7Swords

9.6

เขียนโดย จิ้งจอกมายา

วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 23.29 น.

  31 chapter
  3 วิจารณ์
  24.22K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 23.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) White Fort

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 2 White Fort

 

“ไวท์ฟอร์ท......?” หัวหน้าองครักษ์ทวนคำคิ้วขมวด “แต่ทำไม?”

“ได้ยินแล้วนะ เซอร์โรแลนด์” ลอร์ดคราเวน หันหลังให้หน้าต่างและกลับไปนั่งที่โต๊ะเจ้าเมือง เขาหยิบเศษกระดาษเล็กๆขึ้นมาและเขียนหวัดๆสองสามคำ ก่อนจะยื่นเศษกระดาษนั้นให้เรคัส “ฝากเอานี่ไปให้หอเรเวน และส่งไปไวท์ฟอร์ทให้เร็วที่สุด”

เรคัสรับเศษกระดาษที่ม้วนมาอย่างงุนงง เขาหันไปมองชายฝั่งที่บรรดาเรือโจรสลัดต่างทอดสมอเรือ ในใจของเขาเต็มไปด้วยคำถาม “ไปได้แล้ว เซอร์โรแลนด์.....”

 

เรคัสเดินเร็วๆเพื่อไปยังหอเรเวน ก่อนที่จะสังเกตเห็นลูกชายของเขา โรแลนด์ เรคอมป์ ผู้ซึ่งยื่นมือออกมารับเศษกระดาษและคลี่ออกอ่านอย่างรวดเร็ว

“โจรสลัดบุกมาสองพัน ต้องการความช่วยเหลือด่วน K. Razor (เค. เรเซอร์)” เรคอมป์อ่านข้อความเร็วๆ ก่อนจะพยักหน้าให้กับผู้เป็นพ่อ “รีบไปที่หอเรเวนแล้วส่งตัวที่บินเร็วที่สุดไปเถอะครับ”

“ต่อให้เป็นนกเรเวนที่บินเร็วที่สุดก็ยังต้องใช้เวลาเป็นวัน กว่าจะถึงไวท์ฟอร์ทนะ” เรคัสมีท่าทีทั้งขัดใจทั้งสับสน “แล้วกว่ากำลังเสริมจะมาก็คงใช้เวลาอย่างเร็วที่สุดก็สามวัน -- ”

“ทำไมท่านพ่อถึงไม่สู้ล่ะ!?” เสียงของเด็กชายดังออกมาจากประตูห้องเรียนข้างหลังเรคอมป์ ทำให้ทั้งสองพ่อลูกหันไปมอง “ในเมืองมีทหารประจำการอยู่ราวหนึ่งหมื่นไม่ใช่เหรอครับ? พวกเรามีมากกว่าพวกมันตั้งเยอะ” ราวกับเด็กน้อยถามคำถามที่ตรงกับใจของหัวหน้าองครักษ์ เขาหันไปมองลูกชายอีกครั้ง

“ผู้นำที่ชาญฉลาดจะไม่ต่อสู้เพียงลำพัง” เรคอมป์เอ่ยเบาๆ ก่อนจะพยักหน้าให้พ่อของเขารีบไปที่หอเรเวนเพื่อส่งข่าว

“ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี” เด็กชายเอ่ยอย่างกังวล “กว่าพวกไวท์ฟอร์ทจะมา..... พวกเราจะไม่ถูกโจมตีก่อนเหรอครับ?”

“ก็ไม่แน่......” ชายหนุ่มเปรยตามองออกไปนอกหน้าต่างและเฝ้ามองกองเรือโจรสลัดอย่างครุ่นคิด

 

ขึ้นเหนือไปอีกหลายร้อยไมล์ มีเมืองเล็กๆชื่อว่า ไวท์ฟอร์ท -- ป้อมสีขาว.....

เมืองนี้มีหิมะตกตลอดเก้าเดือน อีกสามเดือนที่เหลือเป็นลูกเห็บและพายุหิมะ ตัวเมืองอยู่ติดกับผาสูงราวกับเป็นกำแพงน้ำแข็งยักษ์ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลังของเมือง -- มองไปทางใดก็จะเห็นแต่สีขาวโพลน จึงเป็นที่มาของชื่อที่เรียกกันว่า ไวท์ฟอร์ท

จำนวนประชากรมีอยู่ราวหนึ่งพันคน ซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นทหาร

ยามเช้ามาถึงพร้อมกับเสียงชีวิตของชาวเมืองที่ดำเนินรูปแบบเดิมๆซ้ำซาก คือ เสียงการฝึกซ้อมการต่อสู้ในลานซึ่งมีถึงห้าแห่งในเมือง เสียงตีดาบ เสียงฝ่าฟืนเพื่อก่อไฟ และเสียงพูดคุยกับแบบเป็นกันเอง

ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่บนหอคอย เขาใส่เสื้อคลุมสีดำที่ตรงไหล่เป็นหัวหมาป่า หากดูเผินๆราวกับสุนัขสีดำตัวใหญ่กำลังยืนมองบริเวณเมืองโดยรอบ ลมหายใจสีขาวของเขาหมุนวนออกมา ดวงตาคมกล้าของเขาบวกกับเคราเป็นตอหนาๆ ทำให้เขาดูทั้งน่าเกรงขามและบึกบึนในเวลาเดียวกัน แล้วเขาก็สังเกตเห็นเกวียนสินค้าคันหนึ่งเทียมม้าสองตัวแล่นเข้ามาในเมือง เขาก้าวยาวๆขึ้นกำแพง ใช้มือขวาข้างเดียวกำรอบโซ่แล้วปล่อยมือรูดโซ่เหล็กโหนตัวลงจากหอคอย

เขาลงพื้นเสียงดัง แล้วก้าวไปยืนข้างๆผู้หญิงผมหนาสีน้ำตาลออกบลอนด์คนหนึ่งอายุใกล้วัยสี่สิบกว่าที่ริ้วรอยเริ่มปรากฏ เธอหันมามองเขาก่อนจะยิ้มให้ ชายร่างสูงเดินไปโอบเธอแล้วมองไปยังลานเบื้องล่าง

“เด็กๆเป็นไงบ้าง” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถาม แล้วเธอก็หันไปชี้ชวนให้ดูพวกเด็กหนุ่มที่กำลังใช้ดาบเหล็กทื่อๆฟาดฟันกันอยู่ พวกเขากำลังฝึกต่อสู้กัน “ลีโอไนดัส!! ถ้าเอาชนะได้ในอีกสามดาบ พ่อเพิ่มไก่ให้อีกตัวเลย!!” เขาตะโกนบอกเด็กผู้ชายที่มีผมสีดำหยิกเหมือนกันกับเขา ทั้งสองมีใบหน้าราวกับถอดพิมพ์เดียวกันมา เด็กชายตะโกนพร้อมกับออกแรงฟาดจนดาบของเด็กผู้ชายที่กำลังสู้ด้วยกระเด็นหลุดมือไปพร้อมๆกับล้มหน้าทิ่มลงในกองหิมะ เด็กหนุ่มปาดาบทิ้งไปข้างๆ แหงนหน้าตะโกนร้องอย่างคึกคะนอง เขาก้มลงดึงเพื่อนก่อนจะหิ้วปีกเพื่อนนั่งลง คว้าไก่ที่กำลังย่างไฟอยู่ใกล้ๆด้วยมือเปล่า เขาฉีกมันออกครึ่งตัวและโยนให้เพื่อนผู้ซึ่งรับมาและกินอย่างยินดีทั้งร้อนๆนั้น

“ต้องแบบนี้สิลูกของข้า!!” ชายวัยกลางคนหัวเราะร่า ก่อนจะหันไปมองอีกด้านหนึ่ง “ไลโอเนล!! เร็วเข้า -- ก่อนพี่เจ้าจะกินไก่หมด” เด็กชายอีกคนที่ท่าทางยังไม่ถึงสิบขวบดี เขายกดาบไม่ขึ้นและวิ่งหนีคู่ต่อสู้ที่โตกว่า “ไม่เอาน่า.....” ชายวัยกลางคนครางเสียงต่ำ เขาจับรั้วไม้เพื่อมองให้ชัดขึ้น ก่อนจะเห็นลูกชายคนเล็กของเขาทิ้งดาบ กระโดดยันกำแพงและหมุนตัวเตะใส่คู่ต่อสู้ที่ไล่กวดมาเต็มแรง

“โอ๊ย!! พี่แพรตต์!! ข้าขอโทษ ข้าลืมออมแรง!!” เด็กน้อยไลโอเนล วิ่งกลับไปขุดเด็กที่เขาหมุนเตะใส่ออกมาจากกองหิมะ

“มันต้องอย่างนี้สิ!!” ผู้เป็นพ่อร้องอย่างยินดี เขาตบรั้วไม้อย่างแรงจนมันหัก

“ไลโอซ่าร์!!” ผู้หญิงคนที่เขากอดอุทาน “อย่าพังข้าวของบ่อยนักสิ!!”

“ขอโทษทีนะที่รัก......” เขาบอกก่อนจะซ่อมรั้วไม้แล้วใช้กำปั้นทุบแผงรั้วให้เข้าที่ “ข้าแค่ดีใจที่เด็กๆเติบโตอย่างแข็งแรง”

“และเข้มแข็ง” เธอเดินเข้ามาและจูบเขาเบาๆ “ขอบคุณไลโอซ่าร์ที่รัก ที่มอบสมบัติล้ำค่าให้ข้าถึงสองคน”

“เช่นกัน ลิมพาเลียที่รัก” เขาจูบตอบภรรยาเบาๆ ทั้งสองยิ้มและมองลูกชายทั้งสองที่กำลังจัดการไก่ย่างพร้อมกับเพื่อนๆ “พวกเขาจะโตขึ้นเป็นชาวเหนืออย่างแท้จริง”

“You are also really the North Men now” (ตอนนี้ท่านก็เป็นชาวเหนือจริงๆเช่นกันค่ะ)

“With my soul and heart.” (ทั้งวิญญาณและดวงใจของข้า) ไลโอซ่าร์มองภรรยาของเขาและยิ้มกว้าง

“Lord Beowulve!!” (ท่านลอร์ดเบโอวูล์ฟ!!) เสียงเรียกของชายคนหนึ่งมาพร้อมกับเสียงกระหืดกระหอบจากการวิ่ง “There’s a raven!!” (มีนกเรเวนมาขอรับ!!)

“How’s come?” (มีอะไร?)

“The message from Pottery, my lord” (ข้อความจากพ็อตเทอร์รี่ขอรับ นายท่าน)

ผู้เฝ้าหอเรเวนรีบเอาจดหมายมาส่งให้ ลอร์ดเบโอวูล์ฟ เขาอ่านอย่างรวดเร็วก่อนจะเอ่ยค่อยๆว่า

*“Get me the Foxes……”

 

ชายหนุ่มคนหนึ่งผมหยิกสีดำกำลังปลดตัวเองจากเกวียนสินค้า เขาปัดหิมะลงจากผมก่อนจะส่งสายจูงม้าให้คนดูแลม้ารับต่อไป เขาส่งรายการสินค้าให้กับนายประตูและเดินเตร่พ่นลมหายใจสีขาวเล่นอย่างเหม่อลอย ก่อนจะแวะที่ร้านอาหารนั่งลงสั่งซุปร้อนๆแล้วบิก้อนขนมปังใส่ลงไปพลางตักกิน

“ต้องการนี่มั้ย เซอร์คาร์ลดีเซน?” เจ้าของร้านถามพลางยกถังเหล้าขึ้นมาโชว์ให้ดู

“ขอโทษทีนะ พอดีข้าไม่ใช่เซอร์คาร์ลดีเซนคนพ่อ” ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปาก

“ไปพ็อตเทอร์รี่มาหรือคะ ท่านคาร์ลดีเซน?” สาวเสิร์ฟเดินมาพร้อมกับวาง ข้าวโพดปิ้งราดเนยน้ำผึ้งลงตรงหน้าเขา

“เปล่า...... แค่เมืองท่าน่ะ” ชายหนุ่มตอบก่อนจะใช้มีดฝานเมล็ดข้าวโพดปิ้งลงในซุป “ก่อนจะกลับมานี่ หนึ่งวันที่นั่นมีลมหนาวผิดฤดูพัดมา คนที่นั่นบ่นหนาวกันแทบจะบ้าเลยล่ะ”

“พวกเขาบ่นว่าหนาวงั้นเหรอคะ?” สาวเสิร์ฟเลิกคิ้ว เธอผายมือไปยังบริเวณรอบๆที่ปกคลุมด้วยหิมะ แต่ชายหนุ่มเพียงแค่ยักไหล่ ก่อนจะจัดการซุปของเขาต่อ

ไม่กี่วินาทีต่อมา นกเรเวนสีดำก็ดิ่งมาเกาะบนขอบจานขนมปังของเขา ชายหนุ่มเลิกคิ้วมอง

“ท่านเจ้าเมืองต้องการพบท่านแน่ะ” สาวเสิร์ฟออกความเห็น และมองชายหนุ่มบิขนมปังส่งให้เรเวนจิกกิน

“คิดว่ามันคงไม่ได้ตามหาข้าคนแรกแน่ๆล่ะ” ชายหนุ่มหันไปหาเจ้าของร้าน ผู้ซึ่งใช้เชือกร้อยถังเหล้าเรียบร้อยและยกมาให้เขา “ข้าต้องไปหา คาร์ลดีเซนคนพ่อก่อนเสียแล้ว”

 

“เอเคลเซธ -- ” ลอร์ดเบโอวูล์ฟ ทักเมื่อเห็นเซอร์คาร์ลดีเซนคนหนุ่มเข้าไปหา “พ่อของเจ้าล่ะ?”

“เขาเมาอยู่เกรงว่าไม่พร้อมจะมาหาท่านขอรับ ลอร์ดเบโอวูล์ฟ” ชายหนุ่มกล่าว

“น่าแปลกใจ” ไลโอซ่าร์ เบโอวูล์ฟ หันมามองชายหนุ่มก่อนจะรินไวน์ส่งให้เขา “ตั้งแต่ข้ามาอยู่ที่นี่ หนึ่งปีมี สามร้อยหกสิบห้าวัน -- ข้าเห็นเอริค คาร์ลดีเซน เมาเสียสามร้อยหกสิบห้าวันนี่?”

“อันที่จริง ข้าก็เจอเขาและตั้งใจจะพาเขามาพบท่านตามคำสั่งขอรับ” เอเคลเซธ รับไวน์จากเจ้าเมืองมาถือไว้ “จนกระทั่งเขาฉี่รดตัวเองเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้”

“เฮ้อ..... เอาเถอะ -- ” ไลโอซ่าร์นั่งลงและชี้ให้ เอเคลเซธนั่งลงเช่นกัน “ข้าได้ข้อความจาก พ็อตเทอรร์รี่ บอกว่าต้องการความช่วยเหลือ พวกเขาเจอโจรสลัดสองพันคนปิดอ่าวอยู่”

“พ็อตเทอรร์รี่มีทหารอยู่ หนึ่งหมื่นนายโดยประมาณ..... เราไม่จำเป็นต้องยื่นมือเข้าไปเลยขอรับ -- ” ชายหนุ่มตอบก่อนจะเบ้ปาก “ซึ่งข้ารู้ว่าอย่างไรเสีย นายท่านก็จะส่งกองกำลังไปอยู่ดี.....”

“พ็อตเทอร์รี่กับไวท์ฟอร์ทเป็นของราชา.... เอเคลเซธ...... -- ” ไลโอซ่าร์เอ่ยเบาๆ “เราขึ้นตรงต่อราชา ดังนั้นก็เปรียบเสมือนบ้านพี่เมืองน้อง......”

“ท่านลอร์ดเบโอวูล์ฟ ต่อให้เป็นท่านก็คงสังเกตออกว่านี่มันไม่ชอบมาพากล......” ชายหนุ่มกล่าว วางแก้วไวน์ลง “จริงอยู่ว่าถ้าพ็อตเทอร์รี่ได้กำลังเสริมจากเรา พวกเขาย่อมไม่ต้องสู้เพียงลำพัง.... แต่พวกเขามีกำลังมากกว่าศัตรูถึงห้าเท่า พวกเขาจะต้องการพวกเราที่มีกำลังทหารอย่างมากสุดแค่ห้าร้อยไปทำไมกัน? กว่าพวกเราจะยกกำลังไปถึง พวกเขามิตีโจรสลัดแตกไปแล้วหรอกหรือ?”

“ฟังดูแล้วเหมือนกับอยากให้ไวท์ฟอร์ทไร้การป้องกันนะ” ไลโอซ่าร์ลูบเคราที่สั้นเป็นตออย่างครุ่นคิด

เอเคลเซธไม่พูดอะไร เขาเองก็เห็นเป็นแบบนั้น แต่ในเมื่อสถานการณ์ความสัมพันธ์ของทั้งสองเมืองบีบให้พวกเขาต้องส่งกองกำลังไป เขาจึงติดอยู่ตรงนี้

“แล้วจิ้งจอกอีกตัวล่ะ?” ไลโอซ่าร์เอ่ยพลางลูบหัวหมาป่าเบาๆที่ไหล่อย่างใจลอย “ถ้าเป็นเขา เจ้าคิดว่าเขาจะเสนอทางออกอย่างไร?”

เอเคลเซธยังคงไม่ตอบเขารู้ดีแต่เขาไม่อยากพูดและไม่อยากทำ

“จิ้งจอกอีกตัวจะเสนอว่า..... -- ” เสียงโยเยดังมาจากประตู ก่อนจะปรากฏร่างของชายหัวเริ่มล้านพุงยื่นในอ้อมแขนของเขากอดถังเหล้าขนาดเล็กมาด้วย “ให้ส่งขุนนางที่เก่งที่สุดสองคนไปพร้อมกับทหารสองร้อยคน”

“เอริค.....” ไลโอซ่าร์เอ่ยทักชายที่กลิ่นเหล้าหึ่งมาแต่ไกล และชี้ให้เขานั่งลง “นี่เจ้าเมาหรือเปล่า?”

“ท่านเจ้าเมือง......” ชายพุงยื่นยิ้มพลางหัวเราะคิกคักและไม่พูดอะไรต่อ การถามว่าเมาหรือเปล่าสำหรับเขาคงถือเป็นคำทักทาย

“ข้าไม่เห็นด้วย.....” ชายผู้เป็นลูกกล่าวเขาหันไปมองพ่อ และส่งสายตาให้กับเขา

“นั่นเป็นหนทางที่ดีที่สุด” เอริคกล่าว “แม้เจ้าจะไม่ชอบก็ตาม”

“ข้าเห็นด้วยนะ” ไลโอซ่าร์เอ่ยอย่างขบคิด “ข้าส่งจิ้งจอกแห่งไวท์ฟอร์ททั้งสองไปก็เหมือนกับเอาชัยชนะไปให้พวกเขาแน่ๆอยู่แล้วนี่? อีกอย่างที่นี่ก็จะได้มีกำลังไว้เผื่อเกิดอะไรไม่คาดฝันถึงสามร้อยคน”

“อันที่จริงไวท์ฟอร์ทให้คนแค่ร้อยคนก็คุ้มกันไหวอยู่แล้ว” เอริคเสริม เขาหยิบไวน์ของเอเคลเซธมากลั้วคอแล้วบ้วนทิ้ง ก่อนจะเปิดถังเหล้าและยกซด

“เอเคลเซธ......” ไลโอซ่าร์เอ่ยเมื่อยังคงเห็นสีหน้าดื้อดึงของชายหนุ่ม “นี่เป็นตาหมากที่ดีที่สุดของกระดานนี้แล้ว”

“แต่ข้าก็ยังไม่เห็นด้วยอยู่ดีขอรับ” เอเคลเซธเอ่ย

“เอาเถอะน่ะ..... ถ้ามันจะไม่เป็นไปอย่างที่คาดไว้” ไลโอซ่าร์เทไวน์แก้วใหม่ส่งให้ ชายหนุ่ม *“Just let the wind blow”

*“Get me the Foxes……” Beowulve Qoute : “ตามพวกจิ้งจอกมาให้ข้า........”

ลอร์ดเบโอวูลฟ์หมายถึง จิ้งจอกแห่งไวท์ฟอร์ท หรือ พ่อลูกคาร์ลดีเซน (เอริค และ เอเคลเซธ)

*“Just let the wind blow” Beowulve Qoute : “ก็แค่ปล่อยให้ลมพัดไป”

เป็นคำกล่าวให้ความหมายว่า “อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา