พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  43 บท
  0 วิจารณ์
  32.92K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2560 21.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

13) บทที่ 12 ผู้มาเยือนที่ไม่คาดฝัน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 12

ผู้มาเยือนที่ไม่คาดฝัน

 

          เมืองหลวงกาโกคอลเป็นเมืองที่อยู่ริมอาณาจักรกาโกคอลทางทิศตะวันตก เนื่องจากไม่มีเมืองอื่นเป็นหน้าด่านให้ เมืองจึงถูกล้อมด้วยกำแพงและปราการธรรมชาติ ถึงอย่างไรบริเวณรอบนอกเมืองก็มีป่าดงดิบกว้างใหญ่เป็นหน้าด่านให้อยู่แล้ว เป็นเรื่องยากที่ศัตรูจะบุกเข้ามาโดยไม่ถูกซุ่มยิงจากแมกไม้ ยิ่งตอนนี้โครงการวูดส์วาร์เด็นก็กำลังไปได้ดี นักรบหนุ่มสาวเหล่านั้นคอยซุ่มสอดส่องอยู่ตามป่าเป็นกองกำลังป้องกันสำคัญ อีกทั้งในตอนนี้ฟอเรสเทอร์ก็ไม่มีศัตรู และไม่มีมานานแล้ว พวกเขาจึงอยู่กันอย่างสงบสบาย ไม่มีอะไรต้องกังวล

          แอเมน่า สกายซีเดินสำรวจดูความเรียบร้อยของกำแพงเมือง มันถูกสร้างมาตั้งแต่ตอนทำสงครามกับพวกเฟลมฟอร์ส ไม่มีทางจะเทียบความแข็งแกร่งหรือความพิเศษกับกำแพงเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดได้อย่างแน่นอน แต่มันก็เป็นกำแพงที่แข็งแกร่งในระดับหนึ่ง สูงและกว้างปานกลาง ตัวกำแพงทำด้วยไม้ซุงเนื้อแข็งประตูกำแพงทำด้วยไม้แกะสลักอย่างดี แม้บริเวณนี้จะไม่ค่อยมีต้นไม้ แต่ก็มีเมฆประหลาดสีครามเข้มคอยบังแสงแดดให้ลอดผ่านน้อยลง ทำให้เผ่าพันธุ์กลางคืนอย่างพวกฟอเรสเทอร์ไม่มีปัญหาเรื่องแสงแดดแยงตา ความลับของเมฆก้อนใหญ่นี้อยู่ที่ต้นไม้สีครามสองต้นที่ขึ้นอยู่ข้างหลังกำแพง ตราบที่ต้นไม้ทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ เมฆก็จะยังคงอยู่บังแสงจากดาวฤกษ์อิลิมิน่าให้พวกเขาต่อไป

                หัวหน้าเผ่าหญิงหันไปข้างหลัง และมองสำรวจกำแพงอีกชั้นที่อยู่ถัดไป มีลักษณะไม่ต่างจากกำแพงชั้นแรกเลย ใครจะไปรู้ว่าแม้แต่เผ่าพันธุ์ที่รักสงบและได้รับอิทธิพลจากสงครามน้อยที่สุด ก็ยังต้องสร้างกำแพงถึงสองชั้นการมีพวกเฟลมฟอร์สเป็นศัตรูนั้นไม่มีคำว่าปลอดภัย แม้พวกฟอเรสเทอร์จะถนัดสู้รบในป่ามากกว่า ก็ยังขาดกำแพงไม่ได้ ต้องคิดเผื่อกรณีที่ข้าศึกบุกผ่านป่ามาได้ด้วย

          อย่างไรก็ตาม กำแพงทั้งสองก็ยังไม่เคยใช้รับศึกมาก่อน เนื่องด้วยเส้นทางส่งกองทัพใหญ่ของเฟลมฟอร์สนั้นอยู่คนละซีกแผนที่กับอาณาจักรกาโกคอล ซึ่งก็มีอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล โมราโซมอส และไอซ์เมส ขวางเส้นทางอยู่ ดังนั้นพวกฟอเรสเทอร์จึงรับศึกไม่หนักนัก ส่วนใหญ่แค่ใช้กลยุทธ์ซุ่มโจมตีในป่ารอบนอกก็สามารถต้านการบุกของข้าศึกได้ทุกครั้ง การที่กาโกคอลรับศึกน้อยกว่าอาณาจักรอื่นๆ ทำให้พวกฟอเรสเทอร์ติดนิสัยที่จะอยู่อย่างสงบ พอเพียง ไม่ดิ้นรน และไม่มีพัฒนาการทางสงครามมากนัก ซึ่งหากมองในแง่ของการอยู่อย่างสงบสุขนั้น ถือว่าดำเนินชีวิตได้ถูกต้องทีเดียว

                “เจ้าแน่ใจแล้วหรือสาวน้อย ว่าต้องการแบบนี้ ถ้าเจ้าเลือกจะหยุดอายุเอาตอนนี้ เจ้าก็จะอยู่ในวัยสิบเจ็ดปีไปจนกว่าจะสิ้นอายุขัยนะ”

                “ข้าตัดสินใจแล้วค่ะท่านหมอผี ข้าต้องการจะหยุดแค่วัยนี้ จนกว่าจะสิ้นอายุขัย”

                อาร์ทูมิส ไวท์วิสเพอร์ หมอผีประจำเผ่าฟอเรสเทอร์ กำลังยืนคุยอยู่กับเด็กสาวคนหนึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปนัก แอเมน่ายิ้มและเดินเข้าไปหาทั้งคู่

                “ข้าไม่อยากให้เจ้าเสียใจเอาภายหลังนะแม่หนูน้อย” อาร์ทูมิสเตือน “เจ้ายังไม่ได้เป็นสาวเต็มตัวนัก บางที อาจมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เจ้าอยากให้มันเติบโตมากกว่านี้”

                “ข้าคิดว่าข้าโตพอแล้วค่ะ ข้าพอใจกับร่างกายของข้าแล้ว” เด็กสาวฟอเรสเทอร์ลูบใบหน้าของตน แล้วเลื่อนลงไปตามหน้าอก เอว และสะโพก “ข้าไตร่ตรองเรื่องนี้มาเป็นเดือนแล้วค่ะ”

                “อย่าลืมว่าร่างกายของเจ้าจะไม่ได้คงสภาพเดิมแค่ภายนอกเท่านั้น ภายในก็จะคงสภาพเดิมด้วย” อาร์ทูมิสเสริม “ฮอร์โมนและสารต่างๆ ในร่างกายที่ส่งผลต่อสัญชาตญาณและอารมณ์ การมีประจำเดือน ความแปรปรวนของร่างกายที่มักจะเกิดขึ้นยามที่ร่างกายกำลังเป็นสาว ตลอดจนความต้องการทางเพศที่อาจจะสูงกว่าช่วงวัยอื่นด้วย”

                “ฟังดูยอดเยี่ยมทีเดียวค่ะ”

                “ข้าไม่ได้ล้อเล่นนะแม่หนู” อาร์ทูมิสเน้นเสียง “มีฟอเรสเทอร์หลายคนที่เสียใจกับการหยุดอายุของตน พวกเขาตระหนักได้ว่าหยุดอายุเร็วเกินไป มาคิดได้เอาภายหลังว่าอยากจะโตกว่านี้ อยากจะสูงกว่านี้ หรืออยากจะอยู่ในวัยที่สุขุมมากกว่านี้ แต่อนิจจา เมื่อผ่าตัดต่อมอายุออกไปแล้ว เราก็ไม่สามารถให้อายุเดินหน้าต่อไปได้ จนกว่าจะตาย”

                “ข้าไม่ได้รีบร้อนเรื่องนี้แน่ค่ะ ข้าคิดดีแล้ว” เด็กสาวยืนกราน “ข้าแค่ไม่ใช้เวลาตัดสินใจนานเหมือนแม่ข้า ที่รีรอจนตนเริ่มเหี่ยวเฉา กลายเป็นยายแก่ขี้บ่น เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้พ่อของข้าแอบไปมีภรรยาลับ แล้วครอบครัวของข้าก็แตกแยก แน่นอนว่ามันไม่ใช่ความผิดของแม่ข้าทั้งหมด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความโอ้เอ้ของเธอทำให้เธอเดือดร้อน ต้องเป็นสาววัยกลางคนช่วงปลายไปจนกว่าจะสิ้นอายุขัย”

                “แต่ก็ยังมีเวลาอีกหลายปีทีเดียว ที่เจ้าจะคงความเป็นสาว” อาร์ทูมิสแนะนำ “ไม่ต้องรีบร้อนตัดสินใจก็ได้นี่แม่หนู ดูอย่างข้ากับท่านหัวหน้าเผ่าสิ เราสองคนเป็นสาวเต็มตัว โตเต็มวัยเป็นสาวแท้ๆ ความคิดความอ่านของเราก็เป็นผู้ใหญ่”

                “แต่ท่านเคยบอกไม่ใช่หรือคะ ว่าการพัฒนาสมองนั้นมันสำคัญที่การนำความคิดมาใส่ ใช้มันบ่อยๆ ไม่ใช่รอให้มันพัฒนาเองตามร่างกาย เพราะมันไม่ใช่อวัยวะรอโต” เด็กสาวว่า “นั่นหมายความว่า ร่างในวัยสาวของข้าก็สามารถมีความคิดเหมือนหญิงอายุมากได้ หากสะสมความคิดเข้าสมองเรื่อยๆ”

                “ใช่ ข้าพูดเอง แล้วเจ้าก็เข้าใจถูก”

                “หัวหน้าวูดส์วาร์เด็น ไมริฟ โบรริเวอร์ หลานสาวของท่าน ก็หยุดอายุในวัยใกล้เคียงกับข้าด้วยไม่ใช่หรือคะ” เด็กสาวถามต่อ “ซึ่งเธอก็มีความสุขกับวัยนี้มาร้อยกว่าปีแล้ว”

                “สาวน้อย ถ้าเจ้าอยากจะหยุดอายุเอาตอนนี้ ข้าก็ไม่ได้ห้าม แค่อยากให้เจ้าไตร่ตรองว่าแน่ใจแล้วจริงๆ” อาร์ทูมิสพูดอย่างใจดี “ข้าไม่อยากมีส่วนสร้างความทุกข์ให้แก่ชีวิตเจ้า”

                “ข้ามั่นใจค่ะ ท่านหมอผีไวท์วิสเพอร์ ข้าคิดดีแล้ว และถ้าข้าจะเสียใจภายหลัง มันก็เป็นเพราะการตัดสินใจของข้าเอง ไม่เกี่ยวข้องกับใคร”

                “หากเจ้ามั่นใจว่าไตร่ตรองดีแล้ว ข้าก็ยินดีจะตัดต่อมอายุออกให้ พรุ่งนี้มาหาข้าตอนอิลิมิน่าตกดิน” อาร์ทูมิสพยักหน้า “เผ่าพันธุ์ของเราเป็นประชาธิปไตย เจ้ามีสิทธิ์ตัดสินใจ และข้าขออวยพรให้โชคดี”

                “พูดได้ดี ท่านหมอผี” แอเมน่าปรบมือ เดินเข้าไปหาทั้งคู่ “ถูกต้องแล้ว เผ่าพันธุ์ของเราเป็นประชาธิปไตย ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะออกเสียง”

                เด็กสาวและอาร์ทูมิสหันไปถอนสายบัวให้

                “สิ่งที่ทำให้ร่างกายของฟอเรสเทอร์ไม่แก่ชรา คือการผ่าต่อมอายุใต้ร่องไหล่ทั้งสองออก” แอเมน่าเอื้อมมือไปลูบร่องไหล่ของเด็กสาว “เราผ่ามันออกตอนวัยไหน เราก็จะอยู่ในวัยนั้น จนกระทั่งสิ้นอายุขัยหนึ่งพันปี สะพรั่งสดใส ไม่แก่ชรา ความงามไม่ร่วงโรย จนวาระสุดท้าย”

                “มันจะเป็นรอยแผลเป็นหรือเปล่าคะ” เด็กสาวมองที่ร่องไหล่ของแอเมน่า มันสักรูปต้นไม้สีเขียวติดปีกสีขาว สัญลักษณ์ฟอเรสท์แองเจิล สัญลักษณ์ที่แสดงว่าผ่านการเรียนรู้ศาสตร์การปกครองตามวิถีในป่ามาแล้ว พอมองเห็นรอยแผลเป็นเล็กๆ ใต้รอยสักนั่น

                “ถ้าผ่าตัดโดยคนไม่ชำนาญ ก็อาจมีรอยแผลเป็นแบบข้า” แอเมน่ายิ้มให้เด็กสาว “ที่ที่ข้าอยู่ในตอนนั้น ไม่มีใครที่มีฝีมือผ่าตัดดีๆ สักคน ข้าอิจฉาเจ้านะแม่หนู มีหมอผีไวท์วิสเพอร์ผู้เก่งกาจอยู่ทั้งคน แผลฉกรรจ์ปางตาย เธอก็รักษาหายมาแล้ว ผ่าตัดเล็กๆ แค่นี้ ให้เธอหลับตาผ่าก็ยังได้ เมื่อแผลหายสนิทแล้ว รับรองว่าไหล่ของเจ้าจะไม่มีแม้แต่ริ้วรอยเล็กๆ”

                “จะว่าอะไรไหมคะ หากข้าจะถาม ข้าสงสัยว่าทำไมท่านถึงหยุดอายุช้ากว่าฟอเรสเทอร์ทั่วไป” เด็กสาวถามแอเมน่า “ข้าไม่เคยเห็นฟอเรสเทอร์คนไหนหยุดอายุในวัยสามสิบต้นๆ แบบท่านมาก่อน”

                “ถูกแล้ว คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าสามสิบต้นๆ นั้นเป็นวัยที่แก่เกินไป ก็อาจจะจริงก็ได้” แอเมน่าหัวเราะ “แต่รู้ไหมแม่หนู สำหรับเผ่าพันธุ์ที่ค่อนข้างจะ เรียกว่าอย่างไรดี ล้าสมัย แบบเผ่าพันธุ์เรา มักจะให้ความนับถือผู้สูงวัยมากกว่าผู้เยาว์วัย ผู้สูงวัยจะได้รับความเคารพ คำพูดจะมีความน่าเชื่อถือ ภาพลักษณ์จะดูเป็นคนฉลาด มากด้วยประสบการณ์ น่าไว้ใจ ซึ่งในความเป็นจริงนั้น จะเป็นแบบไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง” หัวหน้าเผ่าสาวยื่นหน้าไปกระซิบ “สาวอายุน้อยอย่างเจ้าอาจเข้าใจเรื่องนี้ได้ยากอยู่ แต่เจ้าควรรู้ไว้ว่า สังคมที่เป็นประชาธิปไตยนั้น ภาพลักษณ์เป็นสิ่งสำคัญ บางทีภาพลักษณ์ภายนอกก็สำคัญกว่าภายในด้วยซ้ำ มันเป็นเรื่องของการจูงใจประชาชน”

                เด็กสาวพยักหน้า

                “ข้าเองก็หยุดอายุตอนที่มีอายุสักหน่อย เพื่อให้สมกับบุคลิกผู้รู้ของข้าเช่นกัน” อาร์ทูมิสบอก “คนไข้จะได้เชื่อฟังข้า คนรุ่นหลังที่ได้ความรู้จากข้าก็จะได้รู้สึกเหมือนได้รับความรู้จากผู้มีประสบการณ์ ไม่ใช่เด็กสาวแรกรุ่น ท่านหัวหน้าเผ่าแอเมน่าพูดถูก สำหรับสังคมของเรา ภาพลักษณ์เป็นสิ่งสำคัญ”

                “และอีกเหตุผลหนึ่งที่ข้าหยุดอายุช้า” แอเมน่าอมยิ้ม มองสำรวจร่างตนเอง “ข้าอยากเป็นสาวเต็มตัวอย่างแท้จริง ให้ร่างกายพัฒนาไปจนถึงระดับสูงสุด บางอย่างที่ข้าอยากให้มันเติบโต มันก็จะได้โตสมใจ”

                “ข้าเองก็เหมือนกัน” อาร์ทูมิสยิ้มตาม

                “ข้าว่าพวกท่านทำถูกทีเดียวค่ะ” เด็กสาวมองกราดไปทั่วร่างของแอเมน่าและอาร์ทูมิส “มันโตได้สมใจอย่างที่พวกท่านต้องการจริงๆ และพวกท่านก็สวยมาก”

                “เจ้าก็สวยเหมือนกัน แม่หนูน้อย” อาร์ทูมิสลูบหน้าเด็กสาวอย่างใจดี “กล่าวกันว่า ผู้หญิงฟอเรสเทอร์สวยทุกคน เช่นเดียวกับที่ผู้ชายดาร์คเนสดีวิลหล่อทุกคน แต่โดยส่วนตัวแล้ว ข้าคิดว่าพวกปีศาจน่ากลัวนะ โดยเฉพาะพวกที่สวมเกราะติดอาวุธ”

                “ถ้าอย่างนั้นก็คงน่ากลัวกันหมดทั้งโฟรเซ็นทิเนล” แอเมน่าหัวเราะ “ผู้ชายที่นั่นสวมเกราะติดอาวุธกันแทบทุกคน”

                “เรียนท่านหัวหน้าเผ่าสกายซี ท่านหมอผีไวท์วิสเพอร์” ฟอเรสเทอร์สาวคนหนึ่งขี่ม้าป่าเข้ามารายงานอย่างรีบร้อน “ท่านรองหัวหน้าเผ่าไวท์วิสเพอร์ต้องการพบท่านสองคนค่ะ เขาอยากให้พวกท่านไปเห็นบางสิ่ง เขารออยู่ที่ชายป่าส่วนในค่ะ”  

                “หาม้าให้ข้ากับท่านหมอผีที” แอเมน่าหันไปสั่งเด็กสาวฟอเรสเทอร์ที่คุยอยู่ด้วย

                สักครู่ต่อมา แอเมน่าและอาร์ทูมิสก็ขี่ม้าป่าตามฟอเรสเทอร์สาวผู้มาแจ้งข่าว พวกเขาวิ่งผ่านที่โล่งหน้ากำแพง จนไปถึงชายป่าส่วนใน เซ็นแวนเดอร์และนักรบฟอเรสเทอร์กลุ่มหนึ่งยืนอยู่ที่ชายป่า พวกเขายืนล้อมวงร่างสามร่างที่นอนอยู่บนเปลไม้ไผ่ สวมชุดลายพรางสำหรับพรางตัวในป่า มีหมวกลายพรางวางปิดหน้า ไม่ใช่เครื่องแต่งกายของพวกฟอเรสเทอร์แน่นอน

                “เซ็นแวนเดอร์ เกิดอะไรขึ้น” แอเมน่าลงจากหลังม้า

                เซ็นแวนเดอร์โค้งทำความเคารพหัวหน้าเผ่า แล้วก้มลงไปเปิดหมวกลายพรางออกจากหน้าของทั้งสามร่างบนเปล แอเมน่าขมวดคิ้ว ใบหน้าของร่างทั้งสามเป็นกะโหลกขาวโพลน มีเพียงผิวหนังโปร่งใสเหมือนแก้วบางๆ ห่อหุ้มอยู่ภายนอก ทั้งเส้นเอ็นหรือส่วนเชื่อมกระดูกของร่างพวกนี้ล้วนโปร่งใสจนมองแทบไม่เห็น มั่นใจได้เลยว่าหากมองไกลๆ จะเห็นเหมือนร่างเหล่านี้เป็นแค่โครงกระดูกสวมชุดลายพราง

                “เอลิล” อาร์ทูมิสเข้าไปตรวจร่างทั้งสาม “ตายแล้ว”

                “รู้ได้ยังไงว่าตาย” แอเมน่าถาม “พวกนี้ไม่มีชีพจร ไม่มีการหายใจ”

                “สังเกตง่ายๆ ที่ตาของพวกเขาค่ะ” อาร์ทูมิสประคองศีรษะร่างหนึ่งขึ้นมาตรวจดูตา ซึ่งก็ไม่มีอะไรเลย นอกจากเบ้าตาที่กลวงโบ๋อยู่ด้านหลังเนื้อหนังอันโปร่งใส “ปกติแล้วเอลิลที่ยังมีชีวิตอยู่ จะมีเงามืดปกคลุมที่ตาตลอดเวลา ความจริงแล้วมันไม่ใช่เงา แต่เป็นตาของเอลิล ดวงตาของเอลิลจะมีสถานะเป็นกลุ่มควันสีดำ ต่างจากตาของเผ่าพันธุ์อื่นๆ ที่มีของเหลวเป็นส่วนประกอบ เมื่อเอลิลตาย กลุ่มควันนี้ก็จะหายไป” เธอพลิกศีรษะของเอลิลอีกสองร่าง “ดางตาของเอลิลทั้งสามคนนี้หายไปหมดแล้ว”

                “ข้าเองก็สังเกตเห็นครับ” เซ็นแวนเดอร์บอก “ตอนที่ลูกธนูของข้าปักเข้าที่ร่างของพวกเขา เงามืดที่ตาของพวกเขาก็หายไปทันที”

          “เรื่องมันเป็นมายังไงเซ็นแวนเดอร์” แอเมน่าถาม

          “ข้าลาดตระเวนอยู่ในป่าตามปกติครับ แล้วพบผู้มาเยือนที่ไม่คาดฝัน เอลิลสามคนนี้กำลังล้อมวงอยู่หน้าตะเกียง ตรวจดูแผนที่และทำเครื่องหมายระบุตำแหน่ง ราวกับกำลังสำรวจพื้นที่ป่าของเรา ข้าจึงเล็งธนูไปที่พวกเขา แล้วเข้าไปถามว่ามาทำอะไรในพื้นที่ของเรา” เซ็นแวนเดอร์เล่าเหตุการณ์ “ทั้งสามไม่ตอบอะไร นอกจากเล็งปืนยาวมาทางข้ากันทุกคน ข้าจึงจำเป็นต้องยิงใส่พวกเขาก่อนพวกเขาจะทันได้เหนี่ยวไก”

                “ยิงแม่นทีเดียว” อาร์ทูมิสสังเกตรอยทะลุที่หน้าผากของทั้งสามร่าง “เข้าหัวทุกดอก”

                “จากอุปกรณ์ แผนที่ เข็มทิศ และการทำเครื่องหมายในแผนที่ ข้าสรุปว่าทั้งสามคนนี้เข้ามาสำรวจพื้นที่ของเรา” เซ็นแวนเดอร์พูดต่อ “แต่สำรวจเพื่ออะไรนั้น ข้าไม่ทราบ”

                “แล้วเราก็คงไม่ทราบว่าพวกเขาเป็นใครมาจากไหน” แอเมน่าพูด “หลังจากที่เอลิลแพ้สงครามพวกไซคัส เอลิลที่เหลือรอดจำนวนน้อยนิดก็กระจัดกระจายไปทั่วทั้งดาวดวงนี้”

                “ตอนแรกข้าก็คิดว่าเอลิลพวกนี้เป็นพวกเร่ร่อนอย่างที่ท่านพูด” เซ็นแวนเดอร์หยิบปืนยาวของเอลิลกระบอกหนึ่งส่งให้แอเมน่า “จนกระทั่ง ข้าได้สังเกตอาวุธของพวกนี้อย่างใกล้ชิด”

                แอเมน่ารับปืนยาวมาพิจารณา เป็นปืนยาวสีเงิน รูปลักษณ์เหมือนมังกรเขาห้าแฉก ที่มีร่างกายครึ่งท่อนหลังเป็นงู และมีหางเป็นแฉกๆ คล้ายพัด ส่วนหางของมันคือพันท้ายปืน ส่วนปากของมันคือปากกระบอกปืน ส่วนขานั้นคือไกปืน

                “ฟาร์ดาราส” แอเมน่าเอ่ยขึ้น “ผีบิน”

                “อะไรนะครับ”

                “ปืนกระบอกนี้ถูกออกแบบเป็นรูปตัวฟาร์ดาราส หรือที่บางคนเรียกว่าผีบิน” แอเมน่าอธิบาย “สัตว์ปีกตัวใหญ่สีเงินที่ไร้ความรู้สึกของเผ่าพันธุ์เอลิล เป็นอีกหนึ่งสิ่งมีชีวิตที่ลักษณะคล้ายมังกรแต่ไม่ใช่ เป็นกองกำลังสำคัญทางอากาศของเอลิล เหมือนที่พวกเอเลนเซฟเวอรี่เป็นให้พวกดาร์คเนสดีวิล พวกมันตัวใหญ่พอกันทีเดียว ความจริงแล้วปืนกระบอกนี้ยังให้ลายระเอียดไม่ครบ ฟาร์ดาราสมีปีกใหญ่ มีกรงเล็บเป็นเหล็กคมแข็งแกร่ง คอและลำตัวยาว พวกมันพ่นน้ำแข็งแห้งที่เคลือบด้วยสารให้ความเย็นจัด เย็นจนกัดกร่อนผิวหนัง ไม้ หรือกระทั่งโลหะได้ พวกเอลิลเคยนำพวกมันทั้งฝูงมาสู้กับพวกไซคัส แต่ก็นานแสนนานแล้วที่ไม่มีใครเห็นพวกฟาร์ดาราสอีก หลังจากที่เอลิลล่มสลายไป พวกมันถูกกวาดล้างไปพร้อมกับเผ่าพันธุ์ของพวกมัน”

                “เอลิลทั้งสามคนนี้มีปืนแบบนี้คนละกระบอก” เซ็นแวนเดอร์ชี้ไปที่อีกสองกระบอกที่วางอยู่บนพื้น “แล้วนี่คือกระสุนของมัน”

                เขาหยิบปืนยาวกระบอกหนึ่งมาเทดินปืนและกระสุนออกจากช่องรังเพลิง กระสุนปืนมีรูปร่างแหลมๆ ยาวๆ หัวคมกริบ ไม่ได้เป็นแค่ลูกเหล็กกลมๆ อย่างที่พวกมนุษย์หรือนักยิงปืนทั่วไปใช้กัน

                “ความแหลมของหัวกระสุนคงเหมาะสำหรับยิงเจาะเกราะโลหะ มันไม่ใช่กระสุนที่เห็นอยู่ทั่วไป มันถูกออกแบบขึ้นอย่างชาญฉลาด” เซ็นแวนเดอร์ยื่นกระสุนให้แอเมน่าดูใกล้ๆ “มีกระสุนแบบนี้อยู่เต็มกระเป๋าเอลิลทั้งสามคน ข้าจึงมั่นใจว่า เอลิลทั้งสามคนนี้ไม่ใช่พวกเร่ร่อน พวกเร่ร่อนไม่มีอาวุธอย่างดีและผลิตจากเบ้าหลอมเดียวกันแบบนี้แน่ อาวุธแบบนี้น่าจะผลิตในรูปแบบอุตสาหกรรม มีการใช้เครื่องทุ่นแรงเพื่อผลิตขึ้นมามากๆ และผลิตให้มีลักษณะเหมือนกัน ซึ่งการผลิตอาวุธในลักษณะนี้ มักเป็นการผลิตสำหรับใช้ในกองทัพ ฉะนั้น จากอาวุธและอุปกรณ์สำรวจเส้นทางที่เราตรวจพบ ข้าเกรงว่าเอลิลทั้งสามคนนี้ จะมีกองทหารหนุนหลังเป็นอย่างน้อยครับ ท่านหัวหน้าเผ่า”

                “ฉลาดมากเซ็นแวนเดอร์ สมกับที่เป็นลูกชายของหมอผีประจำเผ่า” แอเมน่าชม “อย่างไรก็ตาม เรามีปัญหาแล้ว หากเอลิลสามคนนี้อยู่ในสังกัดกองทหารสักกองจริง ก็แสดงว่ากองทหารที่ว่านั้นกำลังเพ่งเล็งอาณาจักรของเราอยู่ ถึงส่งคนมาสอดแนมถึงที่นี่”

                “การจะผลิตอาวุธด้วยวิธีอุตสาหกรรมแบบนี้ได้ ต้องอาศัยสถานที่” เซ็นแวนเดอร์วิเคราะห์ต่อไป “มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตั้งฐานทัพโดยไม่มีใครสังเกตเห็น นอกจากว่า จะไปตั้งในที่ซึ่งไม่มีใครผ่านไปผ่านมาบ่อยนัก”

                “เจ้าหมายถึงอาณาจักรไอซ์เมส” แอเมน่าเอียงคอ “อาณาจักรดั้งเดิมของพวกเอลิล ไม่มีใครผ่านไปแถวนั้นบ่อยนัก เหล่านักเดินทางก็ล้วนเลือกที่จะใช้เส้นทางอ้อมมากกว่าตัดผ่านไปตรงๆ เนื่องด้วยเป็นพื้นที่อันหนาวเย็นที่สุดในดาวดวงนี้ เต็มไปด้วยอันตรายทางธรรมชาติมากมาย บางคนก็เรียกมันว่าพื้นที่มฤตยูหรือพื้นที่ต้องคำสาป อะไรก็แล้วแต่ มีเพียงผีอย่างพวกเอลิลเท่านั้น ที่สามารถตั้งรกรากอาศัยอยู่ได้”

                “บางที” เซ็นแวนเดอร์เสนอ “ควรมีใครสักคนไปสำรวจที่นั่นบ้าง ว่ามันมีฐานทัพสักแห่งอยู่หรือไม่”

                “หากเป็นไปได้ ข้าไม่อยากเสี่ยงส่งคนไปผจญกับความยากลำบากที่นั่น เผ่าพันธุ์ที่เติบโตมาในดินแดนอันแสนอุดมสมบูรณ์อย่างเราต้องไปเผชิญกับความหนาวเย็นแห้งแล้ง หาอาหารกินไม่ได้ หาที่นอนอันอบอุ่นไม่ได้ มันไม่ใช่พื้นที่ที่เราคุ้นเคย” แอเมน่ากล่าว “อีกอย่าง เผ่าพันธุ์อื่นๆ ที่เก่งเรื่องสำรวจพื้นที่นอกถิ่นมากกว่าเราอย่างพวกมนุษย์และพวกโฮเซ่ ก็น่าจะคอยสังเกตสอดส่องอาณาจักรไอเมสอยู่บ่อยๆ ซึ่งหากมีฐานทัพสักแห่งโผล่ขึ้นมาในไอซ์เมส มีหรือที่พวกนั้นจะไม่รู้ก่อน”

                “จริงของท่านครับ” เซ็นแวนเดอร์พยักหน้า “แต่อย่างน้อย การไปสำรวจตรวจสอบด้วยตัวเอง ก็น่าจะสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนของเราได้มากกว่า ต้องไม่ลืมว่าเราปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย”

                “เจ้าเริ่มจะซึมซับการเป็นนักปกครองมากขึ้นทุกทีแล้วนะ” แอเมน่าอดยิ้มไม่ได้ “ก็ถูกของเจ้า การส่งคนของเราไปสำรวจด้วยตัวเองนั้น จะสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนได้มากกว่า แต่มันก็มีความเสี่ยง เพราะหากมีอันตรายเกิดขึ้น มันจะนำพามาซึ่งความตื่นตระหนกแทน ฉะนั้นเรื่องนี้เราต้องไตร่ตรองกันให้ละเอียดเสียก่อน การรีบร้อนมันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น”

                “เป็นความจริงครับ ท่านหัวหน้าเผ่า” เซ็นแวนเดอร์เห็นด้วย

                “ระหว่างนี้ ข้าจะให้หมอผีอาร์ทูมิสแม่ของเจ้าทำการชันสูตรศพเอลิลเหล่านี้ เพื่อเราจะได้รู้อะไรเกี่ยวกับร่างกายเผ่าพันธุ์เอลิลมากขึ้น อย่างน้อยก็จะได้รู้จุดอ่อนจุดแข็ง” แอเมน่าพูด

                “ยินดีมากค่ะท่านหัวหน้าเผ่า ข้าอยากศึกษาร่างกายของเอลิลอย่างใกล้ชิดมานานแล้ว” อาร์ทูมิสพูดอย่างยินดี “ข้าคิดว่าพวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่มหัศจรรย์ และห่างไกลจากคำว่าสิ่งมีชีวิตอย่างยิ่งนัก แม่หนู พวกเจ้า--” เธอเรียกนักรบฟอเรสเทอร์สองสามคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ “--ช่วยหาเกวียนมาลำเลียงศพพวกนี้เข้าไปในเมืองทีจ้ะ”

                “การที่เอลิลทั้งสามคนนี้เล็งปืนใส่ข้าโดยไม่อารัมภบทใดๆ มันบ่งบอกถึงการเป็นศัตรู” เซ็นแวนเดอร์กระซิบกับแอเมน่า “สมมุติว่าเราต้องเป็นศัตรูกับเอลิลจำนวนมาก ท่านคิดว่าเราควรทำอย่างไรดีครับ”

                “เราต้องพยายามไม่ให้มันเกิดขึ้น” แอเมน่ากระซิบตอบ “เพราะเชื่อกันว่าเอลิลคือเผ่าพันธุ์ที่ฉลาดที่สุดในดาวดวงนี้ และฟอเรสเทอร์เรา หากพูดกันตรงๆ นั้น เชื่อว่าฉลาดน้อยกว่าเผ่าพันธุ์อื่นๆ ข้าไม่สนใจคำครหางี่เง่านี่หรอก แต่หากเรามีเอลิลเป็นศัตรู มั่นใจได้เลยว่าเราลำบากแน่”

 

*******************

 

                เรือ ควรจะอยู่ในทะเล หรือในที่ที่มีน้ำ ยิ่งเป็นเรือใบที่ใหญ่พอสำหรับขนทหารขึ้นฝั่งได้ ยิ่งไม่ควรนำขึ้นมาบนบกห่างจากฝั่งนัก เรือลำขนาดนั้นเมื่อมาอยู่บนบก ย่อมไม่ต่างจากสิ่งหนักๆ ใหญ่ๆ ที่เคลื่อนย้ายลำบากยากเย็น แต่ใครจะไปรู้ว่ามีเรือแบบนี้ลำหนึ่งขึ้นมาอยู่บนบก ห่างไกลจากชายฝั่งมากโข มันกางใบเรือรับลมเสมือนลอยเคลื่อนอยู่ในทะเล ซึ่งมันก็กำลังเคลื่อนจริงๆ แม้จะค่อยๆ ไถลไปบนพื้นดิน ไม่ได้เคลื่อนที่เร็วเหมือนอยู่บนน้ำ แต่เรือที่ทั้งใหญ่และหนักขนาดนี้ไม่น่าจะเคลื่อนที่บนบกได้ง่ายๆ คนแข็งแรงเป็นสิบคนก็คงดันให้มันเคลื่อนที่แบบนี้ไม่ไหว มันเคลื่อนไปข้างหน้า ทิ้งรอยไว้บนพื้นทรายเป็นทางยาว จากความยาวของรอยบนพื้น บอกให้รู้ว่ามันเคลื่อนที่มาได้ไกลมากทีเดียว

                ซอร์โรร่าหันฝ่ามือขวาเข้าหาใบเรือ คอยปล่อยกระแสลมพัดให้เรือเคลื่อนที่ เป็นกระแสลมที่ทรงพลังมากเสียจนทำให้เรือหนักๆ ลำนี้เคลื่อนที่ไถลไปบนพื้นดินได้ เด็กสาวหอบหายใจจนตัวโยน เพ่งสมาธิควบคุมกระแสลมไม่หยุดยั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะสามารถควบคุมความกว้างของทิศทางลมได้ด้วย รอบตัวเธอนั้นไม่มีอะไรถูกพัดปลิวเลย ราวกับว่าเธอตีกรอบลมให้พุ่งตรงไปเฉพาะที่ใบเรือ ไม่กระจายออกนอกกรอบไปโดนสิ่งอื่น ทำให้ความแรงของลมทั้งหมดถูกรวบรวมไปที่ใบเรือ มันจึงมีพลังเพียงพอที่จะทำให้เรือเคลื่อนที่ได้

                ซอร์โรร่าหยุดพักเหนื่อย เดินไปพิงเรือ หายใจหนักจนหน้าอกกระเพื่อม เหงื่อไหลชโลมผิวจนตัวเงาเลื่อม แก้มแดงซ่าน ตาหลับลง เกล็ดเหงื่อเกาะเต็มขนตางอนยาว

                “พยายามวาดรูปบนพื้นด้วยเรืออยู่หรือไง”

                เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น ซอร์โรร่าหันไปพบสาวสวยคนหนึ่งนั่งไขว่ห้างอยู่ที่ขอบเรือ น่าจะสูงวัยกว่าซอร์โรร่าสักสองสามปี เธอมีผมสีเงินวาวเหมือนโลหะสยายถึงเอว ผิวขาวนวล โครงหน้าเรียวมน แก้มขวามีรอยแผลเป็นเล็กๆ สามขีดคล้ายหนวดแมว เป็นผู้หญิงที่มีรูปร่างสวยสมบูรณ์แบบ ชุดที่เธอสวมทำด้วยหนังรัดรูปสีดำ เธอสวมเสื้อเกาะอกเอวลอยเปิดเนินอก มีเสื้อนอกตัวสั้นพอกันสวมคลุมเฉพาะส่วนไหล่ แขน และหลัง มันออกแบบให้เป็นทั้งเสื้อนอกและเป้สะพายสัมภาระเล็กๆ มีกริชยาวโค้งเล่มหนึ่งและกระบอกเป่าลูกดอกที่พับเก็บได้เสียบอยู่ที่หลังเป้ เธอสวมกางเกงขายาวเอวต่ำ สวมรองเท้าบู๊ตเสริมส้นที่ยาวถึงเข่า เข็ดขัดหนังที่คาดขอบกางกางนั้นมีลูกดอกเสียบอยู่รอบเข็มขัด จากลักษณะของเธอนั้น หากไม่ใช่มือสังหาร ก็น่าจะเป็นพวกนักย่องเบา แล้วเธอก็ไม่ใช่มนุษย์ ดวงตาของเธอเป็นสีเหลืองและมีรูม่านตาแคบ ตาสีแปลกๆ และรูม่านตาเล็กแบบนี้ เป็นลักษณะตาของเผ่าพันธุ์ดาร์คเนสดีวิล แต่เธอก็ไม่ใช่ดาร์คเนสดีวิลเสียทีเดียว เพราะผิวของเธอไม่ได้ซีดขาว แต่ขาวนวลผ่องแบบผิวของเผ่าพันธุ์ฟอเรสเทอร์ จึงพอเดาได้ไม่ยากว่า เธอเป็นลูกผสมระหว่างดาร์คเนสดีวิลกับฟอเรสเทอร์

                “ไวเซ็น” ซอร์โรร่ายิ้มเอียงคอ “ผู้มาเยือนที่ไม่ได้คาดฝัน”

                “โตขึ้นหรือเปล่าซอร์โรร่า” ไวเซ็นกระโดดลงจากขอบเรือแล้วเดินเข้ามาหา เอื้อมมือลูบแก้มอีกฝ่าย เธอสูงกว่าซอร์โรร่าเล็กน้อย “ยิ่งโตยิ่งสวยนะ”

                “เจ้าเองก็ยังสวยเหมือนเดิม” ซอร์โรร่าลูบมือไปบนท้องเปลือยเปล่าที่แบนเรียบสวยของอีกฝ่าย แล้วค่อยๆ เลื่อนสูงขึ้นจนถึงหน้าอก “ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย”

                “ส่วนเจ้าก็มีบางสิ่งที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงเหมือนกันนะ” ไวเซ็นเลื่อนมือจากใบหน้าของซอร์โรร่า ต่ำลงเรื่อยๆ จนถึงหน้าอก “บางสิ่งของเจ้ามันก็ไม่ได้โตตามอายุนัก”

                “เจ้ามาทำอะไรที่นี่ล่ะ” ซอร์โรร่าหัวเราะ ตีแขนอีกฝ่าย “องค์กรของเจ้าคงส่งเจ้ามาทำอะไรที่ไม่ใช่เรื่องดีอีกใช่ไหม”

                “อย่างที่เจ้ารู้ ข้าเป็นหนึ่งในซินซิสเทอร์ (Sin Sister) ข้าก็ต้องเดินทางอยู่บ่อยครั้ง”

                “เป็นนักล่าสมบัติก็คงต้องเดินทางไปเรื่อยสินะ” ซอร์โรร่าส่ายหน้ายิ้มๆ “คราวนี้สมบัติเป้าหมายของเจ้าอยู่ในอาณาจักรนี้หรือ ระวังไปเหยียบเท้าผู้มีอิทธิพลคนใดเข้าล่ะ”

                “อย่ากังวล ข้าไม่ได้มาสร้างปัญหาให้เมืองนี้ ไม่ได้มาทำให้ตาแก่ริฟเฟอร์อาจารย์สุดที่รักของเจ้าหงุดหงิดอีก” ไวเซ็นหัวเราะคิกคัก

                “หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะเขาไม่ค่อยชอบเจ้านัก” ซอร์โรร่ากัดริมฝีปากยิ้ม

                “เพราะเขารู้ว่าข้าเคยมีอะไรกับเจ้าหรือ” ไวเซ็นกระพือขนตางอนยาว

                “เพราะเจ้าเป็นนางตัวแสบ (Bitch) ต่างหาก” ซอร์โรร่าเอานิ้วแตะจมูกไวเซ็นอย่างเอ็นดู “สมบัติแต่ละชิ้นที่เจ้าขโมยไป ล้วนเป็นสิ่งของสำคัญและหาค่ามิได้”

                “ก็เพราะมันเป็นสิ่งสำคัญและหาค่ามิได้ พวกเราซินซิสเทอร์ถึงต้องการมัน เจ้าเองก็รู้ว่าพวกเรามีนิสัยชอบของสวยๆ งามๆ ที่หายากๆ” ไวเซ็นเชยคางซอร์โรร่า ยื่นหน้าไปชิดใบหน้าอีกฝ่าย “อีกอย่าง เรียกข้าว่าขโมยก็ไม่ถูกเสียทีเดียว ไอ้ของมีค่าเหล่านี้ เผ่าพันธุ์ของเจ้าก็ขโมยมาจากพวกดาร์คเนสดีวิลทั้งนั้น”

                “แต่ก็ไม่ใช่ของของเจ้าอยู่ดี หรือเจ้านับตัวเองเป็นพวกดาร์เนสดีวิลด้วย” ซอร์โรร่าทำหน้าทะเล้น

                “การที่ข้ามีสายเลือดดาร์คเนสดีวิลครึ่งหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าข้าจะปัญญาอ่อนนับตัวเองเป็นดาร์คเนสดีวิลคนหนึ่ง เลือดของข้าเป็นสีแดงอ่อน ไม่ใช่สีดำ และตั้งแต่เกิดมาสามสิบแปดปี ข้ายังไม่เคยเฉียดเข้าใกล้อาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลเลย ข้าเป็นซินซิสเตอร์ องค์กรของเราไม่มีการแบ่งแยกเผ่าพันธุ์ ไม่ว่าจะมีสายเลือดต่างกันแค่ไหน” ไวเซ็นส่ายนิ้ว  “อย่างน้อย พวกดาร์คเนสดีวิลก็ไม่ได้มีนิสัยเหมือนข้าไม่ใช่หรือ พวกนั้นไม่ได้ลุ่มหลงในสมบัติมีค่า พวกนั้นอยากได้อาหารมากว่า อ้อ และน่าจะอยากได้ผู้หญิงเพิ่มด้วย น่าสงสารนะ เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีผู้หญิงน้อยมาก”

                “แต่เท่าที่ข้ารู้ เจ้าก็คงไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากนัก หากผู้หญิงหมดไปจากดาวดวงนี้” ซอร์โรร่ายิ้มอยากมีเลศนัย “เจ้าปรับตัวเก่งเสมอ”

                “ว่าแต่เจ้าเถอะ ไม่คิดจะลองบ้างหรือ” ไวเซ็นกระซิบ “กับผู้ชาย”

                “ก็ดูผู้ชายเผ่าพันธุ์ข้าสิ มีแต่พวกงี่เง่าไร้ยางอาย” ซอร์โรร่าบ่น

                “เลือกมากจริงๆ นะ ข้ารู้ว่าเจ้าชอบแบบหน้าสวยๆ สวยถึงขั้นแยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิงยิ่งดี หายากนะนั่น” ไวเซ็นหัวเราะ “ส่วนใหญ่ผู้ชายหน้าตาแบบนี้มักจะเป็น เขาเรียกว่าอะไรนะ พวกรักร่วมเพศ”

                “แล้วเราสองคนไม่ใช่หรือไง” ซอร์โรร่าเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

                “ก็ใช่ แค่บางเวลา ยังไงเราก็ยังสนใจในผู้ชายด้วยไม่ใช่หรือ” ไวเซ็นสะบัดผมยาวสยายของเธอ “สำหรับข้า ข้าพิสูจน์เรื่องนี้มาแล้ว”

                “พิสูจน์กับใครบ้างล่ะ” ซอร์โรร่ายิ้มเอียงคอ

                “ก็หลายคนอยู่ บางคนข้าก็จำชื่อไม่ได้” ไวเซ็นเอนหลังพิงเรือสบายๆ ยกขาเรียวยาวยืนไขว่ห้าง “ว่าแต่เจ้าเถอะซอร์โรร่า มาทำอะไรที่เมืองนี้ บ้านของเจ้าอยู่ที่เมืองเซร่าอันสวยงามไม่ใช่หรือ”

                “ข้ามาฝึกซ้อมความสามารถพิเศษ” ซอร์โรร่าชี้ไปที่เรือและรอยยาวบนพื้น “อาจารย์บิลิสจะช่วยให้คำปรึกษาและประเมินความสามารถของข้า”

                “ข้าว่าเจ้าก็ทำได้ดีทีเดียว แม่สาวลมพายุ” ไวเซ็นมองไปตามรอยที่เรือทิ้งไว้บนพื้นยาวเหยียด คดเคี้ยวเป็นลวดลายบ้างก็มี “พลังเยอะไม่เบานะนั่น แทบจะทำให้เรือลำนี้แล่นบนบกได้เลย ข้าว่าอาจารย์ของเจ้ายังทำไม่ได้ขนาดนี้”

                “ก็เขาอายุมากแล้ว ไม่ได้แข็งแรงเหมือนตอนหนุ่มๆ” ซอร์โรร่าพูด “เขาบอกว่าข้าสามารถใช้ความสามารถพิเศษได้ดี จนเขาไม่มีอะไรจะสอนอีกแล้ว หลังจากวันนี้ไป เขาคงให้คำแนะนำปรึกษาข้าเฉพาะเรื่องอื่น”

                “คงจะดีไม่น้อยนะ หากมีเลือดพิเศษ” ไวเซ็นพูดอย่างอิจฉา

                “เจ้าไม่จำเป็นต้องมีเลือดพิเศษสักนิดไวเซ็น” ซอร์โรร่ายิ้มกลอกตา “เจ้ามีกริช มีลูกดอกพิษ มีทักษะการย่องเบา การปีนป่าย และการต่อสู้แบบมือสังหาร แค่นี้ก็อันตรายพอแล้ว ให้หิมะถล่มใส่หัวเถอะ! ไม่อยากนึกเลยว่าหากเจ้ามีเลือดพิเศษด้วยแล้ว เจ้าจะกลายเป็นตัวแสบมากแค่ไหน”

                “ให้หิมะถล่มใส่หัวเถอะ” ไวเซ็นทวนวลีด้วยเสียงหัวเราะ “เจ้าสบถเหมือนพวกดาร์คเนสดีวิลเลย นี่ยังไม่เลิกคลั่งไคล้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับพวกปีศาจอีกหรือ”

                “ไม่มีวัน” ซอร์โรร่าพูดอย่างเด็ดเดี่ยว

                “ยอมเลยจริงๆ” ไวเซ็นถอนสายบัวให้อย่างนับถือ “ข้าเป็นลูกครึ่งปีศาจ ยังไม่เห็นจะสนใจสักนิด ขณะที่เจ้า เกือบทั้งสาแหรกตระกูล จนย้อนไปถึงต้นตระกูลนั้น ล้วนเกลียดชังพวกปีศาจกันทุกคน”

                “ทุกครั้งที่ข้าไปเมืองโอมิลรอน ข้าถึงไม่เคยเหยียบเข้าไปในวิหารของเจ้าชายไททอสเลย” ซอร์โรร่าพูดอย่างรังเกียจ “ความหรูหราอลังการของมัน สร้างมาจากความเจ็บปวดของพวกดาร์คเนสดีวิล หากข้าเหยียบไปบนพื้นวิหาร ข้าคงรู้สึกเหมือนเหยียบลงไปบนกองกระดูกกองเลือดปีศาจ”

                “แต่ข้าว่ามันก็ไม่แย่นักหรอก” ไวเซ็นมองอีกฝ่ายด้วยหางตา “หากจะไปเหยียบดูสักครั้ง”

                ซอร์โรร่าจ้องไวเซ็นตาเขม็ง ไวเซ็นแสร้งตีหน้าใสซื่อ ซึ่งทำอย่างไรก็ไม่มีวันแนบเนียน

                “เจ้าวางแผนจะเข้าไปที่นั่น” ซอร์โรร่ายื่นหน้าไปใกล้อีกฝ่าย “เป้าหมายสมบัติชิ้นต่อไปของเจ้าอยู่ในวิหารเจ้าชายไททอส”

                “ศพของเจ้าชายไททอสอยู่ในวิหารนั่น ให้พวกโง่งมงายมาคอยบูชาและหยอดเหรียญอธิษฐานบ้าบอคอแตก ซึ่งสุดท้ายแล้ว เงินพวกนั้นก็ไปลงกระเป๋าพวกนักบวช” ไวเซ็นเอาปลายผมตัวเองมาเล่น “ข้าไม่สนเงิน ไม่สนความเชื่อบ้าบอ ไม่สนศพเก่าๆ นั่น แต่ข้าสนสิ่งที่ถูกนำไปใส่ในโลงพร้อมกับศพ ช่างเป็นคนตายคนนี้มีเครื่องประดับมูลค่าสูงนัก เจ้าชายไททอสญาติของเจ้าคนนี้”

                “เป็นความจริง สุสานของเจ้าชายไททอสอยู่ในวิหารนั่น แต่เฉพาะเหล่านักบวชชั้นสูงเท่านั้น ที่รู้ว่ามันซ่อนอยู่ตรงไหน” ซอร์โรร่ากล่าว “ข้าไม่คิดว่าเจ้าเป็นหนึ่งในนักบวชพวกนั้นหรอกนะ”

                “ข้าก็ไม่ได้เป็นหนึ่งในนักบวชพวกนั้น” ไวเซ็นพูดอย่างสบายอารมณ์ “แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะไม่รู้ เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าเป็นคนยังไงซอร์โรร่า ข้ารู้จักผูกสัมพันธ์กับผู้หญิงผู้ชายหลายคน ถึงจะเป็นช่วงข้ามคืนบ้างก็เถอะ แต่ข้าก็ได้รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์มามากมาย”

                “ถึงเจ้าจะรู้ที่ซ่อนศพ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะเข้าไปเปิดโลงได้ง่ายๆ” ซอร์โรร่าส่ายหัวยิ้มๆ “ที่วิหารมียามคุ้มกันแน่นหนาตลอดเวลา แม้แต่เหรียญในตู้บริจาคสักเหรียญ ก็ยังไม่มีใครขโมยไปได้”

                “ก็จริงของเจ้า” ไวเซ็นยอมรับ “แต่สิ่งที่รอคอยให้ข้าไปขโมยนั้น มันคุ้มค่าแก่การเสี่ยงยิ่งนัก”

                “คงเป็นเพชรเม็ดโตๆ อีกล่ะสิ” ซอร์โรร่ารู้ทัน

                “เพชร คือเพื่อนที่ดีที่สุดของผู้หญิง” ไวเซ็นทำท่าเคลิ้มฝัน “อย่างน้อยก็ผู้หญิงอย่างพวกเราซินซิสเทอร์”

                “เพชรอะไรหรือ ที่เจ้าจะ--”

                เสียงเป่าแตรเป็นเพลงดังมาจากไกลๆ บอกให้รู้ว่าทัพหลวงที่พ่ายศึกจากเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลด ได้เดินทางกลับมายังซาโมโรว์แล้ว คงกลับมาในสภาพสะบักสะบอมและอารมณ์บูดกันถ้วนหน้า

                “เมืองนี้กำลังจะเต็มไปด้วยทหาร ข้าคงอยู่นานกว่านี้ไม่ได้” ไวเซ็นขยับมายืนตัวตรง “ยังไงก็ไม่คิดจะอยู่แถวนี้นานอยู่แล้ว”

                “ก็สมควรอยู่ เจ้ามันตัวแสบ” ซอร์โรร่ายื่นมือไปดึงแขนไวเซ็นเข้ามาหา

          “คงได้บังเอิญเจอกันบ้างนะ” ไวเซ็นจูบเธอที่ปาก แล้วก็วิ่งหายจากไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว เธอวิ่งเร็วมาก และเท้าก็เบามากด้วย แทบไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเลย

          ซอร์โรร่าเดินไปจากบริเวณนั้น แสดงอารมณ์เบื่อหน่ายที่ต้องไปพบปะกับกองทัพหลวง เธอไม่ชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่ไปรุกรานดาร์คเนสดีวิล ไม่ชอบกัปตันเท็มเปิล แต่หากเธอไม่โผล่หน้าไปพบปะเลย ก็คงไร้มารยาทเกินไป ถึงอย่างไรเธอก็เป็นมนุษย์ชนชั้นสูง จำเป็นต้องทำบางสิ่งที่ไร้สาระเพื่อรักษาหน้าของพ่อและอาจารย์ผู้เป็นเจ้าเมืองไว้

          เธอมาถึงข้างในฐานทัพบัญชาการในตอนที่กองทัพหลวงเริ่มแยกย้ายกันไปพักพอดี ทหารแต่ละคนอิดโรยอ่อนล้า ดูหมดกำลังใจและเสียขวัญ แต่ก็ยังรู้สึกดีที่ได้กลับมาพักผ่อน ก่อนจะต้องกลับไปประจำการในฐานทัพที่เมืองหลวงโมราโซมอสในวันข้างหน้า ท่าทางศึกที่ฟรอสท์ไอรอนแคลดจะสาหัสไม่น้อย ยกไปเป็นกองทัพใหญ่ เหลือรอดกลับมาแค่นิดเดียว ไม่แปลกใจที่กัปตันเท็มเปิลจะมีท่าทางหงุดหงิดตลอดเวลา เขาสวมที่ครอบจมูกยืนคุยกับบิลิส ริฟเฟอร์ด้วยเสียงเหมือนถูกบีบจมูก อโลบัสยืนอยู่ข้างๆ อย่างไร้ความรู้สึก เป็นคนเดียวที่กลับมาโดยไม่โทรมเลย แค่เสื้อผ้าและชุดเกราะดูมีสภาพเสื่อมถอยลง

          “เราจะพักกองทัพที่นี่หนึ่งวัน พรุ่งนี้จะเดินทางกลับโมราโซมอสตอนเช้า” กัปตันเท็มเปิลบอก “ขอบคุณที่อำนวยความสะดวก ท่านเจ้าเมืองริฟเฟอร์”

          “เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว” ริฟเฟอร์โค้งศีรษะ “ว่าแต่ท่านไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม”

          “ไอ้ปีศาจแบล็กไรดิงฮู้ดมันหักจมูกข้า” กัปตันเท็มเปิลโวยวายลั่น “แล้วมันก็ฉีกหน้าข้าเป็นชิ้นๆ ข้าไม่เคยรบแพ้สองครั้งติดกันมาก่อน ใช่แล้ว ข้าเป็นอะไรมากเลยล่ะ”

          “ข้าไม่เห็นกัปตันฟิลโก้เลย” ริฟเฟอร์มองไปรอบๆ

          “เขาสิ้นชีพในสนามรบอย่างกล้าหาญ” อโลบัสตอบอย่างรักษามารยาท “เช่นเดียวกับกองทัพอากาศที่เขาบัญชาการในศึกครั้งนี้”

          “ทั้งหมดเลยหรือ” ริฟเฟอร์กระซิบ

          “พวกเอเลนเซฟเวอรี่ทำลายเรือเหาะทุกลำขณะที่ลอยอยู่บนฟ้า” อโลบัสตอบ “พวกมันมีเป็นร้อยตัว ซึ่งข้าเชื่อว่าพวกดาร์คเนสดีวิลยังเก็บไว้ที่เมืองอื่นอีกส่วนหนึ่ง”

          “สวรรค์โปรด! สัตว์นรกชนิดนี้ไม่ควรจะมีจำนวนมากขนาดนั้น” ริฟเฟอร์ตาเหลือก “คงไม่มีใครอยากจินตนาการว่าพวกมันจะสร้างความเสียหายร้ายแรงเพียงไหน”

          “ร้ายแรงจนกองทัพเราต้องหนีตายสะบักสะบอมกลับมานี่ล่ะ” กัปตันเท็มเปิลระเบิดอารมณ์ “กองทัพอากาศถูกกำจัดเรียบ กองทัพบกเหลือกลับมากันแค่นี้ และข้าต้องไปบอกครอบครัวของกัปตันฟิลโก้ว่าเขาตายแล้ว ซึ่งก็คงถูกตราหน้าว่า ตายเพราะการบัญชาการของข้า”

          “ท่านทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว ไม่มีใครโทษท่าน” ริฟเฟอร์ปลอบ “ข้าเชื่อว่าภรรยาและลูกๆ ของกัปตันฟิลโก้จะเข้าใจ”

          “เราเหลือกลับมาน้อยมาก เมื่อเทียบกับตอนที่ยกไป” กัปตันเท็มเปิลพูดอย่างขมขื่น “พวกดาร์คเนสดีวิลแข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พวกมันสร้างกำแพงน้ำแข็งปิดช่องเขาฟรอสท์ไอรอนแคลด มันทนทานยิ่งกว่ากำแพงใดที่ข้าเคยเห็น สูงพอๆ กับหอคอยหลังนั้นได้” เขาชี้ไปที่หอคอยสูงหลังหนึ่ง ริฟเฟอร์อ้าปากค้าง “ซึ่งพวกมันก็สร้างขึ้นมาได้โดยใช้เกราะมนต์ดำตบตาเรามาตลอด ดาวดวงนี้มันวิปริตไปแล้ว”

          “ศักยภาพในการรบเชิงตั้งรับของพวกดาร์คเนสดีวิลสูงมาก พวกนั้นอาศัยความได้เปรียบทางพื้นที่คิดกลยุทธ์ที่ตนต่อสู้ได้สันทัด และเป็นกลยุทธ์ที่แก้ทางได้ลำบาก” อโลบัสเสริม “อาวุธหนักและอุปกรณ์สงครามของพวกนั้นก็มีประสิทธิภาพสูงไม่น้อยไปกว่าเรา ท่านควรจะทราบไว้ว่าพวกดาร์คเนสดีวิลฉลาดขึ้น และมีความสามารถมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด พวกนั้นมีแรงผลักดันทางใจมหาศาล”

          แม้อโลบัสจะเดาความรู้สึกได้ยาก แต่หากสังเกตดีๆ จะพบว่าเขาดูไม่ขมขื่นเวลาพูดถึงพวกดาร์คเนสดีวิลเหมือนมนุษย์คนอื่นๆ ตรงกันข้าม เขากลับดูชื่นชมพวกนั้นเสียมากกว่า

          “ตลอดสิบแปดปีที่ผ่านมานี้ พวกเลือดสีดำพัฒนาตนเองอยู่ใต้จมูกเรามาตลอด แล้วพวกมันก็พัฒนาก้าวกระโดดอย่างที่ไม่มีใครนึกถึง” กัปตันเท็มเปิลกุมศีรษะ “ไม่รู้ว่าอะไรเป็นแรงผลักดันให้พวกมันมีพลังมากขนาดนี้ แต่ที่แน่ๆ คือ เรากำราบพวกมันไม่ได้ง่ายๆ อีกต่อไปแล้ว”

          ซอร์โรร่าที่ยืนมองอยู่ห่างๆ ตัดสินใจว่าขอปลีกตัวไปอีกทางดีกว่า เธอรู้ว่ามนุษย์ผู้ชายอย่างกัปตันเท็มเปิลนั้นจะอารมณ์เสียมากเมื่อกลับมาจากสงครามในฐานะผู้พ่ายแพ้ หากเจอหน้ากับผู้ที่เข้าข้างพวกดาร์คเนสดีวิลอย่างเธอ อาจเกิดการกระทบกระทั่งกันได้ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะก้าวไปอีกทาง อโลบัสก็หันมาเห็นเธอพอดี

          “ซอร์โรร่า” เขาทักทาย

          “อโลบัส” ซอร์โรร่าจำใจเดินเข้าไปหา “ท่านปลอดภัยไหมญาติของข้า”

          กัปตันเท็มเปิลมองซอร์โรร่าอย่างเบื่อหน่าย ปากพึมพำว่า “ให้ตายเถอะ! นางฟ้าปีศาจ” ไม่คิดจะปิดบังสีหน้ารักษามารยาท เขาเพิ่งผจญความยากลำบากจากสงคราม ทั้งบาดเจ็บและพ่ายแพ้กลับมา จึงไม่คิดจะเก็บซ่อนอารมณ์รักษามารยาทอีกต่อไป

          “เธอมาทำอะไรที่นี่” เขาถามริฟเฟอร์

          “เธอเป็นลูกศิษย์ของข้า” ริฟเฟอร์ตอบอย่างปกป้อง

          “เธอคงแอบหัวเราะเยาะข้ากับคนเผ่าพันธุ์เดียวกันอีกจำนวนมาก ที่ถูกพวกดาร์คเนสดีวิลสุดที่รักของเธอเล่นงาน” กัปตันเท็มเปิลทำเสียงดูถูก “คงไม่เสียใจสักนิด ที่พวกเดียวกันตายเกลื่อนเต็มหน้ากำแพงฟรอสท์ไอรอนแคลด”

          “เปล่าเลย ข้าสมเพชพวกเขา โดยเฉพาะท่าน” ซอร์โรร่าอดรนทนไม่ไหว “คิดว่าตนเองสวมเกราะต่อสู้แล้วจะเป็นวีรบุรุษอย่างนั้นหรือ พวกท่านไม่ได้ตาย บาดเจ็บ หรือพบกับความยากลำบากเพราะต่อสู้เพื่อปกป้องใครเลย พวกท่านเข้าไปรุกรานผู้อื่น แล้วถูกเจ้าถิ่นไล่ตะเพิดกลับมาต่างหาก”

          “ซอร์โรร่า” ริฟเฟอร์ปรามเสียงเบา

          “กัปตันเท็มเปิล” อโลบัสรีบพูด “สงครามเป็นงานหนัก ท่านคงเหน็ดเหนื่อยมาก ท่านควรได้รับการพักผ่อน พรุ่งนี้เราจะได้เคลื่อนพลเข้าเมืองหลวงกันต่อ”

          กัปตันเท็มเปิลทำหน้าหงุดหงิด แล้วหันหลังเดินจากไป แน่นอนว่าหลังจากที่พ่ายแพ้พวกดาร์คเนสดีวิลมาถึงสองครั้ง เขาย่อมไม่อยากอยู่ใกล้ซอร์โรร่าผู้ซึ่งชื่นชอบพวกดาร์คเนสดีวิลยิ่งกว่าสิ่งใด แต่ก่อนจะเดินออกไปไกลนั้น ก็ยังพูดบ่นทิ้งท้าย

          “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพระราชาถึงไม่โปรดปรานพวกไอวิวรี่ มีแต่ประหลาดทั้งนั้น พระองค์คงรู้สึกอับอายที่มีญาติแบบนี้”

          “สิ่งที่พระองค์และมนุษย์อย่างท่านควรจะอาย คือการหน้าด้านหน้าทนไปรุกรานพวกปีศาจอย่างไม่จบไม่สิ้นต่างหาก” ซอร์โรร่าตะโกนไล่หลังอย่างโกรธจัด ทำท่าจะตามไป ริฟเฟอร์คว้าข้อมือเธอไว้ “อะไรก็ตามที่มันเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิผู้อื่น พวกท่านไม่เคยอายเลยสักนิด”

          “ข้าต้องขออภัยสำหรับกิริยาของกัปตันเท็มเปิลด้วย” อโลบัสกล่าว “เขาเพิ่งผ่านศึกสงครามอันยากลำบากมา เขาจึงควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ ท่านก็คงทราบดีว่าเขาเป็นคนใจร้อนอยู่แล้ว”

          “ท่านไม่ต้องขอโทษแทนเขา อโลบัส ท่านไม่ได้งี่เง่าเหมือนเขา กองทัพของเขา หรือพระราชาของเขา” ซอร์โรร่าพูดอย่างเผ็ดร้อน ริฟเฟอร์สะดุ้งโหยง แต่อโลบัสไม่โกรธสักนิดที่มีคนต่อว่าพ่อ “ข้ารู้ว่าท่านจำใจต้องทำตามคำสั่ง ร่วมเดินทัพไปที่ฟรอสท์ไอรอนแคลด อย่างน้อย ท่านก็เป็นคนเดียวที่ไม่หงุดหงิดเมื่อเห็นข้า หลังจากแพ้สงครามมา”

          “ข้าไม่มีปัญหาอะไรกับพวกดาร์คเนสดีวิล และข้าเชื่อว่าทุกสิ่งมีชีวิตล้วนมีสิทธิ์ที่จะปกป้องตนเอง” อโลบัสพูด “พวกเฟลมฟอร์สโจมตีศัตรูเพื่อพยายามรักษาเผ่าพันธุ์มังกรให้คงอยู่ แต่พวกมนุษย์โจมตีศัตรูเพื่อต้องการควบคุม ตามความเห็นข้านั้น การกระทำของเผ่าพันธุ์เราช่างห่างไกลจากการปกป้องตนเองนัก”

          “ถามอะไรหน่อยสิ” ซอร์โรร่ายื่นหน้าไปกระซิบ “พวกดาร์คเนสดีวิลปกป้องตนเองได้มากแค่ไหน พวกเขาแข็งแกร่งพอที่จะต้านการบุกของเผ่าพันธุ์เราได้อีกหลายครั้งไหม”

          “หากให้ข้าพิจารณา” อโลบัสตอบ “ข้าเชื่อว่าความแข็งแกร่งในระดับนั้น ต่อให้มนุษย์จะส่งกองทัพไปอีกสักกี่ครั้ง ก็คงไม่มีวันพิชิตได้”

          ซอร์โรร่ายิ้มอย่างโล่งใจ

          “พวกเขาบาดเจ็บล้มตายกันมากไหม” เธอถามต่ออย่างเป็นห่วง

          “เป็นธรรมดาของสงคราม ที่จะต้องมีคนบาดเจ็บล้มตาย” อโลบัสพูด “ยิ่งเป็นศึกใหญ่ยิ่งมีคนตายคนเจ็บมาก มันสำคัญว่าฝ่ายไหนจะมีมากกว่ากันเท่านั้นเอง ซึ่งท่านก็คงรู้ดีว่าฝ่ายมนุษย์นั้น สูญเสียมากกว่าในอัตราส่วนที่ต่างกันมาก คงอีกนานทีเดียวกว่าจะฟื้นตัวพอสำหรับยกพลไปที่นั่นอีกรอบ ซึ่งจะยกไปอีกสักกี่รอบ ข้าก็มั่นใจว่าคงจะถอยกลับมาแบบนี้ทุกรอบ หากท่านได้เห็นพวกดาร์คเนสดีวิลสู้ ท่านจะเข้าใจเอง”

          “นี่ ข้าเสียใจด้วยนะ ที่ท่านแพ้กลับมา” ซอร์โรร่าเอื้อมมือไปแตะแขนที่หุ้มด้วยเกราะของอโลบัส

          “ท่านกรุณายิ่งนัก” อโลบัสโค้งศีรษะอย่างมีมารยาท “แต่ข้าคิดว่าแท้จริงแล้ว ท่านคงไม่เสียใจสักนิด ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด ชัยชนะที่แท้จริงคือการทำสิ่งที่ใจตนต้องการได้สำเร็จ อย่างที่พวกดาร์คเนสดีวิลทำ อย่างที่ข้าไม่ได้ทำ”

          ซอร์โรร่าเอียงคอ เริ่มรู้สึกข้องใจ

          “ชัยชนะมันไม่ใช่เรื่องของการพิชิตใคร การมีสิ่งใดมากกว่าใคร หรือการมีอำนาจเหนือใคร” อโลบัสพูดเสียงเบา “มันเป็นเรื่องของตัวเราเองเท่านั้น มันก็แค่การทำสิ่งที่ตนต้องการได้สำเร็จ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ท่านกับพวกดาร์คเนสดีวิลพอจะมี แต่ข้านั้น ไม่เคยมีเลย”

          “แล้วท่านอยากทำอะไรสำเร็จล่ะ” ซอร์โรร่าถามอย่างสงสัย

          “คงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่า การรู้จักตนเองอีกแล้ว” อโลบัสตอบ

          ซอร์โรร่าพูดอะไรต่อไม่ออก อโลบัสมักพูดประโยคที่ทำให้ผู้ฟังต้องคิดตามอย่างหนักเสมอ บุคลิกที่ไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึกตลอดเวลาของเขา ยิ่งทำให้ตีความยาก

          “สงครามทำให้ข้าอยู่ในสภาพที่ไม่น่าดูนัก ดังนั้นหากท่านไม่ว่าอะไร ข้าขอตัวไปจัดการตนเอง” เขาผายมือไปตามชุดเกราะที่ตนสวม “ยินดีที่ได้พบท่าน ซอร์โรร่า และท่าน เจ้าเมืองริฟเฟอร์”

          แล้วเขาก็เดินจากไปด้วยท่าทางเยือกเย็นไร้ความรู้สึก เหมือนที่เป็นมาตลอด ซอร์โรร่ามองตามไป เธอไม่คิดว่าตนชอบญาติคนนี้มากนัก แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่มีปัญหากับเธอเหมือนญาติคนอื่นๆ คนที่ไร้อารมณ์ไร้ชีวิตจิตใจแบบนี้ย่อมไม่มีปัญหากับใครและไม่เป็นที่รักของใคร กัปตันเท็มเปิลอาจพูดว่าซอร์โรร่าและพ่อของเธอนั้นประหลาด แต่หากว่ากันจริงๆ แล้ว คงประหลาดเทียบกับอโลบัสไม่ได้

 

**************

 

                “เจ้าทำอะไร”

                เทอร์รินเดินเข้ามาในห้องประชุม มีผู้ช่วยเดินถือเอกสารตามหลังมา เห็นกอร์รินก้มตัวอยู่ที่โต๊ะประชุม แขนข้างหนึ่งวางหงายบนโต๊ะ มืออีกข้างกระชับสายรัดสนับแขน

                “ข้ากำลังสวมเกราะให้ตนเอง ขออภัยที่เอาเข้ามาสวมในห้องประชุม คิดว่ามันเป็นการใช้เวลาอย่างคุ้มค่า ระหว่างรอสมาชิกคนอื่นๆ” กอร์รินยิ้มทักทาย “รู้ไหม หากเรามีมุมมองใหม่ๆ ขึ้นมาบ้าง เราจะพบว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ลำบากขึ้นเลยสักนิด”

                เทอร์รินขมวดคิ้ว น้องชายของเขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน จนกระทั่งกลับมาจากโฟรเซ็นทิเนล

                “คนรับใช้ของเจ้าไปไหน ทำไมไม่ให้เขาช่วยสวมเกราะ” เทอร์รินถาม

                “ท่านรู้ไหม เหล่าผู้นำแห่งโฟรเซ็นทิเนลไม่มีคนรับใช้ และพวกเขาก็สวมเกราะเองทุกวัน แน่นอนว่าเกราะมันทำด้วยเหล็ก ไม่ได้สวมง่ายๆ เหมือนเสื้อผ้า แต่หากสวมเองจนชิน มันก็ไม่ได้ยากหรือเสียเวลาจนเกินไป อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ นำสิ่งของรอบกายมาใช้ประโยชน์มากกว่าเคย” กอร์รินแกะที่หนีบกระดาษออกจากริ้วธงที่หลังไหล่ขวา มันช่วยให้ริ้วธงคลี่กางออกเพื่อจะได้นำมาติดกับเกราะไหล่ได้สะดวก “ข้าตระหนักแล้วว่า ที่ผ่านมาข้าช่วยเหลือตัวเองน้อยเกินไป การมีตำแหน่งอำนาจสูงๆ ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะไม่ทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง การมีคนรับใช้มีผู้ช่วยคอยทำโน่นทำนี่ให้มาตลอด มันทำให้ข้ารู้สึกด้อยพลัง ดังนั้น ข้าจึงควรจัดการกับทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตนเองด้วยตนเอง ซึ่งท่านรู้ไหม มันทำให้ข้ารู้สึกสบายและเป็นอิสระมากกว่าให้ใครมาทำอะไรให้เสียอีก ท่านน่าจะทำแบบข้าบ้างนะ พี่ชาย”

                ผู้ช่วยของเทอร์รินแอบยิ้มอย่างชื่นชม ขณะที่เทอร์รินยังขมวดคิ้ว

                “ผู้ช่วยคนใหม่ของท่านหรือ ไม่เคยเห็นหน้าเลย” กอร์รินถาม

                “ใช่แล้ว” เทอร์รินพยักหน้า “เป็นคนขยัน กระตือรือร้น ไม่เกี่ยงงาน อดทน”

                “แน่ล่ะ เป็นผู้ช่วยของท่านก็คงต้องขยัน กระตือรือร้น ไม่เกี่ยงงาน อดทน” กอร์รินเน้นคำว่าอดทนเป็นพิเศษ “แล้วเขารู้จักข้าหรือยัง แล้วรู้จักคณะผู้ปกครองแบร์ร็อคคนอื่นๆ หรือยัง”

                “ข้าจะแนะนำกับเขาเมื่อทุกคนมาถึง” เทอร์รินหันไปมองที่ประตู “มาพอดี”

                เพื่อนทั้งสี่คนของเทอร์รินเดินเข้ามาในห้องประชุม พยักหน้าทักทายเทอร์รินกับกอร์ริน กอร์รินคุ้นเคยทุกคน เพราะพวกเขาเหล่านี้เป็นเพื่อนกับพี่ชายของเขามาตั้งแต่สมัยเด็กๆ เป็นกลุ่มเด็กที่ค่อนข้างมีความคิดและมีความรับผิดชอบมากกว่าเด็กวัยเดียวกันมาแต่ไหนแต่ไร เพราะถูกปลูกฝังให้เป็นนักปกครองมาโดยตลอด อนาคตของเด็กเหล่านี้ก็คาดเดาได้ไม่ยาก มีพ่อเป็นคณะผู้ปกครองอาณาจักรแบร์ร็อคที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการ แทบจะพูดได้ว่าเด็กเหล่านี้มีตำแหน่งทางการเมืองติดตัวมาตั้งแต่ลืมตาดูโลกทีเดียว คนมากมายคิดว่าเป็นเรื่องน่าอิจฉาและไม่ยุติธรรม แต่ก็มีบางคนที่คิดว่าเด็กเหล่านี้น่าสงสาร ที่ไม่มีโอกาสได้เลือกเลย แต่ละคนเกิดมาก็ถูกพ่อจับนั่งเก้าอี้แห่งอำนาจ ถูกตีกรอบให้เดินได้เพียงเส้นทางเดียว ที่แย่ที่สุดคือเด็กเหล่านี้คงไม่มีวันได้รับรู้ว่าเส้นทางที่ตนต้องการจริงๆ นั้นคืออะไร หรือหากรู้ ก็ไม่สามารถจะไปในเส้นทางนั้นได้อีกแล้ว

                “ผู้ที่สวมเกราะสีส้มท่านนี้คือซีราส ท็อกซ์ฟ็อกซ์ เจ้าเมืองเด็นร็อค” เทอร์รินแนะนำสมาชิกผู้ปกครองแก่ผู้ช่วยของตนทีละคน “ผู้ที่สวมเกราะสีเขียวคือเกร็ฟเฟ็ท โฟเดเซียร์ เจ้าเมืองซิลร็อค ผู้ที่สวมเกราะสีเหลืองคือทอร์น แอนดรอส เจ้าเมืองไลท์ร็อค ผู้ที่สวมเกราะสีน้ำเงินคือพอร์ล็อค แดโมมิกซ์ เจ้าเมืองรีลร็อค ส่วนน้องชายข้า คนที่ยืนอยู่ตรงนั้น กอร์ริน เฮนิเคม รองผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อค”

                “แนะนำข้าเป็นคนสุดท้ายเสมอนะ เหมือนเกือบลืมว่าข้าเป็นหนึ่งในคณะปกครองทุกที” กอร์รินพึมพำอย่างเบื่อหน่าย เทอร์รินแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

                “ข้าจะเริ่มประชุมแล้ว เจ้าไปได้” เทอร์รินบอกผู้ช่วย ซึ่งวางเอกสารลงบนโต๊ะ โค้งคำนับ แล้วเดินออกจากห้องประชุม ปิดประตูตามหลัง

                “ข้าไม่เห็นท่านเรียกชื่อเขาเลย” กอร์รินตั้งข้อสังเกต

                “ข้าจำชื่อเขาไม่ได้” เทอร์รินตอบ

                “ท่านไม่ค่อยใกล้ชิดกับคนระดับล่างมากนักใช่ไหม” กอร์รินส่ายหน้า

                “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าซึมซับอะไรมาจากพวกสังคมนิยมที่โฟรเซ็นทิเนล มันอาจเป็นเรื่องเข้าท่าก็ได้ แต่มันไม่ใช่ประเด็นที่เราจะมาประชุมกันในวันนี้” เทอร์รินขยับไปที่หัวโต๊ะประชุม

          ทุกคนไปประจำตำแหน่งที่โต๊ะแล้วนั่งลง เทอร์รินนั่งเป็นคนสุดท้าย

          “ทุกท่าน” เทอร์รินกล่าว “ดังที่เราทราบกันแล้ว พวกมนุษย์ล้มเหลวในการโจมตีฟรอสท์ไอรอนแคลดอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ก็สร้างความบอบช้ำให้กับพวกมันไม่น้อย หน่วยรบมนุษย์ถูกลดจำนวนลง อุปกรณ์สงครามลดจำนวนลง ขวัญและกำลังใจถูกบั่นทอน รวมทั้งความเลื่อมใสศรัทธาของประชาชนโมราโซมอสต่อเหล่าขุนนางก็สั่นคลอนไปด้วย อย่างไรก็ตาม--” เขาเสริม “--เราทุกคนรู้จักพวกมนุษย์ดี พวกมันเกลียดที่พิชิตใครไม่สำเร็จ โดยเฉพาะพวกดาร์คเนสดีวิล พวกมันจะไม่หยุดเพียงเท่านี้ พวกมันต้องการกู้หน้าและกู้ความเลื่อมใสจากประชาชนคืนมาไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่ง กอร์ริน เจ้าเป็นคนเดียวในพวกเราที่เห็นฐานทัพฟรอสท์ไอรอนแคลด พอจะประเมินอำนาจการป้องกันของพวกดาร์คเนสดีวิลต่อพวกมนุษย์ได้ไหม”

          “พวกดาร์คเนสดีวิลเข้มแข็งและก้าวหน้ากว่าที่เคยเป็นมา พวกเขามีกองทัพใหญ่ มีอุปกรณ์สงครามชั้นยอด มีกำแพงที่แข็งแกร่งที่สุดในดาวดวงนี้ถึงสามชั้น และมีป้อมปราการอีกหนึ่งหลัง” กอร์รินอ่านแผ่นเอกสารของตน “หากให้ข้าประเมิน ข้ามั่นใจว่าต่อให้พวกมนุษย์ยกทัพไปบุกอีกสักสิบครั้ง ก็ต้องแตกถอยกลับโมราโซมอสแบบนี้อีกทุกครั้ง”

          “พวกมนุษย์โอหัง โหดเหี้ยม เห็นแก่ตัว แต่พวกมันก็ไม่ได้ปัญญาอ่อน ตอนนี้พวกมันคงตระหนักเรื่องความแข็งแกร่งของฟรอสท์ไอรอนแคลดแล้วเช่นกัน” พอร์ล็อค แดโมมิกซ์พูด “พวกมันมีหัวคิดพอที่จะไม่ยกพลไปโจมตีฟรอสท์ไอรอนแคลดอีกเร็วๆ นี้แน่ อย่างน้อยก็ต้องฟื้นฟูกองทัพที่เสียหาย ต้องเกณฑ์ทหารเพิ่ม ต้องกอบกู้ขวัญและกำลังใจคืนมา”

          “นั่นล่ะประเด็นสำคัญ” เทอร์รินพยักหน้า “พวกมนุษย์จะกอบกู้ขวัญและกำลังใจได้อย่างไร พวกมันจะต้องชนะศัตรูสักคน ซึ่งในเมื่อเอาชนะพวกดาร์คเนสดีวิลไม่ได้ พวกมันก็จะหันมาเล่นงานเราแทน”

          “แม้กองทัพมนุษย์จะเสียหายจากศึกทั้งสองครั้ง แต่กองทัพเรือของพวกมันก็แทบไม่ได้รับผลกระทบเลย” ซีราส ท็อกส์ฟ็อส์บอก “กองทัพเรือมนุษย์ยังคงมีแสนยานุภาพสูงสุดในตอนนี้ อย่างที่เราเคยคุยกันไว้ในที่ประชุมครั้งที่แล้ว พวกมนุษย์มีกองกำลังมากพอที่จะแยกส่วนใช้กับทั้งพวกเราและพวกดาร์คเนสดีวิลได้ การที่พวกมนุษย์แพ้พวกดาร์คเนสดีวิลครั้งนี้ อาจทำให้กองทัพเรือของพวกมันชะลอแผนการโจมตีเราเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับเรา กองทัพเรือมนุษย์เตรียมพร้อมจะบุกอาณาจักรของเราอยู่ก่อนแล้ว ไม่ว่ากองทัพอีกส่วนจะชนะหรือแพ้พวกดาร์คเนสดีวิล ยิ่งพวกมันแพ้พวกปีศาจ พวกมันยิ่งตั้งเป้ามาที่เรามากขึ้น”

          “พวกมนุษย์ฉลาดพอที่จะรู้ว่า ไม่ต้องป้องกันตนเองจากพวกดาร์คเนสดีวิลมากนัก พวกปีศาจถนัดแต่สู้ในพื้นที่ของตน ไม่สันทัดเรื่องการยกพลไปไปโจมตีคนอื่น ดังคำกล่าวโบราณว่าปีศาจจะสิ้นฤทธิ์เมื่อออกนอกเขตอำนาจของตน มันไม่จริงทั้งหมดหรอก แต่ข้าเชื่อว่าพวกดาร์คเนสดีวิลไม่เสี่ยงที่จะต่อสู้ในแบบที่ตนไม่ถนัดแน่ โอกาสพลาดท่ามันสูง” เกร็ฟเฟ็ท โฟเดเซียร์พูด “นั่นทำให้พวกมนุษย์ไม่ต้องแบ่งสรรค์กำลังพลจากกองทัพเรือไว้ป้องกันโมราโซมอสเลย พวกมันสามารถยกพลเต็มอัตราศึกข้ามน้ำมาโจมตีเราได้ ซึ่งทุกคนก็คงประเมินได้ว่า มันมากเกินกว่าที่เราจะป้องกันไหว”

                “นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เราต้องมาประชุมกันในวันนี้” เทอร์รินกวาดตามองทุกคน “ทุกท่าน เราต้องหาทางป้องกันชายฝั่งของเราจากกองเรือมนุษย์”

                “พวกท่านคิดว่าอีกนานไหม กว่ากองเรือมนุษย์จะพร้อมเคลื่อนพล” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ถาม

                “การพ่ายแพ้ต่อพวกดาร์คเนสดีวิลทำให้พวกมันชะงักเล็กน้อย แต่ก็ไม่นานพอที่จะให้เราเข้มแข็งพอรับมือกับพวกมันไหว” ทอร์น แอนดรอสตอบ “เราเหลือกองเรือน้อยกว่าพวกมันมาก เป็นไปได้ยากที่จะสกัดพวกมันไม่ให้เข้ามาถึงชายฝั่งของเรา”

                “เราตั้งรับพวกมนุษย์บนชายฝั่งไม่ได้” แดโมมิกซ์เน้นเสียง “หากพวกมันยกพลขึ้นบก ต่อสู้ในพื้นที่ของเรา เราจะเสียหายหนัก”

                “เราตั้งรับกลางทะเลก็ไม่ไหวเช่นกัน” แอนดรอสชี้แจง “พวกมันก็แค่ทำลายกองเรือของเรา แล้วบุกขึ้นฝั่งได้อยู่ดี”

                “เราอาจถ่วงเวลาเพิ่มขึ้น ด้วยการชิงยกพลไปโจมตีพวกมันที่ฐานทัพเรือซาโมโรว์ ให้ศูนย์กลางกองเรือของพวกมันเสียหาย ชะลอการเคลื่อนทัพของพวกมันได้บ้าง แต่ข้าว่ามันไม่ได้ผล” ท็อกซ์ฟ็อกซ์บอก “กองเรือของพวกมันแข็งแกร่ง และเป็นต่อในเรื่องจำนวนอย่างมาก เราไม่มีทางจะสร้างความเสียหายแก่ฐานทัพเรือของพวกมันได้ มีแต่จะส่งกองเรือของเราไปตายเท่านั้น”

                “เห็นชัดเจนเลยว่า ไม่มีใครสนใจสิ่งที่ข้าเคยเสนอไป” กอร์รินพูดอย่างหมดความอดทน “ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับข้านักหรอก ทุกครั้งที่มีการประชุม ข้าจะมีโอกาสแสดงความเห็นน้อยที่สุดเสมอ พวกท่านก็จะพูดกันไปเถียงกันไป ทำเหมือนว่าข้าต้องการจะฟังแต่เพียงอย่างเดียว เมื่อข้าเสนออะไรไปก็ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจ คงเป็นเพราะข้าอายุน้อยที่สุดในพวกเรา และพี่ชายของข้าก็ทำเหมือนว่าข้าเป็นเด็กที่ไร้ความสามารถมาโดยตลอด”  

          ทุกคนเงียบกริบ หันมามองกอร์รินเป็นตาเดียวกัน

          “กอร์ริน นี่ไม่ใช่เวลาจะมาพูดอะไรแบบนี้” เทอร์รินพูด

          “ตรงกันข้าม ข้าคิดว่ามันคือเวลาอันเหมาะสมมากทีเดียว” กอร์รินแย้ง “พวกท่านโยนสิ่งที่ข้าเสนอทิ้งไปจากสมอง แล้วมานั่งวิเคราะห์แก้ปัญหากันหัวแทบแตก ทั้งที่พวกท่านสามารถนำสิ่งที่ข้าเสนอไปใช้แก้ปัญหาได้ ทุกท่าน พวกท่านจะมองข้ามความสามารถของข้าหรือประเมินข้าต่ำเพียงใด ข้าก็ไม่ว่า แต่กรุณาเปิดใจสักนิด เพื่ออาณาจักรของเรา กองทัพเรือมนุษย์จะยกพลบุกมาในอีกไม่นานนี้ หากพวกท่านยังหาหนทางแก้ปัญหาไม่ได้ ก็โปรดอย่ามองข้ามหนทางที่ข้าเสนอไปด้วย”

          “พวกดาร์คเนสดีวิลไว้ใจไม่ได้ เราไม่ควรร่วมงานกับพวกนั้น” ท็อกซ์ฟ็อกซ์เริ่มเสียงดัง

          “ถ้าอย่างนั้น ท่านก็เสนอวิธีรับมือกับพวกมนุษย์ที่ดีกว่านี้มาสิ” กอร์รินขึ้นเสียงกลับ

          “ทำไมพวกดาร์คเนสดีวิลถึงอยากช่วยเรา” แอนดรอสถาม

          “เพราะมีดาร์คเนสดีวิลส่วนหนึ่งถูกจับเป็นเชลยศึกในโมราโซมอส พวกเขาต้องการช่วยพวกพ้องออกมา” กอร์รินอธิบาย “พวกเขาไม่สันทัดเรื่องการบุกโจมตีอาณาจักรอื่น พวกเขาไม่มีทัพเรือ พวกเขาทำอะไรพวกมนุษย์มากไม่ได้ จึงขออาศัยความสามารถของเราในเรื่องนี้มาเติมเต็ม”

          “นั่นคือแผนของพวกดาร์คเนสดีวิลหรือ” เทอร์รินกุมคางอย่างใช้ความคิด “บุกโจมตีโมราโซมอส”

          “บุกไปสร้างความเสียหายแก่เมืองสำคัญของพวกมนุษย์ ตัดศูนย์กลางเส้นทางส่งกองทัพของพวกมัน” กอร์รินบอก “เป้าหมายหลักคือเมืองซาโมโรว์ เมืองนั้นเป็นทั้งหน้าด่านและจุดส่งกองกำลังที่สำคัญที่สุด อีกทั้งตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ หากได้รับความเสียหายหนักหรือถึงขั้นถูกยึด ความสามารถในการป้องกันอาณาจักรโมราโซมอสจะสั่นคลอน เปิดโอกาสให้พวกดาร์คเนสดีวิลเข้าถึงเมืองอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น เช่นเมืองโอมิลรอนและเมืองไดมอนด์เคจ สองเมืองที่ควบคุมเหล่าเชลยศึกดาร์คเนสดีวิลไว้”

          “ซาโมโรว์เป็นจุดส่งกองทัพเรือที่สำคัญที่สุด มีฐานทัพเรือที่ใหญ่ที่สุด หากบุกโจมตีเมืองนี้ได้สำเร็จจริงๆ ทัพเรือของพวกมนุษย์จะไม่สามารถดำเนินแผนบุกชายฝั่งของเราได้ พวกมันไม่มีทางจะบุกไปไหนได้ หากฐานทัพเรือถูกโจมตี” แดโมมิกซ์กล่าว

          “นั่นคือสิ่งที่พวกดาร์คเนสดีวิลเสนอ” กอร์รินพูด “ทั้งพวกเขาและพวกเราต่างก็ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เราปกป้องชายฝั่งจากกองเรือมนุษย์ได้ พวกเขาก็ปลดปล่อยเชลยศึกออกจากที่คุมขังได้ บางที หากแผนการดำเนินไปได้ดีกว่าที่คาดไว้ มันอาจเป็นจุดเริ่มต้น ที่จะพิชิตพวกมนุษย์ทั้งอาณาจักรเลยด้วยซ้ำ”

          ทุกคนมองหน้ากัน นิ่งเงียบอย่างใช้ความคิด ยกเว้นซีราส ท็อกซ์ฟ็อกซ์ที่ยังคงแสดงความไม่พอใจ

          “พวกดาร์คเนสดีวิลคิดว่าซาโมโรว์ตีแตกง่ายๆ หรือไง มันแข็งแกร่งกว่าเมืองอื่นๆ ตั้งอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ดี ถ้าไม่จู่โจมทางเรือก็อย่าหวังจะตีเมืองได้” เขากางแผนที่ลงบนโต๊ะ แล้วทิ่มนิ้วแรงๆ อย่างอารมณ์เสีย “ซึ่งคนทั้งดาวดวงนี้ก็ทราบดีอยู่แล้ว ว่ากองทัพเรือของพวกมนุษย์แข็งแกร่งที่สุด เป็นไปไม่ได้ที่จะบุกถึงฐานทัพเรือซาโมโรว์ ยิ่งพวกดาร์เนสดีวิลไม่มีกองทัพเรือด้วย จะเอาอะไรไปสู้กับพวกมนุษย์ พวกปีศาจจะบุกซาโมโรว์ทางบกอย่างนั้นหรือ” เขายิ้มเยาะ “ได้ถูกเมืองโอมิลรอนที่อยู่ข้างๆ ส่งกำลังพลมาตลบหลังแน่ การที่พวกมนุษย์พิชิตพวกดาร์คเนสดีวิลไม่ได้นั้น ไม่ได้หมายความว่าพวกดาร์คเนสดีวิลจะพิชิตพวกมนุษย์ได้ ถึงอย่างไรพวกมนุษย์ก็ยังเก่งพอที่จะรับมือศัตรูได้ทั้งสองฝ่าย”

          กอร์รินขยำเอกสารในมือเป็นก้อนกลม ขว้างใส่ท็อกซ์ฟ็อกซ์ที่เอี้ยวตัวหลบได้

          “ท่านทำอะไรของท่าน” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ทำหน้านิ่ว

          “ท่านตอบสนองได้รวดเร็วทีเดียว” กอร์รินชม

          “ข้าเคยพบเจอทั้งลูกธนู กระสุนปืน คมอาวุธ คิดว่ากระดาษก้อนเดียวมันจะเกินความสามารถข้าอย่างนั้นหรือ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์หยิบก้อนกระดาษขึ้นมา “ท่านยังไม่ได้บอกเลย ว่าโยนใส่ข้าทำไม”

          กอร์รินหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่ข้างตัว สาดใส่ท็อกซ์ฟ็อกส์ ท็อกซ์ฟ็อกซ์รีบหลบแทบไม่ทัน

          “ท่านบ้าไปแล้วหรือ”

          “ท่านเก่งมากจริงๆ ที่หลบได้ ข้านับถือ” กอร์รินเติมน้ำในแก้ว คว้าเอกสารอีกแผ่นมาขยำเป็นก้อน

          แล้วเขาก็สาดน้ำและขว้างก้อนกระดาษใส่ท็อกซ์ฟ็อกซ์พร้อมกัน ท็อกซ์ฟ็อกซ์หลบก้อนกระดาษได้ แต่ก็ถูกน้ำสาดเข้าเต็มหน้า ทำเอาผมและหนวดเคราเปียก

          “กอร์ริน นี่เจ้าทำบ้าอะไรของเจ้า” เทอร์รินว่าให้

          “ทุกท่าน พวกมนุษย์ก็เหมือนกับซีราส เก่งพอที่จะรับมือกับศัตรูหลายๆ ฝ่ายได้ ตราบที่ศัตรูเหล่ายังไม่ได้มารวมกัน” กอร์รินลูกขึ้นยืนพูด “แต่ถ้าหากศัตรูทั้งหมดของพวกมนุษย์ร่วมมือกัน โจมตีใส่พวกมันพร้อมกัน ด้วยจุดประสงค์และเป้าหมายเดียวกัน คอยเสริมเติมจุดแข็งและทดแทนจุดอ่อนซึ่งกันและกัน ข้าเชื่อว่าพวกมนุษย์จะต้องรับมือไม่ไหว”

          ทุกคนนิ่งเงียบอย่างครุ่นคิด กอร์รินส่งผ้าเช็ดหน้าให้ท็อกซ์ฟ็อกซ์ ที่คว้าไปเช็ดอย่างหงุดหงิด

          “แต่เราทุกคนคงรู้ดี เราไม่คุ้นเคยกับพวกดาร์คเนสดีวิลนัก” เทอร์รินเอ่ยขึ้น “เราแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกนั้น ทั้งการดำเนินงานหรือกลยุทธ์ต่างๆ อาจประสานงานกันลำบาก--”

          “ข้าพอจะคุ้นเคยกับพวกนั้น ข้าขอทำหน้าที่ประสานงานเอง” กอร์รินรีบเสนอ

          “บอกข้าที ว่าเราจะไม่ต้องร่วมงานกับพวกปีศาจ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์พูดอย่างไม่อยากเชื่อ

          “โฮซอร์ เทอร์ริน พี่ชาย” กอร์รินขอร้องอย่างจริงจัง “ข้ารู้ว่าท่านไม่ค่อยไว้ใจให้ข้าทำงานใหญ่ๆ กลัวว่าข้าจะทำผิดพลาด จริงอยู่ที่ข้าไม่เคยทำให้ท่านภูมิใจเลย แต่ได้โปรดให้โอกาสข้าสักครั้ง ให้ข้าได้พิสูจน์ตัวเอง ปฏิบัติการครั้งนี้มันสำคัญต่อความมั่นคงต่อเผ่าพันธุ์ของเรา หากมันล้มเหลว ข้าจะไม่ขอร้องให้ท่านมอบหมายงานใหญ่ให้ข้าอีกเลย”

          เทอร์รินนั่งนิ่งอย่างเคร่งเครียด พยายามตัดสินใจ กอร์รินจ้องมองพี่ชายอย่างเปี่ยมไปด้วยความหวัง

          “เทอร์ริน ไม่” ท็อกซ์ฟ็อกซ์พูดเสียงแข็ง “ทุกคนที่ทำสัญญากับปีศาจ ล้วนมีจุดจบหายนะ--”

          “ตกลง กอร์ริน ข้าจะดำเนินการตามที่เจ้าร้องขอ” เทอร์รินลุกขึ้นยืน “ข้าจะยกกองเรือส่วนหนึ่งไปล่อกองเรือพวกมนุษย์ให้ออกจากฐานทัพเรือซาโมโรว์ เพื่อเปิดทางให้เจ้าและกองเรืออีกส่วนหนึ่ง แน่นอนว่ากองเรือมนุษย์ที่อยู่เฝ้าฐานทัพเรือซาโมโรว์ก็คงยังมีจำนวนมากเกินไปอยู่ดี ฉะนั้นก็ขึ้นอยู่กับการประสานงานของเจ้ากับพวกดาร์คเนสดีวิลแล้ว ว่าจะจัดการยังไง และรายงานแผนข้าด้วย”

          ท็อกซ์ฟ็อกซ์ทำหน้าไม่อยากเชื่อ กอร์รินยิ้มอย่างขอบคุณพี่ชาย

          “ข้าหวังจริงๆ ว่ามันจะสำเร็จ” เทอร์รินพูดอย่างจริงจัง “คงรู้ใช่ไหม ว่าหากปฏิบัติการครั้งนี้ล้มเหลว กองทัพของเราจะได้รับความเสียหายหนัก และอาณาจักรของเราจะอยู่ในภาวะเสี่ยงกว่าเดิม”

          “ท่านจะไม่ผิดหวัง” กอร์รินโค้งศีรษะให้แล้วนั่งลง

          “สำหรับกองเรือส่วนของเจ้า ข้าจะให้กองกำลังของซีราสเป็นกำลังหนุน” เทอร์รินว่าต่อ

          “ทำไมต้องข้า” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ยืนขึ้น

          “เพราะท่านมีความสามารถเรื่องการรบทางทะเลมาก กอร์รินต้องการท่าน” เทอร์รินตอบ “หากเขาต้องบุกฐานทัพเรือซาโมโรว์ เขาก็ต้องได้รับการสนับสนุนที่ดี”

          “อย่างห่วงซีราส ข้าไม่เอาท่านกับกองกำลังของท่านไปยุ่งเกี่ยวกับพวกดาร์คเนสดีวิลหรอก” กอร์รินยิ้มให้ ท็อกซ์ฟ็อกซ์ขมวดคิ้ว “เรารบของเรา พวกเขารบของพวกเขา เรื่องติดต่อประสานงานนั้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”

          “คิดดีแล้วหรือ ที่ตัดสินใจแบบนี้” ท็อกซ์ฟ็อกซ์เตือนเทอร์ริน

          “ข้าเองก็ไม่ได้ไว้ใจพวกดาร์คเนสดีวิล แต่เราไม่มีวิธีอื่นแล้ว” เทอร์รินบอก “เรื่องนี้ชักช้าไม่ได้ ต้องรีบดำเนินการ ก่อนที่กองเรือของพวกมนุษย์จะเริ่มเคลื่อนไหว”

          ท็อกซ์ฟ็อกซ์นั่งลงอย่างขัดอกขัดใจ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อ ผู้นำสูงสุดของเขาตัดสินใจเช่นนี้ เขาก็จะทำตาม ถึงอย่างไรก็จริงที่ว่า มันไม่มีวิธีอื่นแล้ว

          “มาคุยกันเรื่องการจัดแบ่งกองกำลังในปฏิบัติการครั้งนี้ดีกว่า” เทอร์รินนั่งลง หยิบเอกสารบนโต๊ะขึ้นมาดู ทุกคนเริ่มค้นกองเอกสารของตน ท็อกซ์ฟ็อกซ์ยังคงมีทีท่าขัดอกขัดใจ แต่ก็ไม่พูดอะไร ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ เขาก็เคารพการตัดสินใจของเทอร์รินเพื่อนรักเสมอ

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา