SoulWalker

-

เขียนโดย คนนะจ๊ะ

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 17.01 น.

  4 บท
  0 วิจารณ์
  5,131 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 20.19 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) นิยามของคำว่า 'เริ่มต้นได้ดี'

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

               ผมชื่ออาร์ท ตั้งแต่ออกมาจากท้องแม่ลืมตาดูโลกก็ผ่านไป 16 ปีแล้ว ผมมีน้องสาวอยู่คนหนึ่งที่อายุห่างกัน 4 ปี จากที่ผมเคยดูอนิเมะต่างๆจะมีตัวละครจำพวกน้องสาวลักษณะต่างๆซึ่งทำให้ผมต้องอุทานออกมาว่า ‘วอทเดอะฟัก’

               แบบว่าไอ้น้องสาวแสนดีมาปลุกพี่ชายทุกเช้าด้วยเสียงหวานๆ ทำอาหารเช้าให้กิน ออดอ้อนน่ารักน่าหยิก คือมันดีเสียจนผมคิดว่าไอ้พี่ชายทั้งหลายแหล่ที่มีน้องสาวแบบนี้ช่างเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่นัก ซึ่งพอมามองในโลกจริงน้องสาวผมไม่เข้าข่ายเลยสักข้อ ตั้งแต่จำความได้ผมกับน้องสาวก็เล่นมวยปล้ำกระทืบกันมาตั้งแต่ผม 6 ขวบ แย่งกันดูทีวีด้วยการแย่งรีโมทกัน พอแย่งไม่ได้ก็เอามือไปบังตัวรับสัญญาณบนโทรทัศน์ทำให้เปลี่ยนช่องไม่ได้ ที่พีคเลยคือวันวาเลนไทน์ ผมแอบเอาน้ำปลากับเกลือไปผสมกับช็อคโกแลตที่เธอต้มทิ้งไว้ หลังจากเอาไปให้หนุ่มที่แอบชอบก็ได้ยินว่าหมอนั่นความดันพุ่งทะลุหลอดจนต้องเข้าโรงพยาบาลไปและในวันไวท์เดย์น้องสาวของผมให้ของขวัญผมเป็นบาจาสีดำเบอร์ 32 เข้าเต็มหน้าอกผมจนกระเด็นตกบ่อปลา

               มีคนพูดบ่อยๆว่าเราสองพี่น้องเหมือนกัน

               ก็ไม่รู้หรอกนะว่าเอาอะไรเป็นเกณฑ์

               กลับมาปัจจุบัน ตัวผมที่แยกกับน้องสาวแล้วแน่นอนว่าก็เกิดความคิดสัปดลอยากให้น้องสาวขึ้นมาปลุกแบบนุ่มนวลไพเราะตามที่เคยดูในอนิเมะสักครั้ง เอาล่ะต่อไปคือคำถาม

               คุณจะรู้สึกยังไงถ้าตื่นขึ้นมาแล้วมีคนนั่งคร่อมอยู่บนตัวคุณ

               ............

               แล้วถ้าบังเอิญคนที่นั่งคร่อมอยู่บนตัวคุณเป็นตาลุงหนวดเฟิ้มผมแดงหน้าอย่างเข้มล่ะ

               ............

               แถมกล้ามเป็นมัดตัวอย่างล่ำ ผมอยากรู้ว่าคนอื่นจะรู้สึกยังไง

 

               ‘อรุณสวัสดิ์’

               “............” ผมควรจะทำไงดี ควรจะกรี๊ดดีไหมหรือควรจะถีบหมอนี่ลงไปจากเตียง

               แกร๊ก

               ผมกับตาลุงแปลกหน้าหันไปมองผู้มาใหม่ ป้าศรีจันทร์เจ้าของหอที่จะมาปลุกผมในเช้าบางวัน เธอยื่นหน้าเข้ามาแล้วยิ้มให้

               “อาร์ทตื่นแล้วเหรอลูก วันนี้ป้าทำแกงส้มอร่อยๆ อาบน้ำแล้วลงไปกินนะ” ผมหันขวับกลับมามองตาลุงผมแดงอีกครั้งด้วยความรู้สึกไม่แน่ใจ

               “ป้าครับ”

               “ว่าไงลูก”

               “ป้ามองเห็นสิ่งผิดปกติในห้องนี้ไหมครับ” ป้าศรีจันทร์ทำหน้าสงสัยก่อนกวาดตามองไปรอบห้อง ผมหรี่ตาลงพลางใช้ความคิด จะว่าไปแล้วตัวใหญ่ขนาดนี้แต่ผมกลับไม่รู้สึกถึงน้ำหนักที่กดทับลงมาเลย เพื่อความแน่ใจผมจึงลองเอามือกวักไปข้างหน้า

               วืด

               ผลคือมือของผมทะลุร่างของตาลุงแปลกหน้าไป ผมหน้านิ่งตัวแข็งไปทั้งแบบนั้น

               “ก็ไม่มีอะไรนี่ ถ้าไม่มีอะไรป้าลงไปข้างล่างล่ะนะ” หลังจากป้าจันทร์ปิดประตูจากไปอย่างสุภาพ ดวงตาผมค่อยเบิกกว้างขึ้นจนแทบจะเท่าไข่เป็ด เช่นเดียวกับปากที่อ้าซะจนแมลงวันบินเข้าไปทำรังได้เป็นฝูง

               “ว้าก!!!” ผมเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการเลียนแบบร็อคเกอร์ชื่อดังปลุกคนทั้งหอจนตื่นหมดในครั้งเดียว

 

               เคยมีคนพูดไว้ว่าทุกคนบนโลกมีพรสวรรค์ของตัวเอง ในบางสถานการณ์คนบางคนอาจจะค้นพบว่าตัเองสามารถทำสิ่งที่ไม่เคยคิดฝันว่าจะทำได้ ผมก็คงเป็นหนึ่งในกรณีนั้น

ที่ตื่นเช้ามาแล้วดันเห็นผี...

               ในห้องของผมมีสารพัดอุปรณ์ป้องกันสิ่งชั่วร้ายที่ได้มาจากแม่ ตอนแรกผมโยนพระใส่ตาลุงนี่ก็ไม่มีอาการหวาดผวาใดๆ เอาล่ะอาจจะไม่ใช่ผีไทย ผมเลยลองทั้งกระเทียม ไม้กางเขน ลูกประคำและอื่นๆที่ผมจะหาได้ในตอนนั้น

ผลคือไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมสายตาที่ตาลุงนั่นมองผมยังเป็นแบบสมเพชเวทนาจนผมรู้สึกสงสารตัวเอง

               ผมสูดหายใจเข้าออกอยู่ประมาณห้านาทีก่อนเดินหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าไปในห้องน้ำ พออาบน้ำเสร็จเช็ดตัวจนแห้งแต่งตัวเรียบร้อย ตาลุงนั่นก็ยังคงนั่งมองผมอยู่บนเตียงโดยไม่พูดอะไรสักคำ ผมขบคิดทฤษฏีหรือความเป็นไปได้ทั้งหมด บางทีผมอาจจะตาฝาดหรือกำลังเห็นภาพหลอนอะไรบางอย่าง นั่นสิจะต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ

               จนกระทั่งผมเหลือบไปเห็นนาฬิกาทรายทองแดง มีทรายสีแดงอยู่ด้านใน ผมรู้สึกคุ้นมากเหมือนกับเคยเห็นมันที่ไหนมาก่อน ผมเข้าไปใกล้ๆจ้องมันจนตาแทบจะถลนออกมา

               แล้วก็โปะเช๊ะ ผมเคยเห็นเจ้านาฬิกานี่ในฝันสุดแฟนตาซีเมื่อคืนนี้ พอนึกขึ้นได้ก็รู้สึกเจ็บบริเวณยอดหน้าขึ้นมาทันที ถ้าจำไม่ผิดในฝันผมโดนเตะจนสลบไปนี่นะแล้วผมควรจะทำยังไงกับเจ้านาฬิการทรายเรือนนี้ดี

               แอ้ด

               ผมเปิดหน้าต่างแล้วขว้างออกไปสุดแรงก่อนวันทยาหัตถ์ให้ จบไปอีกหนึ่งเรื่อง

               ส่วนตาลุงหัวแดงที่นั่งจ้องผมเป็นสตอกเกอร์ระยะประชิด ผมจะทำเป็นเมินไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะตอนเดินลงมาชั้นล่างแล้วตาลุงเดินตามจี้ตูดผมมา ตอนผมกินข้างแล้วตาลุงนี่นั่งจ้องใกล้ๆ ตอนผมเดินออกมาจากหอตาลุงก็ยังเดินตามไม่เลิก

               ‘ช่างเป็นยามเช้าอันแสนวิเศษยิ่งนัก อา จริงสิข้ายังไม่ได้แนะนำตัว ข้ามีชื่อว่ายูเฟล’ ผีตาลุงสูดอากาศสดชื่นเข้าไปในปอดที่ไม่รู้ว่ามีหรือเปล่าก่อนหันมาแนะนำตัวกับผมซึ่งก็เหมือนเดิม ผมทำตัวเป็นอาร์ทญาณดับ สัมผัสรับรู้อะไรไม่ได้ทั้งนั้น

               แง้ว~

               เสียงร้องน่ารักน่ากอดประกอบกับดวงตาเฉียบคมนั่นทำให้ผมหยุดก้าวเท้า เจ้าแมวเหมียวสีดำที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนนั่งจุมปุ๊กจ้องผมตาไม่กระพริบ

               กรู๊~

               ผมเชิดหน้าหันไปมองนกน้อยเจ้าของเสียงที่เกาะอยู่บนหลังคาหอพัก หนึ่งตัวไม่สิสองตัว หน้าตาคุ้นๆเหมือนจะเป็นนกแสก…ไม่หรอกมั้ง

               ‘ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีนกพวกนั้นมันจ้องยังกับว่าเรากำลังจะมีเคราะห์’ ผมพยักหน้าให้กับคำพูดของยูเฟล ก่อนรีบสาวเท้าเดินออกห่างจากหอพักให้เร็วที่สุด

               แง้ว~

               เจ้าเหมียวที่นั่งเล่นจ้องตากันเมื่อครู่ส่งเสียงร้องที่ทำให้เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ค่อยน่ารักขณะนั่งมองอยู่บนกำแพงบ้านคนอื่นเขา ผมทำเป็นไม่สนใจเดินผิวปากไปบนถนนเปลี่ยวส่วนเจ้าแมวตัวนั้นยังคงเดินตามมา ผมเลยเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่งเหยาะๆก่อนจะวิ่งเร็วสุดชีวิตเมื่อได้ยินแมวผีร้องขู่วิ่งตามมาเหมือนเขาไปฆ่าพ่อฆ่าแม่มันยังไงยังงั้น

               ‘ขอข้าพูดอะไรหน่อยได้ไหม’ ยูเฟลพูดขึ้นขณะที่ผมตั้งหน้าตั้งตาวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย

               “ขอโทษนะลุง ตอนนี้ไม่ว่าง” แล้วผมก็ดันบ้าจี้เผลอตอบไป

               ‘ถ้าเจ้าว่าการวิ่งหนีสัตว์เลือดอุ่นสี่เท้าเลี้ยงลูกด้วยนมที่ทำหน้าเหมือนอยากกินเลือดเจ้ามันเป็นปัญหาหนักหนาสาหัสมากกว่าที่ข้ากำลังจะบอกเจ้าล่ะก็นะ’

               “พูดขนาดนี้แล้วมีอะไรก็ว่ามาเลยลุง”

               ‘มองข้างหน้า’ ผมเลิกสนใจเจ้าแมวผีแล้วทำตามที่ยูเฟลบอก ห่างออกไปประมาณ 300 เมตร พบตัวชายไม่ทราบสัญชาติหุ่นผอมเพรียวล่ำสันหน้าเข้มโปะแป้งขาวทั้งหน้าติดจมูกสีแดงโตเป็นตัวตลกโบโซ่ในชุดเหลืองที่หน้าตาหล่อคล้ายวงบอยแบรน

               “อะไรฟะนั่น”

               “ในที่สุดก็หาท่านเจอเสียที ผู้ถูกคัดสรรค์” พริบตานั้นร่างกายเหมือนถูกแช่แข็งไม่สามารถขยับได้ตามใจนึก ตัวตลกโบโซ่หน้าตาคล้ายพรีเซ็นเตอร์ฟาสฟู้ดกระโดดไปมารอบตัวผมพร้อมด้วยเสียงหัวเราะโทนต่ำอันน่าสยดสยอง

               “ดูท่าท่านเพิ่งจะได้พบกับวอคเกอร์สินะขอรับ” เจ้าโบโซ่ทำท่าซอกแซกตรวจดูร่างกายผมอย่างละเอียด ทั้งยังเอามือจิ้มนู่นจับนี่แบบไม่ขออนุญาต เฮ้ย เดี๋ยวๆแกจับตรงไหนของแกน่ะเอามือออกไป!

               “โอเค เป็นอันว่าท่านมีคุณสมบัติพอ” ตัวตลกชุดเหลืองทำผมทรงเจคอปย้อมแดงเอามือล้วงเข้าไปในเป้าทำท่าเหมือนคลำหาอะไรบางอย่างก่อนควักเอานาฬิกาทรายทองแดงชิ้นเล็กกว่าฝ่ามือออกมาแล้วแกว่งไปแกว่งมาตรงหน้าแล้วแกเอาอะไรเป็นตัววัดคุณสมบัติฟะ

               เดี๋ยวนะ นี่มันไอ้นาฬิกาทรายผีสิงที่ผมเพิ่งโยนออกมาจากห้องนี่

               “สิ่งนี้เรียกว่าโฮลาเลียมขอรับ ข้ารู้ว่าท่านอยากได้”

               “มันออกมาจากตรงนั้นของแกต่อให้เป็นทองคำแท่งตูก็ไม่เอาเฟ้ย”

               ‘ถ้าทองคำแท่งก็น่าสนอยู่’ เดี๋ยวลุง ศักดิ์ศรีลุงมันหายไปไหนหมด มันควักออกมาจากเป้าเลยนะ

               “ของสิ่งนี้สำคัญมากสำหรับ ‘SouWalker’ อย่างพวกท่าน อย่าได้ทำมันหายไปอีกเชียวนะขอรับ”

               “ไม่สนเฟ้ย ใครมันจะไปอยากได้กัน”

               “เห้อ ดูท่าคุณจะยังไม่เข้าใจสินะขอรับ” เจ้าตัวตลกสะบัดมือทีหนึ่งนาฬิกาทรายเรือนในมือของผมก็ไปโผล่ในมือของมัน มันบิดตัวนาฬิกาไปมาเหมือนรูบิค ทรายในนาฬิกาค่อยไหลออกมาจากแก้วที่กักเก็บพวกมันเอาไว้ และในวินาทีนั้นผมรู้สึกเหมือนร่างกายถูกของมีคมนับร้อยนับพันกระหน่ำแทงไปทั้งร่าง ความเจ็บปวดแทรกไปทั่วทุกอณูร่างกายของผม

               เจ็บซะจนไม่สามารถเปล่งเสียงใดๆออกมาได้

               ตัวผมที่ยืนนิ่งราวกับถูกแช่แข็ง เริ่มมีเลือดไหลออกมาจากทางหู ตา จมูก ปาก กำลังจะตายใช่ไหม นี่ผมกำลังจะตายสินะ

               ‘แข็งใจไว้’ ผมเหลือบตาไปมองยูเฟลที่เอามือมาแตะบ่าเรียกสติผม พูดจริงๆนะสภาพของลุงไม่ได้ดีกว่าผมสักเท่าไหร่ ดีไม่ดีจะแย่กว่าผมด้วยซ้ำ

               “เข้าใจแล้วสินะครับว่าโฮลาเลียม สำคัญกับพวกท่านอย่างไร” เจ้าตัวตลกบัดซบกวักมือไปมาอีกสองสามที ทรายสีแดงก็ไหลขึ้นมาจากพื้นกลับเข้านาฬิกาไปจากนั้นนาฬิกาทรายเรือนงามก็ถูกตั้งลงบนมือผมอีกครั้ง

               “วอคเกอร์กับตัวท่านก็คือคนเดียวกัน เพียงแต่คนละช่วงเวลากันก็เท่านั้นขอรับ นับแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปท่านทั้งสองต้องดำรงอยู่ไปพร้อมกันเหมือนคู่ขาปาท่องโก๋นะขอรับ” หลังจากมองยูเฟลแล้วผมรู้สึกเหมือนมีอะไรมาอุดตันที่ลำคอ อย่าบอกนะว่าพอโตขึ้นไปผมจะกลายเป็นลุงหน้าเข้มย้อมผมแดงเป็นหัวหน้าสิงนักบิด

               ใช่ก็บ้าแล้ว! แค่โครงหน้าก็ไม่เหมือนกันเลยสักนิด ผมเป็นพวกโซนเอเชียส่วนตาลุงนี่มันโซนยุโรปชัดๆ

               ‘เฮ้ เจ้าตัวตลก’ ยูเฟลเอามือเช็ดเลือดตามตัวแล้วเอามาเช็ดเสื้อนักเรียนผม เออทำดี

               “ก่อนอื่นขออย่างเลยนะขอรับ กระผมมีนามว่า แมคซัคเกอร์ ต่อไปขอให้เรียกตามนี้” ผมตีหน้าเบ้ทันทีที่ได้ยินชื่อของมัน ช่างคลับคล้ายคลับคลากับตัวตลกขายแฮมเบอเกอร์เหลือเกิน

               ‘แมคสินะ ทำไมตอนตื่นขึ้นมาตัวข้าถึงไม่มีความทรงจำอะไรนอกจากชื่อ’ แมคซัคเกอร์ยิ้มค้างตากระตุก ก่อนยกมือขึ้นปิดปาก

               “เมื่อครู่ท่านว่าเช่นไรนะขอรับ”

               ‘ข้าจำอะไรไม่ได้นอกจากชื่อ’ พอยูเฟลพูดจบเจ้าตัวตลกก็ยกมือขึ้นกุมขมับทำหน้าเหมือนเดินเหยียบขี้หมาเปียกก่อนจะดีดดิ้นกระโดดไปมา พูดแต่คำว่า ‘แย่แล้ว’ ซ้ำไปซ้ำมาเหมือนคนบ้า

               “ครับ ผมมีคำถามครับ” ผมยกมือขึ้นเรียกความสนใจจากเจ้าตัวตลก

               “ว่าไงขอรับ”

               “ช่วยอธิบายสถานการณ์สุดแฟนตาซีที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ให้ผมฟังแบบเข้าใจใน 3 บรรทัดได้ไหมครับ” เจ้าตัวตลกมุ่นคิ้วเอามือลูบครางกำลังใช้ความคิด

               “ให้เห็นเองจะไวกว่านะขอรับ” ว่าแล้วมันก็ดีดนิ้วทีหนึ่ง พริบตาต่อมาราวกับทุกเฉดสีหายไปจากโลกใบนี้ ซึ่งตรงจุดที่ผมยืนอยู่ก็เละเทะอย่างกับมีการสู้รบกันแถวนี้ ทั้งเสาไฟที่หักโค่น หลุมบ่อที่เกิดจากการระเบิด

               เหมือนกับความฝันเมื่อคืนเป๊ะ...

               “ที่นี่คือโลกเสมือนครับ เปรียบดั่งกระจกคู่ขนานในโลกปัจจุบันของตัวท่าน ตามปกติการจะเข้ามาที่นี่ท่านต้องใช้สัญลักษณ์ที่อยู่ตรงนั้น” ผมมองตามจุดที่มันชี้มาซึ่งก็คือมือขวาของผม พอดูดีๆก็สังเกตุเห็นสัญลักษณ์รูปร่างแปลกๆกำลังเรืองแสงสีแดงอยู่

แบบเดียวกับที่ผมเห็นเมื่อคืนเป๊ะ

               “เหตุการณ์เมื่อคืนเป็นเพราะตัวตนของวอคเกอร์ยังไม่สเถียรทำให้ท่านอยู่ก้ำกึ่งระหว่างโลกเสมือนกับโลกแห่งความเป็นจริง และน่าจะเพราะแบบนั้นวอคเกอร์ของท่านจึงไม่มีความทรางจำในอดีต” เจ้าตัวตลกที่หาเหตุผลปัญหาของยูเฟลได้พยักหน้าให้กับตัวเอง ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่าแต่เหมือนได้ยินแว่วๆ ‘มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ’ หลังจากมันดีดนิ้วอีกครั้งโลกก็กลับมามีสีสันเหมือนเดิม

               “เดี๋ยวนะสรุปเมื่อคืนไม่ใช่ความฝัน แล้ววิญญาณมันความจำเสื่อมได้ด้วยเรอะ”

               “อันที่จริงตัวกระผมไม่ค่อยจะมีเวลามากนักซึ่งการอธิบายกฏเกณฑ์ต่างๆในสงครามต้องเป็นหน้าที่ของวอคเกอร์ของท่าน เอาไว้ท่านรอดชีวิตจนถึงตอนนั้นกระผมจะมาอธิบายต่อนะขอรับ” ว่าแล้วเจ้าตัวตลกโบกมือลาแล้วหมุนตัวหายไปจากตรงนั้น

               เดี๋ยวก่อนนะ...มันบอกว่าหน้าที่การอธิบายอยู่ที่วอคเกอร์ซึ่งหมายถึงตาลุงยูเฟลนี่ใช่ไหม

               ผมหันหน้าไปทางยูเฟลทีละสเตปเหมือนหุ่นยนต์แล้วเราก็สบตากัน

               ‘เจ้าคิดเหมือนข้าไหม’

               “ลุงก็คิดเหมือนผมดิงั้น” จะให้คนความจำเสื่อมอธิบายเนี่ยนะ

               ไอ้ตัวตลกบัดซบเอ๊ย...

               ผมเดินมาโรงเรียนด้วยจิตสับสน พอเจออะไรแบบนี้เข้าไปพูดตรงๆว่าทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน พ่อผมมักบอกเสมอว่าโลกใบนี้มันอยู่ยาก ในอนาคตเราต้องไปอยู่ในสังคมและวัฒนธรรมในองค์กรที่แตกต่าง ดังนั้นการปรับตัวจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

               ยิ่งปรับตัวได้รวดเร็วเท่าไหร่ ชีวิตก็จะดำเนินไปได้ง่ายเท่านั้น

               เอาเป็นว่าตอนนี้ผมก็จำเป็นต้องรู้อะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้

               อย่างแรกจากคำที่เจ้าตัวตลกบอก ว่าผมกับยูเฟลเป็นคนๆเดียวกันแต่อยู่คนละช่วงเวลา ตอนนี้เรื่องก็กลายเป็นว่าหนึ่งร่างกายสองวิญญาณสินะ

               ‘ถูกต้องตามที่เจ้าคิด’

               อย่างที่สอง พวกเราสามารถแยกกันได้แต่ยังไม่รู้ระยะทางที่แน่ชัด เรื่องนี้เอาไว้ทดสอบทีหลัง

อย่างที่สาม รู้สึกแมคซัคเกอร์มันพูดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับคำว่า ‘รอดชีวิต’ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าตอนนี้ชีวตผมกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ห้อยต่องแต่งบนเส้นด้าย

               บ้าเอ๊ย ขอเวลาตั้งตัวก่อนได้ไหม นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกับชีวิตฉันฟะ ถึงบอกว่าปรับตัวก็เถอะแต่นี่มันเร็วเกินไปแล้วเฟ้ย

               ‘เจ้านี่ขี้บ่นเป็นคนแก่ไปได้’

               “ไม่อยากจะโดนวิญญาณตาลุงความจำเสื่อมว่าจริงๆให้ตายเถอะ” แล้วไอ้สัญลักษณ์ตรงหลังมือขวานี่อะไร เรืองแสงเป็นหลอดไฟนีออนมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วไม่ยอมดับสักที กลัวคนอื่นจะมองว่าเป็น T-800 ถูกส่งมาจากอนาคตเพื่อตามหาอีตาจอห์น ชาวไร่ แต่พอเอาเข้าจริงกลับไม่มีใครสังเกตเห็น ไม่ว่าผมจะโบกสะบัดหรือแสดงแสงยานุภาพของแขนขวายังไงก็ไม่มีใครสนใจและเดินผ่านผมไป หนำซ้ำบางรายยังมองผมด้วยสายตาแปลกๆจนผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนบ้า เอาล่ะถ้าตามปกติเจอแสงหลอดนีออนบนแขนคนแบบนี้มันก็ต้องมีหันมามองหรืออะไรบ้างล่ะ

               “แล้วแน่ใจนะว่าไม่มีใครเห็นลุง” ถึงจะทดสอบกันมาหลายครั้งแล้วก็เถอะแต่เพื่อความแน่ใจผมเลยลองถามเจ้าตัวดู

               ‘นี่ต้องให้ข้าเอาหัวตัวเองเป็นประกันรึเปล่าเจ้าถึงจะเชื่อว่าไม่มีใครมองเห็นข้า’ เอาหัวลุงมาทำไม ตายไปแล้วมันเอาหัวมาวางเป็นของค้ำประกันได้ที่ไหน

               ไม่นานนักผมก็เดินมาถึงโรงเรียนและมายังที่ประจำของพวกผม

               “เป็นไรมาฟะ ทำหน้าอย่างกับหมาป่วย” นิลทักผมที่วางกระเป๋าแล้วทิ้งตัวนั่งฟุบกับแขน

               “ตอนเช้าเจอเรื่องหน้าปวดหัวมาน่ะ หลายอย่างเลย” พอผมเงยหน้าขึ้นก็พบหนึ่งในสมาชิกที่ควรจะนั่งตรงนี้หายไป

               “ก้องล่ะ” ผมหันไปถามนิลที่อยู่หอเดียวกับก้อง ดูเหมือนว่าฝั่งนั้นบอกว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายเลยขอหยุดเรียนสักวัน ผมก็ไม่สนใจจะซักความต่อส่วนจิเองวันนี้ก็นั่งเงียบอย่างผิดสำแดงซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะแค่เรื่องของยูเฟลกับเจ้าตัวตลกนั่นก็ทำผมหัวแทบระเบิดแล้ว

               แสงที่มือเองก็ดับไปแล้ว ทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นมาเปราะหนึ่ง ถ้าส่องแสงทั้งวันจริงๆผมคงตาบอดตายแน่ๆ

 

               หลังจากเข้าเรียนคาบเช้าตามปกติแบบที่ทำอยู่ทุกวันจนตอนนี้เข้าสู่ช่วงเวลาพักเที่ยง ตัวผมที่กำลังเก็บหนังสือเรียนเข้ากระเป๋าอยู่ถูกเพื่อนร่วมชั้นผู้หญิงคนหนึ่งที่สนิทด้วยสะกิดเข้า

               “มีอะไรการ์ตูน” การ์ตูนสาวมาดแมนแต่ไม่ใช่ทอม ยิ้มกรุ่มกริ่มแบบมีเลศนัยน์ก่อนชี้ไปที่ประตูหน้าห้องซึ่งมีคนยืนรอผมอยู่

               ‘ไข่มุก’ ดาวประจำห้องศิลป์-ภาษานั่นเอง

               “ร้ายนะเรา ไปทำความรู้จักกันมาตอนไหนเอ่ย” ผมผลักหัวการ์ตูนที่สะกิดผมไม่เลิกออกไป ไข่มุกที่ดูเหมือนจะมองเห็นผมแล้วจึงโบกมือยิ้มหวานให้ พริบตานั้นผมก็สามารถสัมผัสได้ถึงสายตาที่แฝงไปด้วยแรงอาฆาตอิจฉาริษยาถูกส่งตรงมาจากเพื่อนผู้ชายทั้งห้อง

               “เอ่อ สวัสดีครับ” ผมกล่าวทักทายไปด้วยน้ำเสียงแข็งเกร็ง

               “ดีค่ะ เรานภัสสรนะ ชื่อเล่นไข่มุก ยินดีที่ได้รู้จัก” ว่าแล้วเธอก็ยื่นมือออกมา ตามมารยาทผมต้องจับมือเธอทักทายใช่ไหม แต่เมื่อหันไปมองพวกผู้ชายทั้งห้องที่ตอนนี้ไปกระจุกกันอยู่จุดเดียวแล้วพร้อมใจจ้องมาทางนี้เล่นเอามือผมแข็งขยับไม่ได้เลยทีเดียว

               “เอ่อ คือผมมีเรื่องอยากจะถามหลายอย่างเลยครับ” พอมายืนหน้าคนสวยแล้วรู้สึกลิ้นแข็งพูดไม่ค่อยจะออกแหะ ไข่มุกเอียงคอแล้วถามกลับ

               “เช่นเรื่องอะไรคะ”

               “วอคเกอร์...” ยังไม่ทันพูดจบปากของผมก็ถูกหยุดด้วยนิ้วเรียวของสาวเจ้า เธอยื่นหน้ามาข้างหูผมพร้อมกับสอดบางอย่างไว้ที่กระเป๋าเสื้อของผม

               “เอาไว้คุยกันนอกรอบนะคะ” เธอขยิบตาให้ผมทีหนึ่งก่อนเดินจากไป ทิ้งให้ทุกอย่างเบื้องหลังตกอยู่ในความเงียบ ผมเอามือแตะที่ริมฝีปากตรงจุดที่สัมผัสกับนิ้วของเธอ

               “พระเจ้า นี่ฉันไม่ได้กำลังฝันใช่ไหม ถ้าฝันอยู่ล่ะก็ช่วยปลุกที”

               ป้าป!

               หน้าผมสะบัดตามแรงตบของจิที่หวดมาเป็นเส้นตรง 180 องศา

               “ตื่นรึยัง” จิถามหน้านิ่งพร้อมกับเตรียมโบกแบ็คแฮนกลับมาถ้าผมยังไม่ตื่นดี ผมเอามือลูบแก้มขยับกรามที่ยังไม่หายแสบ

               “ทำบ้าอะไรของแกฟะ!” ผมกระชากคอเสื้อจิที่ยืนหน้าตายตรงหน้า

               “ก็เมื่อกี้เห็นบอกอยากได้คนปลุก” ตบซะหน้าหันขนาดนี้ไม่ยกเท้าขึ้นมาเตะปากไปเลยล่ะ

               “สองคนใจเย็นๆนะ เพื่อนห้องเดียวกันต้องอยู่ไปอีกสามปี” การ์ตูนเริ่มเห็นท่าไม่ดีจึงเดินเข้ามาห้ามทัพผมกับจิ พอทุกอย่างสงบลงพวกผู้ชายทั้งห้องต่างก็ส่งเสียง ‘ชิ’ ออกมาพร้อมกันทั้งห้องก่อนแยกย้ายกัน

               ‘เจ้าเป็นประเภทเนื้อหอมเหรอ’

               “ลักษณะแบบนี้ไม่เรียกเนื้อหอมแล้วลุง” ผมรอจนทุกคนไปจนหมดแล้วจึงหยิบเอาแผ่นกระดาษที่ไข่มุกหยอดใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อของผมของมาคลี่ดู เนื้อความบนกระดาษเป็นตัวเลขสวยงามเรียงติดกันสิบหลัก ซึ่งผมไม่รอช้ารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบันทึกเบอร์นี้ไว้ทันที

               ‘แบบนี้ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วล่ะ’ แน่ชัดว่าเธอแอบสนใจในตัวผมสินะ หลังจากนี้ผมต้องคิดเลือกสานสัมพันธ์ต่อไปในอนาคตกับไข่มุก เฮ้อ เกิดเป็นคนหล่อแบบนี้ลำบากใจจริงๆแค่สองสัปดาห์ก็มีคนสวยมาทิ้งเบอร์ให้แบบนี้

               ‘แน่ชัดว่าแม่หญิงคนนั้นก็เป็นโซลวอคเกอร์เหมือนกับเจ้าต่างหาก แล้วก็เลิกยิ้มแบบนั้นเสียทีเห็นแล้วข้ารู้สึกคันเท้า’

               ปึก

               ยังไม่ทันที่ผมจะได้คิดตามคำพูดของยูเฟล ร่างของผมก็ถูกใครบางคนกระแทกจนล้มชนประตู ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กแท้ๆแต่กลับชนผมที่ตัวใหญ่กว่าจนก้นจ้ำเบ้าได้นี่มันน่าแปลกอยู่นะ

               “เอ่อ เป็นอะไรไหม”

               “ขอโทษค่ะ บังเอิญว่าไม่ได้มองให้ดี” เดี๋ยวนะตัวเธอ ทางเดินก็ออกจะกว้างแถมจุดที่ผมยืนเมื่อครู่นี่ชิดติดกำแพง ถ้าไม่คิดจะวิ่งเอาหน้ามาไถกำแพงจริงๆนี่โอกาสชนกับผมนี่ยังไงก็ศูนย์เปอร์เซ็นต์

               ‘ไม่รู้ว่าข้าคิดไปเองรึเปล่า แต่ข้ารู้สึกไม่ชอบมาพากล’ เป็นอีกครั้งที่ความคิดของเราทั้งสองคนตรงกัน

               “เอ่อ แสงแปลกๆนั่นคืออะไรเหรอคะ” ผมมองมือขวาแล้วก็ต้องตกใจเมื่อสัญลักษณ์หลังมือกำลังเรืองแสงอยู่ แถมสว่างจ้าเสียจนประกายแสงอ่อนๆเมื่อตอนเช้าทาบไม่ติด

               “เธอเห็น...” ผมรีบเอามือปิดสัญลักษณ์แล้วถอยห่างออกมาจากเด็กสาวแปลกหน้าทันที และตอนนั้นเธอก็ชูกระดาษที่เขียนตัวอักษรขึ้นมา

               “คำนี้อ่านว่าอะไรคะ”

               “c-h-a-i-n เชน...เหรอ”

               “ออกเสียงสูง มีจอจานด้วยค่ะ”

               “เชนจ์?”พริบตาต่อมาโลกทั้งใบก็เกิดการเปลี่ยนแปลง โลกที่ไม่มีสีสันใดๆเป็นโลกเสมือนที่เจ้าตัวตลกพูดไว้เมื่อตอนเช้า

               “ถูกต้องค่ะ” เด็กสาวคนนั้นแสยะยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน ด้านหลังเธอมีพรรคพวกอีกสามคนที่ซ่อนตัวอยู่ในโลกเสมือนมาตั้งแต่แรก พอถึงตรงนี้ก็ไม่ต้องคิดอะไรให้มากความเพราะจุดประสงค์ของคนแปลกหน้าทั้งสี่มันแสดงชัดเจนผ่านทางสายตาและรอยยิ้มของพวกเขา

               และคำๆเดียวที่ปรากฏขึ้นอยู่ในหัวผมตอนนี้ก็คือ ‘ฉิบหายแล้ว’

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา