Crystalfall: Fake/Brave [ชีวิตพังเพราะพระเจ้า]

8.8

เขียนโดย Spy442299

วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 17.23 น.

  25 chapter
  4 วิจารณ์
  20.33K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 17.57 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) หนีกลางสมรภูมิรบ 3 - [สุดขอบโลก] - ครึ่งหลัง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Crystalfall: Fake/Brave

คริสตัลฟอร์: เฟค/เบรฟ

  1. หนีกลางสมรภูมิรบ 3 - [สุดขอบโลก] - ครึ่งหลัง

◊◊◊

“ข้อเสนอชวนก่อสงครามแบบนั้นจะมีใครบ้าตอบรับได้! ผอ. ไม่เล่นตามแน่นอน!”

ชายหนุ่มที่มีหน้าตาวัยประมาณยี่สิบห้าปีหากเทียบกับโลกเดิมที่เฟลิกซ์จากมา นัยน์ตาสีแดงคู่เล็กฉายแววความเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัดอยู่ในเครื่องแบบทหารสีส้มสลับขาวของอาณาจักรแห่งหนึ่งและผมยาวเรียวสวยสีขาวซีดกับฟันที่เป็นเขี้ยวเป็นลักษณะเด่นของเผ่าปีศาจ-แวมไพร์กำลังถกหัวข้อสนทนากับผู้หญิงเผ่ามนุษย์ผมดำไม่ยาวมากนัยน์ตาสีฟ้าในชุดเกราะอัศวินพร้อมออกรบที่ทำสีหน้าแบกโลกไว้

“เราก็คิดเหมือนกันค่ะท่านสัสดี ทางสภาขุนนางที่เมืองหลวงของอาณาจักรมนุษย์จ้องแต่จะเอาตัวเธอคนนั้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองถล่มพวกเอลฟ์อย่างเห็นได้ชัด...ไม่สนเลยว่าเธอจะอยู่ในช่วงเด็กใหม่สักนิด”

“เป็นเพราะคำทำนายบ้าๆ นั่น” ท่านสัสดีเอามือกุมหน้า

“คำทำนาย...ถ้าจำไม่ผิดผู้หญิงที่ปรากฏตัวออกมาจากเกทมันไม่ตรงกับที่ทำนายนี่คะ!? แล้วทางนั้นยืนยันจะเอาตัวไปอีก แปลกมาก”

“นั่นแหละปัญหา...ไม่ใช่ว่าเอาไปเชิดชูเป็นผู้กล้า แต่เอาไปเป็นแพะรับบาปอะไรสักอย่างที่ทำลายมลทินคำทำนายอะไรนั่น...แต่ปัญหาการเมืองนั่นมันไม่ใช่ปัญหาของเรา พวกเราจะไม่ยอมให้เธอคนนั้นตกอยู่ในอันตรายเด็ดขาด เอกสิทธิ์คนที่เกิดจากเกทนั่นเป็นของสถาบันนิวส์ไลฟ์อย่างเรา”

“แต่ไม่กี่เดือนนี้เกทนั่นอยู่ในพื้นที่สงครามมนุษย์กับเอลฟ์ พากันอ้างเกทเป็นตัวเองทั้งคู่คงพูดลำบากละคะ แต่ลูกน้องของท่านก็ร้ายใช่ย่อยนะคะ บุกไปชิงตัวกลางวงกองทัพสองฝ่ายทั้งอย่างงั้นได้เป็นการหักหน้าที่รู้สึกสะใจมาก!”

“มันช่วยไม่ได้ ใครจะไปคิดว่าจะมีคนออกมาตามเวลาที่ทำนายไว้จริงๆ เลยให้เจ้าเรย์ลี่ออกโรง”

“แต่คนที่พาออกมาได้มีลักษณะไม่ตรงตามที่ทำนายไว้นะคะ ทางฝั่งเอลฟ์เองก็มีคำนายเหมือนกันเวลาเดียวกันแต่บอกว่าเป็นเผ่าเอลฟ์แท้”

สาวชุดเกราะว่าเช่นนั้น ท่านสัสดีพยายามนึกอะไรบางอย่างจนสุดท้ายยอมแพ้

“ผู้ชายหรือผู้หญิงที่ฝ่ายนั้นทำนายไว้? ข้าลืมแล้ว”

“ผู้ชายค่ะ”

“งืม...ทางอาณาจักรมนุษย์ก็เหมือนกัน พอเห็นเป็นผู้หญิงแถมเป็นไซบอร์กที่พวกมนุษย์ด้วยกันรังเกียจเลยกลายเป็นแบบนี้”

“แล้วทางเผ่าปีศาจอย่างท่านมีคำนายอะไรไหมคะ”

คำถามนั้นเรียกสีหน้าไม่พอใจของท่านสัสดีได้ขึ้นมา

“การมาจอมมารเมื่อสองร้อยปีก่อน...ตอนนี้เป็นยังไงเจ้าก็รู้ดี”

“แหม่ พอเห็นท่านพูดเกี่ยวกับเผ่าตัวเองทีไร ทำไมต้องอารมณ์เสียด้วยค่ะยิ่งเป็นแวมไพร์ด้วย”

อัศวินสาวผมดำพูดกวนและแกล้งซื่อทำเป็นไม่รู้เรื่อง ชายผู้เป็นแวมไพร์พ่นลมหายใจทิ้ง

“อย่าเพิ่งขุดเรื่องนั้นได้ไหมอาเซีย นี่มันยังไม่ใช่เวลาจะพูดเรื่องอื่น เธอมากับข้าเพื่อเป็นหูเป็นตาแทนท่านผอ.”

“ขออภัยด้วยค่ะ!”

อาเซียเอามือขวาตั้งฉากแนบอกตะเบ่งเสียง เมื่อสัสดีดูเหมือนไม่เอาเรื่องอะไรถอนหายใจเลยกลับเข้าเรื่องเดิม

“แล้ว...เรื่องเชสเซอร์จะจัดการยังไงดีคะ ที่ทรยศเราตอนที่ถูกเอลฟ์จับด้วยกันขาออกมาจากสมรภูมิสงครามนั่น”

“เดี๋ยวข้าจัดการเอง แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามเราต้องมุ่งหน้าตรงไปยังบ้านที่นัดหมายไว้ก่อน...หวังว่าจะปลอดภัยดี”

“ค่ะ...เอ่อ...ขอถามหน่อยนะคะ ทำไมต้องให้เรย์ลี่เอาไปไว้ซะไกลขนาดนั้นด้วย...ที่ขอบโลกใกล้แม่น้ำคริสทางตอนใต้”

“ที่นั่นมีคนที่ข้าไว้ใจที่สุด”

สัสดีว่าเช่นนั้น รถม้าเดินที่ถูกเร่งด้วยเวทมนตร์เคลื่อนที่ต่อไปอย่างไม่ลดละมุ่งหน้าต่อไป

◊◊◊

“เธอๆ...เฟลิกซ์! รีบตื่นเร็วเข้า”

เสียงของใครบางคนที่แลฟังคุ้นหูกำลังกวนเวลานอนหลับสบาย

“หือ…ขออีกห้านาทีนะ นานามิ”

“นานามิ!?” ฝ่ายปลุกออกอาการงง “พูดถึงใคร?”

“เห้อ? ก็เธอเองไม่ใช่หรือไง?”

เพราะโดนกวนมากๆ เลยลุกขึ้นมานั่ง เฟลิกซ์ที่ยังอยู่ในโลกกึ่งฝันกึ่งจริงมองหน้าหรี่ตาใส่เชสเซอร์สักพักถึงจะรู้สึกตัวเลยเอามือกุบหัวตัวเอง

เผลอนึกว่ายังอยู่โลกเก่ากับเจ้าเพื่อนซี้จนได้

“เบลอๆ ไปหน่อยโทษที”

“เธอพอรู้ว่าทำไมเราถึงมาอยู่ในค่ายเอลฟ์?”

ในค่ายเอลฟ์

ฉันเกาหัวก่อนที่จะเรียบเรียงความจำตัวเองแล้วบอกเรื่องทั้งหมดกับเชสเซอร์ เธอพยักหน้ารับตลอดเวลาแล้วเดินย่องเปิดผ้าใบที่เป็นทางเข้าออกของเต็นท์แอบดูสิ่งที่อยู่ข้างนอกแล้วเดินกลับมาทำหน้าประหลาดใจ

“มาไกลถึงขอบโลกแล้วหรือเนี่ย?”

เชสเซอร์เริ่มกระวนกระวายกว่าเดิมและมองสิ่งที่อยู่ในเต็นท์ที่มีเตียงไม้สามเตียง อุปกรณ์บดยาและชั้นวางพวกม้วนกระดาษอะไรสักอย่างที่เต็มไปด้วยรูปวาดหกเหลี่ยมซ้อนกัน

“ดูเหมือนว่าพวกเราไม่ได้ถูกจับในฐานะเชลย”

“เรย์ลี่…”

ฉันพึมพำแล้วคิดอยู่ลึกๆ ว่าเด็กคนนั้นจะรอดหรือเปล่านะ

“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลามาห่วงคนอื่น” เชสเซอร์ว่า “เราต้องหนี…หนีไปอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี่”

“…แล้วรู้ได้ไง?”

“เธอได้ยินเสียงน้ำตกหรือเปล่า นั่นแหละตัวแบ่งอาณาเขตระหว่างสองอาณาจักร”

พอฉันหลับตาเงี่ยหูฟัง...ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยส่ายหัว เชสเซอร์ที่ไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้วพ่นลมหายใจทิ้งอย่างช่วยไม่ได้

“เธอนี่เป็นภาระจริงๆ”

“ไม่เรียกฉันว่าเป็นผู้กล้าแล้วหรือไง?” ฉันถามไปอย่างงั้น

“ที่ฉันเรียกเฉพาะอยู่ตรงหน้าคนอื่นเท่านั้น...เธอไม่มีคุณสมบัติใกล้เคียงคำว่าเป็นผู้กล้าสักนิด คงจะเป็นของปลอมอย่างที่เขาว่ากันมาจริงๆ”

“ฮ่าๆ แล้วเมื่อวานสองวันตอนอยู่กันสองคนเธอก็ยังเรียกว่าเป็นผู้กล้านิ”

ฉันเบ้ปากทำหน้ากวนใส่ ถึงจะรู้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรเถียงกันตอนนี้แต่มันอดไม่ได้จริงๆ เพราะหมั่นไส้ท่าทางของอัศวินสาวที่จ้องจะกัดฉันตลอดเวลา ซึ่งเธอได้ยินแบบนั้นแล้วขมวดคิ้วตอบกลับอย่างไม่ใยดี

“เธอโง่หรือเปล่า...ท่านนักเวทย์ยังอยู่ใกล้ๆ เลยเรียกแบบนั้นกับเธอ...เดี๋ยวสิ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคุยเรื่องพวกนี้!”

“ข๊า...ผู้กล้าจอมปลอมคนนี้โง่งี่เง่าข๊า”

“อ้าว!? ท่านอัศวินฟื้นตั้งแต่เมื่อไรคะ?”

ฉันพูดประชดตัวเองเสร็จ จู่ๆ ยูกะที่ถือถาดที่มีถ้วยชามสองใบที่มีข้าวต้มร้อนๆ เดินเข้ามาทักทายในเต็นท์แล้วเจอกับเชสเซอร์ที่ยืนตัวแข็งเมื่อเห็นเอลฟ์อย่างเธอทัก ซึ่งหล่อนไม่รอฟังคำตอบเดินเข้ามาวางถาดนั้นลงบนโต๊ะปลายเท้าฉัน

“นี่อาหารอ่อนสำหรับทั้งสองคนค่ะ...เดี๋ยวดิฉันจะกลับมาเช็คร่างกายให้หลังประชุมด่วนเสร็จนะคะ”

ยูกะแจงเสร็จหันหลังเดินกลับจะออกไปแต่เชสเซอร์ทักก่อน

“ประชุมอะไร?”

“งืม...เห็นว่าเกี่ยวกับสถานการณ์สงครามใหม่ล่าสุดที่กลางทวีปนะคะ แต่เรื่องนี้คงไม่เกี่ยวกับพวกคุณ...เชิญพักให้สบายเถอะค่ะและต้องขอโทษล่วงหน้าที่พาพวกท่านมายังที่ๆ ไม่คุ้นอีกด้วย”

เธอพูดเสร็จก้มหัวเล็กน้อยแล้วออกจากเต็นท์ เชสเซอร์ที่ทำท่าจะชักดาบตั้งแต่แรก(แต่ดาบมันหายไปแล้ว)ผ่อนท่าลงแล้วจมกับความคิดของตัวเองอีกครั้ง พอคิดได้ก็เลิกคิ้ว

“เข้าใจแล้ว เหมือนว่าที่นี่จะรับข่าวสารจากสงครามกลางทวีปนั่นช้ากว่าปกติ ยัยเอลฟ์ตะกี้เลยไม่รู้ว่าพวกเราถูกหมายหัวเป็นอันดับหนึ่งจากสงครามที่นั่น”

“แล้ว?”

ฉันทวนถามไป เชสเซอร์มองฉันด้วยสายตาที่โง่เขลา

“แล้ว!? โง่จริงๆ นะเธอ...ก็หมายความว่าไอ้ที่จะไปประชุมเนี่ยมันต้องมีใครมาส่งสารเอาภาพวาดหน้าเธอมาแจ้งถึงชายแดนขอบโลกแล้วนี่ไง!”

◊◊◊

ฉันมีนามว่า [ยูกะ] เป็นหนึ่งในสิบสองอัจฉริยะเวทมนต์หน้าใหม่

เราเป็นเอลฟ์แท้ที่ถูกกำเนิดจากเกท...

ความรู้สึกแปลกประหลาดหลังเกิดมานั้น ทำไมเราถึงได้มีร่างกายที่โตตั้งแต่กำเนิด...ทำไมเราถึงมีตัวตนอยู่?

สี่ปีแล้วก็ยังหาคำตอบที่กวนใจอย่างหลังไม่ได้

มาโลกนี้ด้วยความทรงจำที่ว่างเปล่า...อันที่จริงทุกๆ คนก็เป็นแบบนั้นกันหมด

มันน่าจะเป็นเรื่องปกติแต่ทำไมเราไม่คิดเช่นนั้น

เพราะอะไรกัน...

“เธอมาช้ามาก...ทุกฝ่ายประชุมกันเสร็จแล้ว”

ดาร์คเอลฟ์ที่ยืนอยู่ในเต็นท์บัญชาการหลักคนเดียวพูดอย่างไม่ชอบใจนัก เธอไว้ผมม่วงยาวที่สูงกว่าฉันนิดหน่อย นัยน์ตาดำแหลมคู่กำลังมองไปยังแผนที่ทวีปคริสตัลฟอร์ที่กางอยู่บนโต๊ะ ริมฝีปากที่เอิบอิ่มและหน้าอกที่มโหฬารจนฉันอยากจะจมแผ่นดินหนีอยู่ในชุดเกราะเหล็กรบทั้งตัว เธอเป็นดาร์คเอลฟ์ที่ฉันเคารพรักและยกท่านเป็นอาจารย์ศาสตร์แห่งดาบคนหนึ่ง ถ้าเดาไม่ผิดเธอน่าจะเพิ่งมาจากเขตสมรภูมิรบที่ต้นทางแม่น้ำ

“ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ค่ะ!”

“ได้ยินว่าไปช่วยชีวิตคนอื่นอีกแล้ว ทำไมหาเรื่องใส่ตัวจังเหอะ? อุดมการณ์โลกสวยนั่นทำเธอเหนื่อยอยู่นะ ยูกะ” 

“มันเป็นสิ่งที่ยืนยันการมีตัวตนของดิฉันค่ะ”

ฉันยืนยันความคิดเองอย่างเชื่อมั่น ริสเห็นแบบนั้นแล้วส่ายหัว

“เฮ้อ...เอาอีกแล้ว เธอคิดว่าตัวเองเป็นแค่สิ่งที่จับต้องไม่ได้หรือไง”

“คงงั้นมั้งค่ะ”

ริสเดินมาลูบหัวฉันเล่นอย่างเคยตัว ฉันถูกปฏิบัติแบบนี้จนชินแล้วก่อนที่จะตักเตือนฉัน

“แต่หัดเหลือมานาเพื่อยามฉุกเฉินบ้างสิ ไม่ก็ใช้คัมภีร์แทนร่ายฮีลตรงๆ ก็ได้...ดูสิ เธอตัวซีดอีกแล้ว”

“ใช้ฮีลตรงๆ จะได้ผลมากกว่าค่ะ ท่านก็รู้ดี”

“แต่มันไม่ใช่เหตุผลที่ดีไปใช้กับคนที่ไม่รู้จัก...” ริสว่า “แล้วที่นี่ไปช่วยใครมาอีกล่ะ? หรือเป็นแค่สัตว์ป่า?”

“ก็...มนุษย์สองคนค่ะ เป็นไซบอร์กหนึ่งกับอัศวินอีกหนึ่ง”

“พวกมนุษย์!? เฮ้อ...เธอนี่มันจริงๆ เลย ก็รู้ๆ อยู่ว่าช่วงนี้อาณาจักรเรามีปัญหากับพวก---”

เพียงเท่านั้นริสเบิกตาโตแล้วรีบหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งจากบนโต๊ะมาชูให้ฉันดูใกล้ๆ มันเป็นประกาศหมายจับของใครคนหนึ่งที่ฉันเพิ่งรู้จัก แขนซ้ายของคนในภาพเป็นแขนเทียมเหล็ก

“ใช่ไหม...”

ริสถามสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงดุดัน

เป็นคนๆ เดียวกับที่เราช่วยไว้ตะกี้นี่น่า! คนที่มีออร่าแปลกๆ นั่น

จะโกหกดีไหม...เพราะชุดเกราะนั่นน่าจะเป็นคนของ---

“บอกมา! ผู้หญิงคนนี้อยู่ไหน!”

โกหกไม่ได้แล้ว!

“ทะ...ที่เต็นท์พยาบาลหลังที่สองค่ะ!”

◊◊◊

“โดนจับได้แน่ๆ”

“เชื่อมือเถอะน่า ฉันผ่านเรื่องแบบนี้มาเยอะ”

“เธอเพิ่งถูกเกทส่งมาโลกนี้ไม่ใช่หรือไง...”

“ฮ่าๆ นั่นสินะ นี่ฉันพูดอะไรออกไปเนี่ย”

“อาการคลับคล้ายคลับคลาสินะ...เดี๋ยวสิ ก่อนจากท่านนักเวทย์เห็นเธอว่าพูดถึงโลกเก่า---”

เชสเซอร์ยังไม่ทันพูดจบเพราะมีใครบางคนเดินเข้าเต็นท์มา ตอนนี้ทั้งสองคนแอบอยู่ในตู้เก็บของที่มีช่องเล็กๆ ให้มองเห็นดาร์คเอลฟ์สาวชุดเกราะและยูกะที่กำลังจ้องมองเตียงผู้ป่วยสองเตียงที่เฟลิกซ์ใช้ผ้าห่มก่อตัวเป็นรูปร่างเหมือนคนนอนคลุมอยู่ ดาร์คเอลฟ์หยิบมีดสั้นที่พกไว้ขึ้นมาแล้วแทงเข้าที่ผ้าห่มนั้น ยูกะห้ามไว้ไม่ทันเลยตื่นตกใจ...แต่สิ่งที่ทำให้เอลฟ์ทั้งสองตกใจยิ่งกว่าเมื่อรู้ว่านั้นเป็นอุบายหลอก ดาร์คเอลฟ์แกว่งเท้าเตะเข้าที่เตียงจนคว่ำไปอย่างเจ็บใจ

“มันไหวตัวทัน...แต่คงไปได้ไม่ไกล”

“ดะเดี๋ยวดิฉันจะช่วย---”

“เธอไม่ต้อง! อยู่นี่รอสะสางความสะเพร่าไว้ได้เลย!”

“แต่ฉันเพิ่งจะรู้...ว่าพวกเขาอยู่ในหมายจับ...นั่น”

ยูกะเอ่ยเสียงค่อยเพราะดาร์คเอลฟ์หงุดหงิดเต็มที่เดินออกไปก่อนและทั้งสองคนที่แอบอยู่ในตู้ได้ยินเสียงเอะอะข้างนอกเคลื่อนพลยกใหญ่ ฉันที่เห็นว่าแผนได้ผลเลยยอตัวเอง

“นี่...บอกแล้วแค่จัดฉากทำเป็นว่าหนีไปแล้ว เจ้าพวกนั้นก็จะออกนอกแค้มป์กันหมดแล้วที่นี่เราค่อยแอบออกได้ง่ายๆ ไงล่ะ”

“มันจะง่ายอย่างงั้นหรือ”

เชสเซอร์ค้านหน้าเสีย

“ทำไม?”

“อือ...เอลฟ์นั่นเดินมานี่ล่ะ”

ฉันหันกลับไปมองนอกตู้เหมือนเดิม ยูกะยืนอยู่หน้าตู้ก่อนที่จะก้มลงมาเปิดบานตู้ออกแล้วยิ้มทักทาย

“สวัสดีค่ะทั้งสองคน...ไม่ต้องตกใจไปน๊า ดิฉันขอแนะนำตัวเองอีกครั้ง ยูกะ...หนึ่งในสิบสองนักเวทย์อัจฉริยะหรือเป็นสายสืบให้กับทางสถาบันนิวส์ไลฟ์ค่ะ”

การชิงแนะนำตัวตนที่แท้ของเอลฟ์สาวก่อนทำให้คู่ตกใจ

“หา!?”

“เอ๋!?”

“ดิฉันรู้ตั้งแต่แรกแล้วค่ะว่าพวกคุณแอบอยู่ในนี้ เลยไม่ได้---”

“ไม่ใช่เรื่องนั้น เธอเนี่ยนะเป็นสายลับ!?” เชสเซอร์ว่า “แล้วทำไมถึงไม่รู้เรื่องผู้กล้าล่ะ”

“รู้ค่ะ แต่ไม่รู้รูปพรรณสัณฐานเลยแถมยังไม่ได้รับการติดต่อใดๆ จากท่านคราวน์สักนิดเป็นปีแล้ว คงให้ดิฉันสร้างความเชื่อมั่นกับพวกเฮฟเวินก่อนล่ะมั้งคะ”

“ท่านคราวน์...งืม...เริ่มเข้าใจสถานการณ์ล่ะ”

เชสเซอร์ออกจากตู้มาปัดฝุ่นรอบตัว ส่วนฉันก็ออกมาถาม

“เชื่อกันง่ายๆ ขนาดนี้เลยหรอ?”

“คือ...เพิ่งคุ้นๆ หน้าว่าเอลฟ์นี่เป็นคนของสัสดี”

เชสเซอร์ยักไหล่ตอบ

สัสดี...ไอ้ชื่อตำแหน่งนี้มาอีกล่ะ เขาเป็นใครกันแน่นะ...ที่ให้เรย์ลี่กับอัศวินคนนี้มาช่วยฉัน

เอ๊ะ! ตะกี้ว่าเขาชื่อคราวน์หรือเปล่า?

“แล้วภารกิจของพวกท่านหรืออะไรกันคะ?” ยูกะถาม

“ยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไรเพราะเราแยกทางกับท่านนักเวทย์ที่คำสั่งมา...แต่รู้อย่างเดียวว่าให้เราไปตรงพื้นที่ไร้การปกครองใกล้ๆ นี่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ...เห็นว่ามีบ้านของคนที่ไว้อะไรนั่นแหละ”

“หรือจะเป็น...คู่สามีภรรยาหรือเปล่าคะ?”

ยูกะที่เหมือนจะรู้อะไรบางอย่างเอ่ยขึ้นมาทำให้เชสเซอร์หูตาไว

“คู่สามีภรรยา!?”

“คือเวลามีงานแถวๆ นี้ ดิฉันกับสัสดีมักจะไปพักที่บ้านหลังนั้นค่ะ มันในพื้นที่ไร้การปกครองก็จริงแต่อยู่ใกล้กับเมืองบาลาสที่เป็นประตูสู่อาณาจักรเฟธออฟก็อด (Faith of god) เลยมีมนุษย์อาศัยอยู่บ้างค่ะ”

“เธอจะพูดอะไรกันแน่?”

“เรื่องที่ท่านนักเวทย์ของคุณพูดถึงน่าจะเป็นบ้านของคู่สามีภรรยาที่มีบ้านอยู่กลางไร่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของพื้นที่นั้นค่ะ พวกเขามีชื่อว่ามาเรียกับแอนดิว”

“มาเรีย!? อ๋อ...”

เชสเซอร์ทำหน้าไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะได้ยินชื่อนั้นก่อนที่จะเลิกคิ้วทุกข้อสงสัยก่อนที่จะกลับเข้าเรื่อง

“คุณเอลฟ์ หวังว่าคงมีอะไรดีๆ ที่ทำให้เรารอดจากพวกข้างนอกได้นะ”

“มีสิค่ะ เส้นทางลัดโพรงหญ้าป่าข้างหลังเต็นท์นี่ตรงไปยังสะพานแขวนข้ามน้ำตกคริสตัลเลยค่ะ แต่ตรงนั้นจะมีพวกเอลฟ์เฝ้าอยู่บ้าง ป่านนี้น่าจะเสริมกำลังแล้ว”

“ทางอื่นล่ะ?”

“ไม่มีค่ะ มันย้อนไกลเกินไปและมีด่านตรวจมากมายด้วย สิ่งที่ดิฉันจะบอกก็คือให้ไปแอบตรงทางข้ามสะพานค่ะแล้วรอเวลาพวกเขาถอนกำลังเท่านั้นเอง ดิฉันอยากจะได้ช่วยหลอกล่อให้อยู่แต่ถูกท่านริสที่เป็นขุนพลแม่ทัพหนึ่งในแปดของอาณาจักรเอลฟ์สั่งให้อยู่นี้แล้ว ขืนฝ่าฝืนคำสั่ง...งานแทรกสืบนับปีคงพังแน่ๆ ค่ะ”

“เป็นตัวเลือกไม่ค่อยดีนักแต่...เฮ้อ ตามนั้นล่ะกัน ไว้เจอกันคราวหน้าทำความรู้จักกันถ้ามีโอกาสนะ”

“ยินดีอย่างยิ่งค่ะ”

ยูกะก้มหัวอีกครั้ง เชสเซอร์พาฉันออกจากเต็นท์ไป แต่แล้วยูกะเดินตามมา

“เดี๋ยวก่อนคะ! คือ...อันนี้ใช้ของพวกคุณไหม”

เธอยื่นก้อนหินสีรุ้งหกเหลี่ยมออกมา เชสเซอร์เดินเข้าหยิบอย่างรีบร้อน

เฮ้ยๆๆๆ นั่นมันของฉันนี่หว่า!?

“อยู่กับคุณนี่เอง!” เชสเซอร์ว่า “นึกว่าจมน้ำไปซะแล้ว ขอบคุณมากที่เก็บไว้ให้”

“ไม่เป็นไรค่ะ”

แล้วฉันก็ถูกเชสเซอร์ลากเข้าโพรงหญ้าสูงๆ ไปโดยที่ไม่รู้เลยว่ายูกะได้ถือก้อนหินหกเหลี่ยมสีรุ้งอีกอันไว้ข้างหลังแล้วพึมพำกับตัวเอง

“ของแบบนี้ถ้าให้พวกคุณพกไปมันอันตราย สู้เก็บไว้เป็นของเราดีกว่า”

◊◊◊

“พวกมันไม่คิดจะเปลี่ยนเวรยามกันบ้างหรือไง”

เชสเซอร์บ่นข้างๆ ฉันก็เห็นด้วยกับเธอ ตอนนี้น่าจะเลยสองชั่วโมงได้แล้วกับการแอบอยู่ในพุ่มไม้ข้างทางใกล้กับสะพานแขวนลอดใต้น้ำตกที่มีเอลฟ์ถือหอกสิบคนยืนเฝ้าอยู่

แต่สิ่งที่น่าตกใจและตื่นตะลึงก็คือสิ่งที่เรียกว่า [ขอบโลก] นี่แหละ พอได้เห็นกับตาถึงจะเข้าใจ ทางขวามือมองออกไป ไม่มีแผ่นดิน ไม่มีอะไรเลยนอกจากท้องฟ้ายามเย็นที่แสงค่อยๆ ดับวูบไปตามความสูงที่แงนมอง...เมื่อพ้นระดับขนานสายตาลงไปข้างล่างจะพบแต่ความมืดมิด

รู้สึกไม่ดีเอามาก! ถ้าเผลอตกลงไปนี่...

“นี่เธอ...สิ่งที่ฉันจะทำต่อไปนี้ไม่ใช่ว่าเคารพเธอจนยอมเสี่ยงตายแต่มันเป็นภารกิจฉัน เข้าใจไหม?”

สิ่งที่เชสเซอร์กล่าวมาแน่นอนว่าฉันส่ายหัว

“ไม่เข้าใจก็ช่างเถอะ ทำตามที่บอกก็พอเดี๋ยวฉันจะล่อเจ้าพวกนั้นไป เธอก็รีบข้ามไปอีกฝั่งซะ ตามหาบ้านหลังที่นักเวทย์ว่าไว้...อ่ะนี่! ลองใส่กับต้นแขนเธอดูเพื่อใช้ได้”

“แต่ว่าใช้มัน...จะทำให้พวกนั้นรู้ตัวไม่ใช่หรอ?”

“เดี๋ยวฉันจะล่อให้ไง...จะให้เธอไปตัวคนเดียวทั้งๆ ที่แขนเดี้ยงแบบนั้นมีแต่เสี่ยงกับเสี่ยง และถ้ามันเกิดมีพลังวิเศษล่ะก็...ใช้มันให้เป็นประโยชน์ แต่ค่อยใส่มันหลังหนีพวกเอลฟ์ไปไกลๆ นะ”

“แต่ฉันไม่รู้ว่าบ้านที่ว่า---”

“เธอแค่วิ่งไปทางตะวันออกเฉียงเหนืออิงจากแนวตั้งของแม่น้ำหลังทางการขึ้นบนน้ำตกได้แค่นั้น ฉันคิดว่าพื้นที่แถวนั้นไม่ค่อยมีบ้านคนอยู่หรอก คงมีแค่หลังเดียวน่าจะหาไม่ยาก หิวก็หาอะไรในป่ากินเข้า”

พูดง่ายนะนั่น หาอะไรกินในป่าที่ไม่รู้จักเนี่ยนะ

ฉันคิดแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรอีกเพราะไม่สามารถชักชวนให้หล่อนเลิกล้มเป็นตัวล่อได้

ทำไมถึงช่วยฉันขนาดนี้นะ ถึงจะเป็นงานของเธอก็เหอะ

เมื่อคิดแบบนั้นไปเลยให้รางวัลเป็นสัญลักษณ์ความโชคดีด้วยการหอมแก้มเชสเซอร์หนึ่งทีเหมือนกับที่เคยทำกับนานามิบ่อยๆ หล่อนทำหน้าตอบสนองได้น่าขันเพราะหน้าแดงเอามากๆ ก่อนที่จะส่งเสียงขู่ฟ่อใส่

“เธอทำบ้าอะไรเนี่ย!”

“เป็นการอวยพรขอให้โชคดีสำหรับฉัน”

“หือ? หอมแก้มเนี่ยนะ”

“ไม่ชอบหรอ?”

“อะ...เอ่อ...ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่ก็ไม่ได้---เฮ้ย ไม่ๆๆ เราอยู่ใกล้ศัตรูนะเฮ้ย”

“ค่ะ รู้แล้วค่ะ”

ได้แกล้งนี่สนุกจัง เสียดายไม่ได้ทำแบบนี้กับเรย์ลี่...

แต่อีกไม่กี่นาทีคงมีแต่เป็นกับตายเท่านั้น

“เธอพร้อมหรือยัง” เชสเซอร์ถามให้แน่ใจ

“อือ...”

ฉันตอบรับแล้วเก็บหินรุ้งไว้ในตัวและรอสัญญาณเริ่ม

เหมือนว่าฉันเคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนในชาติที่แล้ว...

ปฏิบัติการถล่มที่ไหนสักที...น่าจะเป็นพวกกลุ่มอำนาจจีนเก่าล่ะมั้ง

“เอาล่ะ!”

เชสเซอร์วิ่งออกจากพุ่มไม้ออกไปทักทายยามเอลฟ์ทั้งสิบคน

“เฮ้ย! พวกแก! ไอ้เอลฟ์หน้าโง่! ตามหาเราอยู่ไม่ใช่เหรอ!”

“เฮ้ย! ชุดเกราะอัศวินนั่นมันเป็นที่อยู่กับผู้กล้าจอมปลอมนิ!? จับมัน!”

และแล้วเอลฟ์ทั้งสิบไล่ตามเชสเซอร์ที่วิ่งหนีไปอีกทางอย่างว่าตามนอนสอนง่าย ฉันออกตัววิ่งไปบนสะพานแขวนทันที ซึ่งความยาวของสะพานแขวนนี่ประมาณสองร้อยเมตรตัดผ่านน้ำตกที่ไหลจากแม่น้ำคริสตัลข้างบน ส่วนใต้เท้านั้นมีแต่ความมืดมิดที่ไร้แผ่นดิน

อย่ามองลงไปสิ! อย่ามองลงไป...

พยายามเรียกสติตัวเองกลับมาแล้วมองไปข้างหน้า ค่อยๆ เดินแทนเพราะสะพานแขวนค่อยข้างโคลงเคลง แต่แล้วกลับมีบางสิ่งส่องสว่างสีเหลืองมาจากข้างหลัง พอหันไปดูพบกับลูกธนูติดไฟที่กำลังเผาสะพาน ฉันมองหาทิศทางที่มาก็พบว่าเนินเขาบนหัวมีหอคอยไม้ที่มีเอลฟ์ถือธนูประจำการอยู่

แย่แล้ว!

สะพานแขวนที่ทำด้วยเชือกติดไฟอย่างรวดเร็วและขาดสะบั้นลง ฉันที่ออกตัววิ่งได้ไม่กี่ก้าวต้องใช้มือขวาคว้าตัวสะพานไว้เพื่อไม่ให้ตกลงไปข้างล่าง ตัวสะพานที่ปลายด้านหนึ่งขาดค่อยๆ เหวี่ยงลงมาไปหาหน้าผาหินข้างหน้ากระแทกเข้าอย่างจังจนหลุดมือ

“เฮ้ย!”

ฉันกำลังร่วงลงไป มือขวากวาดแกว่งหาสิ่งที่จับได้อย่างทุลนทุลายและในที่สุดก็คว้าสะพานขั้นสุดท้ายพอดี

“เฮ้อ...เฮ้อ...เกือบ...เกือบแล้ว...”

พอเงยขึ้นไปพบกับระยะทางที่ต้องใช้ปีนขึ้นไปถึงกับต้องท้อเพราะมันอยู่สูงตั้งร้อยเมตร

เยี่ยมเลย...

ฉันประชดในใจก่อนที่จะเห็นลูกธนูไฟยิงมาอีกครั้ง คราวนี้มันไปปักใส่ต้นทางสะพานทำให้ตัวฉันแข็งทื่อ

เฮ้ยๆๆๆๆ ไม่จริงมั้ง...เล่นแบบนี้เลยหรอ

เพราะเห็นชะตากรรมตัวเองล่วงหน้า มือไม้จึงไม่ขยับปีนขึ้นเลยแม้แต่ขั้นเดียว

มาได้...แค่นี้สินะ

และแล้วเชือกที่รั้งสะพานให้อยู่ก็มอดไหม้ ทั้งสะพานกับร่างมนุษย์ที่มีแขนซ้ายเป็นจักรกลร่วงลงสู่ขอบโลกอันแสนมืดมิด ฉันหลับตายอมรับชะตากรรมนั้นแต่โดยดี

◊◊◊

ช่วงคุยกับไรท์เตอร์

จบลงไปแล้วสำหรับ Ch.4 ของเรื่อง CrystalFall: Fake/Brave นะจ๊ะ

เรื่องราวในตอนนี้ก็สานต่อเลยจาก Ch.3

ในที่สุดสัสดีที่ถูกพูดถึงอย่างมากก็ปรากฏให้เห็นภาพกันแล้ว

(หนุ่มแวมไพร์ กรี๊ด!>_<)

ไปๆ มาๆ ยูกะ สาวเอลฟ์ผู้ช่วยเหลือเฟลิกซ์กับเชสเซอร์กลายเป็นสายลับของสถาบันนิวส์ไลฟ์ซะอย่างงั้น

แต่ไม่รู้ว่าเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมยูกะถึงสลับเปลี่ยนหินคริสตัลสีรุ้งนั้น?

แล้วเชสเซอร์ต้องเสียสละตัวเองเพื่อล่อให้เฟลิกซ์หนีไปอย่างปลอดภัย

แต่มันไม่เป็นไปตามแผน...

เฟลิกซ์ที่ตกสู่ขอบโลกจะมีชะตากรรมยังไง เรื่องจะจบลงแค่นี้หรือไม่?

โปรดติดตามได้ในตอนต่อไปที่มีชื่อว่า

  1. หลบหนีกลางสมรภูมิรบ 4 - [เพื่อปกป้องคนอย่างเธอ]

ถ้าชอบก็ Comment ให้กำลังใจกันบ้างเน้อ 1 Comment เท่ากับล้านกำลังใจเลย ฮ่าๆ

By Spy442299

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา