Crystalfall: Fake/Brave [ชีวิตพังเพราะพระเจ้า]

8.8

เขียนโดย Spy442299

วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 17.23 น.

  25 chapter
  4 วิจารณ์
  20.33K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 17.57 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

14) แกนกลางคริสตัล 2 - [Have a good day] – ครึ่งหลัง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Crystalfall: Fake/Brave

คริสตัลฟอร์: เฟค/เบรฟ

  1. แกนกลางคริสตัล 2 - [Have a good day] – ครึ่งหลัง

◊◊◊

“ชาแถวนี้รสชาติใช้ได้อยู่นะ...แล้วทำไมเจ้าทำหน้าแบบนั้นละ? ไม่ชอบชาหรือ? หรือกลัวฉันอ่านใจเธออีก? ไม่แล้วล่ะฉันไม่ใช้มันแล้ว มันทำให้หมดสนุก”

เอลด้าที่อยู่ในร่างของเพื่อนสนิทเธอจิบชาแล้วถามเมื่อเห็นฉันทำหน้าไม่พอใจ ตอนนี้ฉันกับหล่อนมาอยู่ร้านขายนมเล็กๆ แห่งหนึ่งที่มีพวกรถเกวียนขนสินค้าผ่านไปมาค่อนข้างมาก

“นานามิไม่เคยทำหน้าเจ้าเล่ห์แบบนี้กับฉัน”

“โฮะๆๆ แน่ใจเหรอ” เอลด้าทำหน้ากวน

“และไม่ [โฮะๆ] อย่างเธอหรอก”

“ไม่ยอมเล่นด้วยเลย น่าเบื่อ...เจ้านี่มันน่าเบื่อตั้งแต่มาโลกนี้แล้ว ทั้งๆ ที่มีโอกาสแสดงความเป็นผู้กล้าตั้งมากมายแทนๆ แต่เจ้ากลับหนีเอาหนีเอา!”

เอลด้าบ่นเรื่องที่ฉันเผชิญมาตลอดทางตั้งแต่โผล่มาโลกนี้ ฉันก็ไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไหร่

“เขาว่าเราเป็นผู้กล้าจอมปลอมไม่ใช่หรือไง ก็ต้องหนีสิ”

“ก็แสดงให้ทุกคนเห็นสิว่าเจ้ากล้าหาญไม่ใช่ขี้ขลาดอยู่แบบนี้!” เอลด้าหงุดหงิดเต็มที่ “เจ้าคิดว่าการที่พระเจ้าสร้างสถานการณ์แบบนั้นขึ้นมาเพื่ออะไร?”

“อือ...อยากเห็นฉันตกต่ำล่ะมั้ง เห็นว่าแบบนั้นตอนแรกๆ ที่เจอกัน”

“เฮ้อ...เชื่อเจ้าจริงๆ พระเจ้าน่ะแค่อยากจะสนุกที่ได้เห็นชะตากรรมที่น่าสนุกตื่นเต้นเท่านั้นเอง! แต่ที่เจ้ากำลังเป็นอยู่ตอนนี้โคตรน่าเบื่อ!”

“แคร์ซะที่ไหนล่ะ แล้ว...เธอมาคุยกับฉันแบบนี้เขาไม่ว่าหรือไง?”

“ไม่รู้หรอก เขาไม่ได้ว่างมานั่งดูเจ้าคนเดียวนะ นานๆ จะแวะมาดูที”

“อ๋อ...ถ้าเขามาเห็นแล้วไม่ถูกใจขึ้นมา เขาจะทำอะไรฉันล่ะ? ลบทิ้งหรือไง?”

“ส่วนมากจะวนลูปจนได้สิ่งที่พอใจ”

“วนลูป?”

“ไม่แน่...เจ้าอาจจะถูกวนลูปกลับจุดเริ่มต้นเป็นพันๆ ครั้งแล้วแบบไม่รู้ตัวก็ได้ โฮะๆ”

พอได้ยินแบบนั้นแล้วฉันถึงกับคอตกเอาหน้าผากผิงโต๊ะ เอลด้าถามต่อ

“ยอมแพ้แล้วหรือ เห็นว่าจะสู้ชะตากรรมที่พระเจ้าจัดมาให้?”

“เรื่องนั่นช่างเหอะ ฉันมันแค่คนธรรมดา...”

“คนธรรมดา...งั้นสิ่งที่คนธรรมดามีก็คือความห่วงใยและแคร์กันซึ่งกันใช่ไหม”

“ต้องการจะสื่ออะไร” ฉันเงยหน้าถาม

“เจ้าเห็นร่างนี้แล้วไม่คิดถึงเพื่อนรักมั้งเลยหรอ”

“จะพูดอะไรก็พูดมาตรงๆ”

“ก็นะ ป่านนี้เพื่อนสนิทของเจ้าคงเป็นห่วงมาที่จู่ๆ เจ้าหายตัวไปแบบนั้น งืม...เท่าที่แวะไปดูมาเห็นเธอกำลังนั่งเรือหาเจ้าแถวๆ ที่เครื่องบินใหญ่เลยนะ”

พอเจ้าหล่อนเท้าความถึงเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่ฉันตายไปที่อีกโลก

“แล้วไงต่อ!? นานามิเป็นไงบ้าง?”

ฉันออกอาการเป็นห่วงอย่างจริงจังที่สุด เอลด้าแบมือทำเป็นไม่รุ้

“เราไม่ได้สนใจความรู้สึกเพื่อนเจ้าหรอก เลยไม่รู้น่ะ”

“งั้นหรอ...”

“โฮะๆ มองเราสิ จะได้หายคิดถึง”

“ของปลอมยังไงมันก็คือของปลอม”

ฉันไม่หลงกลเธอหรอก

“เชอะ เพิ่งเจอคนอย่างเจ้าเล่นพูดเอาซะรู้สึกผิด—“

หลังจากนั้นฉันก็ไม่ได้ฟังที่เจ้าหล่อนบ่นเพราะเหลือบตาไปเห็นมาเรียที่ด้อมๆ มองๆ อยู่ริมกำแพงบางอย่างข้างหน้าที่ฉันมองไม่เห็นเลยเข้าไปทักเธอ

“คุณมาเรีย!?”

“ว๊าย! คุณเฟลิกซ์เองงั้นเหรอคะ!? อย่าทำดิฉันตกอกตกใจสิค่ะ”

“โทษทีค่ะ...ทำอะไรอยู่ตรงนี้คะ?”

“แอบตามคนนอกใจค่ะ” มาเรียตอบก่อนที่จะนึกได้ “หือ...แล้วคุณเฟลิกซ์ออกมาข้างนอกโรงแรมทำไมคะ”

“เรื่องนั้นช่างเถอะ เรื่องคนนอกใจน่าสนใจกว่าเยอะ ใครนอกใจใครหรอ?”

“คือ...ผู้ชายหัวโล้นที่นั่งโต๊ะหันข้างใกล้ๆ ท่าเรือตรงนั้นค่ะ ที่เป็นร้านอาหาร...คือคุณแอนดิวสามีดิฉันเองค่ะ”

มาเรียชี้ไปทางร้านอาหารที่ดูดีในระดับหนึ่งที่มีที่นั่งนอกร้านด้วย โต๊ะซ้ายสุดนั้นเป็นทิศทางที่เธอชี้ไป ฉันมองเห็นผู้ชายหัวโล้นที่นั่งหันข้างอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งใส่แว่นมัดผมหางม้าสีม่วงอ่อนที่นั่งด้วยกันกำลังคุยจิบน้ำชากันอยู่

นั่นหรอ...คุณแอนดิวที่ช่วยชีวิตฉันไว้

“ผู้ชายมันเจ้าชู้กันทุกคนแหละ โฮะๆๆ”

ความเห็นของบุคคลที่สามที่ฉันลืมไปชั่วครู่สนิทใจว่าเจ้าหล่อนเดินตามมาด้วย คุณมาเรียถึงได้ร้องตกใจอีกรอบ นางฟ้าในร่างมนุษย์แนะนำตัวเอง

“สวัสดีค่ะ ฉันนานามินะคะ”

“นี่เธอ—”

กำลังจะต่อว่าเรื่องแอบอ้างชื่อเพื่อนสนิทเธอแต่ไม่รู้จะพูดอะไรดีเลยหยุดอยู่แค่นั้น มาเรียถามอย่างซื่อๆ

“คนรู้จักเหรอคะ?”

“เพิ่งรู้จักวันนี้เอง! ว่าแต่คนหัวโล้นๆ ใช่แฟนคุณใช่ไหม”

เอลด้าตอบอย่างมั่นใจสุดๆ แล้วเบนความสนใจไปหาเรื่องเดิมทันที ฉันเหลือกตามองฟ้า

เอาเข้าไป…วันนี้เป็นวันอะไรเนี่ย

“ใช่ค่ะ...ฉันไม่คิดว่าเขาจะนอกใจฉันจริงๆ” น้ำเสียงมาเรียแผ่วลง “ทุกครั้งที่เขามาเมืองนี้ต้องแวะสองสามคืนประจำ นึกว่าขายคริสตัลที่ขุดมาได้ซะอีก”

“แต่ก็ไม่แน่” จู่ๆ เอลด้าพูดเรื่องที่ไม่น่าเชื่อสำหรับฉันขึ้นมา “เราอย่าเพิ่งไปปรักปรําเขาเลย ลองไปอยู่ใกล้ๆ ไปฟังดีกว่าว่าเขาคุยอะไรกัน ไม่แน่อาจจะเป็นธุรกิจเฉยๆ ก็ได้”

อ้าว...แล้วที่บอกว่าผู้ชายมันเจ้าชู้กันทุกคนก่อนหน้านี้มันคืออะไรละ?

“คือ...ขืนเข้าไปใกล้เขาจำดิฉันได้แน่ๆ ค่ะ” มาเรียพูดอย่างมีเหตุผล

“ใช้เจ้านี่ไง”

เอลด้าชูผ้าคลุมที่มีฮู้ดปิดหัวและสิ่งที่คล้ายๆ แว่นตาดำกันแดด

เฮ้ย ไปเอามาตั้งแต่ตอนไหน

พอจัดแจงเสร็จ ทั้งสามคนค่อยๆ เดินเข้าไปนั่งโต๊ะข้างๆ ที่แอนดิวกับสาวแว่นนั่งอยู่โดยที่มาเรียนั่งหันหลังชนกับแอนดิว ถัดมาก็คือฉันและเอลด้าที่มองเห็นสาวแว่นขนาดตา

“เอาเมนูอะไรดีค่ะ” พนักงานร้านเดินมาถาม

“ชาสามที่ค่ะ!” เอลด้าว่างั้น

“หือ? เพิ่งจะกินไปไม่ใช่หรือไง” ฉันก็ว่างั้น

“เหอะน่า...”

เอลด้าทำหน้ายุ่งยาก ฉันถอนหายใจทิ้งก่อนที่จะรู้สึกตัว

ท่าทางของยัยนางฟ้านี่เปลี่ยนไป...มันเหมือนกับ—

คงไม่เกี่ยวกันมั้ง ไม่น่าใช่...ช่างเหอะ

พอฉันเลิกคิดฟุ้งซ่านก็เงี่ยหูแอบฟังทั้งสองคนสนทนา

“ของล็อตที่แล้วลูกค้าบ่นว่ามีสามชิ้นที่ไม่บริสุทธิ์นะแอนดิว”

ฝ่ายสาวแว่นเอ่ยขึ้นมาก่อน ฉันเพิ่งสังเกตว่าชุดที่เธอใส่นั้นคล้ายๆ ตำแหน่งผู้จัดการตามโรงแรมโลกก่อน เพียงแต่เนื้อผ้าไม่ดูดีเท่า

“พูดมั่วหรือเปล่า คนของเธอก็เช็คไปแล้วก่อนรับของ”

“นั่นสิ เราเองก็เพิ่งเอาดีทางรับฝากของส่งด้วย”

“แล้วพวกเขาเป็นใครแถวไหน แล้วพูดแบบนั้นตอนเช็คของก่อนหรือรับของไปแล้วเพิ่งจะมาโวย”

“พวกโจรแถวชายแดนป่าอาเรนน่า...มาบอกที่หลัง”

“หึๆ ไปค้าขายกับพวกนั้นเนี่ยนะ...แล้วปฏิเสธไปยังไง”

“ปฏิเสธด้วยกระสุนเวทย์”

“หือ? พวกเมดของเธอเล่นแรงกันทุกคนหรือ”

“ช่วยไม่ได้ เจ้าพวกนั้นบุกเข้ามาจะปล้น...เลยใช้มาตรการตอบโต้ตามที่อบรม ยิ่งเป็นสาขาที่เสี่ยงต่อการถูกปล้นมากด้วย”

“เธอกำลังเอาธุรกิจไปแขวนเส้นด้าย”

“แขวนไว้ตั้งแต่การปฏิวัติชิงตัวองค์ชายเมืองทางใต้แล้ว...”

หลังจากนั้นพวกเขาก็คุยกันเรื่องธุรกิจต่อ มาเรียแอบยิ้มน้อยอย่างพึ่งพอใจแล้วกระซิบบอก

“ดิฉันคงคิดมากไปจริงๆ ละคะ...ขอบคุณมากนะคะคุณนานามิ”

“ไม่เป็นไรหรอก...แต่อย่าเพิ่งด่วนสรุป ลองฟังไปเรื่อยๆ น่าจะดีกว่า”

เอลด้าหลิวตาส่งท้ายให้ ฉันพยายามส่งข้อความผ่านสายตาว่า [อย่าเอาร่างนานามิทำพิเรนมากกว่านี้] ซึ่งเหมือนเธอจะเข้าใจดีเลยทำตรงกันข้ามทุกอย่าง แล้วฉันเริ่มตั้งสมาธิฟังอีกสองคนคุยกันอีกครั้ง

“ถ้าอยากได้จำนวนของที่แน่นอนโปรดสั่งมาก่อนสองล็อตนะครับ”

“เข้าใจค่ะ...คือ...เรื่องที่จะพูดต่อไปนี้ช่วยเป็นความลับด้วย”

สาวแว่นเอ่ยแบบนั้นแล้วกุมมือแอนดิว เรียกความสนใจมาเรียได้อย่างดีและฉันก็เช่นกัน

เอาแล้วไง

“คุณสามารถตามหาแกนกลางคริสตัลของเมืองนี้ได้หรือไม่ เริ่มตามจากวงเวทย์ประจำเมือง”

แกนกลางคริสตัล?

ฉันไม่เข้าใจกับสิ่งที่สาวแว่นเอ่ย แต่มาเรียกับเอลด้าช็อกไปแล้ว อีกโต๊ะเริ่มสานเรื่องต่อ

“หวังว่าคุณแอนดิวจะกรุณานะคะ”

“ไม่...ผมขอผ่าน”

“ยังไม่ได้ฟังค่าตอบแทนเลย”

“ให้เงินมากเท่าไหร่ผมก็ไม่เอาด้วย”

“ถ้าเป็นร่างกายฉันล่ะ”

สาวแว่นไม่พูดเปล่า ทำเป็นเปิดชายผ้าตรงหน้าอกเล็กน้อยซึ่งทำให้ฉันอึ้ง...และอึ้งยิ่งกว่ากับคำพูดที่ตามมาของแอนดิว

“เธอให้ฉันทุกครั้งที่เจอกันแล้วไม่ใช่หรือไง”

คำตอบนั้นทำให้ฉันช็อกไปอีกราย

“ก็...ครั้งนี้นอกจากกายแล้วก็ทั้งหัวใจด้วย จะมีแต่คุณคนเดียวเท่านั้นที่ได้ตัวฉันครอบครอง”

ข้อเสนอที่ทำให้ทั้งสามคนช็อกค้างแน่นิ่งสนิทกว่าเดิมและยิ่งไปกว่านั้นแอนดิวจูบลงบนหลังมือสาวแว่นด้วย

“งั้นก็ตอนนี้เลยครับ ที่โรงแรมแถวๆ นี้”

“ใจร้อนซะจริง แอนดิว”

พอทั้งสองคนลุกจากไป...เอลด้าที่สติคืนไวกว่าใครๆ จิบชาแล้วพูดอย่างสบายใจเฉิบ

“เสียใจด้วยนะ...ที่เสียเขาไป”

“ไม่ค่ะ เขาต่างหากที่เสียดิฉันไป”

บัดนี้บรรยากาศรอบตัวมาเรียยากที่ฉันจะเข้าถึง...เธอลุกขึ้นแล้วเอ่ยสั้นๆ เดินจากไป

“ขอตัวกลับที่พักก่อนนะคะ คุณเฟลิกซ์”

“ค่ะคะ!”

ไงมันกลายเป็นแบบนี้ได้ไง?

ทำไมเขาต้องนอกใจคุณมาเรียที่แสนดีขนาดนี้ด้วย!

แต่...เขาก็ช่วยชีวิตฉันไว้ด้วยล่ะสิ...คงยุ่งมากกว่านี้ไม่ได้

ฉันคิดแบบนั้นแล้วมองหน้าเอลด้าที่ยิ้มทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

“เธอจัดฉากใช่ไหม?”

“เปล่านะ ทำอะไรย่อมได้สิ่งนั้นต่างหาก...สิ่งที่ผู้ชายคนนั้นนอกใจแฟนตัวเองมานานแล้ว หรือเจ้าอยากจะให้มาเรียหลงรักกับเขาคนนั้นต่อไป?”

“ไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อย...งั้นแยกทางกันตรงนี้เลย”

ฉันลุกขึ้น เอลด้ารั้งไว้

“ยังคุยไม่อิ่มเลย”

“ดื่มชาเข้าไปสิจะได้อื่ม...และอย่าตามมาล่ะ”

“ไม่ตามหรอก...แต่แค่อยากจะเตือน” เอลด้าเรียกความสนใจได้ครู่หนึ่ง “เจ้าอย่าไปยุ่งกับกินซ่าเด็ดขาด...นางคนนี้ไม่ใช่ธรรมดา เธอมีออร่าที่เรียกว่า [เปลี่ยนแปลงโชคชะตา] อยู่”

“หะ!? หมายความว่าไง?”

“คือเป็นคนที่ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของพระเจ้าแบบพิเศษ...โดยปกติแล้วพระเจ้าไม่ได้ควบคุมโชคชะตาทุกคนแต่ถูกกำหนดไว้อย่างอ้อมๆ ว่าการกระทำที่ทำให้เปลี่ยนชะตากรรมคนอื่นได้นั้นทำได้ยากมาก แต่กินซ่ากลับมีออร่าที่ส่งผลกระทบต่อคนอื่นมากได้ง่าย...เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพระเจ้าทำอะไรกับนางไว้ถึงได้เป็นแบบนั้น”

“สรุป...อยากให้ฉันอยู่ห่างๆ ไว้ก็พอใช่ไหม

“ใช่...นั่นก็เพื่อตัวเธอเอง”

“ขอบคุณ”

เป็นคำขอบคุณที่ไม่จริงใจแม้แต่น้อยสำหรับฉันและไม่คิดหันกลับไปมองเอลด้าในร่างเพื่อนสนิทของเธอเองอีกด้วย...พอเฟลิกซ์เดินลับตาจากไป เอลด้าหรี่ตาลงอย่างอ่อนล้าแล้วพึมพำ

“ใบหน้าของคนที่เธอแคร์ที่สุด...รบกวนใจเธอมากหรือเปล่านะ”

◊◊◊

ในซอกซอยมุมมืดแห่งหนึ่งของเมืองบาลาส

กินซ่า สาวแวมไพร์กำลังดูดเลือดจากร่างไร้วิญญาณผู้ชายคนหนึ่งด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวที่เมื่อวานไม่สามารถดูดเลือดจากคนที่เธอเล็งไว้ เมื่อข้างหลังเธอมีเงาของใครบางคนเข้าใกล้ เธอเงยหน้าขึ้นมาแล้วใช้จมูกสูดกลิ่นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร

“แหมแหม่ ในที่สุดก็มาหาข้าจนได้ คุณแวมไพร์มังสาวิรัติ”

“เธอกระหายเลือดไม่เลือกหน้าเหมือนเดิม”

คราวน์หรือสัสดีเดินออกมาจากซอกมุม กินซ่าพลิกตัวนอนทับร่างไร้วิญญาณแล้วใช้มือขวาควักเนื้อตรงหน้าอกผู้โชคร้ายมาบีบเอาเลือดกินต่อหน้า คราวน์เห็นแล้วพูดว่า

“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าทำตัวเหมือนซอมบี้ขึ้นทุกครั้งที่ข้าเจอหน้า”

“ไม่คิดจะถามหน่อยหรือว่าข้ากลับมาจากความตายได้อย่างไร”

สิ่งที่กินซ่าพูดเป็นสิ่งที่คราวน์อยากรู้เช่นกัน แต่ว่า...

“คำพูดเจ้าไม่น่าเชื่อถือแม้แต่น้อย”

กินซ่าได้ยินแบบนั้นแล้วหัวเราะชอบใจ

“ทำเป็นเย็นชากับข้าไม่เปลี่ยนเลย...”

“เจ้าทำแบบนี้ในเมืองนี่มากี่ครั้งแล้ว” คราวน์รีบเข้าเรื่องทันที

“เฮ...มาถึงก็ยิงคำถามอยู่ฝ่ายเดียวเลยนะ แต่จะตอบให้ก็ได้...อย่างต่ำร้อยครั้ง”

“แล้วเจ้าไปยุ่งอะไรกับวงเวทย์ประจำเมืองนี้ด้วย ข้าเห็นร่องรอยเจ้าแอบแก้ไขมันเพื่อทำอะไรบางอย่าง”

กินซ่าได้ยินแบบนั้นแล้วไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรเลยตอบกลับไปอย่างง่ายๆ

“แค่ใช้อำนวยความสะดวกทางหนีทีไล่เฉยๆ”

“อือ...แค่นั้นจริงๆ ใช่ไหม”

คราวน์หรี่ตาลงเพ่งสมาธิจับผิดเต็มที่ กินซ่าตอบอย่างชิวๆ

“ใช่...แล้วมันมีอะไรหรือ?”

“ไม่มีอะไรทั้งนั้น”

คราวน์ตอบแล้วจ้องหน้ากินซ่า...จนเธอเริ่มไม่ชอบใจ

“ไม่ถามเรื่องที่ข้าไม่แปลกใจที่นายรู้เรื่องวงเวทย์ประจำเมืองนั่นสักหน่อยเหรอ?”

“ก็เห็นเจ้าแอบตามพวกเราตอนที่ข้าพาเด็กใหม่ภายใต้การดูแลกำกับของข้าเอง” คำตอบของคราวน์ทำให้อีกฝ่ายส่งเสียงแปลกใจ “ตั้งแต่หน้าบ้านผู้ว่า...เลยคิดว่าเจ้าต้องรู้เรื่องที่ข้าไปตรวจสอบวงเวทย์ประจำเมืองนั้นแล้ว”

“เฮ้อ...เกลียดที่นายรู้มากจริงๆ...มาหาข้าถึงที่นี่มีอะไรก็ว่ามา”

“ขอให้เจ้าเลิกยุ่งเกี่ยวกับวงเวทย์ประจำเมืองนี้และกลับไปที่ทวีปปีศาจซะ เลิกสร้างความเดือดร้อนให้กับพวกมนุษย์สักที”

พอกินซ่าได้ยินคำขอนั้นแล้วเธอยิ้มตอบ

“แต่นายยังติดค้างบุญคุณข้าด้วยนะ”

“เพราะเห็นแก่บุญคุณนั้นถึงได้มาแค่เตือน ข้าสามารถสังหารเจ้าเมื่อไรก็ได้”

“เหมือนกับที่สังหารข้าครั้งก่อนสินะ...เอะเอ ถ้าเปลี่ยนใจคิดจะถามเรื่องข้าฟื้นคืนชีพใหม่มาได้ยังไง ขอบอกเลยว่าเป็นความลับ”

“อย่าให้ข้าเห็นหน้าเจ้าเป็นครั้งที่สองล่ะกัน”

คราวน์กำลังจะเดินออกจากที่นี่ แต่กินซ่าเอ่ยบางอย่างขึ้นจนทำให้คราวน์ต้องหยุดยืนฟัง

“คราวน์...นายไม่มีวันปฏิเสธสิ่งที่นายเป็นได้ตลอด ถ้าเกิดลงแดงเมื่อไหร่ วันนั้นนายก็จะกลายเป็นแวมไพร์อย่างแท้จริง”

คราวน์ไม่ตอบอะไรเดินหายจากไป กินซ่าเบ้ปากไม่พอใจเล็กน้อยก่อนที่ทำสีหน้าจริงจังแล้วพึมพำกับตัวเอง

“คงต้องเร่งมือให้ไวขึ้น”

◊◊◊

“ใช่ยามที่หน้าประตูเมืองหรือเปล่าคะ?”

มาเรียสะกิดถามอาเซียที่อารมณ์เสียนั่งเก้าอี้อยู่ข้างๆ ในสวนหลังโรงแรม [เมอรี่อิน] ที่ฉันเพิ่งเห็นป้ายชื่อโรงแรมที่พักอยู่ตอนที่วิ่งตามหลังมาเรียเข้ามา ซึ่งมีพนักงานเดินมาบอกเธอว่าอาเซียรอเธออยู่หลังสวน พอเดินตามเข้ามาก็เห็นผู้ชายหัวโล้นโกดคนหนึ่งที่ฉันจำได้ว่าเป็นชุดของยามหน้าเมืองยืนอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย แล้วจู่ๆ อาเซียก็โวยขึ้นมา

“ช่ายใช่...ทำไมท่านสัสดีให้ฉันพามันมาที่นี่ด้วย!?”

อาการแปลกๆ ของอาเซียนั้นทำให้ฉันลองเดาใจเล่น

เหมือนพยายามจะผิดใจสัสดีแต่...ผิดใจไม่ลงสินะ

“นี่คะ! คุณมาเรีย...เหมือนว่าท่าน สะ-สัส-ดี ต้องการให้คุณทำอะไรบางอย่างกับเจ้ายามนี่!”

อาเซียที่พูดไปพ่นลมหายใจไปยื่นม้วนกระดาษแผ่นใหญ่ที่มีข้อความเขียนอยู่ค่อนข้างยาว ฉันเดินเข้าไปกระซิบบอกอาการของอาเซียที่ทำเอาอารมณ์โกรธหึงหวงแอนดิวหายปลิดทิ้ง

“คืองี้นะคะคุณมาเรีย อาเซียเขาอกหักค่ะและมีอะไรสักอย่างที่ทำให้เป็นหนักกว่าเดิมด้วย”

“อ๋อ...เข้าใจแล้วค่ะ”

ขณะที่มาเรียอ่านโน๊ตอยู่ ยามหัวโล้นที่แลดูงงๆ กับการถูกพาตัวมายังที่นี่เอ่ยขึ้น

“เอ่อ...ข้าอยากรู้ว่าไปพูดอะไรกับหัวหน้าข้าถึงยอมให้มาที่นี่กับผู้หญิงหมาบ้านั่น”

“หน๊อย! ว่าใครหมาบ้านะ!”

ฉันพุ่งเข้าชาร์จตัวอาเซียอย่างเร็วแล้วยามหัวโล้นคนนั้นถูกมาเรียที่อ่านโน๊ตเสร็จพอดีเอากิ่งไม้เล็กๆ แถวนั้นตีหัว

“พูดจาไม่เพราะเลยนะคะ! เป็นเด็กไม่ดีเลย”

“ข้าไม่ใช่เด็ก!”

“งั้นก็ทำตัวดีๆ หน่อยค่ะ คุณรู้หรือเปล่าว่าถูกพาตัวมาที่นี่เพราะอะไร”

“ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกัน ถามเจ้าหมาบ้านั่นระหว่างทางมานี้เลยแต่ไม่ยอมปริปากบอกข้าสักนิด”

“แก!! รู้ไหมว่าฉันอดทนแค่ไหนที่ไม่ชกหน้าตอนไปมาแกที่นั่น” อาเซียว่า

“จะอดทนทำไม? มาเลยเซ่!”

“ได้!”

เอาเข้าไป! มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกับสองคนนี่เนี่ย!

และแล้วฉันรั้งตัวอาเซียไว้ไม่อยู่ เธอวิ่งง้างหมัดขวาเต็มที่ ยามหัวโล้นที่ปากดีก่อนหน้านี่ทำหน้าเหวอเพราะไม่คิดว่าจะเอาจริงแต่แล้วหมัดขวานั้นถูกอยู่ไว้กลางคันเวทย์อะไรสักอย่างของมาเรีย

“จะทะเลาะกันไว้หลังฉันติวเตอร์พ่อหนุ่มคนนี้เสร็จก่อนนะคะ ท่านอัศวิน”

“เธอ...เฮ้อ...คริสเมนอย่างเธอไม่เหมาะกับแม่บ้านอย่างเธอเลยรู้ไหม”

“ขอบคุณที่เป็นห่วงค่ะ แต่ฉันคิดว่าหลังจากได้เรียนรู้จากท่านสัสดีอย่างเร่งรัดแล้วมันน่าจะช่วยงานบ้านได้เยอะทีเดียว”

“ชิ...”

ในที่สุดอาเซียถูกปลดปล่อยจากพลังจิตแล้วเธอเดินกลับมานั่งด้วยอารมณ์เสีย

ว่าแต่คุณมาเรียจะติวเตอร์กับยามคนนี้เนี่ยนะ?

“ขอตัวไปนอนนะ เพลียๆ ยังไงก็ไม่รู้”

“ไม่ได้ค่ะ! ท่านสัสดีอยากให้คุณเฟลิกซ์ฟังสิ่งที่ฉันจะบอกข้อมูลให้กับผู้ชายคนนี้เพื่อเป็นความรู้ติดตัวจะได้เอาตัวรอดได้ค่ะ”

พอได้ยินแบบนั้นก้นฉันก็ลอยกลับเข้าที่นั่งแถวๆ นั้นแล้วแอบบ่นในใจ

สัสดี...สัสดี่...สัสดี้...สัสดี๊ ตัวไม่อยู่ยังหาเรื่องให้ฉันอีกนะ!

“เอาล่ะค่ะ มันเริ่มกันเลยดีกว่า...ในฐานะได้รับหน้าที่มอบหมายโดยตรงจากท่านสัสดี จะขอเริ่มทำหน้าที่สอน [เด็กใหม่] นับแต่นี้เป็นต้นไป”

“เห๊อะ!?” ยามหัวโล้นร้อง “มีการเข้าใจผิดแน่ๆ นับแต่ข้าถูกกำเนิดจากประตูเกทก็ร่วม 8 ปี ไม่ได้อยู่ในฐานะ [เด็กใหม่]  แล้ว”

“งั้นคุณ...เอ่อ...ช่วยบอกชื่อตัวเองด้วยค่ะ”

“เอทิน เรียกข้าว่าเอทิน”

“คุณเอทิน...รู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวคุณเองเป็นเผ่าอะไร”

“มนุษย์!?”

“แล้วเผ่าย่อยล่ะ”

“ก็มนุษย์ปกติไง? ผมคงไม่ใช่คนแคระตัวสูงหรอก”

“เฮ้อ...เป็นอย่างที่ท่านสัสดีบอกมาจริงๆ ด้วย คุณไม่ได้รู้ตัวเองเลย”

มาเรียส่ายหัวอย่างกับว่าเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ เอทินเอ่ยต่อว่า

“ช่วยบอกข้าให้ชัดเจนเถอะ อยากจะพูดอะไรกันแน่ ข้าอยากจะกลับไปดูอาการเพื่อนข้าแทบแย่แล้ว”

“คุณเป็นคริสเมนเหมือนกับฉัน”

คำตอบสั้นๆ จากมาเรีย ทำให้คนอื่นๆ ต่างนิ่งสนิทจนมีใครบางคนทำเก้าอี้ล้มเพราะหงายหน้าลงไป

“มะมะมะมันเนี่ยนะ! เป็นคริสแมน”

อาเซียร้องลั่นอย่างไม่น่าเชื่อและดูเหมือนเจ้าตัวไม่เชื่อด้วยเช่นกัน

“คริสเมน!? ข้าเนี่ยนะ? ฮ่าๆๆๆ ตลกน่า”

“งั้นช่วยกรุณาช่วยอธิบายสิ่งที่คุณน่าจะรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าทำไมถึงมนุษย์ธรรมดาๆ อย่างคุณถึงมีสัมผัสกลิ่นอายเวทย์ระดับสูงได้อย่างง่ายดาย”

ความสามารถเฉพาะของคริสแมน ฉันเองก็เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกเหมือนกัน เอทินหรี่ตาลง

“ข้าไม่รู้ว่าคุณผู้หญิงพูดเรื่องอะไร”

“แล้วที่ท่านสัสดีได้ยินมาจากนักเวทย์ประจำเมืองนี้ว่า คุณได้ขอยืมตำราการแยกแยะกลิ่นอายเวทมนต์และออร่ามานาหลายตำราจากเขาช่วงสามเดือนนี้”

เรื่องที่มาเรียเอ่ยมานั้น ทำให้ยามหัวโล้นแน่นิ่งไปสนิท มาเรียตอบย้ำความมั่นใจนั้น

“และฉันก็มั่นใจว่าคุณเห็นออร่ามานาของฉันกับคุณเฟลิกซ์ที่อยู่ข้างหลัง”

จู่ๆ มีชื่อฉันโผล่เข้าวงสนทนา

หะ!? ออร่าตัวฉัน?

เดี๋ยวสิ...เรย์ลี่กับกินซ่าก็เคยพูดเหมือนกันอยู่นี่น่าว่าฉันมีออร่าอะไรบางอย่างนั้น

“แล้วมาบอกเรื่องนี้กับข้าทำไม” ยามเอทินถาม

“ท่านสัสดีได้เสนอโอกาสแก่คุณ ชีวิตของเจ้าจะดีกว่านี้ถ้าหากได้รับการฝึกฝนและตนเองที่สถาบันนิวส์ไลพ์ คริสเมนช่วงสามสิบหลังมานี่หายากมากค่ะ”

เพียงเท่านั้นทั้งฉันและอาเซียก็รู้จุดมุ่งหมายของสัสดี

อ๋อ...มันหน้าที่ของสัสดีสินะ แต่ทำไมเจ้าตัวไม่อยู่?

พี่ยามหัวโล้นยังคงดื้อดึงไม่ยอมรับอยู่ดี

“ฮ่าๆๆๆ ท่านนักเวทย์ประจำเมืองต่อต้านเรื่องนี้แน่ๆ อยู่ๆ จะมาแย่งคนของเขาไป มันออกจะ—”

“เคยคิดไหม? ว่าทำไมนักเวทย์ประจำเมืองนี้ถึงให้ข้อมูลเรื่องที่ให้คุณยืมตำราเวทย์มาละ?”

มาเรียเอ่ยแบบนั้นจนฉันชักไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้าฉันใช่คุณมาเรียจริงๆ หรือเปล่า เล่นต้อนยามคนนั้นจนแทบจะไม่มีทางหนีแล้วและเขาเลิกคิ้วได้ยินแบบนั้น

“หือ? เขาขายข้า!?”

“เปล่าค่ะ แค่ให้โอกาสเลือกเส้นทางชีวิตเท่านั้น แต่ขอบอกไว้เลยว่าถ้าขืนคุณยังอยู่ที่นี่ต่อแล้วมีขุนนางนักเวทย์ชั้นสูงเดินทางผ่านมาเมืองนี้เห็นคุณเข้าล่ะก็...ชีวิตคุณและคนรอบข้างจะไม่ปลอดภัยอีกต่อไป”

สิ่งที่มาเรียจะบอกนั้น ฉันนึกอยู่แป๊บหนึ่งก็นึกออกว่าคุณมาเรียเคยพูดถึงเรื่องหนึ่งตอนที่กำลังหนีมาเมืองบาลาส เรื่องสองชนเผ่าย่อยของมนุษย์ที่มักถูกรังเกียจและกำจัดก็คือ คริสเมนกับไซบอร์ก

เหมือนเอทินมีสกิลดื้อไม่แพ้กัน

“ฮ่าๆ ไม่หรอกมั้ง ไม่งั้นข้าจะอยู่เมืองนี้มานานได้ยังไง”

“คริสเมนดูผิวเผินก็เหมือนกับมนุษย์ทั่วไป ไม่ได้แสดงออร่ามานาตั้งแต่ออกมาจากเกทนั่นค่ะ เว้นแต่ได้สัมผัสคริสตัลสักครั้ง มันจะปลุกพลังมานาคริสตัลที่อยู่กลางอกให้ผุดขึ้นโผล่มานอกร่างกายค่ะ คุณสัมผัสมันครั้งแรกกี่วันกี่เดือนมาแล้วคะ”

เหมือนว่าคำถามแต่ล่ะคำถามจากมาเรียจะเล่นงานยามหัวโล้นพอตัว สีหน้าของเขาเริ่มอ่อนไหวง่ายมากขึ้นและตอนนี้ไม่สบตาตรงๆ ใช้สมองตัวเองพยายามนึกความทรงจำเพื่อตอบคำถาม

“งืม...อือ...ประมาณสามเดือนก่อนได้ ตอนนั้นข้าเมามาก...เผลอเข้าทางใต้ดินที่ไหนสักที่ในเมืองนี้ล่ะ...จำไม่ได้ว่าตรงไหนแต่มันมีทางลับเข้าอีกต่อหนึ่งเชื่อมกับสิ่งที่คล้ายๆ แกนกลางคริสตัลใต้ดิน แต่คงจะเป็นถ้ำขุดเหมืองคริสตัลที่ข้าไม่รู้ล่ะมั้ง เห็นอุปกรณ์ขุดเจาะเยอะมากอยู่ ข้าพยายามบอกคนอื่นแล้วเรื่องที่มีแอบทำอะไรบางอย่างกับแกนกลางนั่นแล้วก็ไม่มีใครเชื่อ”

“หะ!”

“หา!”

คำตอบนั้นเรียกความตกใจจากมาเรียกับอาเซียและทั้งคู่ต่างมองหน้าแล้วพยักหน้ากันและกัน ฉันที่ไม่รู้เรื่องยกมือถาม

“มันหมายความว่ายังไง ทำไมตกใจขนาดนั้นด้วย”

ฉันถามอย่างงั้นไปไม่ได้หมายถึงเรื่องที่เพิ่งได้ยินครั้งแรกว่าพลังในตัวของคริสเมนจะตื่นขึ้นจากการสัมผัสคริสตัล แต่มันมีบางเรื่องที่ซ่อนอยู่จากคำบอกเล่าของยามหัวโล้นนี่แน่ๆ และแอนดิวกับสาวแว่นนั่นพูดถึงมันด้วย อาเซียที่ทำสีหน้าเคร่งเครียดให้คำตอบนั้น

“มีใครบางคนลอบขุดแกนกลางคริสตัลใต้แผ่นดินเมืองนี้อยู่ยังไงละ”

“แล้ว...ยังไงคะ มันผิดกฎหมายใช่ไหม”

“ไม่ใช่แค่นั้น มันคือการล้างบางทุกคนในเมืองนี้!”

ยิ่งอาเซียบอกมาขึ้นเท่าไหร่ ฉันยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นเท่านั้นแต่ดูเหมือนมาเรียจะเข้าใจสถานการณ์ที่ฉันเป็นอยู่เลยเดินเข้ามา

“ขออภัยด้วยค่ะคุณเฟลิกซ์ คุณคงยังไม่รู้สินะคะ ถ้าแกนกลางคริสตัลแถวนี้มีปัญหามาจะเกิดเรื่องใหญ่ค่ะ”

“เอ่อ เรื่องอะไรคะ?”

“คริสตัลที่อยู่ชั้นล่างสุดของแผ่นดินนี้เกาะตัวผสานกันและใช้พลังพยุงไม่ให้แผ่นดินส่วนหนึ่งร่วงตกขอบโลกไป...คริสตัลแบบนั้นถูกเรียกว่าแกนกลางคริสตัลค่ะ มันมีพลังมานาแฝงอยู่เยอะมากจนเป็นที่ต้องการหลายๆ ฝ่ายเลยมีการลักลอบขุดกันค่ะ”

“งั้นก็หมายความว่า...ที่เมืองนี้กำลังมีการลักลอบขุดที่ว่านั่นอยู่?”

ฉันพยายามถามให้กระจ่างที่สุดเท่าที่จะกระจ่างได้...และวันที่ดีที่เธอเคยพูดประชดกับตัวเองไว้เมื่อวานมันก็เกิดขึ้นจริงๆ เมื่อมาเรียให้คำตอบ

“ค่ะ...ถ้าขุดจนแกนกลางเสียสมดุลล่ะก็...ทั้งเมืองทั้งผู้คนจะตกลงหายไปทั้งหมด เราเรียกปรากฏการณ์นั้นว่าฟอร์ดาวน์ค่ะ (Fall down)”

◊◊◊

ช่วงคุยกับไรท์เตอร์

จบลงไปแล้วสำหรับ Ch.13 ของเรื่อง CrystalFall: Fake/Brave นะจ๊ะ

หว่า...มาเรียอุตสาห์เป็นห่วง ไงแอนดิวถึงทำกันอย่างงี้ล่ะ! (และเฟลิกซ์ก็ลืมไปขอบคุณเขาเรื่องช่วยชีวิตเอาไว้)

กินซ่ามีแผนจะทำอะไรบางอย่างแน่ๆ

แล้วเรื่องยามที่ชื่อว่าเอทินคนนั้นเป็นคริสเมนเหมือนกับมาเรีย สัสดีต้องการที่จะนำเขากลับไปยังสถาบันนิวส์ไลฟ์ด้วย เลยยิ่งทำให้ยุ่งยากมากขึ้น!

แถมจู่ๆ พวกเขาก็มารับรู้เรื่องที่แสนอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับแกนกลางคริสตัลอีก!

แล้วมันจะเกิดเรื่องบ้าบออะไรอีกไหม?

เพราะต่อตอนไปมีชื่อว่า

  1. แกนกลางคริสตัล 3 - [ลางร้าย]

ถ้าชอบก็ Comment ให้กำลังใจกันบ้างเน้อ 1 Comment เท่ากับล้านกำลังใจเลย ฮ่าๆ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา