บัลลังก์เลือด สงครามสี่เผ่าพันธุ์

8.5

เขียนโดย นางแกงพเนจร

วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2559 เวลา 21.00 น.

  5 ตอน
  0 วิจารณ์
  6,713 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 15.56 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) บาปและบุญ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     .. ณ ห้องใต้หลังคาของสภาเผ่ามนุษย์ อาคินจ้องมองไปที่ต้นคอของดารายาด้วยความหิวกระหาย เขาไม่กินอะไรมาร่วมเดือน เขาได้ยินเสียงการเต้นของหัวใจและเลือดที่สูบฉีดของดารายาอย่างชัดเจน เขาพยายามจะเก็บอาการนี่เอาไว้ มันทำให้เขาไม่เป็นตัวเอง ..

“คุณคือคนที่ถูกเรียกว่าเป็นผู้มีศีลธรรมมากที่สุดจริงหรือเปล่า?” ดารายาถามอาคิน

“...ใช่แล้ว นั่นคือสิ่งที่พวกให้คำนิยามกับฉัน ฉันตามน้องชายมาที่นี่และได้มีส่วนร่วมในสงครามครั้งนี้ ...ที่นี้ฉันขอถามเธอกลับบ้าง ฉันยังดูเหมือนคนที่มีศีลธรรมอยู่ไหมในสายตาเธอ?” อาคินต้องดึงสติของเขากลับมาเพื่อตอบคำถามของเธอ เขาพยายามจะไม่โฟกัสที่ความหิวกระหายแม้ว่ามันแทบจะล้นทะลักออกมาก็ตาม เขานั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง

“ตอนนี้ก็คุณดูไม่ค่อยดีนัก” ดารายาตอบ

“เผอิญว่าเมื่อเช้านี้ฉันมีกริชปักอยู่ที่อก ตอนนี้ฉันเลยพยายามจะควบคุมตัวเองไม่ให้ทำเรื่องบ้าๆ ...ดารายา ฉันเชื่อว่าทั้งฉันและเธอเราต่างมีอำนาจมากพอที่จะหยุดสงครามครั้งนี้ระหว่างหมอผีกับผีดิบนะ ก่อนที่มันจะเริ่มขึ้นมาจริงๆ ฉันจะเป็นคนจัดการกับน้องชายฉันไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางเอง ส่วนเธอก็จะได้ทำอะไรที่เป็นตัวตนจริงๆของเธอซะที ไม่ใช่เป็นเครื่องมือของมนชิตหรือพวกหมอผีอยู่แบบนี้” อาคินมีข้อเสนอ

“แล้วทำไมฉันถึงต้องเชื่อคุณล่ะ?” ดารายาถาม เธอไม่ไว้ใจ

“อย่างแรกเลยนะ ถึงแม้ว่าฉันจะกระหายแค่ไหนก็ตามฉันก็จะไม่กินเธอเด็ดขาด” อาคินแสดงความจริงใจ

“ทำไมล่ะ ที่นี่ก็มีแค่ฉันคนเดียวนิ่” ดารายาพูดจบก็เดินไปตรงที่เก็บข้าวของของเธอ

“แม้ว่าตอนนี้สภาพของฉันจะไม่เอื้ออำนวยนัก แต่ฉันก็จะไม่กินเนื้อของเด็กหรอกนะ” อาคินพูด ดารายหยิบเข็มขึ้นมา 1 เล่มแล้วก็เดินเข้าไปหาเขาอย่างช้าๆ เธอเอาเข็มจิ้มนิ้วของตัวเองจนเลือดออก ในระยะประชิดขนาดนี้กลิ่นคาวเลือดทำให้อาคินแทบจะอดกลั้นความรู้สึกไม่ไหวแล้ว ดารายายื่นเข็มที่มีเลือดของเธอเข้าไปใกล้ๆปากของอาคิน ในที่สุดเขาก็ต้องพ่ายแพ้ให้แก่ความกระหาย เขาจับมือของเธอดึงเข็มที่มีเลือดของเธอแต้มไปที่ริมฝีปาก และแล้วสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจก็เกิดขึ้น เพียงแค่เลือดหยดเดียวก็สามารถทำให้ความกระหายของอาคินหายไปได้ภายในพริบตา เขาดูสดชื่นขึ้นมาทันที ตัวหายซีดกลับมามีสีเนื้อมนุษย์ธรรมดาอีกครั้งหนึ่ง เขาอึ้งในอิทธิฤทธิ์ของเด็กผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า เธอช่างทรงพลังจริงๆ

...............................................................................................

     .. เดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2556 ณ เมืองจตุราชิต ที่ถนนบัวบุญ ร้านรสนิยมที่คึกครื้น วันนี้มีปาร์ตี้และโปรโมชั่นของร้านเลยทำให้คึกคักเป็นพิเศษ สมิตาทำตัวเป็นดาวยั่ว เมาและเต้นอยู่ตรงเคาน์เตอร์ของร้าน ..

“ดื่มให้หมดเลยนะทุกคน นี่แหละวิถีของพวกเราชาวปาร์ตี้” สมิตาพูดเชียร์อัพลูกค้า เธอดูมีความสุขดี ในมือของเธอถือเหล้าทั้งกลมไว้คนเดียว เธอจับมันกรอกเข้าปากเหมือนกับว่ามันคือน้ำเปล่า เธอดึงลูกค้าผู้ชายมาคนหนึ่งแล้วก็กรอกเหล้าเข้าปากเขาสดๆ จากนั้นเธอก็จูบกับเขาอย่างดูดดื่ม สมิตาจูบแม้กระทั่งผู้หญิงด้วยกันเอง ปาร์ตี้นี้ดูสุดเหวี่ยงและเมามายอย่างมาก จังหวะนั้นเอง จรุงจิตเปิดประตูเข้ามาในร้าน เธอเดินเข้ามาหาน้องสาวของเธอ

“จรุงจิต! ...เมื่อกี้ไม่ใช่ฉันนะ สวัสดีพี่” สมิตาพอเห็นหน้าพี่สาวเธอก็ร้องกรี๊ดตระโกนดังลั่นร้านด้วยความดีใจ เธอทิ้งทุกอย่างแล้ววิ่งเข้าไปกอดพี่สาวของเธอ

“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ แป้ง เราไปหาที่เงียบๆคุยกันดีกว่าไหม?” จรุงจิตก็ดีใจเช่นกัน ที่จริงเธอมีธุระสำคัญจะคุยกับน้องสาวของเธอ

“พูดมาเลย ตรงนี้ล่ะ”สมิตาพูด

“พ่อเฒ่าแม่เฒ่าแล้วก็พวกผู้ใหญ่ลงคะแนนเสียงแล้ว เรากำลังจะเริ่มเตรียมพิธีกรรมเครื่องบรรณาการบรรพชน” จรุงจิตพูดถึงพิธีกรรมบางอย่างของหมู่บ้านเมียงออก

“อะไรนะ?” สมิตาส่างเมาทันที เธอดูตกใจไม่ใช่น้อย จรุงจิตพาสมิตากลับไปที่บ้าน เช้าวันรุ่งขึ้น สมิตาได้ยินเสียงของจรุงจิตคุยกับพวกผู้ใหญ่ในหมู่บ้านเกี่ยวกับการคัดตัวเด็กสาวในพิธีกรรม เธอจึงออกไปดูให้เห็นกับตา

     .. ณ ลานสนามหญ้าที่ประกอบพิธีกรรม แม่เฒ่าทั้งหลายรวมถึงอรนาทออกมารวมตัวกันพร้อมกับเด็กสาวนับ 10 คน ซึ่งเป็นตัวแทนของแต่ละครอบครัวในหมู่บ้านเพื่อทำการคัดเลือก โดยมี ..บรรจารีย์ นฤวัตปกรณ์.. หมอผีเจ้า ผู้นำของหมู่บ้านเมียงออกคนปัจจุบันเป็นผู้ทำพิธีคัดเลือกให้ บรรจารีย์เป็นผู้หญิงวัยทอง ผอม สูง หน้าสวย หน้าคม ผมประบ่า เหล่าผู้อาวุโสและผู้นำล้วนแต่งกายด้วยชุดสีกรม ส่วนเด็กสาวทั้ง 10 คนแต่งกายด้วยชุดสีขาว สื่อให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ ..

“เพื่อกำเนิดใหม่ เราจึงต้องเสียสละ” บรรจารีย์พูดไปเอามีดหมอของเธอจิ้มไปที่ฝามือของเด็กสาวทีละคน

“เพื่อกำเนิดใหม่ เราจึงต้องเสียสละ” เด็กสาวทุกคนพูดตามเธอ

“เพื่อกำเนิดใหม่ เราจึงต้องศรัทธา” บรรจารีย์พูด

“เพื่อกำเนิดใหม่ เราจึงต้องศรัทธา” เด็กสาวพูดตามเธอ

“เธอมีศรัทธาในบรรพชนไหม?” บรรจารีย์ถามเด็กผู้หญิงผมซอยสั้นคนหนึ่ง

“ไม่ศรัทธา” เสียงของสมิตา เธอวิ่งเข้ามาขัดขวางพิธีการคัดตัว

“น้าสมิตา” เด็กผู้หญิงคนหนึ่งหันไปหาสมิตา เธอก็คือลูกสาวแท้ๆของจรุงจิต ชื่อว่า ..โมณี.. เธอมีผมที่ยาวและหยิกลอนเป็นธรรมชาติ สีน้ำตาลเข้ม หน้าคม ตาโต ตัวเล็ก ผิวสีน้ำผึ้ง

“ชู้ว” เสียงห้ามของบรรจารีย์

“ป้าคิดว่าป้ากำลังจะทำอะไร?” สมิตาถามบรรจารีย์

“ก็กำลังจะช่วยหมู่บ้านของเราที่เธอทอดทิ้งมันไปน่ะสิ” บรรจารีย์ตอบ

“พวกป้านี่มันไร้สาระจริงๆ โมณี เธอก็เอากับเขาด้วยเหรอ?” สมิตาโวยวาย เธอหันไปถามหลานสาว

“แม่บอกว่ามันคือสิ่งที่เราควรทำ” โมณีตอบ

“งั้นฉันจะไปคุยกับแม่แกเอง” สมิตาพูดจบก็เดินออกไป หญิงสาวหน้าคมสวยคนหนึ่งมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความสงสัย เธอคนนั้นก็คือ ..ดารายา.. นั่นเอง

     .. ณ เมืองจตุราชิตยามบ่ายอันแสนเงียบสงบ นคเรศเข้ามาที่ร้านรสนิยม เขาดูว้าวุ่นและร้อนรนตอนนั้นเองสมิตาออกมาจากหลังร้านกำลังยกหลังเบียร์ พอนคเรศเห็นเป้าหมายเขาก็ใช้ความเร็วฉุดตัวเธอกลับไปที่บ้านของตระกูลวิรุฬห์กรทันที ..

สมิตาถูกจับลงไปนั่งที่เก้าอี้ โดยมีนคเรศ รวิภา และเหมือนจันทร์ ล้อมไว้

“เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าเธอจะปกป้องลูกในท้องของฉัน ส่วนฉันจะเป็นคนจัดการกับกองทัพของมนชิต ในขณะที่ฉันกำลังทำตามเงื่อนไขสัญญา เธอกับปล่อยให้เหมือนจันทร์ถูกรอบทำร้ายและเกือบจะโดนพวกโรคจิตนั่นฆ่าตาย” นคเรศระบายอารมณ์ก่อนที่จะลงไปนั่งที่เก้าอี้โซฟา

“ฉันไม่ได้ทำ ฉันสาบานได้ เหมือนจันทร์กับฉันเชื่อมโยงกัน จำได้ไหม ถ้าเธอตายฉันก็ตาย” สมิตาอธิบาย

“ถ้างั้นใครเป็นคนทำ?” รวิภาถาม

“คนกลุ่มเล็กๆ พวกหัวรุนแรง ศรีบุญโง่เองที่ไปบอกกับคนพวกนั้นเกี่ยวกับนิมิตที่เธอเห็น” สมิตาตอบ

“นิมิตอะไร?” นคเรศถามต่อ

“เธอเห็นมาตลอด พวกผู้ใหญ่ถกเถียงกันเรื่องของความหมาย ฉันคิดว่าน่าจะเป็นการเข้าใจผิด” สมิตาพูด

“สรุปว่าความหมายของมันคืออะไร?” นคเรศจี้ต่อ

“ก็แบบประมาณว่าลูกของคุณจะนำหายนะมาสู่หมอผีทั้งหมดในเมืองนี้” สมิตาตอบ ในขณะที่พูดเธอรู้สึกเสียวสันหลังวาบ

“ก็ดีนิ่ ฉันชักจะชอบเด็กคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆแล้วสิ” นคเรศพูด เขาดูโอเคกับนิมิต

“สมิตาฟังนะ ฉันสัญญากับอาคินไว้ว่าฉันจะปกป้องเด็กมหัศจรรย์ของครอบครัวเรา ในขณะที่เขากำลังเจรจากับดารายาอยู่ ทำไมเธอไม่บอกฉันล่ะว่าคนพวกนี้หัวรุนแรงยังไง?” รวิภาพยายามจะพูดดีๆด้วย

“อาคินกำลังคุยกับดารายาอยู่อย่างงั้นเหรอ?” สมิตาถาม สีหน้าเธอดูเปลี่ยนไป เธอดูดีใจแปลกๆ

“ใช่ คิดว่านะ” รวิภาตอบ

“ฉันเดาได้เลยว่าเธอต้องมีเรื่องให้พูดถึงคนกลุ่มนั้นมากมายเชียว” สมิตาพูดเป็นในๆ

“ก็บอกมาสิ” นคเรศเริ่มรำคาญ

“ที่จริงฉันก็ไม่ได้สนับสนุนพวกหมอผีด้วยกันเองตลอดเวลาหรอกนะ ...พี่สาวของฉันยอมอุทิศตนเพื่อหมู่บ้านเหมือนกับพ่อแม่ของเรา ตระกูลของฉันเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของหมู่บ้าน การอบรมสั่งสอนของครอบครัวฉันจึงค่อนข้างเข้มงวด ซึ่งมันทำให้ฉันแทบบ้า พอฉันอายุยี่สิบเอ็ดฉันก็หนีออกจากบ้านไปท่องโลกกว้าง เปิดหูเปิดตา แต่ฉันก็ยังฝันอยากเป็นเชฟ พออายุยี่สิบหกฉันจึงกลับมาที่เมืองสมัครเป็นแม่ครัวที่ร้านรสนิยม ...พี่สาวของฉันแวะเข้ามาเยี่ยมแล้วเธอก็พูดถึงเรื่องพิธีกรรมเครื่องบรรณาการบรรพชน” สมิตาเล่าอดีตของเธอให้ทุกคนฟัง

“พิธีกรรมเครื่องบรรณาการบรรพชนคืออะไร?” รวิภาสงสัย

“มันคือพิธีกรรมเก่าแก่ในหมู่บ้านของเราที่จะจัดขึ้นทุกๆ 300 ปี เพื่อให้พันธะของเหล่าบรรพบุรุษได้รับการฟื้นฟู เราเอาใจบรรพบุรุษของเรา พวกเขาก็จะตอบแทนด้วยการมอบอำนาจวิเศษให้กับเรา” สมิตาอธิบาย

“แล้วทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินเรื่องราวพวกนี้?” นคเรศสงสัยต่อ

“เพราะพิธีกรรมนี้มันดูเหมือนจะเป็นแค่ตำนาน เรื่องเล่าต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น เหมือนเรื่องเรือโนอาห์ หรือเรื่องของพระพุทธเจ้าอะไรประมาณนั้น คนบางกลุ่มในหมู่บ้านเราได้รับการสืบทอดพิธีกรรมนี้มาอย่างดี ส่วนบางกลุ่มไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็มี ...เรื่องพิธีกรรมก็ตามชื่อ พวกเขาคัดเลือกเด็กสาวในหมู่บ้านมาเตรียมตัวไว้เป็นเดือน แค่สี่คนที่จะถูกเลือกในพิธีกรรมนี้ พวกขาบอกว่าใครที่ถูกเลือกถือว่าเป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูล ทุกคนในหมู่บ้านจะมองพวกเธอว่าเป็นคนพิเศษ อย่างที่บอกฉันคิดว่ามันคงเป็นแค่ตำนาน” สมิตาเล่าต่อ

“แล้วมันเป็นแค่ตำนานไหม?” รวิภาถามต่อ ทันใดนั้นเอง เสียงโทรศัพท์มือถือของนคเรศก็ดังขึ้น ขัดจังหวะทุกๆคน เขากดรับโทรศัพท์

“มนชิต นี่มันเช้าไปสำหรับนายนะว่าไหม?” นคเรศแขวะนิดๆพอรู้ว่าคู่สายคือมนชิต

“ฉันรู้ ถึงฉันจะทำตัวปกติ แต่อาณาจักรของฉันยังต้องขับเคลื่อนกันต่อไป” มนชิตตอบ เขาเดินอยู่ในผับ M กับเลขาส่วนตัวของเขา

“โชคดีที่ฉันไม่ได้เป็นนาย ไม่งั้นคงเบื่อแทบตาย” นคเรศพูด

“ถ้าอย่างนั้น นี่อาจจะทำให้มีชีวิตชีวามากขึ้น ฉันได้ยินมาว่ามีพวกหมอผีตายในไพรราช ดูจากสภาพของศพแล้วน่าจะเป็นการกระทำของพวกอสูร ทั้งๆที่ไม่ใช่คืนเดือนดับแท้ๆ ฉันมีแหล่งข่าวที่ฉันต้องไปพบ ฉันอยากให้นายไปด้วยกัน” มนชิตคุยกับนคเรศไป ดูเอกสารที่เลขาส่งให้อ่านไป

“หมอผีที่ตายในไพรราช ฟังดูเหมือนจะเป็นแค่ปัญหาเล็กน้อยนะ” นคเรศพูด

“ถ้าไม่มีบางอย่างฆ่าพวกมันและอาจจะยังอยู่ที่นั่น เลือดของนายเป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะรักษาพิษของอสูรได้ ฉันถึงอยากให้นายไปกับฉันยังไงล่ะ” มนชิตพูดเหตุผลออกมา

“แล้วทำไมฉันจะไม่ไปล่ะ ฉันเองก็ไม่ได้ไปที่ไพรราชนานแล้วเหมือนกัน เจอกันพวก” นคเรศพูดไปตามน้ำ เขาเองก็อยากรู้ล่องลอยของอสูรเหมือนกัน

“เจอกัน พี่ชาย” มนชิตวางสาย

“บ้านหลังนี้ล่ะ” ดูเหมือนว่ามนชิตสนใจอะไรบางอย่างจากรูปภาพของบ้านหลังหนึ่งที่เลขายื่นให้ดู

“คุณจะไปตอนนี้ไม่ได้นะ ฉันจำเป็นต้องรวบรวมศพของพวกหมอผีไปทำพิธีฌาปนกิจ ถ้าฉันทำพิธีไม่ทันก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เราก็จะสูญเสียการเชื่อมโยงทางด้านพลังงานของพวกเขาไปตลอดกาล” สมิตาแย้ง

“หมอผีพวกนั้นพยายามจะฆ่าเหมือนจันทร์ ที่ฉันสนใจก็คือสิ่งที่มนชิตกำลังตามหาต่างหาก ซึ่งมันอาจจะทำให้มนชิตพบบ้านหลังนี้ พบเธอ หรือใครก็ตาม” นคเรศพูด เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของทุกคนมากกว่า

“นายนี่มันยอดเยี่ยมจริงๆ” เหมือนจันทร์นั่งเงียบมานาน

“อยู่ที่นี่แล้วเก็บธุระของเธอเอาไว้จนกว่าฉันจะกลับมา” นคเรศสั่งสมิตาแล้วก็เดินออกไป

(*พ่อเฒ่าหรือแม่เฒ่า เป็นคำที่ใช้เรียกหมอผีที่อาวุโสที่สุดในชุมชนหรือหมู่บ้าน จะมีมากกว่า 1 คนหรือเท่ากับ 1 คนก็ได้)

(*หมอผีเจ้า เป็นคำนิยามสำหรับผู้นำหมอผีในหมู่บ้านนั้นๆ จะขึ้นเป็นหมอผีเจ้าได้จะต้องพิสูจน์อิทธิฤทธิ์ของตัวเองว่าแข็งแกร่งพอไหม และต้องได้รับการยอมรับเรื่องของบุคลิกภาพจากพ่อเฒ่าแม่เฒ่าในหมู่บ้านนั้นๆ ต้องได้รับการยอมรับเรื่องนิสัยใจคอจากผู้คนในหมู่บ้าน สุดท้ายต้องได้รับการยอมรับเรื่องความศรัทธาและภูมิปัญญาทางไสยศาสตร์จากเหล่าบรรพชนหรือสิ่งที่ทางหมู่บ้านยึดถือ หากผ่านข้อกำหนดทุกประการจะได้ขึ้นเป็นหมอผีเจ้าทันที แต่ในบางกรณี อย่างเช่น หมู่บ้านหรือกลุ่มหมอผีสูญเสียหมอผีเจ้ากะทันหันหรือกำลังเผชิญเหตุการณ์ไม่ขาดคิด ทางหมู่บ้านหรือกลุ่มจะคัดสรร คนที่จะมาทำหน้าที่นี่แทนทันที โดยเลือกแค่ความมีอำนาจทางฤทธา และการยอมรับจากบรรพชนหรือสิ่งยึดเหนี่ยวเท่านั้นอง)

(*คืนเดือนดับสำหรับอสูร อสูรจะเกิดสัญชาตญาณดิบที่รุนแรงมากในคืนเดือนดับ พวกเขาจะขี้โมโห หงุดหงิดง่าย ป่าเถื่อน กรณีนี้ใช้ไม่ได้กับเหมือนจันทร์ เพราะลูกในท้องของเธอเป็นลูกผสม)

(*พิธีฌาปนกิจตามแบบไสยเวทย์บรรพชนจะต้องทำภายในเวลา 24 ชั่วโมง นับจากเวลาที่หมอผีเสียชีวิต ไม่อย่างนั้นพลังของเขาจะคืนสู่สามัญและจะไม่มีวันกลายเป็นจิตวิญญาณบรรพบุรุษ)

...............................................................................................

     .. เดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2556 ณ ลานสนามหญ้าในหมู่บ้านเมียงออก มาถึงขั้นตอนสุดท้ายในการคัดเลือกเด็กสาวทั้ง 4 คน เพื่อเป็นตัวแทนพิธีกรรมสำคัญของหมู่บ้านในรอบ 300 ปี บรรจารีย์ที่กำลังเชื่อมต่อกับบรรพบุรุษได้เดินมาเลือกโมณี ลูกสาวของจรุงจิตเป็นตัวแทนคนแรก เธอยิ้มดีใจแล้วลุกขึ้น ยืน คนที่สองก็สาวน้อยหน้าสวยใส ผมสั้นสีดำยาวกว่าติ่งหูนิดหน่อย เธอชื่อว่า ..เกวลิน.. คนที่สามก็คือเด็กสาวผมซอยสั้นสีน้ำตาลเข้ม หน้าคมสวยลูกครึ่ง ผิวขาวและสูงกว่าเพื่อนร่วมรุ่น เธอชื่อว่า ..คันศร.. และคนสุดท้ายก็คือดารายานั่นเอง เด็กสาวทั้ง 4 ต่างดีใจที่ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทน ..

     .. ณ สภาของเผ่ามนุษย์ เป็นหน้าที่ของคมกริชอีกครั้งที่เขาต้องเป็นคนเก็บกวาดเศษซากกระจกจากเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา มนชิตปรากฏตัวและเดินตรงเข้าไปหาเขา ..

“ดูสิว่าใครมา แวะมาเยี่ยมนักโทษในห้องใต้หลังคาของคุณงั้นหรอ?” คมกริชแขวะมนชิตทันที

“ไม่ใช่เรื่องของคุณ ...เธอไม่ใช่นักโทษและผมก็จะพาเธออกไปจากที่นี่คืนนี้ มีคนมากเกินไปที่รู้ว่าเธออยู่ที่นี่” มนชิตพูด

“ผมไปได้ยินเกี่ยวกับสิ่งที่คุณทำในช่วงเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่ผมออกไปจากเมืองนี้ ...คุณใช้เด็กสาวคนนั้นเพื่อควบคุมพวกหมอผีไม่ให้ใช้คุณไสยได้ใช่ไหม?” คมกริชถาม

“ด้วยความเคารพนะท่านประธาน ถ้าคุณคิดจะพยายามค้นหาเสรีภาพให้กับพวกหมอผีล่ะก็ เราก็คงไม่จำเป็นต้องคุยกันอีก” มนชิตพูดจบก็เดินขึ้นไปบนห้องใต้หลังคาทันที

     ที่ห้องใต้หลังคา ดารายากำลังวาดภาพอาคินใส่ชุดสูทยืนอยู่ในห้องของเธอด้วยสีเทียนสีดำ ส่วนอาคินเขาซ่อมไวโอลินของทิวาจนมันกลับมาเล่นได้เหมือนเดิม

“เธอเล่นเองเหรอ?” อาคินถามในขณะที่เขายังคงถือไวโอลินไว้ในมือ

“นั่นไม่ใช่ของฉัน” ดารายาตอบ อาคินไม่ได้ถามอะไรต่อ เขานั่งลงที่เก้าอี้เพื่อเช็คสายของไวโอลินอีกครั้ง ขณะนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังเดินเข้ามาใกล้ๆจึงรีบหลบหาที่ซ่อนตัว

“ข่าวดี สาวน้อย ฉันจะมาพาเธอออกไปจากที่นี่” มนชิตเปิดประตูห้องเข้ามาแล้วบอกข่าวดีกับเธอทันที

“นี่พูดจริงเหรอ เมื่อไหร่?” ดารายาดีใจมาก

“คืนนี้ ฉันต้องไปจัดเตรียมข้าวของอะไรนิดหน่อย พ่อผีดิบตนแรกของเราเป็นไงบ้าง?” มนชิตหันหลังเดินไปจะเปิดโลงศพของอาคิน

“อย่าแตะโลงนะ ฉันร่ายอาคมทิ้งไว้” ดารายาหาข้ออ้างไม่ให้ความแตกเรื่องอาคิน

“กะแล้วเชียว เก็บของซะ ตกลงไหม เฉพาะของใช้จำเป็นก็พอนะ ขาดเหลืออะไรฉันจะซื้อให้ใหม่” มนชิตพูดจบก็เดินออกไป

“โอเค” ดารายายังคงตื่นเต้นที่จะได้ย้ายบ้าน อาคินปรากฏตัวขึ้นหลังประตูห้อง

“เธอไม่ได้บอกเขาว่าฉันฟื้นแล้ว” อาคินประหลาดใจเล็กน้อย

“ก็เรายังคุยกันไม่จบนิ่” ดารายาเดินไปนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง

“เธอกับมนชิตดูสนิทกันมากนะ” อาคินสังเกตจากการสนทนาเมื่อกี้นี้

“มนชิตเป็นครอบครัวของฉัน” ดารายาตอบ เธอไม่มองหน้าเขา

“และมนชิตก็เป็นตัวการในเรื่องการกดขี่พวกหมอผีอีกด้วย หมู่บ้านนั้น ฉันคิดว่าพวกเขาเป็นครอบครัวของเธอซะอีก นี่เธอไม่เดือดร้อนแทนบ้างเลยเหรอ?” อาคินถาม

“ไม่ นี่คือสิ่งที่พวกมันสมควรได้รับ” ดารายาตอบอย่างเย็นชา

“ทำไมเธอถึงพูดแบบนั้นล่ะ?” อาคินถามต่อ ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้

“เพราะพวกมันทั้งหมด เป็นพวกปลิ้นปล้อน หลอกลวง พวกมันบังคับให้ฉันและเพื่อนของฉันเข้าร่วมในพิธีกรรมเครื่องบรรณาการบรรพชน พวกมันบอกว่าหากพวกเรายอมร่วมมือจะทำให้หมู่บ้านของเรากลับมาแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง ซึ่งความแข็งแกร่งนี้จะทำให้ชื่อของพวกเราถูกสรรเสริญตลอดไปในฐานะผู้กอบกู้หมู่บ้านเมียงออก แต่จุดประสงค์ของพวกมันจริงๆก็คือพลังอำนาจที่เพิ่มมากขึ้น ฉันหนีออกมาได้ก่อนที่พิธีกรรมจะไปถึงขั้นนั้น ...ตอนนี้เวลาของพวกมันเหลือน้อยเต็มที เพราะตั้งแต่พิธีกรรมได้เริ่มต้นขึ้นซึ่งจำเป็นที่จะต้องถวายเครื่องบรรณาการให้ครบ และถ้าหากถวายไม่ครบพิธีกรรมก็จะล้มเหลว บรรพชนจะไม่พอใจ ในไม่ช้า หมอผีทั้งหมดในหมู่บ้านเมียงออกร่วมถึงหมอผีบางส่วนในเมืองนี้จะเริ่มสูญเสียอิทธิฤทธิ์และพลังวิเศษไปทีละคน สุดท้าย เมืองๆนี้ก็จะไม่มีหมอผีอีกต่อไป” ดารายาอธิบาย

“แล้วต้องทำยังไงพิธีกรรมถึงจะเสร็จสมบูรณ์ล่ะ?” อาคินถามต่อ

“ฉันต้องตาย” ดารายาตอบ

     .. ณ สุสานบรรพบุรุษ สมิตากำลังเก็บอุปกรณ์ทางไสยเวทย์ที่จำเป็นต้องใช้ใส่เข้าไปในกระเป๋าเป้ใบใหญ่ของเธอ เธอกำลังเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง เหมือนจันทร์มายืนดักรอเธอหน้าห้องเก็บของ ..

“เธอมาทำอะไรที่นี่?” สมิตาถาม

“เธอกำลังจะไปที่ไหนสักแห่งใช่ไหมล่ะ ฉันไปด้วย” เหมือนจันทร์รู้ทัน เธอยิ้มหวานให้สมิตา

“ไม่อะ ฉันเพิ่งโดนนคเรศเทศนามาทั้งวัน และฉันจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นซ้ำสอง” สมิตาพูดจบก็ก้าวเท้าเดิน

“แล้วถ้าอะไรก็ตามที่ฆ่าพวกหมอผียังคงอยู่ข้างนอกนั่นล่ะ ซึ่งมันก็ชอบฉันแล้วก็เกลียดพวกหมอผี เธออาจจะปลอดภัยกว่าไหมถ้ามีฉันอยู่ข้างๆ” เหมือนจันทร์ขวางทางสมิตาไว้ เธอยกเหตุผลออกมาพูดเพื่อให้ได้ไป

“โทษทีที่ฉันไม่สนใจเรื่องที่เธอมาห่วงความปลอดภัยของฉันหรอกนะ” สมิตาเบี้ยงออกด้านข้างแต่เหมือนจันทร์เอามือมาขวางเอาไว้

“นี่ฟังนะ เหตุผลทั้งหมดที่ฉันต้องมาที่เมืองบ้าๆนี่ก็เพราะว่าฉันอยากรู้เรื่องประวัติครอบครัวของฉัน พี่สาวของเธอเป็นคนบอกกับฉันเองว่ามนชิตขับไล่พวกอสูรให้ไปอยู่ในเมืองไพรราช และเมื่อคืนนี้ฉันก็แน่ใจว่าจะต้องเป็นอสูรที่คอยพิทักษ์ตัวฉันอย่างแน่นอน ฉะนั้นฉันจึงต้องไปกับเธอ” เหมือนจันทร์อธิบาย

“พวกเธอสองเป็นบ้าไปแล้วเหรอ เคยได้ยินไหม ...คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย ส่วนสามคนรอด พวกเธอก็ได้ยินที่นคเรศพูดแล้วนิ่ ว่าเขากับมนชิตกำลังจะไปที่นั่น” เสียงของรวิภา เธอปรากฏตัวขึ้น

“งั้นเธอก็ไปขัดขวางพวกเขาสิ ดีกว่ามานั่งเฝ้าอสูรตั้งท้องที่อารมณ์แปรปรวนตลอดเวลาอย่างฉัน ฉันจะไปกับสมิตา และฉันก็ไม่รู้ว่าอาคินจะโกรธไหม ถ้าเขารู้ว่าฉันกับลูกในท้องต้องไปเสี่ยงอันตรายกันตามลำพัง” เหมือนจันทร์ชนะในการสนทนาครั้งนี้

...............................................................................................

     .. เดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2556 ณ สภาของเผ่ามนุษย์ ในห้องประชุม สมิตากำลังยืนอยู่ข้างๆคมกริช ส่วนอีกฝั่งก็คือ บรรจารีย์ อรนาทและจรุงจิต เธอส่ายหน้าให้กับน้องสาวด้วยความไม่พอใจ ..

“แต่ไหนแต่ไรเธอก็ไม่เคยสนใจเรื่องของเผ่าเลยสักนิด สมิตา เธอก็แค่อยากจะระบายความโกรธด้วยการไปบอกให้เผ่าอื่นๆรับรู้เรื่องของเราก็เท่านั้นเอง” บรรจารีย์พูดจาจิกกัดสมิตาและพาดพิงถึงคมกริช

“เราต้องการทางออกที่ดีกว่านี้” คมกริชพูด

“นี่คุณคิดว่าเราไม่ลำบากใจอย่างงั้นเหรอ แต่นับวันพวกผีดิบก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น เราจำเป็นต้องเพิ่มพลังอำนาจเพื่อต่อกรกับพวกมัน ถ้าจะใช้รุนแรงก็ต้องสู้ด้วยความรุนแรง” บรรจารีย์อธิบาย อรนาทพยักหน้าตาม

“แต่นี่มันเกินคำว่ารุนแรงแล้วนะ ป้าใจ” สมิตาพูดแย้ง เธอเรียกบรรจารีย์อย่างสนิทสนม

“ที่เธอไม่เข้าใจก็เพราะว่าเธอไม่ศรัทธาไง เธอไม่เคยศรัทธาอะไรเลย แต่ไม่ใช่กับฉัน ฉันยอมทำได้ทุกอย่าง การเป็นผู้ถูกเลือก มันคือเกียรติยศ” จรุงจิตแทรกขึ้นอีกคน

“มันเป็นเรื่องโกหก จรุงจิต” สมิตายืนกราน

“สิ่งที่พวกคุณวางแผนจะทำมันไม่ใช่แค่ผิดนะ แต่เมืองนี้มีกฎหมาย เมืองที่ผมเป็นผู้นำ” คมกริชพยายามเกลี้ยกล่อม

“เมืองของคุณที่มีแต่ผีดิบอะเหรอ?” จรุงจิตสวนกลับ

“ผีดิบกับมนุษย์เราธุรกิจบางอย่างที่ลงตัวกันเช่นเดียวกับที่เรามีต่อพวกคุณ การปกป้องชาวท้องถิ่น ปกป้องบ้านของพวกเรา เรามีมุมมองที่ต่างกันออกไป แผนของพวกคุณมันมากเกินจนรับไม่ได้” คมกริชเริ่มหงุดหงิด

“เราจะทำในสิ่งที่พวกเราต้องการ การเชื่อมต่อของพวกเรากับบรรพชนเริ่มเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ เราจึงต้องการเครื่องบรรณาการเพื่อให้พวกท่านพึงพอใจ นี่คือความหมายของพิธีกรรม” บรรจารีย์พูด

“ผมเป็นพันธมิตรเพียงคนเดียวที่พวกคุณมีในเมืองนี้! พวกคุณอยากจะเผชิญหน้ากับมนชิตโดยที่ไม่มีผมอย่างงั้นเหรอ เพราะถ้ายังดื้อรั้นไม่ฟังกัน พวกคุณจะได้สมหวังแน่นอน” คมกริชระเบิดอารมณ์ใส่พวกหมอผี ขณะนั้นเอง หนุ่มหล่อ ขาว สูง รูปร่างดี เขาเปิดประตูเข้ามาในห้องประชุม เขาชื่อว่า ..ศรัญ.. หลานชายแท้ๆของคมกริช พี่ชายของกรองขวัญ เขาทำงานเป็นเลขาส่วนตัวให้กับลุงของตัวเอง

“มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าครับ ลุงคมกริช?” ศรัญถามเพราะได้ยินเสียงตระโกนดังออกไปนอกห้อง

“เราประชุมกันเสร็จพอดี ศรัญ ...ใช่ไหม ผมคิดว่าผมพูดชัดเจนแล้วนะ” คมกริชสงบอารมณ์ลง

“เราจะเอาวาระครั้งนี้ไปปรึกษากับพ่อเฒ่าแม่เฒ่าในหมู่บ้านอีกที” อรนาทพูดตัดบท คมกริชเดินออกจากประชุม ตามด้วยบรรจารีย์และจรุงจิต

“เธอเป็นคนขยันนะ ศรัญ คุณลุงของเธอเขาเป็นแบบอย่างที่ดี” อรนาทกุมมือของศรัญไว้

“โต ชุ โว” อรนาทร่ายคาถาบางอย่างใส่ศรัญโดยที่เขาเองไม่รู้ตัว เธอปล่อยมือที่กุมไว้ออก สมิตากำลังเดินออกจากห้อง เธอสังเกตเห็นความผิดปกติ

     .. ณ ป่าในเมืองไพรราช ทั้งสามสาวกำลังเดินไปที่จุดเกิดเหตุ รวิภากดโทรศัพท์มือถือโทรหานคเรศ ..

“ว่าไง รวิภา เธอหึงที่พี่มากับแฟนเก่าของเธออย่างงั้นเหรอ” นคเรศรับโทรศัพท์ ตอนนี้เขายืนอยู่หน้าร้าน ..ไพรราช บาร์..

“นั่นมันเสียงบ้าอะไรกัน?” รวิภาได้ยินเสียงเหมือนการเร่งเครื่องยนต์แทรกเข้ามาในโทรศัพท์

“ไอ้เสียงบ้านี่น่ะเหรอ ก็แค่ฮาเล่ย์ไม่กี่คัน ตอนนี้ฉันอยู่ที่ร้านไพรราชบาร์” นคเรศบอกพิกัด

“งั้นก็สั่งอะไรดื่มกันไปก่อน ลืมเรื่องพวกหมอผีไปสักพัก จนกว่าคนพวกนั้นจะจัดงานศพกันเสร็จ ส่วนแม่ของลูกพี่ก็กำลังตามหาอะไรสักอย่าง และฉันก็มาทำหน้าที่คุ้มครองยัยนี่ตามสัญญาที่ให้ไว้กับอาคิน สรุปง่ายๆก็คือถ่วงเวลาไว้ก่อนนะ” พูดจบรวิภาก็วางสาย ทั้งสามคนเดินไปเรื่อยๆในป่า นคเรศรู้สึกเคืองที่สาวๆไม่เชื่อฟังคำพูดของเขาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เขาจึงเดินกลับเข้าไปในร้านเพื่อถ่วงเวลา

“ทุกอย่างโอเคไหม?” มนชิตเห็นสีหน้าของนคเรศไม่ค่อยดีจึงถาม

“เหมือนเคย น้องสาวเจ้าอารมณ์ ...แล้วไหนล่ะแหล่งข่าวของนาย?” นคเรศเข้าเรื่อง

“..ทอม..อะนะ เขาออกไปหาข้อมูล ดื่มก่อนแล้วค่อยออกไปตามเขา” มนชิตพูดบุคคลที่สาม เขาหันไปเรียกพนักงานในบาร์มาชงเหล้า

“งั้นก็เป็นโอกาสที่ดี เราจะได้คุยกันต่อให้จบ ทำไมนายถึงยังไม่คืนอาคินให้ฉันสักที หรือว่าหมอผีตัวน้อยของนายอยากได้เพื่อนไว้สักคน เธอคงเบื่อน่าดู” นคเรศพูด

“นายจะไม่หยุดถามเรื่องนี้ใช่ไหม?” มนชิตเริ่มเบื่อหน่ายกับเรื่องนี้แล้วเหมือนกัน

“ส่วนนายก็จะไม่ตอบคำถามใช่ไหม?” นคเรศถามกลับ เขากำลังกวนประสาท

“ทำไมนายถึงสงสัยเรื่องของดารายานัก?” มนชิตเข้าเรื่องบ้าง

“ถ้าฉันมีเด็กสาวอายุสิบหก มีอิทธิฤทธิ์แก่กล้าเป็นกองหนุนให้ นายก็ต้องสงสัยเหมือนที่ฉันสงสัยนั่นล่ะ” นคเรศตอบ

“นายไม่มีวันได้เธอไปครอง” มนชิตรู้ทันเสมอว่านคเรศคิดอะไรอยู่

“ก็ได้ ก็ได้ ...งั้นฉันขอถามต่อ นายไปเจอเธอที่ไหน?” นคเรศถามต่อ มนชิตหัวเราะออกมาแล้วรินเหล้า

“งานนี้มีอึ้ง เมื่อแปดเดือนก่อน ก่อนที่ฉันจะสร้างกฎของพวกหมู่บ้านเมียงออกขึ้นมา ตอนนั้นความสัมพันธ์ระหว่างผีดิบกับหมอผีค่อนข้างจะเป็นมิตรต่อกัน ซึ่งก็หมายถึงอาจจะมีการแบ่งพรรคแบ่งพวกเล็กน้อย ที่จริงแล้ว พวกเราบางคนก็เข้ากันได้ดี อย่างเช่นฉันกับสมิตา” มนชิตเล่าให้ฟัง นคเรศถึงกับหลุดขำออกมา

“นายกับสมิตา ไอ้กะล่อนเอ้ย ...นายทรมานพวกหมอผีแล้วนายยังมาเล่นบทขวัญเรียมกับ สมิตา เดชาภัทรจินดา อย่างงั้นเหรอ?” นคเรศพูดไปขำไป

“ไม่ ไม่ ไม่ใช่แบบนั้นพวก มันก็แค่หาอะไรสนุกๆทำกัน” มนชิตพูดได้เด็ดกว่า ทั้งสองคนหัวเราะกันดังลั่น

“ถ้าสมิตาไม่ได้มาหานาย ผีดิบที่รักของเธอในยามที่เดือดร้อน แล้วเธอทำไงต่อ?” นคเรศถามต่อ

“เธอก็ทำเหมือนสาวๆทั่วไป เธอไปยืนคำฟ้องกับสภา คมกริชจึงเรียกผู้นำของพวกหมอผีและคนที่เป็นแม่งานมาคุยกัน ผลของการประชุมสรุปออกมาว่าไม่อนุญาต พวกหมอผีโกรธคมกริชมาก สมิตาเล่าให้ฉันฟังว่าพวกหมอผีทำของใส่ศรัญ หลานชายของเขา มันทำให้เขาค่อยๆเสียสติเพื่อดึงความสนใจของคมกริชไว้ ในขณะที่พวกหมอผีเดินหน้าพิธีกรรมเครื่องบรรณาการบรรพชนต่อไป” มนชิตตอบ

“งั้นก็แสดงว่าพวกหมอผีคือตัวการการฆาตกรรมหมู่ที่สภา” นคเรศเข้าใจทุกอย่างแล้ว

“ใช่ เด็กคนนั้นไม่เหมือนเดิมตั้งแต่นั้นมา เขาบ้าคลั่ง ฆ่าคน และจบชีวิตตัวเองลงด้วยความตาย” มนชิตพูดต่อ

“ฉันพอจะรู้มาบ้างแล้วล่ะ เด็กหนุ่มคนนี้เหมือนว่าจะมีพี่น้อง” นคเรศพูด

“น้องสาว เขามีน้องสาว” มนชิตรู้เหมือนกัน

     .. เดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2556 ณ ผับ M ในห้องของมนชิต เขาและสมิตากำลังเล่นบทรักสุดสวาทเร้าร้อนกันอย่างดูดดื่มในห้องน้ำ เช้าวันรุ่งขึ้น สมิตาอาบน้ำและกำลังเปาผมให้แห้ง มนชิตตื่นขึ้น เขายังคงตอนเปลือยกายอยู่บนเตียงนอน ..

“แย่จัง ฉันต้องรีบไปจัดการกับหมอผีป้าจอมเพี้ยนทั้งหลายก่อน” สมิตาเห็นมนชิตตื่น เธอจึงหันมาพูดกับเขาและโยนผ้าขนหนูทิ้งไป

“เลือดหมอผีในตัวเธอกำลังจะทำให้เธอเริ่มเป็นบ้าแล้วสินะ” มนชิตแซวสมิตา

“ส่วนพี่สาวของฉันยิ่งหนักเข้าไปใหญ่” สมิตาไม่สนใจคำพูดของเขา เธอบ่นต่อ

“แน่นอน จรุงจิตผู้น่าสงสาร” มนชิตพูด

“พวกเขาสั่งให้เด็กผู้หญิงอายุสิบหกในหมู่บ้าน มาคัดเลือกตัวแทนทั้งสี่เพื่อที่จะเอามาทำพิธีบ้าๆ” สมิตาบ่นต่อ มนชิตเริ่มสนใจเขาลุกขึ้นนั่งบนเตียง

“มีอะไรให้ช่วยไหม?” มนชิตถาม

“ไม่เป็นไรหรอก นายเองก็มีปัญหากับพวกหมอผีมากพอแล้ว” สมิตาเกรงใจ

“เพิ่มอีกสักเรื่องจะเป็นไรไป” มนชิตพูด

“นายมันป่าเถื่อน นายมันชอบหาเรื่องกับหมอผี ส่วนเรื่องนี้... รู้กันแค่เราสองคนนะ” สมิตาเดินขึ้นไปบนเตียงนั่งคร่อมตัวมนชิต พวกเขาทั้งสองเริ่มบรรเลงเพลงรักกันต่อ

...............................................................................................

     .. ณ ห้องใต้หลังคาในสภาของเผ่ามนุษย์ ดารายาเริ่มเก็บข้าวของ ส่วนอาคินเขาอยู่ตรงที่เดิมและกำลังซนกับไวโอลินของทิวา ..

“ขยายความให้ฉันหน่อย เธอหมายความว่าไงที่เธอบอกฉันว่าเธอต้องตายน่ะ?” อาคินถาม

“นั่นแหละ คือจุดประสงค์ของพิธีกรรมเครื่องบรรณาการบรรพชน พวกมันจะส่งเด็กสาวสี่คนไปหยั่งภพบรรพชน เป็นโลกของบรรพบุรุษในเมือง คือการถวายวิญญาณเรา และเมื่อถึงเวลาเราก็จะกลับมามีชีวิตเหมือนได้เกิดใหม่ ฉันก็ไม่เคยไปถึงขั้นนั้น ซึ่งก็หมายความว่าพิธีกรรมยังไม่เสร็จสมบูรณ์ นี่คือเหตุผลที่พวกหมู่บ้านเมียงออกกำลังประสาทเสีย ระยะเวลาการถวายเครื่องบรรณาการไม่ได้นานนัก ถ้าพวกนั้นทำไม่สำเร็จก็จบ ...ฉันก็แค่ต้องรอให้เวลานั้นมาถึง” ดารายาพูดไปเก็บเสื้อผ้าของเธอไป

“แล้วไงต่อ?” อาคินถามต่อ

“พวกมันจะถูกลงโทษ ส่วนฉันก็จะเป็นอิสระ” ดารายาตอบ เธอเดินไปหยิบเครื่องเขียนมาใส่กระเป๋า

“จากมนชิตเหรอ?” อาคินถามอีก

“จากไสยศาสตร์ อำนาจอิทธิฤทธิ์ของทุกคนในเมืองนี้จะค่อยๆถูกถ่ายออกไป ฉันก็จะกลายเป็นแค่คนธรรมดา” ดารายายิ้มเล็กน้อย

“นี่คือสิ่งที่เธอต้องการงั้นเหรอ เป็นคนธรรมดาเนี่ยนะ?” อาคินขยี้ไปเรื่อยๆ

“ฉันก็แค่ไม่อยากจะเป็นในสิ่งที่ฉันเป็นอยู่ รู้ไหมบางครั้งฉันก็ควบคุมมันไม่ได้ พลังอำนาจพวกนี้มันทำให้ฉันต้องทำร้ายคนอื่น ซึ่งฉันก็ไม่ได้อยากจะทำแบบนี้” ดารายาพูดไปน้ำตาคลอ

“ทำไมเธอไม่เล่าเรื่องของเพื่อนๆเธอให้ฉันฟังล่ะ เธอต้องคิดถึงพวกเขาสิ” อาคินเปลี่ยนเรื่อง

“เจ้าของไวโอลินชื่อ ..ทิวา.. เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติพวกนี้ เขาเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาทั่วไป เพื่อนสนิทฉัน ..โมณี.. เธอเป็นหนึ่งในสี่สาวเครื่องบรรณาการเหมือนกับฉัน แต่เธอโชคดี ไม่มีใครสู้เพื่อฉันเลยแต่เธอมี คนเดียวที่กล้าต่อต้านพิธีกรรมนี้ก็คือน้าของโมณี” ดารายาเล่าต่อ

“ใครคือคนๆนั้น?” อาคินถาม

“สมิตา เดชาภัทรจินดา” ดารายาตอบ อาคินอึ้งไปพักใหญ่

     .. ณ ป่าในเมืองไพรราช ทั้งสามสาวยังคงเดินอยู่ ..

“แล้วไอ้เรื่องพิธีกรรมเครื่องบรรณาการบรรพชนนี่ ...เล่าต่อสิ” รวิภาพูดกับสมิตา

“นคเรศบอกให้รอก่อน” สมิตาปฏิเสธ

“ใช่ แล้วเขาก็บอกด้วยว่าอย่าไปที่ไพรราช สุดท้ายเราก็มาเดินอยู่ที่นี่ ท่ามกลางสิ่งมีชีวิตน่าขนลุกพวกนี้” รวิภาตัดพ้อ

“ถึงแล้วล่ะ” เหมือนจันทร์หยุดเดิน เธอท้าวมือที่ต้นไม้ สองสาวที่เหลือเดินเข้าไปมองดูสภาพศพ ซึ่งก็ดูไม่ได้ ร่างของพวกเขาฉีกขาดเป็นชิ้นๆ มีรอยข่วนขนาดใหญ่ รอยกัดฝังเขี้ยวเต็มไปหมด เหมือนจันทร์สังเกตเห็นอะไรบางอย่างจึงเดินเข้าไปดู

“เดี๋ยวนะ” เหมือนจันทร์สบถออกมา เธอเห็นรอยเท้าบางอย่างของสัตว์ และรอยเล็บข่วนต้นไม้ที่เต็มไปด้วยเลือด”

“นั่นมันรอยเท้าอสูรใช่ไหม?” สมิตารู้ทันที เธอกำลังทำพิธีฌาปนกิจศพพวกนี้ จู่ๆทั้งสามสาวก็ได้ยินฝีเท้าของอะไรบางอย่างค่อยๆเดินเข้ามาใกล้จุดที่พวกเธอยืนอยู่

“ใครน่ะ?” รวิภาตระโกน

“อะไรกันวะเนี่ย ...เธอคือผีดิบตนแรก” ทอมลูกสมุนของมนชิตพบสามสามเข้าให้แล้ว เขาจำรวิภาได้ ทอมไม่รอช้าเขาใช้ความเร็วหนีออกมาจากตรงนั้นทันที รวิภารีบกดโทรศัพท์โทรหานคเรศ เขาเดินออกมานอกร้านแล้วรับสาย

“เรย์ มีคนเจอพวกเราที่ไพรราช” รวิภาเข้าเรื่องทันที

“ตามที่ฉันเข้าใจแบบไม่ต้องใช้ตรรกะใดๆ คือเธอกับเหมือนจันทร์ไปที่ไพรราช และเจอเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่น่าจะเป็นแหล่งข่าวของมนชิต แล้วเธอก็ปล่อยให้มันหนีไปได้” นคเรศเข้าใจหมดทุกอย่าง เขาอยากจะแดกดันน้องสาว

“ใช่ ตอนนี้ก็เห็นแล้วว่าฉันไม่มีคุณสมบัติการเป็นน้องสาว เป็นเพื่อน และก็เป็นผีดิบตนแรก ...พี่ก็น่าจะรู้ดีว่าหมอนั่นกำลังจะไปที่ไหน ไปหามนชิตไง” รวิภาประชดตัวเอง ในขณะที่สองสาวก็ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป

“คนผอมๆ ท่าทางร้อนรน เหมือนเพิ่งเห็นผีมา” รวิภาอธิบายลักษณะของทอม

“ฉันจัดการเอง ฉันขอแค่คนขั้นเวลาตอนนี้” นคเรศมีแผนแล้ว

“เดี๋ยวฉันไปหา” รวิภาวางสาย เธอรู้แล้วต้องทำอะไร

...............................................................................................

     .. ในวันพระจันทร์เต็มดวง เดือนมีนาคม พุทธศักราช 2556 ที่สุสานบรรพบุรุษ นี่คือค่ำคืนสำคัญของเหล่าหมอผีหมู่บ้านเมียงออกทุกๆคน แม่เฒ่าพ่อเฒ่าในหมู่บ้านออกมายืนเรียงหน้ากระดานไปตามทางเดินของสุสาน ราวกับว่าจะมีการต้อนรับขบวนเสด็จของเชื้อพระวงศ์ยังไงยังนั้น แต่สิ่งที่เดินก้าวเข้ามาในสุสานกลับเป็นเด็กสาวทั้ง 4 คน แต่งกายด้วยชุดสีขาว นำโดย ดารายา โมณี เกวลิน และคันศร ครอบครัวของพวกเด็กสาวและสมาชิกในหมู่บ้านคนอื่นๆ ยืนอยู่ทางด้านหลังพ่อเฒ่าแม่เฒ่า พวกเขายิ้มด้วยความภาคภูมิใจในตัวสาวน้อยทั้ง 4 คน พวกเธอเดินมาจนถึงแท่นพิธีกรรมซึ่งจัดขึ้นที่ลานใหญ่ของสุสาน มีบรรจารีย์ที่เป็นหมอผีเจ้าของหมู่บ้านยืนคอยต้อนรับพวกเธอ ท่ามกลางยามราตรีที่สว่างไสวด้วยแสงจันทร์นี้ พวกหมอผีได้จุดไฟที่เสาน้ำมันทั้งสองข้างเพื่อเพิ่มบรรยากาศในพิธีกรรมให้ดูขลังขึ้น อรนาทพาเด็กสาวทั้ง 4 คน มายืนเรียงหน้ากระดานตรงหน้าบรรจารีย์ ..

“อำนาจอิทธิฤทธิ์ในหมู่เราค่อยๆจางหายไปทีละนิด สายใยแห่งพันธะบรรพชนก็กำลังอ่อนแรงลง ในนามของข้า บรรจารีย์ นฤวัตปกรณ์ หมอผีเจ้าแห่งผู้บ้านเมียงออกและสมาชิกลูกหลานทุกๆคน พวกเราขอวิงวอน โปรดรับไว้ซึ่งเครื่องบรรณาการนี้ อันเป็นตัวแทนแห่งความศรัทธาในหมู่เรา” บรรจารีย์พูด เด็กสาวทั้ง 4 คนนั่งคุกเข่าลงกับพื้น บรรจารีย์นำขี้เถ้าศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเกิดจากการปลุกเสกเมื่อ 1,500 ปีก่อน เป็นขี้เถ้าผงกระดูกจากบรรพบุรุษหมอผีรุ่นแรกของเมืองจตุราชิต ใส่จานไว้เล็กน้อย นำมาเจิมที่กลางหน้าผากของเด็กสาวทั้ง 4 คน ทันใดนั้นเกิดลมประหลาดพัดเข้ามาวูบหนึ่ง เป็นสัญญาณที่ดีสำหรับพิธีกรรมครั้งยิ่งใหญ่ บรรจารีย์นำมีดหมอของเธอซึ่งเป็นมีดหมอตกทอดจากหมอผีเจ้าสู่หมอผีเจ้ายื่นเข้าไปในเสาน้ำมันที่จุดไฟแล้ว ให้เหล็กมีดหมอได้สัมผัสกับความร้อนของเปลวไฟจากนั้นก็ชักมันกลับ บรรจารีย์ขานชื่อเด็กสาวคนแรกซึ่งก็คือ ..เกวลิน.. เธอลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาหล่อน

“ไม่! ป้าใจ หยุด! ป้าต้องหยุด! ได้โปรดอย่าทำแบบนี้” สมิตาฝ่าผู้คนเข้ามาในใจกลางพิธี เธอตระโกนโวยวาย จนถูกผู้ชายคนหนึ่งจับตัวไว้แล้วปิดปากเธอ สมิตาทำให้ทุกคนตกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีใครสนใจอะไรเธอ ทุกคนสนใจพิธีกรรมที่กำลังดำเนินอยู่มากกว่า

“เพื่อเกิดใหม่ เราจึงต้องเสียสละ เธอมีศรัทธาหรือไม่?” บรรจารีย์ถามเกวลิน เด็กสาวพยักหน้าแล้วยื่นข้อมือให้เธอ

“พวกเขาจะฆ่าเธอ” คำพูดของสมิตาในลำคอ เธอถูกปิดปากจนไม่มีใครฟังเธอรู้เรื่อง บรรจารีย์จับมือเกวลินแล้วดึงเธอเข้ามาใกล้ใช้มีดหมอเชือดคอของเธอ เกวลินสิ้นใจตาย เด็กสาวที่เหลือทั้งสามคนพากันแตกตื่น ตกใจ และกลัวสุดขีด พวกเธอพยายามดิ้น ขัดขืน แต่ถูกพวกผู้ใหญ่ในหมู่บ้านจับตัวไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้

     คันศรเป็นรายต่อไป เธอถูกลากตัวให้ไปยืนตรงหน้าบรรจารีย์ คันศรถูกมีดหมอกรีดคออย่างช้าๆและสิ้นใจตายในที่สุด

“ไม่ๆ หยุดนะ ไม่!” เสียงร้องของดารายาที่ไม่มีใครสนใจแม้กระทั่งแม่แท้ๆของเธอเอง

“โมณี เดชาภัทรจินดา” บรรจารีย์เรียกชื่อเด็กสาว เธอถูกลากตัวให้เข้าไป

“ไม่! อย่าเข้าไปนะ โมณี!” ดารายาตระโกนสุดเสียงสุดกำลัง ไม่มีใครสนใจเธอ ไม่มีใครแยแสเธอ สมิตาแหกปากตระโกนขอความช่วยเหลือ จรุงจิตที่ยืนอยู่ข้างๆได้แต่ร้องไห้

“โมณี หนีไป หนีไป!”สมิตาตระโกน โมณีร้องไห้เพราะความกลัว ทันใดนั้นเสียงนกหวีดที่เกิดจากการผิวปากก็ดังขึ้น เหล่าผีดิบบุกเข้ามาในสุสานบรรพบุรุษ จู่โจมหมอผีทุกคน ทำลายพิธีกรรมทุกอย่าง มนชิตเดินเข้ามา ดวงตาของเขาเป็นสีดำด้วยความโกรธ

“มนชิต” สมิตาหันไปเห็นเทพบุตรขี่ม้าขาวของเธอ บรรจารีย์ถูกลูกสมุนของมนชิตขย้ำเข้าที่คอจนสิ้นใจตาย อรนาทรีบหยิบมีดหมอของบรรจารีย์ขึ้นมาแล้วเชือดคอโมณีทันที โมณีค่อยๆล้มลงไปสิ้นใจตายอีกคน

“คุณพระช่วย โมณี โอ้ไม่! ...ปล่อยฉัน ไม่นะ! ปล่อยสิวะ! หยุดนะ!” ดารายาร้องแหกปากลั่นจนมนชิตได้ยิน เธอพยายามดิ้นสุดชีวิตจนสลัดหลุดออกจากชายที่จับตัวเธอไว้ได้ มนชิตใช้ความเร็วพุ่งเข้าไปหักคอเขาทันที

“เธอปลอดภัยแล้ว” มนชิตดึงดารายามากอดไว้ เธอร้องไห้เสียใจหนักมาก

     .. ณ ร้านไพรราชบาร์ นคเรศเดินเข้าไปในร้านนั่งที่โต๊ะตามเดิม ..

“น้องสาวนายอีกแล้วเหรอ?” มนชิตถามเหมือนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“เธอเป็นพวกชอบเรียกร้องความสนใจน่ะ มาต่อกันดีกว่า เราดื่มไปกี่แก้วแล้วนะ” นคเรศกลับเข้าเรื่อง

“เรื่องที่จะพูดต่อไปนี้มันจะขำไม่ออกแล้วล่ะ ฉันมีงานต้องทำอีกเยอะและฉันก็ตั้งกฎของเผ่าผีดิบขึ้นมา” มนชิตพูด

     .. ณ ห้องใต้หลังคาในสภาของเผ่ามนุษย์ ดารายานั่งอยู่บนเตียงกำลังพับเสื้อผ้าใส่กระเป๋า ..

“มีแต่สมิตาเท่านั้น ที่สงสัยเรื่องพิธีกรรมเครื่องบรรณาการบรรพชน แต่ไม่ใช่กับแม่ของฉันรวมถึงฉันด้วย พวกเราคิดว่ามันเป็นเกียรติยศ ด้วยความเชื่อมั่นนี้ ฉันกับแม่เราก็แค่คนโง่” ดารายายังคงเล่าเหตุการณ์ต่อ

“แล้วมันเริ่มจากตอนไหน?” อาคินถาม

“เราถูกเปิดตัวให้เป็นดั่งเจ้าหญิง แม่ของฉันภูมิใจในตัวฉันมาก บรรจารีย์คือหมอผีเจ้าของหมู่บ้านเรา เธอเรียกธาตุทั้งสี่ให้มาบรรจบกัน ผูกมัด อดีต อนาคต และไสยศาสตร์ของพวกเราไว้ด้วยกัน ดิน คือตัวเชื่อมต่อระหว่างพวกเรากับบรรพบุรุษ น้ำ เพื่อประสานสังคมและเผ่าพันธุ์ของเราให้คงอยู่ ลม คือตัวนำพาพวกเราไปหยั่งดินแดนของบรรพชน และสุดท้าย ไฟ เพื่อชำระล้างให้พวกเรานั่นบริสุทธิ์ หลังจากที่ทุกอย่างพร้อม เรารู้ว่าพวกเขาคาดหวังอะไร หนึ่งเดือนเต็มที่พวกเขาคอยบอกกับเราว่ามีดหมอของบรรจารีย์ใช้เพื่อกรีดฝ่ามือของพวกเรา ซึ่งหลังจากที่ถูกกรีดเราทั้งสี่คนจะเข้าสู่ห้วงแห่งนิทรา คือการหลับใหล ไม่นานนักพวกเราทั้งหมดก็จะตื่นขึ้น กลับมามีชิวิตอีกครั้งและแข็งแกร่งทรงพลังยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด พวกเราทำการซ้อมกันทุกสัปดาห์ สิ่งเดียวที่ไม่ต้องซ้อมก็คือการเอามีดกรีดฝ่ามือของเราเพื่อนำเลือดไปประกอบพิธีกรรม สมิตาพยายามจะขัดขวางพิธีกรรมนี้ พวกเราไม่สนใจเธอเลยด้วยซ้ำ เราไม่สงสัยอะไรทั้งสิ้น เราเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า สุดท้ายพวกเขาก็เชือดคอเราทีละคน เริ่มจากเกวลินคนแรก” ดารายาเล่าต่อ

“แล้วทุกคนที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมนี้รับรู้มาก่อนหน้านี้ไหม?” อาคินถามต่อ

“พวกเขารู้อยู่แล้วตั้งแต่แรก นอกจากพวกเราทั้งสี่คน พวกเขาไม่ได้จะทำให้เราหลับ แต่พวกเขากำลังจะฆ่าเราอย่างทารุณ ฉันตระโกนขอร้องให้คนช่วย แม้แต่แม่ของฉันก็ยังหันหน้าหนี สมิตากรีดร้องให้พี่สาวของเธอได้ยิน แต่ทุกคนกลับนิ่งเฉยใส่ ไม่มีใครมีท่าทีเป็นเดือดเป็นร้อนเลยสักคน ไม่มีใครสนใจพวกเรา” ดารายาพูดทั้งน้ำตา

“แต่เธอก็รอดชีวิต ต้องมีใครสักคนที่เข้ามาขัดขวางเรื่องนี้” อาคินพูด

“ใช่ ในที่สุดเทพบุตรก็มา...” ดารายาพูด

     ตัดกลับมาที่ไพรราชบาร์

“...นายคือคนที่ขัดขวางพิธีกรรมนั่น” นคเรศพูด

“คมกริชรู้ทุกอย่างจากสมิตา หลังจากที่หลานชายของเขากลายมาเป็นฆาตกรสังหารหมู่ในสภา เขาใจสลาย เขาออกจากเมืองไปก่อนช่วงพิธีกรรมจะเริ่ม ระหว่างทางเขาแวะมาหาฉัน ขอร้องให้ฉันช่วยหยุดพิธีกรรมบ้าๆนี่ เขารู้ว่าฉันไม่ต้องการให้พวกหมอผีมีอำนาจมากมายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และฉันก็มีกฎสำหรับไอ้พวกที่ชอบกดขี่ข่มเหงเด็ก ฉันเลยทำตามคำขอ แต่ฉันมาช้าเกินไป เด็กผู้หญิงถูกฆ่าอย่างทารุณไปแล้วสาม ฉันได้ยินเสียงร้อง เสียงของดารายา ฉันหันไปเห็นเธอ มันมีบางอย่างเกิดขึ้นในหัวของฉันหลังจากที่ได้เห็นเธอพยายามจะสู้สุดชีวิต เธอไม่ยอมอยู่เฉยๆปล่อยให้ถูกสังเวยได้ง่ายๆ นายรู้ไหม”มนชิตเล่าต่อ

“รู้สิ มนชิต ฉันเข้าใจ” นคเรศเข้าใจแล้วว่าทำไมมนชิตถึงช่วยชีวิตดารายา เธอดิ้นรนต่อสู้เพื่อชีวิตรอดจากคนที่จะทำทารุณกับเธอ เหมือนกับมนชิตตอนเด็กๆ

“ฉันรู้สึกว่าเด็กคนนั้นกับฉัน เรามีบางอย่างที่เชื่อมถึงกัน” มนชิตพูด

(*ขี้เถ้าศักดิ์สิทธิ์ เป็นขี้เถ้าใช้สำหรับทำพิธีกรรมสำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับบรรพบุรุษหมอผีในเมืองจตุราชิต มันถูกปลุกเสกขึ้นเมื่อ 1,500 ปีก่อน จากเถ้ากระดูกของบรรพบุรุษหมอผีรุ่นแรกในเมืองจตุราชิตทั้ง 100 คน ผสมกับดินฝังศพของพวกเขา น้ำอาบศพ และควันไฟ เมื่อทำพิธีปลุกเสกจนเสร็จจึงนำไปใส่ไว้ในไห เก็บรักษาเป็นอย่างดี)

...............................................................................................

     .. คืนพระจันทร์เต็มดวง เดือนมีนาคม พุทธศักราช 2556 ที่สุสานบรรพบุรุษ สมิตาอุ้มศพของหลานเธอขึ้นมาประคองไว้ที่ตักพร้อมทั้งน้ำตา ในขณะเดียวกันดารายาที่อยู่ในอ้อมกอดของมนชิตกำลังยืนมองศพของเพื่อนสนิทเธอด้วยความเสียใจอย่างที่สุด จู่ๆดารายาก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ดึงดูดให้เธอยืนมือออกไป ตอนนั้นเองแสงสว่างบางอย่างถูกส่งออกมาจากร่างกายของโมณีไปที่ฝ่ามือของเธอ มันค่อยๆไหลจนไปปรากฏไปที่ฝ่ามือของดารายา แสงนั่นเข้าไปอยู่ร่างกายของหญิงสาวในที่สุด สมิตาได้แต่อึ้งกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ในตอนนี้เธอได้แต่ตั้งคำถามกับความโง่เขลาของตัวเอง จังหวะนี้มนชิตใช้ความเร็วพาดารายาหนีออกไปจากสุสานบรรพบุรุษทันที ..

     .. ณ ห้องใต้หลังคาในสภาของเผ่ามนุษย์ ดารายาเล่าเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเธอเมื่อประมาณ 8 เดือนก่อนให้อาคินฟังต่อ ..

“เด็กสาวทุกคนที่ตายจะส่งมอบพลังชีวิตและอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดให้กับคนต่อไปจนกว่าจะครบสี่ ในเมื่อฉันเป็นคนสุดท้าย... ฉันจึงได้พลังทั้งหมดนั้นมา อิทธิฤทธิ์ พลังชีวิตของทุกๆคน พลังที่ควรจะปล่อยให้ไหลคืนสู่โลก สู่บรรพชน เพื่อทำให้พวกเขาพึงพอใจ” ดารายาอธิบาย

“งั้นก็แปลว่าพิธีกรรมเครื่องบรรณาการบรรพชนคือเรื่องจริงสินะ...” ตอนนี้อาคินเข้าใจทั้งหมดแล้ว

“แค่บางส่วนที่เป็นเรื่องจริง และฉันรู้ว่าฉันต้องตายเพื่อที่จะทำให้พิธีกรรมสมบูรณ์ พวกเราทุกคนจะฟื้นคืนชีพและมีชีวิตอีกครั้ง ...แต่พวกมันหลอกพวกเราเรื่องที่จะต้องถูกฆ่า ฉันจะรู้ได้ไงว่าพวกมันจะไม่หลอกเราอีกที่ว่าเราจะฟื้นคืนชีพ ...อันที่จริงแล้วฉันเองก็ยังไม่พร้อมที่จะตาย เพราะฉะนั้นฉันจึงยอมให้เขาช่วยฉัน ..มนชิต.. เขาช่วยชีวิตฉัน” ดารายาเล่าต่อให้จบ

     .. ณ ร้านไพรราชบาร์ นคเรศและมนชิตยังคงดื่มกันอยู่เหมือนเดิม ..

“นายนี่มันอัศวินสวมชุดเกราะชัดๆ ดารายาคงคิดว่าเธอติดหนี้บุญคุณนาย พอๆกับที่นายก็ติดหนี้บุญคุณเธอเช่นกัน นายไม่น่าสั่งห้ามพวกหมอผีใช้อาคม โดยที่ไม่มีเธอเลย” นคเรศออกความคิดเห็นหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทุกอย่าง

“เธอไม่ค่อยสนิทกับคนในหมู่บ้านตัวเองเท่าไหร่ ฉันปกป้องเธอ ยังมีพวกหมอผีอีกมากที่อยากได้ตัวเธอและพวกนั้นจะพยายามฆ่าเธอเพื่อทำให้พิธีกรรมนี้สมบูรณ์ ถ้าพวกมันไม่ฆ่าเธอเด็กสาวอีกสามคนเหลือก็จะตายจริงๆ และสุดท้ายพวกมันทั้งหมดก็จะสูญเสียอิทธิฤทธิ์ไป” มนชิตอธิบายต่อ

“และถ้าพวกมันทำสำเร็จ นายก็จะสูญเสียเธอ” นคเรศพูดต่อ

“ใช่ ดารายาจะตาย” มนชิตพูด

“นึกถึงวันเก่าๆเลยเนอะ ว่าไหม... ลืมไปแล้วว่าพวกนายสองคนขี้เมาขนาดไหน?” เสียงของรวิภาแทรกเข้ามา เธอเดินมาตรงกลางระหว่างชายทั้งสองคน

“กำลังได้ที่เลยล่ะ ฉันจะไปห้องน้ำแป๊บ... เดี๋ยวมานะ” นคเรศเริ่มดำเนินตามแผน

“ฉันไม่เห็นเขาเมาแบบนี้มา 20 ปีได้แล้วมั่ง” รวิภาหันไปพูดกับมนชิต

“เธอมาพาเขากลับบ้านงั้นเหรอ?” มนชิตตัดบท

“นอกจากนั้นฉันจะทำอะไรได้อีกล่ะ?” รวิภากวนประสาทกลับ

“ไม่รู้สิ บางทีเธออาจดูให้แน่ใจว่าฉันไม่ได้เมามากเกินไปจนหลุดพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมา อย่างเช่นเรื่องของเรา” มนชิตพูดด้วยสายตาเจ้าเสน่ห์ราวกับว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ รวิภาหันมาตามคำเชื้อเชิญของสายตาเขา เดินเข้ามาใกล้เขา

“ฉันรู้ดีที่สุด” มนชิตพูดต่อ

“ฉันก็หวังว่าอย่างนั้นล่ะ เพราะนายเองก็ไม่อยากให้ทุกอย่างจบลงด้วยการเกลียดฉันหรอกนะ” รวิภาสู้ไม่ถอย

“ฮืมมม... รวิภา วิรุฬห์กร ถ้าเลือกได้เธอเองก็ไม่อยากเกลียดฉันนักหรอก” มนชิตยื่นหน้าเข้าไปใกล้เธอ

(*พิธีกรรมเครื่องบรรณาการบรรพชน คือพิธีกรรมของหมอผีหมู่บ้านเมียงออก ถูกจัดขึ้นทุกๆ 300 ปี สำหรับศาสตร์ไสยเวทย์บรรพชน เป็นพิธีกรรมที่จะคัดเลือกเด็กสาวบริสุทธิ์ทั้ง 4 คน เป็นตัวแทนเพื่อถูกทำให้เป็นเครื่องบรรณาการแก่บรรพชน โดยมีหมอผีเจ้าของหมู่บ้านเป็นประธานในพิธีและเหล่าพ่อเฒ่าแม่เฒ่าของหมู่บ้าน พิธีกรรมนี้จะต้องสังเวยเครื่องบรรณาการทั้งสี่ เพื่อคืนสมดุลให้กับธรรมชาติและเป็นการมอบพลังให้กับบรรพบุรุษหมอผีในเมืองจตุราชิต เมื่อบรรพบุรุษพึงพอใจพวกเขาจะคืนชีวิตให้กับเครื่องบรรณาการ ตัวแทนทั้งสี่จะได้รับการสรรเสริญจากทุกคนในหมู่บ้าน เป็นความภาคภูมิใจของวงศ์ตระกูล พิธีกรรมนี้จะถูกจัดขึ้นก็ต่อเมื่อการเชื่อมต่อระหว่างบรรพชนกับเหล่าหมอผีหมู่บ้านเมียงออกอ่อนแรงลง และจะต้องจัดพิธีกรรมขึ้นในคืนพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น หากประกอบพิธีกรรมไม่สำเร็จจะต้องรอไปอีก 300 ปี หรือการเชื่อมต่อกับบรรพบุรุษอาจขาดหายไปตลอดกาล ในกรณีที่พิธีกรรมเกิดตกข้าง จะมีเวลาภายในไม่เกิน 10 เดือน เพื่อทำให้พิธีกรรมสมบูรณ์ ระหว่างนี้การเชื่อมต่อของหมอผีกับบรรพชนก็จะอ่อนแรงลงเรื่อยๆเช่นกัน)

...............................................................................................

     .. ที่หน้าร้านไพรราชบาร์ ทอมลูกสมุนของมนชิตกำลังเร่งฝีเท้าเพื่อที่จะไปรายงานให้นายของตนรู้ เกี่ยวกับเรื่องที่เขาพบเห็น ..

“ทอม! ...ใจเย็นๆ มนชิตวานให้ฉันมาถามนายว่าได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับหมอผีที่ตายไปบ้าง?” นคเรศดักรอเขาและทักทาย ทอมสะดุ้งเล็กน้อย เพื่อความแนบเนียนนคเรศเดินเข้าไปกอดคอเขา

“ผมรู้แค่ว่าพวกมันไล่ตามอสูรสาวที่กำลังตั้งครรภ์ ส่วนนังอสูรนั่นก็โง่เองที่อยู่คนเดียว” ทอมหายใจโล่งขึ้น เขาเล่าให้นคเรศฟังอย่างสนุกปาก

“ใช่ ...ใช่ๆ มันโง่ ฉันประหลาดใจจริง ไม่คิดว่าบางคนจะหลอกได้ง่ายขนาดนี้” สิ้นคำพูดของนคเรศ เขาหักคอทอมให้สลบไป

...............................................................................................

     .. ณ ห้องใต้หลังคาในสภาของเผ่ามนุษย์ อาคินหยิบไวโอลินที่ซ่อมเสร็จเรียบร้อยยื่นให้กับดารายา ..

“พร้อมส่งคืนเจ้าของ สภาพดีเหมือนเก่า” อาคินพูด ดารายารับไวโอลินมา เธอมือสั่นและกังวล

“ฉันไม่รู้ว่าฉันจะได้เจอเขาอีกไหม...” สิ้นคำพูดของดารายา จู่ๆห้องทั้งห้องก็สั่นราวกับเกิดแผ่นดินไหว ทั้งอาคินและดารายาต่างตกใจ มันสั่นอยู่สักพักก็หยุด หน้าต่างห้องนอนของเธอถูกเปิดออกเอง สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมาจากพลังอำนาจที่มากเกินไปในตัวเด็กสาว

“ดารายา อิทธิฤทธิ์ที่เธอครองมันมาจากเด็กสาวอีกสามคนรวมตัวเธอด้วย มันคงมากเกินไปนะ เธอต้องฝึกควบคุมมัน เรียนรู้มัน แม่ของฉันคือผู้ใช้อาคมที่ทรงฤทธานุภาพมากที่สุดคนนึงในประวัติศาสตร์ เธอมีคัมภีร์ใบลาน การจดบันทึกที่เต็มไปด้วยคาถาอาคมโบราณที่ทรงอนุภาพไว้เป็นมรดกให้กับลูกหลาน คัมภีร์นี้มีทุกอย่างที่เธอต้องการเพื่อควบคุมพลังทั้งหมดของเธอ ถ้าเธอให้อิสระกับฉัน ฉันจะแบ่งส่วนหนึ่งของคัมภีร์นี้มาให้กับเธอ ...อย่างไรก็ตาม ถ้าเธอไปกับมนชิตตอนนี้เราทั้งสองจะไม่มีวันได้เจอกันอีกเลย และฉันก็ไม่สามารถตามหาหรือว่าช่วยเธอได้” อาคินยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจอย่างมากให้กับดารายา

“พวกหมอผีจะฆ่าฉัน คุณก็รู้ว่ามันจะจบยังไง” ดารายายังคงกังวล

“นี่ไม่ใช่การบังคับ แต่นี่คือการแลกเปลี่ยน... ฉันยื่นข้อเสนอให้เธอ” อาคินพูด ดารายายิ้มเล็กน้อย

     .. ณ ร้านไพรราชบาร์ นคเรศหลังจากจัดการเพื่อทำให้แน่ใจว่าสมุนของมนชิตเป็นศพไปเรียบร้อยแล้ว เขาเดินกลับเข้ามาที่ร้านและนั่งลงที่โต๊ะ รวิภาเดินตามเข้ามาติดๆ ..

“ทำงานเร็วดีนิ่ รวิภา มนชิตไปไหนแล้วล่ะ ทาปากอยู่ในนั้นงั้นเหรอ?” นคเรศกวนประสาทน้องสาว

“อย่าลืมให้เครดิตฉันเรื่องรสชาติด้วยแล้วกัน ในนั้นมันสกปรกมากรู้ไหม ...หมอนั้นไปไหน?” รวิภาหันมามองรอบๆตัวไม่เห็นมนชิต

“มันไม่ได้บอกเธอเหรอว่ามันจะไปไหน?” นคเรศเริ่มตะหงิดใจ

“ไม่... คิดหรือเปล่าว่ามันจะรู้ไหมว่าเรากำลังขัดขวาง?” รวิภาถึงบางอ้อตาม

“ไม่น่า ...นอกจากมันจงใจขัดขวางเรา” นคเรศเข้าใจแล้ว

(*คัมภีร์ใบลาน คือการจดบันทึกเรื่องราวต่างๆ ทั้งความรู้ ข้อมูล และประวัติศาสตร์ ส่วนใหญ่มักถูกนำเอามาใช้กับไสยศาสตร์ เป็นของสำคัญและเป็นมรดกตกทอดสืบกัน)

...............................................................................................

     .. เดือนมีนาคม พุทธศักราช 2556 ที่ห้องใต้หลังคาในสภาของเผ่ามนุษย์ มนชิตพาเด็กสาวที่เขาช่วยชีวิตไว้มาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ..

“จะไม่มีใครหาเจอถ้าเธออยู่ที่นี่ ...แค่ชั่วคราวน่ะ จนกว่าฉันจะพาเธอออกไปอย่างปลอดภัยจากเมืองนี้ ถ้าเธออยากได้อะไรก็บอกฉัน เธอชอบอะไรเหรอ?” มนชิตพูดขณะเปิดประตูห้องให้เด็กสาวเข้าไปสำรวจ

“วาดรูปค่ะ” ดารายาตอบชายที่อยู่ตรงหน้า

“ศิลปินตัวน้อยเหรอ เจ๋งดีนี่ งั้นฉันจะซื้อภาพวาดของอาจารย์ชลูดให้เธอพรุ่งนี้นะ อาจจะซื้อผ้าม่านมาเปลี่ยน หรือไม่ก็...” มนชิตพยายามดูแลเธออย่างดี

“คุณมนชิตคะ คุณก็รู้ว่าหนูต้องการอะไร หนูต้องการให้พวกมันทั้งหมดชดใช้” ดารายาแสดงเจตนารมย์

     .. ณ ห้องใต้หลังคาในสภาของเผ่ามนุษย์ มนชิตเปิดประตูห้องเข้ามา ..

“โอเค เตรียมพร้อมออกเดินทางแล้วนะ เธอพร้อมจะระเบิดที่นี่ทิ้งแล้วหรือยัง?” มนชิตพูด ดารายานั่งรออยู่ที่หน้าเตียง

“ทนรอแทบไม่ไหวแล้ว” ดารายาพูดด้วยความดีใจ

“เยี่ยม ...เราจะทิ้งอาคินไว้เป็นของขวัญ หวังว่าพวกเขาคงจะให้อภัยฉันที่ทิ้งพี่ชายเขาไว้ ...ไปเถอะ” มนชิตก็ดีใจเช่นกัน เขารีบหยิบกระเป๋าของดารายา และก็เป็นไปตามคาด มนชิตเลือกที่จะทิ้งอาคินไว้ ก่อนเดินออกจากห้องดารายาแอบหันมามองที่โลงศพของอาคินแล้วยิ้มเล็กน้อย อาคินเปิดฝาโลงศพขึ้นมา

     พวกเขาเดินมาจนถึงบริเวณห้องโถงของอาคาร ดารายามองซ้ายมองขวาเพื่อความแน่ใจก่อนจะหยุดเดิน

“มีอะไรหรือเปล่า?” มนชิตเห็นว่าดารายาหยุดเดินจึงหันมาถาม ตอนนั้นเองตัวของดารายาเริ่มสั่น

“เธอเป็นอะไรเหรอ?” มนชิตถามต่อเมื่อเห็นอาการของดารายา

“ฉันไม่รู้ บางอย่างมันผิดปกติ” สิ้นคำพูดของดารายาอาคารทั้งอาคารเกิดแรงสั่นสะเทือนทันที มนชิตทิ้งกระเป๋าแล้ววิ่งเข้าไปจับตัวดารายาไว้

“มนชิต มีบางอย่างที่อันตรายอยู่ข้างนอกนั่น... พาฉันกลับเข้าไปที” ดารายาพูดขณะที่แรงสั่นสะเทือนค่อยๆเบาลง เธอแอบใช้อาคมทำให้ตัวเองสลบเพื่อความแนบเนียน

“โถ่เว้ย!” มนชิตประคองตัวเธอไว้ เขาดูหงุดหงิดนิดหน่อยก่อนจะอุ้มเธอกลับขึ้นไปที่ห้องใต้หลังคา ขณะเดียวกันอาคินที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องยิ้มด้วยความพึงพอใจ

     มนชิตอุ้มดารายาเข้ามาในห้อง เขาวางเธอไว้บนเตียงจากนั้นก็ห่มผ้าห่มให้ เขายืนมองเธอที่ปลายเตียงก่อนจะเดินออกไปจากห้องด้วยความเสียดาย ดารายาคลายคาถาของตัวเองออก เธอตื่นจากนิทรา เธอรู้สึกผิดกับมนชิตนิดหน่อยก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง

“อาคิน...” ดารายาเอ่ยชื่อ

“ฉันดีใจนะที่เธอยังอยู่” อาคินปรากฏตัวขึ้นที่มุมห้อง

“คุณจะรักษาสัญญาเรื่องคัมภีร์ใบลานของแม่คุณใช่ไหม?” ดารายาถามให้แน่ใจว่าการกระทำของเธอไม่สูญเปล่า

“แน่นอน ...เธอรู้ไหม ถึงแม้จะลำบากแค่ไหนฉันก็ให้ความสำคัญกับครอบครัวเหนือทุกสิ่ง ฉันเสียใจที่ครอบครัวของเธอทำเรื่องไม่ดีกับเธอ” อาคินยืนยันสัญญา

“น้องชายของคุณ นคเรศ เขามอบคุณให้กับมนชิต แต่คุณก็เลือกที่จะไม่ทิ้งเขา” ดารายาสงสัย

“ฉันเลิกคิดเรื่องนี้ไปนานแล้วล่ะ มันทุกข์นะ แต่ฉันจะสู้เพื่อครอบครัวของฉันจนถึงวินาทีสุดท้าย” อาคินตอบ

“ฉันก็จะสู้กับพวกหมอผีจนถึงวินาทีสุดท้ายเช่นกัน” ดารายายืนยันเจตนารมณ์ดังเดิม

มนชิตลงบันไดมาจากชั้นบนสุด

“ตอนนี้อะไรอีกล่ะ คุณทิ้งเธอไว้ข้างบนนั้นเพื่อไม่ให้ใครหาเธอเจอ” เสียงของคมกริช เขายืนดักอยู่ตรงทางเดินชั้นล่าง

“ฉันไม่มีอารมณ์จะมาเล่นด้วยนะ คมกริช” มนชิตเดินผ่านเขาไปด้วยความหงุดหงิด

“คุณควรจะพาเธอออกไปจากจตุราชิตหลังจากพิธีกรรมนั่น เราเสียเด็กสาวไปแล้วสามคน เราจะไม่ยอมสูญเสียเธอ ไม่งั้นผมจะไปขอร้องให้คุณช่วยทำไม มันคือแผน” คมกริชกระแทกเสียงทำให้มนชิตหยุดเดินแล้วหันมามองเขา

“ตอนนี้เราเปลี่ยนแผนแล้ว” มนชิตตอบกลับ

“โดยเฉพาะหลังจากที่คุณรู้ว่าเธอมีอำนาจอิทธิฤทธิ์มากแค่ไหนงั้นเหรอ?” คมกริชข้องใจ

“ขอพูดอะไรตรงๆนะ 8 เดือนที่คุณหายหัวไปผมดูแลเมืองนี้เป็นอย่างดี ผมไม่ต้องการให้คุณกลับเข้ามาและยุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องของผม ผมจะทำในสิ่งที่ผมต้องการ ในที่ที่ผมต้องการด้วย เข้าใจไหม!” มนชิตเดือด เขาใส่อารมณ์

“อยากจะครองเมืองนี้จนตัวสั่นเลยสินะ อยากบงการเมืองนี้ด้วยตัวนายเองงั้นสิ ได้! แต่อย่าลืมว่าฉันคือผู้นำของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในเมืองนี้ ...และนายเองก็คงไม่อยากจะเป็นศัตรูกับฉันแน่ ฉันขอแนะนำอะไรดีๆหน่อยนะ อยู่ให้ห่างจากหลานสาวของฉัน” คมกริชฉุนกลับ

“ได้ ใครเหรอหลานสาวนาย” มนชิตแสยะเล็กน้อย เขาไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคมกริชมากมายนัก เขาหันหลังเดินต่อ

“กรองขวัญ” ชื่อนั้นทำไมมนชิตถึงกับหยุดชะงัก ก่อนที่เขาจะเปิดประตูออกจากสภาไป

     .. ณ ริมบึงเดือนหอนในเมืองไพรราช สาวๆเดินกลับมาที่รถของพวกเธอ ..

“คนพวกนั้น... ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะนิมิตเกี่ยวกับลูกของฉันที่เธอคิดว่ามันไม่จริง” เหมือนจันทร์พูดกับสมิตา

“ฟังนะ ศรีบุญเป็นเพื่อนรักฉัน เธอเป็นหมอผีที่ค่อนข้างจะดราม่าเก่ง ฉันเรียนรู้เรื่องการเก็บความลับก็ได้แต่หวังว่าเธอจะเรียนรู้เช่นกัน” สมิตาพูดขณะกำลังเก็บของที่ท้ายรถ เธอเข้าข้างศรีบุญแต่ไม่แก้ตัวให้

“พิธีกรรมเครื่องบรรณาการบรรพชน เธอบอกว่าเธอไม่เชื่อมัน จริงเหรอ?” เหมือนจันทร์ถามต่อ

“ไม่จริง ฉันเห็นมากับตา มันได้ผล มันเกิดขึ้นจริง” สมิตาตอบ

“งั้นเธอจะแน่ใจได้ยังไงว่านิมิตของศรีบุญจะไม่จริง” เหมือนจันทร์พูดต่อ สมิตาได้แต่ฟังและไม่พูดอะไรอีก

     .. ณ ผับM มนชิตเพิ่งกลับมาถึง ..

“อุส่าห์พาฉันออกไปข้างนอกเพื่อดึงความสนใจ น่าเวทนานัก แถมยังเดาเกมได้ง่ายด้วย ฉันว่าฉันสอนนายได้ดีกว่านี้นะ” เสียงของนคเรศตระโกนมาจากชั้นสอง

“นายสอนให้ฉันปกป้องของของตัวเอง นายจะไม่มีวันได้ดารายาไป จบนะ” มนชิตตัดบท เขาขี้เกียจทะเลาะด้วย

“วัฏสงสาร ปลาใหญ่กินปลาเล็กงั้นสินะ” นคเรศกระโดดขึ้นไปยืนบนราวระเบียงของชั้นสอง

“ถ้านายแข็งแกร่งนักนายคงไม่ต้องหนีออกจากเมืองจตุราชิตเมื่อหลายปีก่อนหรอก” มนชิตหมดความอดทน นคเรศของขึ้น เขากระโดดลงมาจากชั้นสองแล้วต่อยหน้ามนชิตจนล้มลงไป

“นายคงรับบทเป็นราชาเล่นกับพวกเด็กๆมานาน อย่าเข้าใจผิดมนชิต ฉันไม่ใช่ลูกน้องนาย ฉันสามารถพาตัวดารายาไปเมื่อไหร่ก็ได้ถ้าฉันเองจริง” นคเรศพูดต่อ มนชิตลุกขึ้นด้วยความโมโห เขาพุ่งตรงเข้าใส่นคเรศแต่ถูกพละกำลังจากอีกคนส่วนกลับทำให้เขากระเด็นไปอีกรอบ

“อะไรกันเนี่ย” มนชิตร้องโอดโอย นคเรศอึ้งนิดๆ

“อภัยให้ฉันด้วย มนชิต ถ้ามีใครจะต้องสอนบทเรียนน้องชายฉัน ต้องเป็นฉันแค่คนเดียว” ที่แท้ก็เป็นอาคิน มนชิตยิ้มด้วยความสะใจในขณะที่นคเรศหน้าซีด

...............................................................................................

     .. ณ บ้านของตระกูลวิรุฬห์กร รวิภายืนพูดคุยกับเหมือนจันทร์ตรงหน้าเปียโน เธอรินเหล้าไปด้วย ..

“ฉันจะไม่สนใจเลยถ้าเธอมีเชือกจูง นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะไปที่ ไพรราช ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้เธอเกี่ยวข้องกับอสูรพวกนั้น” รวิภาพูด

“ฉันรู้สึกว่าพวกเขากับฉันมีบางอย่างที่เชื่อมโยงกัน ไม่รู้สิ บางทีมันอาจจะเป็นแค่เรื่องเพ้อฝันของฉันว่าจะได้เจอครอบครัวแท้ๆของฉันที่นั่น รู้ไหม บางครั้งฉันก็รู้สึกเหมือนกับว่าต้องดิ้นรนต่อสู้กับโลกใบนี้เพียงลำพัง ฉันต้องก้าวต่อไป” เหมือนจันทร์พูดบ้าง รวิภาชงเหล้าให้เธอ เหมือนจะลืมว่าเหมือนจันทร์มีเด็กในท้อง

“อ่อ ใช่” เธอดื่มเองหมดแก้วรวดเดียว

“เมื่อกี้ถ้าเธอถามฉัน ครอบครัวเท่ากับความเจ็บปวดและนั่นก็สำหรับการที่เราต้องอยู่คนเดียว เธอกล้าเหรอ ...ฉันไม่ได้มีรองเท้าที่ถึกทนเพื่อที่จะเดินแบบไร้จุดหมายตามหาใครก็ไม่รู้ในไพรราชหรอกนะ” รวิภาให้คำตอบกับเหมือนจันทร์จากนั้นเธอก็กระดกแก้วของเธอ ขณะเดียวกันนคเรศเปิดประตูบ้านเข้ามา

“เรย์ แหมในที่สุด...” เขาไม่ได้มาคนเดียว อาคินเดินตามหลังเข้ามาติดๆ รวิภาดีใจมากที่พี่ชายของเธอกลับมาแล้ว เธอรีบวิ่งเข้าไปกอดเขาทันที

“โอ้ว... อาคิน พี่ปลอดภัย” รวิภาถอนหายใจแรงๆด้วยความโล่งอก อาคินยิ้มดีใจที่ได้กลับบ้าน เขาหันไปเห็นรอยยิ้มของเหมือนจันทร์ เธอแอบเขินที่เขามองแล้วเดินจากไป

“ไหนๆก็ได้เป็นอิสระแล้ว แผนแรกของพี่คือการฆ่านคเรศใช่ไหม?” รวิภาไม่วายแขวะพี่ชายอีกคน

“ขอเวลาเราสักครู่นะ” อาคินจุ๊บที่หน้าผากน้องสาวแล้วเดินตามเหมือนจันทร์ไป

“นั่นเขาจะไปไหนล่ะ” รวิภาหันไปนคเรศ เขาได้แต่ยืนยิ้ม

...............................................................................................

     .. คืนพระจันทร์เต็มดวง เดือนมีนาคม พุทธศักราช 2556 ที่ครัวของร้านรสนิยม จรุงจิตร้องไห้เสียใจถึงที่สุดโดยมีน้องสาวของเธอยืนอยู่ข้างๆ ..

“ฉันสาบาน ฉันไม่รู้ว่าพิธีกรรมนั่นจะเกิดขึ้นจริง” สมิตาพูดทั้งน้ำตา

“แต่เธอกลับแน่ใจว่าฉันผิดเพราะฉันเอาชีวิตโมณีไปเสี่ยง แล้วตอนนี้ลูกสาวฉันตาย” จรุงจิตทำใจไม่ได้

“พี่บอกฉันสิว่าเราควรจะทำยังไงต่อไป” สมิตาอยากแก้ไข

“ตอนนี้มนชิตเอาตัวดารายาไปแล้วเราจะหาเธอเจอได้ยังไง และถ้าเราไม่รีบจัดการให้พิธีกรรมนี้สำเร็จ โมณีกับเด็กสาวอีกสองคนก็จะตายจริงๆ” จรุงจิตพูดทั้งน้ำตา เธอสะอึกสะอื้นไม่หยุด

“มองฉันนะ จรุงจิต พี่กับฉันเราจะร่วมมือกันหาทางเอาโมณีกลับคืนมา ...แต่เราต้องจัดการอย่างลับๆ พวกเราจะทำมันด้วยกัน ก่อนอื่นเราต้องผนึกอาณาเขตสุสานบรรพบุรุษจากพวกผีดิบ หาตัวดารายา กำจัดมนชิต แล้วจบพิธีกรรมนี้ซะ แม้ว่าฉันจะต้องฆ่าดารายาด้วยมือของฉันเอง ฉันจะทำ!” นี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด

     .. ณ บ้านของตระกูลวิรุฬห์กร เหมือนจันทร์เดินออกไปยืนที่ริมระเบียงบ้าน อาคินเดินตามออกมา เธอได้ยินเสียงฝีเท้าจึงหันไปมอง พอรู้ว่าเป็นใครเธอก็ยิ้มให้ด้วยความเต็มใจ เขาเดินเข้ามาหาเธออย่างช้าๆ ..

“คุณมากลับซะที” เหมือนจันทร์พูดด้วยความยินดี

“ใช่แล้วผมกกลับมา” อาคินพูดตอบ จู่ๆสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป เธอบึ้งตึงใส่ทำให้เขามึนงง

“เพี้ยะ!” เสียงใบหน้าที่ถูกตบของชายหนุ่ม

“อย่าสัญญาในสิ่งที่คุณทำไม่ได้อีก ยินดีต้อนรับกลับนะ” พูดจบแล้วเธอก็เดินจากไป อาคินเอามือลูบไปที่แก้มข้างซ้ายก่อนที่จะหันมายิ้มด้วยความรู้สึกประหลาดใจแปลกๆ

อาคินเรียกทุกคนในบ้านเข้ามานั่งประชุมกันที่ห้องทำงานของนคเรศ

“ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเรารู้ตั้งแต่กลับมาที่เมืองจตุราชิตล้วนเป็นเรื่องโกหก มันคือเรื่องที่ สมิตา เดชาภัทรจินดา สร้างขึ้นมา การต่อสู้เพื่อที่จะควบคุมย่านเมียงออก สงครามของผีดิบกับหมอผีไม่ได้ครอบคลุมไปทั่วทั้งเมือง ประเด็นหลักจึงอยู่ที่ดารายา” อาคินเข้าใจถึงแผนการร้ายของสมิตาแล้ว และเขาก็กำลังเปิดโปง

“8 เดือนก่อน สมิตา เดชาภัทรจินดา กับพี่สาวของเธอ จรุงจิต สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป จากนั้นอีก 4 เดือนต่อมาอสูรสาวแม่ลูกอ่อนได้ไปเดินเล่นอยู่แถวๆร้านของพวกเธอ นั่นคือสิ่งที่ทำให้พวกเธอกลับมามีความหวังอีกครั้ง ที่จริงจรุงจิตได้ทำพิธีกรรมไสยเวทย์และสังเวยชีวิตของเธอไป ดังนั้นน้องสาวของเธอจึงใช้นายเพื่อตามหาดารายา ถ้า สมิตา เดชาภัทรจินดา จับตัวดารายาได้สำเร็จ เธอก็สามารถนำชีวิตหลานสาวของเธอกลับคืนมาได้ ...พวกเราคิดว่าพวกเรามาที่นี่ เพื่อเข้าร่วมสงครามและเพื่ออำนาจ นี่มันปัญหาครอบครัวชัดๆ และเพื่อคืนชีพให้หลานสาวของเธอ สมิตา เดชาภัทรจินดา จะสู้จนตัวตาย นั่นล่ะที่ทำให้เธออันตรายยิ่งกว่าใครทั้งนั้น” อาคินอธิบายต่อ สมาชิกอีกสามคนตั้งใจฟังอย่างมาก

     .. ณ สุสานบรรพบุรุษ สมิตานั่งคุกเข่าต่อหน้าโกฏิของจรุงจิต ทันใดนั้นฟ้าฝนก็ตกกระหน่ำขึ้นมาทันที ..

_จบตอน_

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา