๊อดก่อนจุ๊ย  แต่อ๊อดก็ไม่ได้สอบถามอะไร  เพราะจริงๆแล้วเขารู้ดีแก่ใจ

พอถึงหน้าอาคาร  สรรค์ก็วางมือบนตักของอ๊อด

“แน่ใจนะว่าไม่อยากไปต่อกับพี่  เดี่ยวมาส่งก็ได้”

อ๊อดมองมือของสรรค์ ที่ว่างลงมาตำแหน่งจุดอ่อนทางอารมณ์ของเขาพอดีคือตรงขาด้านใน

“เอ่อไม่ดีกว่าครับ มีแต่เพื่อนพี่ ผมไม่รู้จัก”  อ๊อดตอบ แล้วทำท่าจะปลดเข็มขัดออก

“แต่วันเกิดเดือนหน้าพี่ อ๊อดต้องสัญญานะว่าจะอยู่กับพี่จนงานเลิก  ไม่ใช่หนีกลับก่อน” สรรค์กล่าวแล้วเอามือออก

“ครับ” อ๊อดตอบรับ

พออ๊อดลงจากรถเขาถึงกับต้องสูดลมหายใจแรงๆ  แปลกเหลือเกินที่พี่สรรค์แตะต้องเขาที่ไร  ก็ต้องสร้างความรู้สึกให้ได้ทุกครั้ง  มันเหมือนกับเขารู้จุดอ่อนในตัวของอ๊อดหมด

แถมเหมือนพี่สรรค์จะล่วงรู้ความชอบของเขาเกือบทั้งหมด  ไม่ว่าซื้อของอะไรให้ ก็จะต้องตรงกับความชอบของอ๊อดทุกครั้ง

เขาไม่ใช่ไม่หวั่นไหว  แต่เขาต้องเข้มแข็ง  เพราะยังไรเสีย  เขาก็มีเมืองฟ้าอยู่ทั้งคน

อ๊อดขึ้นลิฟต์มาจนถึงชั้นที่เขาพักอยู่ พอเดินเลี้ยวก็เห็นสิ่งหนึ่ง  ที่หน้าห้องของเขากับเมืองฟ้า  มีหนุ่มรุ่นน้องคนหนึ่งยืนอยู่ในลักษณะเห็นได้ชัดว่าพึ่งออกมา

“ขอบคุณมากเลยนะครับพี่” หนุ่มรุ่นน้องกล่าวแค่เมืองฟ้า  เขาชื่อสิทธิ เป็นน้องรหัสของเมืองฟ้า  ผิวสองสีหน้าตาคมคายใช้ได้

“อืมไม่เป็นไรหรอก  ไม่เข้าใจก็ถามพี่อีกได้นะ” เมืองฟ้าตอบ

สิทธิกำลังจะตอบ  แต่อ๊อดก็ปรากฏตัวขึ้นเสียก่อน

“ดึกแล้ว” อ๊อดมาถึงก็ดันเมืองฟ้าเข้าห้องแล้วปิดประตูใส่หน้าสิทธิ

 

อ๊อดไม่ได้พูดอะไรแต่กิริยาวางของบอกเลยว่าไม่พอใจ

เมืองฟ้าก็ยังไม่พูดอะไร  เดินไปเปิดคอมพิวเตอร์

พออ๊อดได้น้ำเย็นๆไปสักแก้วก็เริ่มแน่ใจว่าตนเองใจเย็นลง

“มันมาทำไม” อ๊อดถาม

“ก็มาติวไง  อาทิตย์หน้าสอบมิดเทอมแล้วนี่” เมืองฟ้าตอบแต่ไม่หันหน้ามา

อ๊อดนิ่งเงียบ

“อย่านึกว่าอ๊อดไม่รู้นะเมืองไอ้หมอนั้นมันชอบเมืองใช่ไหมหล่ะ  คนเขาพูดกันให้หึ่งว่ามันคอยประกบเมืองอยู่ตลอด”

เมืองฟ้าก็ยังไม่หันมา

“อ๊อดคิดมากไปรึเปล่า  เขาเป็นน้องรหัสเมือง  ก็ต้องสนิทกันเป็นธรรมดา”

อ๊อดถอนหายใจดัง  แต่เขาเองก็ต้องยอมรับว่าตัวเองแสดงอาการไม่เหมาะสมออกไปตั้งแต่มาถึง

เขาก็เลยเข้าไปง้อด้วยการกอดเมืองฟ้าจากข้างหลัง

“วันนี้เราฟอร์มวงเสร็จแล้วนะ วงของเราชื่อ The Trio Tenders

เมืองฟ้าก็เหงนหน้าขึ้นมามองหน้าอ๊อด

“เหรอ..ดีจัง  อ๊อดจะได้เล่นกับจุ๊ยกับฮ้อยด้วย” 

อ๊อดเห็นรอยยิ้มของเมืองฟ้าก็โล่งใจอย่างบอกไม่ถูก  เขาก็เลยจับเก้าอี้เมืองฟ้าหมุมมา

“เอาไว้อ๊อดจะเล่นให้เมืองฟังเป็นคนแรกเลย  ถ้าเราซ้อมกันลงตัวแล้ว”

เมืองฟ้าก็พยักหน้า

อ๊อดจึงขยับเข้าไปจูบที่หน้าผาก

“ไปอาบน้ำแล้วเรามาหาอะไรทำกันฉลองวงใหม่ดีกว่า”

แล้วอ๊อดก็ลุกขึ้นเต้นยั่วยวน

“บ้าแล้ว” เมืองฟ้าหยิบปลอกปากกาปาใส่

 

 

รู้จากเพื่อนๆว่านายนทีธารอยู่ในห้องซ้อมดนตรี  ปกรณ์จึงเดินไป  ตอนที่เขาเข้าไปเห็นจุ๊ยกำลังตีกลองเป็นจังหวะแต่เหมือนจะแค่เล่นๆเฉยๆ มากกว่าซ้อมจริงจัง

 

แต่เพราะการเข้ามาของปกรณ์ทำให้เด็กๆหยุดเล่นกันหมด

 

“นทีธาร  ผมอยากจะคุยด้วยหน่อยหนึ่ง”

 

จุ๊ยหันไปมองหน้าฮ้อยที่เมื่อสักครู่ยืนให้คำแนะนำจุ๊ยอยู่  เขาส่งไม้กลองให้แล้วเดินตามอาจารย์ออกไป

 

 

 

“ผมรู้ว่าคุณปฏิเสธมาหลายที่  แต่ที่นี่ผมอยากให้คุณไปเข้าทดสอบดู” ปกรณ์ส่งเอกสารให้จุ๊ย

 

“รู้จักอยู่แล้วสินะ  เป็นวงที่ได้รับการอุปถัมภ์จากสมเด็จพระราชินีนาถแห่งอังกฤษด้วย  เขาต้องการมาเลือกนักดนตรีไปเข้า    อเคเดมี่ แถมมีทุนให้ด้วย  ถ้าเรียนจบเขาก็จะให้เป็นนักดนตรีของเขาเลย”

 

จุ๊ยอ่านเอกสารคราวๆ  เห็นกำหนดการเป็นปีหน้า

 

“คุณมีเวลาคิดอีกหนึ่งปีเศษๆเลยนะ  โอกาสอย่างนี้อย่าให้หลุดลอยไป  ผมบอกตามตรง  ถ้าคุณมาดักดานอยู่ในประเทศนี้ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร  คุณควรไปเปิดหูเปิดตากับโลกกว้าง ได้เจอนักดนตรีที่มีความสามารถใกล้เคียงกับคุณมากกว่า  แบบนั้นคุณถึงจะพัฒนาตัวเองได้” ปกรณ์มองหน้าหนุ่มน้อย ก่อนจะตบบ่า

 

“คุณรักดนตรี  ผมก็รักเหมือนกัน  ผมถึงอยากให้คุณไปช่วยทำให้วงการดนตรีมีสีสันมากขึ้นอีก  โลกของดนตรีต้องการคนอย่างคุณนะ นทีธาร อย่าให้สิ่งที่คุณตัดใจไม่ลงรั้งคุณไว้อย่างนี้  เพราะนี่คืออนาคตของคุณเอง”

 

 

 

หลังจากทุ่มเทให้การถ่ายละครหลายวัน  ที่สุดอาราอิก็หมดคิวเพราะละครปิดกล้องไปแล้ว  อาราอิก็ใช้เหตุผลว่าจะสอบแล้วเป็นข้ออ้างให้ตัวเองได้พักรับงานกับผู้ จัดการก้อง

 

“เอ้อ โยชิพี่ว่าจะพูดหลายทีแล้ว” ก้องกล่าวน้ำเสียงค่อนข้างจริงจัง

 

“เรื่องเธอกับเด็กชื่อจุ๊ยน่ะ  พี่ว่าเราทำอะไรก็ระวังตัวไว้บ้างก็ดีนะ  ตอนนี้เรากำลังมาแรง  เดี่ยวจะมีคนเอาไปตีข่าว จะกลายเป็นผลเสียกับตัวเราเอง  แล้วก็น้องเขาด้วย”

 

อาราอิพยักหน้าช้าๆรับคำ

 

 

 

ตลอดทางมานี่จุ๊ยทำท่าเหมือนกำลังตีกลองอยู่ตลอดอาราอิก็เลยถามตอนรถติด

 

“นี่จะเล่นกลองเหรอ” อาราอิถาม

 

จุ๊ยหยุดมือ

 

“ก็ อยากจะได้วิชาเพิ่มนี่น่า  จุ๊ยเคยตีสมัยเด็กๆ ตอนนี้ลืมเกือบหมดแล้ว  ตีได้แต่กลองวงโย  แต่กลองชุดนี่ลงกรุไปหมดแล้ว  ก็เลยให้ฮ้อยมันสอน”

 

“จุ๊ยเล่นกีตาร์เป็นไหม” อาราอิถาม

 

“ก็พอจับได้หลายคอร์ด  เล่นได้แต่เพลงง่ายๆ” จุ๊ยตอบ

 

“แล้วมีอะไรที่จุ๊ยเล่นไม่ได้บ้าง” อาราอิถามต่อ

 

“หลายอย่าง... ฉันก็ไม่เป็นเทวดานี่หว่า  จะได้เล่นได้ทุกอย่าง  ไม่ได้เทพขนาดนั้น” จุ๊ยตอบแล้วทำท่าเคาะต่อไป

 

“วันนี้ฉันเห็นเฮียตี้ด้วยนะ  พอดีขับรถผ่าน แถวๆโรงพยาบาล เห็นเขาออกมากับแฟนเขา” อาราอิบอกเล่า

 

จุ๊ยก็หยุดมืออีก  แต่แค่เดี่ยวเดียว

 

“แล้วนี่เขาได้เข้าบ้านบ้างไหมเนี่ย” อาราอิถามต่อ

 

“ไม่เลย” จุ๊ยส่ายหน้า แต่มือยังทำท่าเคาะต่อไป

 

“ไม่ มีการคุย ไม่พูดถึงเลยด้วยซ้ำ ขนาดฉันกับป๊าอยุ่บ้านเดียวกันก็ไม่ได้พูดกันเท่าไหร่  ยังดีมีไอ้ซัวอยู่ด้วยไม่งั้นเป็นบ้ากันพอดี”

 

“งั้นฉันขอไปค้างที่บ้านนะ  นายจะได้มีเพื่อนคุย” อาราอิว่าแล้วหันไปไปมองกระเป๋าเป้ที่เบาะตอนหลัง

 

จุ๊ยหันไปมอง

 

“โอ้โหขนมาเยอะขนาดนี้ จะหนีตามฉันหรือไง  กะจะสิงอยู่บ้านฉันเลยว่างั้น” จุ๊ยหันไปมองแล้วก็ร้องออกมา

 

 

 

วันนี้ วันอาทิตย์  ดังนั้นจึงไม่ได้เปิดร้าน  จุ๊ยทำความสะอาดที่นั่นที่นี่ไปตามที่เคยทำตามปกติ โดยมีอาราอิเป็นลูกมือ  แต่บางครั้งก็ต้องใช้ส่วนสูง 189 ของอาราอิให้เป็นประโยชน์

 

“เฮ้ยๆ” จุ๊ยร้องตอนที่อาราอิกำลังปีนเช็ดหลังตู้

 

อาราอิตกใจรีบเกาะขอบตู้เพราะคิดว่าเกิดอะไรขึ้น

 

แต่จุ๊ยกลับหัวเราะร่วน

 

“ไอ้จุ๊ย” อาราอิทำเสียงเขียว

 

“ขวัญอ่อนว่ะ” จุ๊ยยิ้มเย้ย

 

อาราอิก็เลยหมั่นไส้ปัดผงให้ลงไปบนหัวจุ๊ย

 

“ไอ้ญี่ปุ่นชั่ว” จุ๊ยร้องขณะปัดฝุ่นออกจากหัว

 

“ดูสิหัวพึ่งสระ เลอะหมดเลย”

 

อาราอิหัวเราะกิ๊กกั๊ก

 

ซัวลงมาจากชั้นบนในตอนเกือบเที่ยง  ได้กลิ่นปลาทอดหอมกรุ่นก็เดินเลี้ยวเข้าครัว

 

เห็น อาราอิใช้ฝาหม้อต่างโล่ในการป้องกันน้ำมันกระเด็น  ในขณะที่จุ๊ยก็แกล้งด้วยการปลาไปโยนในลักษณะตั้งใจให้กระเด็น แล้ววิ่งหนีออกมาหัวเราะเยาะ

 

“เอ้า จะไหม้แล้วกลับสิกลับ”

 

ตอนนั้นน้ำมันในกระทะกำลังพลุ่งพล่านเหมือนกระทะทองแดง

 

ซัวก็หันไปหยิบร้องเท้าหนังสีดำมาสวม มองพี่ชายหยอกกับอาราอิ

 

“ไม่กินข้าวก่อนเหรอ”จุ๊ยถาม

 

“ไม่ทันแล้วมั๊งเฮีย เดียวผมไปกินแถวร้านก็ได้” ซัวตอบ

 

อาราอิพลิกปลาเสร็จแล้ว  เขามองตามเด็กหนุ่มร่างเล็กไป

 

 

 

เมื่อทอดปลาเสร็จ จุ๊ยก็หันไปต้มน้ำแกง  อาราอิที่ยืนมองจุ๊ยอยู่ก็กล่าวในสิ่งที่เขาเก็บไว้ในใจ

 

“จุ๊ย... จุ๊ยไม่ได้เห็นซัวแต่งชุดนักเรียนนานเท่าไหร่แล้ว”

 

จุ๊ยปิดไฟในเตา

 

“ก็นานแล้ว  แต่ซัวมันเรียนอาชีวะ  บางทีมันก็ต้องซ่อนเสื้อช๊อป  เพราะกลัวเด็กโรงเรียนตีเอา”

 

“แต่อย่างน้อยก็ต้องแต่ตัวเหมือนจะไปเรียนบ้างใช่ไหมหล่ะ” อาราอิตั้งข้อสังเกต

 

“เท่าที่ฉันจำได้  ฉันว่าหลายเดือนแล้วนะที่ไม่ได้เห็นซัวแต่งตัวแบบนั้น  แต่แต่งตัวเหมือนจะไปทำงานมากกว่า”

 

จุ๊ยเลยนิ่งไป 

 

จริง อย่างอาราอิว่า  ซัวไม่ได้แต่งตัวเหมือนจะไปเรียนมานานแล้ว  ทุกวันที่จุ๊ยเห็นคือเขาแต่งตัวเหมือนจะไปทำงานที่ร้านสะดวกซื้อที่ซัว บอกว่าทำงานพิเศษอยู่มากกว่า

 

“อย่าพึ่งบอกอะไรป๊านะ” จุ๊ยกล่าวกับอาราอิ

 

“เราต้องเช็คดูก่อน”

 

วันนี้เป็นวันจันทร์แต่จุ๊ยไม่มีเรียน อาราอิก็เหมือนกัน  ดังนั้นสถานศึกษาที่จุ๊ยกับอาราอิไปไม่ใช่มหาวิทยาลัยแต่เป็นโรงเรียนของซัว

 

“นายปุลินะ ลาออกไปแล้วนี่ครับ  เขาเอาเอกสารลาออกมายื่นตั้งแต่ต้นเทอม  ก็เห็นเขาบอกว่าพ่อไม่ให้เรียน”  ครูประจำห้องทะเบียนกล่าว 

 

*ปุลินะ แปลว่าทราย*

 

จุ๊ยยืนนิ่งไป  จนอาราอิต้องเรียกสติด้วยการตีเบาๆที่มือ

 

“ครับ... ขอบคุณครับ” จุ๊ยกล่าวแล้วยกมือไหว้

 

 

 

ออกจากโรงเรียนมาจุ๊ยก็นั่งเงียบมองออกไปนอกตัวรถ

 

“เราไปที่ร้านที่ซัวทำงานกัน” จุ๊ยกล่าวแต่ไม่ได้หันมา

 

“ไม่ไป  ฉันอยากไปบ้านมากกว่า”

 

“เฮ้ย อาราอิ นี่ไม่ได้พูดเล่นนะ  ฉันจะไปคุยกับมันให้รู้เรื่อง” จุ๊ยหันกลับมาโวย

 

“ไม่ไป” อาราอิยืนยันคำเดิม

 

“นายทำบ้าอะไรวะ  ถ้าไม่ไปก็จอด  ฉันไปเองได้” จุ๊ยขยับตัวอย่างหงุดหงิด

 

“ฉันจะไม่ไป  เพราะถ้านายไปตอนนี้  ทุกอย่างมันจะยิ่งแย่” อาราอิกล่าวต่อไป  เลี้ยวรถแล้วขับไปสู่ด่านทางด่วน

 

“นี่นายจะไปไหน” จุ๊ยถาม

 

“ไปไหนก็ได้ จนกว่าจุ๊ยจะอารมณ์ดีขึ้น” อาราอิตอบ ก่อนจะหันไปชำระค่าทางด่วน

 

“ตอน นี้ถ้าจุ๊ยไป  ไม่ใช่แก้ปัญหา  แต่จะไปสร้างปัญหา  อารมณ์จุ๊ยตอนนี้เหมือนไฟ  ส่วนซัวก็เหมือนน้ำมัน  เจอกันก็พินาศอย่างเดียว ไม่มีทางแก้ปัญหาอะไรได้”

 

จุ๊ยได้ฟังก็เริ่มควบคุมตัวเองได้ ถอนหายใจยาวเหยียด

 

“ฉัน ไม่เข้าใจอาราอิ  มันลาออกทำไม  ในเมื่อมันเป็นคนอยากจะเรียนที่นี่เอง  จุ๊ยก็อุตส่าห์ไปขอป๊าจนมันได้เรียน  แล้วนี่มันกลับลาออก  มันบ้าหรือเปล่า”

 

อาราอิมองหน้าจุ๊ยจากกระจกมองหลัง

 

“แต่เขาก็ยังไม่ได้นอกลู่นอกทางใช่ไหมล่ะ  เขาก็ไปทำงานร้านสะดวกซื้อ  มีรายได้  ไม่ใช่ไปเหลวไหลที่ไหน”

 

จุ๊ยเอาหัวกระแทกกับพนักรองหั

 

“โอ๊ยๆ  นี่มันอะไรนักหนา... แล้วจุ๊ยจะทำยังไงดี  เรื่องเฮีย เรื่องซัว...โอ้ยจะบ้าแล้วเนี่ย”

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา