พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  43 บท
  0 วิจารณ์
  32.89K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2560 21.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

34) บทที่ 33 ความหวังเลือนหาย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 33

ความหวังเลือนหาย

 

            โซลิแทร์อ่านในแผ่นกระดาษจนจบ แล้วเงยหน้ามองเซซิลกับกัปตันมาซูล ท่ามกลางหิมะโปรยปรายและท้องฟ้าอันมืดครึ้ม บรรยากาศอันทึบทึมนั้นสะท้อนความตึงเครียดได้ดี

            “สารท้ารบจากเทอร์ริน เฮนิเคม ผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อค” เขาบอก “เขาฉลาดและสุภาพกว่าท็อกซ์ฟ็อกซ์เพื่อนของเขา หากดูจากถ้อยคำในจดหมาย แต่สิ่งที่เขาต้องการนั้นก็ไม่ต่างกัน นั่นคือต้องการแก้มือแทนเพื่อนของเขา ขอต่อสู้กับข้าอีกครั้งหนึ่ง ในการต่อสู้แบบเดิม กติกาเดิม สถานที่เดิม เขาและคนของเขาหนึ่งร้อยคน สู้กับข้าและคนของข้าหนึ่งร้อยคน จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะไม่เหลือสักคน และไม่ว่าฝ่ายใดจะชนะในการต่อสู้ครั้งนี้ จะไม่มีการติดใจเอาความต่อกันในเรื่องนี้อีก”

            “นับว่าเฮนิเคมฉลาด เขาต้องการแก้แค้นและกู้หน้าให้เพื่อนผู้ล่วงลับของเขา แต่เขาก็ไม่ต้องการให้มันบานปลายถึงขั้นที่สองเผ่าพันธุ์ต้องทำสงครามกัน” เซซิลประเมิน “จึงจะให้มันจบด้วยวิธีนี้”

            “เขาเรียกร้องอะไรเพิ่มเติมจากการท้าต่อสู้ครั้งนี้ไหม” กัปตันมาซูลถาม

            “หากเขาชนะ เขาขอหนังสือรับรองจากฝ่ายเรา หนังสือที่ยืนยันเหตุการณ์ความเป็นจริงที่เกี่ยวข้องกับพ่อของซีราส ท็อกซ์ฟ็อกซ์ และเอโมลิล แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม” โซลิแทร์ตอบ “เขาต้องการกู้ศักดิ์ศรีให้กับตระกูลของเพื่อน สานต่อสิ่งที่ซีราส ท็อกซ์ฟ็อกซ์ทำไม่สำเร็จ”

            “นึกแล้วว่าเหตุการณ์ทำนองนี้ต้องเกิดขึ้น แม้จะไม่บานปลายถึงขั้นทำสงครามกัน แต่ก็เป็นเรื่องใหญ่โตไม่น้อย” กัปตันมาซูลว่า “รู้ใช่ไหมว่าเมื่อการต่อสู้ครั้งนี้จบลง ไม่แบร์ร็อคก็โฟรเซ็นทิเนลจะต้องเสียผู้นำสูงสุดไป อาจเสียไปทั้งคู่เลยด้วยซ้ำ”

            “แม้หลังจบการต่อสู้จะไม่มีการอาฆาตต่อกัน แต่ระหว่างโฮเซ่และดาร์คเนสดีวิลก็จะไม่มีวันเป็นมิตรกันได้อีก” เซซิลกล่าว “แต่ที่ผ่านมาก็ใช่ว่าเรากับพวกนั้นจะเป็นมิตรอะไรกันนัก”

            “เมื่อมีการเรียกร้องการต่อสู้อย่างลูกผู้ชาย ก็ต้องมีการตอบสนองอย่างลูกผู้ชาย” โซลิแทร์ม้วนแผ่นสาร “ข้าจะตอบตกลงรับคำท้า ท่านสองคนจะร่วมต่อสู้กับข้าอีกครั้งไหม”

            “ท่านจะมีข้าต่อสู้อยู่เคียงข้าง” เซซิลพยักหน้า

            “ท่านว่าอย่างไรข้าก็ว่าตาม” กัปตันมาซูลพยักหน้าเช่นกัน

            “เดลิลวาสฉลาดเป็นบ้า ในที่สุดเขาก็แยกทุกเผ่าพันธุ์ออกจากกันได้สำเร็จ” โซลิแทร์ถอนหายใจ “เขาจะใช้พวกเอลิลเป็นหุ่นเชิด กำจัดศัตรูไปทีละเผ่าพันธุ์ ตามเจตนารมณ์เดิมของเฟลมฟอร์ส”

            “อย่างน้อยเราจะไม่ใช่พวกแรกๆ ที่ถูกกำจัด” กัปตันมาซูลพูดอย่างเด็ดเดี่ยว “ในตอนนี้เราแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศัตรูทั้งหมดของเดลิลวาส หากเราปักหลักสู้ในพื้นที่ เขากำจัดเราไม่ได้ง่ายๆ แน่”

            “พวกเอเลนเซฟเวอรี่คือกองกำลังที่สำคัญที่สุดของเรา ทัพอากาศคือจุดแข็งที่สุดของเรา” เซซิลพูด “เป็นหน่วยรบที่เราทุ่มเทพัฒนามากที่สุด เชื่อว่ามันจะต้องคุ้มค่า”

            “เป็นดังที่ข้าประเมินไว้ก่อนหน้านี้ ในตอนนี้พวกเอเลนเซฟเวอรี่มีจำนวนหลายพัน และทุกตัวล้วนมีเกราะสวม” โซลิแทร์บอก “โครงการรถม้าศึกอากาศก็จวนจะพร้อมใช้งาน เมื่อเราได้รถม้าศึกอากาศจากเมืองฟรอสท์ดีวิลมาเพียงพอ ทัพอากาศจะมีแสนยานุภาพมากขึ้นอีก”

            “ต้องระมัดระวังไม่ให้มีอะไรผิดพลาดเกี่ยวกับทัพอากาศของเรา เพราะมันมีความสำคัญมาก แทบทุกกลยุทธ์สงครามของเราล้วนมีทัพอากาศเป็นตัวแปรหลัก” เซซิลเสริม “มันเปรียบเสมือนปีกอันแข็งแกร่งของเรา เป็นเหตุผลส่วนใหญ่ที่ทำให้พวกเอลิลยังพิชิตเราไม่ได้”

            “มีอีกเรื่องที่น่าสนใจ” โซลิแทร์ว่าต่อ “ข้าได้รับแจ้งจากหน่วยสอดแนมถึงการเคลื่อนไหวของพวกเอลิล พวกนั้นส่งกองกำลังมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรกาโกคอล คาดว่าจะไปถึงในอีกไม่กี่วัน ไม่มีอาวุธหนัก ไม่มีเครื่องกลสงคราม ไม่มีกองทหารม้า แต่ก็มีจำนวนไม่น้อย ทหารทั้งหมดก็สวมเกราะติดอาวุธ แน่นอนว่าจะต้องไปรบ”

            “กาโกคอลกำลังจะต้องรับศึก” เซซิลพูด “คิดว่าพวกฟอเรสเทอร์สู้ลำบากไหม”

            “ในเมื่อพวกเอลิลมีแต่กองทหารราบและเคลื่อนพลตรงเข้าไปในป่าแบบนั้น น่าจะเข้าทางถนัดพวกฟอเรสเทอร์ พวกผีได้ถูกซุ่มยิงจากในแมกไม้ตายหมดแน่” กัปตันมาซูลวิเคราะห์ “น่าสงสัยว่าทำไมพวกเอลิลไม่ตระหนักถึงประเด็นนี้”

            “หากวัดตามประสิทธิภาพในการทำงานของสมองแล้ว เอลิลถือเป็นเผ่าพันธุ์ที่สมองมีประสิทธิภาพมากที่สุด จึงเป็นเหตุให้หลายคนกล่าวว่า เอลิลเป็นเผ่าพันธุ์ที่ฉลาดที่สุดในดาวดวงนี้” โซลิแทร์พูด “อีกทั้งในตอนนี้เอลิลถูกควบคุมโดยคนจากเฟลมฟอร์ส เผ่าพันธุ์ที่มีความสามารถทางสงครามมากที่สุด พวกท่านคิดหรือว่าฝ่ายนั้นจะไม่ตระหนักว่า ไม่ควรส่งกองกำลังเข้าไปให้พวกฟอเรสเทอร์ยิงตายในป่าง่ายๆ”

            “ท่านจะบอกว่าพวกนั้นมีแผนซ่อนอยู่หรือ”

            “มีแน่ๆ และคงเป็นแผนที่พวกฟอเรสเทอร์คาดไม่ถึงด้วย ข้าเชื่อว่าเมื่อเกิดการปะทะกัน พวกฟอเรสเทอร์จะต้องประหลาดใจ เซ็ทซาร์ดเดลิลวาสมักมีสิ่งทำให้ศัตรูของเขาประหลาดใจอยู่เสมอ”

            “ท่านลอร์ดมืดแบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม” ดีเซ็นทรีคนหนึ่งตะโกนลงมาจากกำแพงชั้นแรก “เซ็ทซาร์ดอยู่ข้างหน้าเราครับ มาคนเดียว”

            โซลิแทร์ เซซิล และกัปตันมาซูล รีบกระโจนขึ้นบันไดกำแพงอันสูงลิบลิ่ว กว่าจะหอบชุดเกราะหนักๆ ขึ้นไปถึงบนเชิงเทินก็ทำเอาหายใจไม่เป็นจังหวะ พวกนักรบดาร์คเนสดีวิลจำนวนมากมายก็ขึ้นไปประจำที่บนกำแพงทั้งสามชั้น เบื้องหน้ากำแพงชั้นแรกห่างออกไปไกล เดลิลวาสขี่ฟาดาราสตัวหนึ่งบินทะลุเกราะมนต์ดำเข้ามา เขามาโดยลำพังจริงๆ ด้วย ไม่มีกองกำลังติดตามมาแม้แต่คนเดียว

            “เขาผ่านพวกหน่วยลาดตระเวนเข้ามาได้ยังไง” เซซิลถามอย่างแปลกใจ

            โซลิแทร์เพ่งมองออกไป พอเห็นร่างเอเลนเซฟเวอรี่หัวขาดอยู่ไกลๆ  ชัดเจนเลยว่าเดลิลวาสขี่ฟาร์ดาราสบุกเข้ามาตรงๆ และจัดการกับพวกเอเลนเซฟเวอรี่ลาดตระเวนด้วยดาบของตน

            “เขามาที่นี่แค่คนเดียว ต้องการอะไรกันแน่” โซลิแทร์กระซิบ

            เดลิลวาสหยุดพาหนะให้บินอยู่กลางอากาศ ท่าทางไม่รีบร้อน ดวงตาที่มีแสงนั้นจับจ้องมาที่โซลิแทร์แสดงความเป็นต่อ โซลิแทร์รู้สึกใจไม่ดี อีกฝ่ายมีแผนอะไร

แล้วเดลิลวาสก็ชูวัตถุชิ้นหนึ่งให้พวกดาร์คเนสดีวิลได้เห็น มันคืออัญมณีสีขาวหยาบๆ ที่ยังไม่ได้เจียรนัย มีอักษรภาษาดาร์เคนสองสามตัวสลักอยู่ เดลิลวาสอ่านอักษรดาร์เคนเหล่านั้น อัญมณีเปล่งแสงสีขาวออกมาทันที ความกลัวและความกังวลของโซลิแทร์พุ่งขึ้นมาเต็มที่ เขารู้แล้วว่าวัตถุสีขาวนั่นคืออะไร

            “ปีกแห่งความมืด จงถูกสยบ” เดลิลวาสประกาศก้อง

            ทันทีที่เขาพูดจบ เอเลนเซฟเวอร์รี่ทุกตัวในฐานทัพก็นิ่งเป็นหิน ดวงตาที่มีแสงสีเขียวของพวกมันดับลง เหลือแต่ความว่างเปล่า แล้วพวกมันทั้งหมดก็กางปีกพร้อมใจกันทะยานบินขึ้นฟ้าออกนอกฐานทัพ หายลับไปจากสายตา บ้างก็ลากรถม้าศึกอากาศขึ้นไปด้วย พวกดาร์คเนสดีวิลได้แต่เลื่อนกระบังหมวกเกราะขึ้นและมองตามไปอย่างนิ่งอึ้ง หยุดยั้งอะไรไม่ได้ กัปตันมาซูลอ้าปากค้างหุบไม่ลง เซซิลยืนนิ่งพูดอะไรไม่ออก เอเลนเซฟเวอรี่กลุ่มแล้วกลุ่มเล่าบินข้ามกำแพงจากไป

          สิ่งที่เดลิลวาสใช้คืออัญมณีขาวแห่งไซคัส ที่ลินเลนธันเคยใช้สยบพวกเอเลนเซฟเวอรี่ เอเลนเซฟเวอรี่ทุกตัวจะถูกสะกดให้ไปรวมกันอยู่ที่อัญมณีอีกชิ้นหนึ่งในสภาพถูกแช่แข็ง อัญมณีอีกชิ้นที่ถูกเฝ้าระวังอย่างปลอดภัยในฐานทัพเดธแอเรีย ไม่ใช่แค่เอเลนเซฟเวอรี่ในเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดเท่านั้น เอเลนเซฟเวอรี่ทุกตัวในเมืองฟรอสท์ฟลาย เมืองที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์เอเลนเซฟเวอรี่ ก็ล้วนถูกสะกดบินไปไอซ์เมสหมด ไม่ว่าเอเลนเซฟเวอรี่ตัวใดก็ไม่มีทางรอดพ้นจากคำสาปนี้ได้ พวกดาร์คเนสดีวิลได้แต่ยืนมองกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตน กองกำลังที่ตนทุ่มเทพัฒนามากที่สุด กองกำลังที่เป็นความหวังสูงสุดของตน บินหายไปต่อหน้าต่อตา

            มีเพียงเอเลนเซฟเวอรี่สีดำพาหนะของโซลิแทร์เท่านั้นที่ไม่ต้องคำสาป เพราะมันไม่ใช่เอเลนเซฟเวอรี่แท้ มันมีเลือดผสมของมังกรดำ นั่นคือหนึ่งตัว ที่เหลือจากบรรดาเอเลนเซฟเวอรี่หลายพันตัว ในตอนนี้พวกดาร์คเนสดีวิลเริ่มรู้สึกถึงความกลัวและความสิ้นหวัง ยิ่งเอเลนเซฟเวอรี่บินข้ามหัวพวกเขาไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนความหวังถูกกระชากหายไปมากเท่านั้น พวกเขาตระหนักแล้วว่าตนมีเอเลนเซฟเวอรี่มากแค่ไหน พวกมันบินข้ามหัวพวกเขาไปไม่หมดไม่สิ้น ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกทรมาน รู้อยู่เต็มอกว่าพวกมันทั้งหมดกำลังจากไป โดยที่พวกเขาทำอะไรไม่ได้เลย

            เดลิลวาสเก็บอัญมณี หันไปยิ้มเยาะให้โซลิแทร์ที่ยืนนิ่งเป็นหิน แล้วสะบัดบังเหียนพาหนะมุ่งหน้าจะกลับไอซ์เมส

            ไม่ต้องหยุดคิดอีกแล้ว โซลิแทร์กระโดดลงจากกำแพง เอเลนเซฟเวอรี่สีดำบินมารับ เขาชักดาบออกมาไล่ตามเดลิลวาสไปทันที หากทำลายอัญมณีที่อยู่กับเดลิลวาสได้ พวกเอเลนเซฟเวอรี่ก็จะหลุดพ้นจากคำสาป เขากับเอเลนเซฟเวอรี่สีดำของเขาเป็นสิ่งเดียวที่ยังพอมีโอกาสไล่ตามเดลิลวาสทัน เป็นสิ่งบินได้สิ่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่

            “ท่านลอร์ด อย่า” เซซิลตะโกนไล่หลัง

            “เร็วเข้า เราต้องรีบตามเขาไป เขาสู้เดลิลวาสคนเดียวไม่ไหว ใครก็ได้เตรียมม้าให้ข้าที” กัปตันมาซูลตะโกน

            โซลิแทร์ไล่ตามเดลิลวาสด้วยความเร็วเต็มพิกัด เดลิลวาสจะเร่งความเร็วหนีก็ได้ แต่เขากลับหยุดพาหนะ ชักดาบคู่หันมาพร้อมต่อสู้

            ดาบของโซลิแทร์กับดาบของเดลิลวาสปะทะกันอย่างรุนแรงจนเกิดประกายไฟเมื่อพาหนะสวนกัน ทั้งคู่บังคับพาหนะให้หันกลับแล้วบินเข้าปะทะกันอีกครั้ง ดาบฟาดฟันใส่กันขณะที่พาหนะก็เหวี่ยงกรงเล็บฟาดหางใส่กันเต็มที่ ทั้งสองฟาดฟันอาวุธใส่กันไป และพยายามทรงตัวอยู่บนพาหนะที่เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาเพราะพวกมันก็สู้กันด้วย ต่อสู้บนพาหนะขนาดใหญ่เช่นนี้ดาบยาวๆ ของโซลิแทร์ได้เปรียบ แต่เดลิลวาสก็ดูไม่เสียเปรียบสักนิด สองมือจับดาบคู่ทรงตัวอยู่บนอานพาหนะอย่างชำนาญ โซลิแทร์แทงใส่ เขาก็ใช้ดาบเล่มหนึ่งปัดป้องออกไปและแทงอีกเล่มสวนกลับ โซลิแทร์เอียงตัวหลบและกวาดดาบเป็นวงกว้างในระดับลำตัวของอีกฝ่าย มุมนี้หลบยาก ปัดป้องได้อย่างเดียว แต่เดลิลวาสก็หลบได้ด้วยการถอดเท้าออกจากโกลนและใช้แขนยันตัวเองให้ลอยขึ้นกลางอากาศ ดาบของโซลิแทร์จึงฟันลอดใต้ตัวเขาไป ขณะที่ลอยตัวอยู่นั้น มือทั้งสองก็แทงดาบสองเล่มใส่โซลิแทร์ไขว้กันเป็นกากบาท โซลิแทร์เอนคอหลบ แล้วก็ต้องเอนหลบอีกในท่ากึ่งสะพานโค้ง เมื่อเดลิลวาสกวาดดาบสองเล่มออกจากกันในลักษณะของกรรไกร ช้ากว่านี้นิดเดียวคอขาดไปแล้ว โซลิแทร์เหวี่ยงดาบในมุมเฉียงขึ้นทางซ้าย เดลิลวาสใช้ดาบในมือซ้ายรับไว้ มือขวาแทงดาบอีกเล่มสวนกลับ โซลิแทร์เอียงหลบ ควงดาบหนึ่งรอบเงื้อขึ้นเหนือหัว แล้วฟันลงมาใส่เดลิลวาสในแนวตรง เดลิลวาสไขว้สองดาบเป็นกากบาทเหนือศีรษะรับไว้ได้ แล้วด้วยความรวดเร็วมาก เดลิลวาสก็หมุนข้อมือม้วนดาบของตนทั้งสองเล่มขึ้นไปไขว้กันเป็นกากบาทคว่ำอยู่เหนือดาบของโซลิแทร์ แล้วกดลงต่ำ ทำให้โซลิแทร์เสียหลักเอนมาข้างหน้าพร้อมกับดาบที่ถูกกดลงต่ำออกนอกทิศทาง ลักษณะเหมือนครั้งที่เขาเคยสู้กับเดลิลวาสบนพื้นดินไม่มีผิด และเป็นกลยุทธ์ที่อีกฝ่ายใช้ปราบเขาเสียด้วย ขาหุ้มเกราะเหล็กข้างหนึ่งของเดลิลวาสเตะเสยเข้าที่หน้าอกและต้นแขนทั้งสองข้างของโซลิแทร์ ครั้งนี้มันไม่รุนแรงนักเพราะทั้งคู่ขี่พาหนะบินต่อสู้อยู่กลางอากาศ มุมไม่เอื้ออำนวย แต่เสียงเกราะของโซลิแทร์ที่ถูกกระแทกดังสนั่นก็บ่งบอกว่ามันไม่ได้เบาๆ เหมือนกัน โซลิแทร์ชะงักไปหนึ่งจังหวะ แล้วก็เป็นหนึ่งจังหวะที่เดลิลวาสกวาดดาบสองเล่มกระจายออกจากกันในลักษณะของกรรไกร ปลายดาบทั้งสองเล่มตัดเฉือนเข้าที่อกเสื้อนอกและเสื้อเกราะของโซลิแทร์ ไม่ลึกถึงขั้นอันตรายมาก แต่ก็ทำเอาหยาดเลือดสีดำของเขากระเซ็นออกมา เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาโดนแบบนี้ เพียงแต่ครั้งนี้เขาขี่พาหนะบินอยู่บนฟ้า แล้วเขาก็กำลังเสียหลักหงายหลังตกจากพาหนะ

            โชคดีที่หิมะบนพื้นหนา และพาหนะบินไม่สูงมาก โซลิแทร์จึงไม่ได้รับอันตรายจากการตกลงมานัก แต่ก็ถึงกับนอนมึนงงลุกไม่ขึ้นทีเดียว เลือดจากบาดแผลกระเซ็นไปบนหิมะสองสามหยด

            “ท่านลอร์ด” กัปตันมาซูลขี่ม้าปีศาจตรงมาหา ที่ตามมาติดๆ คือรถม้าศึกของเซซิล พร้อมกับกองทหารม้าและรถม้าศึกดาร์คเนสดีวิล

            เดลิลวาสที่ขี่ฟาร์ดาราสบินอยู่บนฟ้าส่งยิ้มเยาะให้โซลิแทร์อีกครั้ง แล้วสะบัดบังเหียนบินจากไปอย่างผู้ชนะ โซลิแทร์ได้แต่นอนหมดสภาพมองตามไป พวกเอเลนเซฟเวอรี่ที่ถูกสะกดยังคงบินผ่านไปไม่หยุด เขาหลับตาลงอย่างเจ็บปวด เดลิลวาสเอาส่วนสำคัญที่สุดของกองทัพดาร์คเนสดีวิลไปแล้ว และเขาก็ไม่มีปัญญาจะหยุดยั้งอะไรได้ อีกฝ่ายเหนือกว่าเขา เขาพยายามสู้ แล้วก็แพ้อีกครั้ง

            “ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม” เซซิลเข้ามาดูอาการ ถอดหมวกเกราะออก

            “บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” กัปตันมาซูลเลื่อนกระบังหมวกเกราะขึ้น

            “หายไปหมดแล้ว” โซลิแทร์กระซิบ แม้จะสวมหน้ากาก แต่ทุกคนก็เดาออกว่าสีหน้าของเขาเศร้าหมองยิ่งนัก “หน่วยรบสำคัญของเรา ส่วนที่ทำให้เราแข็งแกร่งมากที่สุด ส่วนที่เป็นความหวังของเรามากที่สุด มันหายไปหมดแล้ว”

            เซซิลและกัปตันมาซูลไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่รอบๆ ก็เช่นกัน พวกเขาได้แต่ยืนมองพวกเอเลนเซฟเวอรี่บินจากไปเรื่อยๆ บินผ่านไป บินผ่านไป จนกระทั่งเหลือไว้เพียงความเงียบเมื่อสิ้นเสียงกระพือปีกของพวกมัน

 

***************

 

          แอเมน่าและเซ็นแวนเดอร์รีบนำกำลังไปสมทบกับเหล่าวูดส์วาร์เด็นในป่าดงดิบนอกเมืองเมื่อได้รับแจ้งว่ามีเอลิลจำนวนมากเคลื่อนพลตรงเข้ามา เลือกวันและเวลาค่อนข้างเหมาะสม ยามนี้เป็นยามใกล้เที่ยง อากาศหนาวจัด แต่ก็มีแสงแดดสว่างจ้า แสงแดดแรงๆ จะรบกวนสายตากลางคืนของพวกฟอเรสเทอร์อย่างมาก ทหารเอลิลทุกคนสวมเกราะติดอาวุธ ไม่มีอาวุธหนักหรือเครื่องกลสงครามใดๆ ไม่มีทหารม้า มีเพียงม้าผีที่ใช้ลากเกวียนสองสามเล่ม มีแท่นติดล้อถูกลากมาด้วย ไม่รู้ว่าเป็นแท่นอะไรเพราะมันถูกผ้าคลุมไว้

          “เห็นวี่แววกำลังเสริมของฝ่ายตรงข้ามไหม” แอเมน่าปีนขึ้นไปบนต้นไม้ไปอยู่ข้างๆ ไมริฟ

          “ไม่พบค่ะ” ไมริฟตอบ “ข้าศึกยกพลมาเพียงเท่านี้”

          “ไม่ได้มีจำนวนน้อยๆ แต่ก็ไม่ได้มากอย่างที่คิด มีเพียงทหารราบและอาวุธทั่วไป” แอเมน่าประเมิน

          “ไลคอลี่ทราบเรื่องนี้หรือยังคะ” ไมริฟถามต่อ

          “ป่านนี้นกเหยี่ยวคงนำสารถึงถึงเขาแล้ว เขาคงรีบกลับมาจากเมืองกากูลทันที” แอเมน่าบอก “ทุกคนประจำที่ให้พร้อม เราจะซุ่มยิงข้าศึกจากในป่าเหมือนเคย พวกนั้นจะมาถึงในอีกสิบนาทีโดยประมาณ”

            เซ็นแวนเดอร์และกองกำลังฟอเรสเทอร์ทั้งหมดปีนขึ้นต้นไม้แต่ละต้น พรางกายในมุมมืด แม้ภายนอกจะแดดแรง แต่ในป่าดงดิบที่พวกเขาอยู่ก็มีแสงส่องผ่านน้อย สายตากลางคืนของพวกเขายังเฉียบคมเหมือนเดิม หากข้าศึกเข้ามาในป่า พวกเขาก็พร้อมจะโปรยธนูใส่ ในตอนนี้หัวธนูของพวกฟอเรสเทอร์ทำด้วยโลหะแล้ว มันสามารถยิงทะลุเกราะของพวกเอลิลได้

            “ทุกคนอย่าเพิ่งยิงจนกว่าข้าจะสั่ง” แอเมน่าบอก “รอให้ข้าศึกเข้ามาในป่ากันให้หมด แล้วเราจะล้อมพวกนั้นไว้ ระดมยิงใส่จากทุกทิศทุกทาง”

            ทุกคนจึงเฝ้ารออย่างเงียบเชียบ คอยพวกเอลิลเข้ามาในป่า ไมริฟยังไม่ชักกริชออกมาเพราะมันค่อนข้างเงา อาจเป็นที่สังเกตของศัตรู วันนี้เธอกำลังจะได้ประเดิมอาวุธชิ้นใหม่นี้

            แล้วพวกเอลิลก็เคลื่อนพลเข้ามาในป่า จุดคบไฟเพื่อให้มองเห็นทางชัดขึ้น เกวียนแต่ละเล่มถูกจัดให้เรียงแถวกันเพื่อให้ผ่านช่องระหว่างต้นไม้ในป่าได้ พวกฟอเรสเทอร์ยังคงเฝ้ารออยู่ตามต้นไม้ จับตามองข้าศึกทุกย่างก้าว จนกระทั่งพวกเอลิลเข้ามาในป่ากันหมดแล้ว แอเมน่าก็ส่งสัญญาณให้พวกฟอเรสเทอร์เข้าล้อมได้ ฟอเรสเทอร์แต่ละคนไต่ข้ามต้นไม้แต่ละต้นไปอย่างเงียบเชียบ ตีวงล้อมอีกฝ่ายแบบไม่ให้รู้ตัว พวกเอลิลก็คงพอรู้ว่าตนถูกล้อม แต่ก็ยังเคลื่อนพลต่อไปอย่างใจเย็น เมื่อได้ตำแหน่งเหมาะสม แอเมน่าก็นำธนูออกมาขึ้นสาย ฟอเรสเทอร์คนอื่นๆ ก็ทำตาม เป็นการขึ้นสายธนูของคนจำนวนมากที่เงียบเชียบมาก ไม่ต่างจากเสียงลมพัดกิ่งไม้เบาๆ เลย ธนูทุกดอกเล็งไปที่กองกำลังเอลิลจากทุกทิศทุกทาง

            แล้วพวกเอลิลก็หยุดเคลื่อนพล ทหารเอลิลบางส่วนหยิบของออกจากเกวียนกันคนละชิ้น มันคือตะเกียงดวงใหญ่ที่มีรูปลักษณ์แปลกๆ มีกระจกเพียงหนึ่งด้าน ซึ่งก็มีรูปร่างโค้ง ส่วนด้านอื่นๆ กลับทึบและติดกระจกสะท้อนไว้ด้านในโดยรอบ ส่วนที่ใช้จุดไฟก็มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ พวกเอลิลจุดตะเกียงเหล่านั้นขึ้นมา แสงสว่างจ้าส่องออกมาจากตะเกียงเป็นลำ พวกฟอเรสเทอร์ถึงกับตาพร่าเมื่อแสงสว่างจ้าส่องมากระทบตาตน พวกเอลิลที่ถือตะเกียงชนิดนี้ต่างถือโล่กระจายกันล้อมรอบกองกำลังของตนไว้ ฉายแสงตะเกียงออกไปทุกทิศทุกทาง

            “ยิง” แอเมน่าตะโกน ปล่อยลูกธนูที่ขึ้นสายออกไป

            พวกฟอเรสเทอร์ยิงธนูเข้าโจมตีเป้าหมาย แต่เป้าหมายมีแสงส่องอยู่รอบด้าน ทำให้ความแม่นยำของพวกเขาไม่เฉียบคมเหมือนที่ควรเป็น ธนูยิงไปก็ถูกขวางด้วยโล่ ความรุนแรงเฉียบขาดของมันลดทอนลงจนอีกฝ่ายกำบังหลบหลีกได้ไม่ยาก มีเพียงทหารเอลิลไม่กี่คนที่ถูกธนูยิงตาย แน่นอนว่าพวกเอลิลไม่ยอมถูกยิงฝ่ายเดียวแน่ พวกทหารที่มีปืนยาวต่างประทับเล็งสวนกลับมา พวกที่ถือตะเกียงก็กราดส่องไฟให้เห็นเป้าหมายชัดๆ การที่พวกฟอเรสเทอร์ยิงโจมตีก่อนนั้น เป็นการเปิดเผยตำแหน่งให้พวกเอลิลทราบเสียด้วย

            ปืนยาวทุกกระบอกลั่นไกดังสนั่น ฟอเรสเทอร์จำนวนมากถูกยิงตายร่วงตกจากต้นไม้ พวกฟอเรสเทอร์ใช้กลยุทธ์เดิมคือย้ายตำแหน่งปีนต้นไม้หนี แต่แสงตะเกียงก็ส่องตามพวกเขาไปไม่ให้คลาดสายตา จะปีนตันไม้เร็วแค่ไหนก็ไม่มีทางจะเร็วสู้แสงได้ ซึ่งตะเกียงชนิดนี้ก็มีพลังแสงมากจริงๆ มันรวมแสงส่องมาเป็นลำสว่างจ้า หากหันไปมองปะทะลำแสง สายตากลางคืนของพวกเขาจะพร่าลายจนมองอะไรไม่เห็น

            “อย่ามองที่แสงตรงๆ และอย่าให้ข้าศึกฉายแสงโดน จะกลายเป็นเป้าหมาย” แอเมน่ายิงธนู แล้วรีบกระโดดไปเกาะต้นไม้อีกต้น

            พวกฟอเรสเทอร์กับพวกเอลิลยิงต่อสู้กันอย่างดุเดือด พวกฟอเรสเทอร์ปีนป่ายต้นไม้ระดมยิงใส่ พวกเอลิลส่องไฟหาแล้วยิงตอบโต้ ประกอบโล่กันเป็นแนวกำบังแล้วเล็งปืนพาด กลยุทธ์เดียวกับที่ใช้ในเมืองโอมิลรอน เป็นกลยุทธ์ที่พวกเอลิลใช้ยิงปักหลักสู้กับศัตรูที่อยู่ในตำแหน่งสูงกว่าและมีที่กำบัง

          ปืนอาจยิงได้แรงกว่าและไกลกว่าธนู แต่มันก็เสียเวลาบรรจุกระสุนมากกว่าหลายเท่า พวกฟอเรสเทอร์ยังคงอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า ล้อมอยู่รอบด้าน ต่อสู้ในพื้นที่ที่ตนถนัด แม้จะถูกรบกวนด้วยแสง แต่เมื่อพวกเขาตั้งตัวได้แล้ว สถานการณ์ก็ไม่ได้เสียเปรียบเลย สำหรับเรื่องซุ่มยิงต่อสู้นั้นพวกเขายังเก่งที่สุด ทหารเอลิลจำนวนมากเริ่มลงไปนอนตายโดยมีธนูปักที่ตัว

          แล้วพวกเอลิลก็ดึงผ้าออกจากแท่นติดล้อที่นำมาด้วย มันคือแท่นน้ำพุที่มีข้อความภาษาดาร์เคนจารึกอยู่ตามขอบบ่อ ทหารเอลิลคนหนึ่งวางรูปปั้นทรงสูง รูปปีกนกสยาย มีวงแหวนอยู่ข้างบน ลงบนยอดแท่นน้ำพุ ฉับพลันทันใด ข้อความที่สลักอยู่ตามขอบบ่อก็เรืองแสงขึ้น บ่อน้ำพุมีน้ำไหลออกมาเอง

          พวกเอลิลนำถังเล็กๆ ตักน้ำจากแท่นน้ำพุที่เติมเต็มตลอดเวลา สาดมันใส่โคนต้นไม้แต่ละต้น วินาทีต่อมา ต้นไม้ที่ถูกสาดก็ถอนรากเอนล้มลงมาเสียง่ายๆ พวกฟอเรสเทอร์ที่ปีนอยู่บนต้นไม้ตกลงมาถูกยิงถูกฟันแทงตาย บางคนปีนหนีไม่ทันก็ถูกต้นไม้ทับ ต้นไม้ที่เซ็นแวนเดอร์ปีนอยู่ก็โค่นล้มลงมาเช่นกัน เขาล้มกลิ้งไปบนพื้นดิน รีบหมุนตัวลุกขึ้นยิงธนูจัดการทหารเอลิลคนหนึ่งที่ถือดาบบุกเข้ามาหา ก้มหัวหลบกระสุนนัดหนึ่งแล้วพุ่งตัวหลบเข้าไปในป่า พวกทหารเอลิลเริ่มทำการโค่นต้นไม้เปิดทางง่ายๆ ด้วยน้ำในบ่อน้ำพุคำสาป ความหนาทึบของป่าเริ่มลดลงภายในเวลาอันรวดเร็ว แสงแดดเริ่มส่องผ่านเข้าไปในพื้นที่ได้มากขึ้น

          “นี่มันอะไรกัน” ไมริฟแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง “พวกเอลิลทำอย่างนั้นได้ยังไง”

          “วัตถุที่มีพลังงานสูงอีกชิ้นของพวกไซคัส” แอเมน่าพูดไปยิงธนูไป “กองกำลังเอลิลชุดนี้ไม่ได้มาเพื่อรบ แต่มาเพื่อถางป่าเปิดทาง”

          “ถ้าป่ามีช่องว่าง เมืองหลวงของเราจะไม่มีอะไรขวาง” ไมริฟร้อง ชักกริชออกมา “ต้นไม้ที่ถูกถางไปมันไม่ได้งอกขึ้นมาง่ายๆ กว่ามันจะโตมาขนาดนี้ได้ ใช้เวลาไม่รู้กี่ปี ข้าศึกกลับโค่นมันลงง่ายๆ แบบนี้”

          “ไมริฟ ห้ามลงจากต้นไม้” แอเมน่าสั่ง

          “แต่ท่านหัวหน้าเผ่าคะ”

          “พวกเอลิลจัดขบวนกันแน่นหนา ฝ่ายเราก็ไม่เก่งเรื่องการต่อสู้ระยะประชิด แล้วบริเวณนั้นก็เริ่มถูกถางจนโล่ง แสงส่องผ่านได้มาก” แอเมน่าชี้แจง “เจ้านำกำลังบุกเข้าไป ได้ตายกันหมดแน่”

          พวกเอลิลจัดขบวนอย่างเป็นระเบียบ คอยกำบังและยิงตอบโต้พวกฟอเรสเทอร์ขณะเคลื่อนพลเดินหน้าถางป่าเปิดทางไปเรื่อยๆ ป่าเริ่มมีช่องโหว่เป็นทางยาวกว้างๆ พวกฟอเรสเทอร์ได้แต่ยิงธนูเข้าโจมตีอีกฝ่าย ชะลอได้บ้าง แต่หยุดยั้งอะไรไม่ได้ เมื่อป่าที่อยู่รอบตัวพวกเอลิลถูกถางให้โล่งขึ้น พวกฟอเรสเทอร์ก็ยิ่งหาตำแหน่งยิงได้ยากขึ้น ยิ่งชะลอพวกเอลิลได้ยากขึ้นอีก

          “ท่านหัวหน้าเผ่า เราต้องทำอะไรสักอย่างแล้วค่ะ” ไมริฟว่า “ยิงสู้กันอย่างนี้หยุดยั้งอะไรข้าศึกไม่ได้ โปรดให้ข้านำกองกำลังเข้าปะทะกับพวกนั้นด้วยค่ะ”

          “มันอันตรายเกินไปนะไมริฟ”

          “ได้โปรดเถอะค่ะ ยิ่งช้า ป่ายิ่งถูกถาง ข้าทนไม่ได้”

          แอเมน่าถอนหายใจแล้วพยักหน้าให้ไมริฟ ไมริฟไต่ลงจากต้นไม้ทันที

          ไมริฟนำกองกำลังฟอเรสเทอร์ที่ใช้อาวุธระยะประชิดบุกเข้าปะทะกองกำลังเอลิล รวมทั้งนักธนูฟอเรสเทอร์บางส่วนก็บุกเข้าไปยิงในระยะใกล้ แต่เนื่องด้วยฟอเรสเทอร์ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่ถนัดเรื่องการต่อสู้ประชิดตัวนัก ทุกคนเป็นนักรบเกราะเบา สวมเกราะหนัง เน้นความคล่องตัวสำหรับการโจมตีแบบฉาบฉวย ขณะที่อีกฝ่ายล้วนเป็นนักรบเกราะหนัก สวมเกราะเหล็ก มีดาบมีโล่พร้อมสำหรับการต่อสู้แบบปะทะตรง เข้าไปต่อสู้ในลักษณะนี้ยิ่งเสียเปรียบพวกพวกเอลิล การถางป่าถูกชะลอลงเพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีแนวโน้มว่าจะหยุดยั้งได้ พวกเอลิลรักษารูปขบวนได้อย่างแข็งแกร่ง ต่อสู้ป้องกันพวกฟอเรสเทอร์ที่บุกเข้าหา นักรบฟอเรสเทอร์ที่เข้าไปต่อสู้นั้นล้มตายไปมากมาย การต่อสู้แบบประจัญบานไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมกับพวกฟอเรสเทอร์เลย พวกเอลิลฉลาดที่บีบให้มีการต่อสู้ในลักษณะนี้

          “ไมริฟ ถอยออกมา” แอเมน่าตะโกนสั่ง

          ไมริฟถอนกริชออกจากหน้าอกทหารเอลิลคนหนึ่ง แล้วนำกองกำลังที่เหลือถอยกลับเข้าป่า เธอได้รับบาดแผลจากการต่อสู้เล็กน้อย ขนนกบนศีรษะก็ขาดแหว่ง แอเมน่าไต่ลงไปหาเธอ เธอส่ายหน้าอย่างหมดหวัง หันไปมองพวกเอลิลจัดแถวเดินหน้าถางป่าต่อไป

          “ต้นไม้ไม่รู้กี่ต้นถูกโค่นล้มลงไป ป่าที่ข้าปกป้องมาตลอดกลายมาเป็นสภาพนี้” ไมริฟกระซิบ “อีกไม่นาน ข้าศึกก็จะถางเปิดทางจนไปถึงเมืองหลวงกาโกคอล ข้าหยุดยั้งอะไรไม่ได้”

          “ท่านหัวหน้าเผ่า” เซ็นแวนเดอร์วิ่งมารายงานเร็วๆ เกราะหนังตามแขนขามีรอยถูกกระสุนเฉี่ยว บางรอยก็มีเลือดไหลซึม “ทางข้าหามุมยิงแทบไม่ได้แล้ว ข้าศึกโค่นต้นไม้ที่อยู่ใกล้ตัว แนวซุ่มยิงจึงถูกเพิ่มระยะให้ห่างขึ้นอีก แสงก็เยอะเกินไป เราไม่รู้จะหยุดยั้งอย่างไร ได้แต่คอยตามประกบยิงไปเรื่อยๆ ในมุมที่ข้าศึกกำบังได้สะดวก”

          “ข้าศึกถางป่าเปิดทางมาได้ไกลแล้ว อีกไม่นานมันคงจะเปิดทางไปสู่เมืองหลวงกาโกคอล” แอเมน่าพูดเสียงเครียด “ถ้าพวกเอลิลทำสำเร็จ พวกนั้นก็จะมีทางโล่งสำหรับให้ทัพใหญ่เคลื่อนผ่านไปถึงเมืองหลวงของเราได้เลยทีเดียว”

          เซ็นแวนเดอร์กับไมริฟสีหน้าไม่ดีกันทั้งคู่

          “ป่านอกเมืองเป็นเสมือนปราการธรรมชาติของเรา เราใช้มันปกป้องอาณาจักรมาช้านาน ไม่คาดคิดว่าข้าศึกจะมีวิธีถางป่าได้ง่ายดายเช่นนี้” ไมริฟพูดอย่างอึดอัดใจ “น้ำพุคำสาปบ้าๆ ของพวกไซคัส”

          แอเมน่าพาทั้งคู่ปีนต้นไม้ ไล่ตามการเคลื่อนพลถางป่าของพวกเอลิลไป พวกฟอเรสเทอร์คนอื่นๆ ได้แต่ยิงธนูใส่พวกเอลิลอยู่ห่างๆ ยิงอยู่อย่างนี้มันทำอะไรไม่ได้มากนัก แต่บุกเข้าไปสู้ก็ตาย ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง แอเมน่ามองไปยังแท่นน้ำพุ จับจ้องไปยังรูปปั้นทรงสูงที่วางอยู่บนยอด นั่นคือสิ่งที่ให้พลังงานแก่น้ำพุ หากเอามันออกไปจากน้ำพุได้ ก็จะหยุดการทำงานของน้ำพุ พวกเอลิลก็จะถางป่าต่อไม่ได้

          “เราต้องแยกรูปปั้นนั่นออกจากแท่นน้ำพุ” แอเมน่าชี้

          “เราจะเข้าไปเอายังไง พวกเอลิลจัดขบวนประกบแน่นหนา” เซ็นแวนเดอร์มองตาม

          “ท่านหัวหน้าเผ่า ให้ข้านำกองกำลังบุกเข้าไปอีกรอบนะคะ ข้าจะพยายามเอารูปปั้นมาให้ได้” ไมริฟอาสา

          “ข้าไม่เห็นด้วย” เซ็นแวนเดอร์รีบพูด “เจ้าไม่มีทางเข้าไปถึงน้ำพุได้ ขบวนแถวของพวกเอลิลแข็งแกร่งมาก เจ้าบุกเข้าไปครั้งหนึ่งแล้ว ขบวนแถวของพวกนั้นยังไม่กระเทือน”

          แอเมน่าหลับตา ดูจะคิดบางอย่างในใจ บางอย่างที่ต้องใช้ความกล้าหาญในการตัดสินใจอย่างยิ่ง มือของเธอสั่นเล็กน้อย ดูตื่นเต้นและกลัว เธอลืมตาขึ้นช้าๆ และสูดหายใจลึกๆ หันไปหาเซ็นแวนเดอร์

          “ความสามารถพิเศษของเจ้า คือเปลี่ยนธนูดอกเดียว ให้เป็นธนูไฟจำนวนมาก”

          “ใช่ครับ ท่านหัวหน้าเผ่า” เซ็นแวนเดอร์พยักหน้า

          “เจ้าคือนักธนูที่เก่งที่สุดที่เรามี ความแม่นยำของเจ้าสามารถคำนวณให้ธนูไฟทั้งกลุ่มโปรยใส่พวกเอลิลได้เต็มพื้นที่” แอเมน่ากล่าวต่อ “เมื่อเจ้าโปรยใส่ในพื้นที่ใกล้ๆ กับแท่นน้ำพุ พวกเอลิลบริเวณนั้นจะต้องป้องกันตัวเองหรือหลบหลีกลูกธนู ทำให้ขบวนแถวชะงักเสียรูป เปิดช่องให้ฝ่ายเราเข้าไปเอารูปปั้นได้ในช่วงเวลาสั้นๆ”

          “ถ้าบุกเข้าไปช้าพวกเอลิลจะจัดกระบวนกลับคืนได้ก่อน ฉะนั้นหากจะทำอย่างนั้นได้ ฝ่ายเราก็ต้องบุกเข้าไปในตอนที่ข้าโปรยธนูไฟใส่พอดี” เซ็นแวนเดอร์ท้วง “กองกำลังของเราก็จะโดนธนูของข้าด้วย”

          “มันจะโดนยากขึ้น” แอเมน่าพูดเสียงสั่นน้อยๆ แต่เด็ดเดี่ยว “หากบุกเข้าไปคนเดียว”

          แล้วเธอก็ไต่ลงจากต้นไม้ วิ่งตรงไปยังกองกำลังเอลิลเพียงลำพัง

          “ท่านหัวหน้าเผ่า” ไมริฟกรีดเสียงลั่น

          “นี่คือคำสั่งของหัวหน้าเผ่า ห้ามใครบุกตามข้าไปเด็ดขาด” แอเมน่าตะโกน ทหารเอลิลบางคนเริ่มเล็งปืนยาวมาทางเธอ พวกที่มีดาบกับโล่ก็ตั้งท่าเตรียมต่อสู้

          “ทุกคน เตรียมยิงคุ้มกันท่านหัวหน้าเผ่า” เซ็นแวนเดอร์ตะโกนลั่น รีบโหนเถาวัลย์ย้ายต้นไม้เพื่อหามุมยิง เอาธนูดอกหนึ่งออกมาขึ้นสาย รวบรวมสมาธิ เล็งไปข้างหน้า คำนวณทิศทางลมและระดับการง้างสาย

          ธนูดอกนั้นถูกยิงออกไป มันลอยโค้งเข้าหากองกำลังเอลิลจากด้านบน แล้วแตกกระจายออกเป็นธนูไฟเกือบยี่สิบดอก โปรยลงไปใส่กลุ่มทหารเอลิลบริเวณแท่นน้ำพุ พวกทหารเอลิลยกโล่กำบังหรือไม่ก็หลบหลีกกันใหญ่ บางคนก็รับลูกธนูไฟลงไปนอนตาย นับว่าเซ็นแวนเดอร์โปรยธนูได้แม่นยำมาก มันกระจายลงพื้นที่เป้าหมายได้พอเหมาะพอดี กองกำลังเอลิลชะงักและเสียรูปขบวนไปชั่วขณะ นั่นคือโอกาสทองของแอเมน่า เธอวิ่งหลบหลีกไปตามช่องว่าง กระโดดหลบม้วนตัวหลบคมอาวุธจากฝ่ายตรงข้ามและธนูไฟของเซ็นแวนเดอร์ที่ตกลงมาจากฟ้า ยอดมงกุฎขนนกถูกดาบฟันขาดแหว่ง กระสุนเฉี่ยวข้างแก้มไปเป็นแผลเล็กๆ  เธอเอาคันธนูฟาดใส่ทหารเอลิลที่ขวางหน้า ก้มหัวหลบดาบ แล้วเอาลูกธนูปักเข้าหน้าผากทหารเอลิลที่บุกเข้ามา อาศัยรูปร่างเพรียวๆ ตีลังกาล้อเกวียนผ่านช่องระหว่างทหารเอลิลสองคน มีลูกธนูจากพวกนักรบฟอเรสเทอร์ยิงมาคุ้มกันให้เธอเป็นระยะๆ เท่าที่จะทำได้ ดอกหนึ่งของเซ็นแวนเดอร์พุ่งข้ามหัวเธอไปสังหารทหารเอลิลคนหนึ่งที่ขวางหน้าเธอ ตัวเธอเองก็เอาธนูยิงพวกทหารเอลิลที่จะเข้ามาสกัดในระยะเผาขน ทั้งหลบหลีกและยิงสวน เนื้อตัวถูกบาดถูกถากด้วยคมอาวุธของฝ่ายตรงข้ามไปหลายรอย ไมริฟอยากจะเข้าไปช่วยใจจะขาด แต่ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง รู้สึกไร้ค่าในสถานการณ์นี้ เธอไม่มีความสามารถเรื่องธนู จึงยิงคุ้มกันร่วมกับเซ็นแวนเดอร์และพวกนักแม่นธนูไม่ได้ หัวหน้าเผ่าของเธอกำลังฝ่าเข้าไปในพื้นที่อันตราย ซึ่งหากเข้าไปมากกว่านี้ จะมีโอกาสน้อยมากที่เธอจะได้กลับออกมา

          “ท่านหัวหน้าเผ่า ได้โปรดอย่าทำอย่างนี้” เธอเริ่มมีน้ำตาคลอ “กลับมาเถอะค่ะ”

          แต่แอเมน่าไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว กลับพยายามฝ่าไปข้างหน้าให้ถึงที่สุด ความพลิ้วไหว ความว่องไว และความยืดหยุ่นของร่างกาย ทำให้เธอแทรกฝ่าจนเกือบจะไปถึงแท่นน้ำพุ ทหารเอลิลสามคนตรงเข้ามาขวางหน้าเธอ เธอต้องต่อสู้กับพวกนี้ในระยะประชิด ดาบเล่มหนึ่งฟันใส่ เธอก้มหัวหลบ ง้าวอีกเล่มฟันตามมา เธอเบี่ยงตัวและเอาคันธนูปัดป้องออกไป คนที่สามบุกเข้าหาพร้อมกับดาบและโล่ เธอย่อตัวลงต่ำ เกี่ยวขาสกัดให้ล้ม แล้วเอาขาสองข้างรัดหักคอ จากนั้นก็อาศัยความตัวอ่อนม้วนตัวกลับหลังหลบง้าวที่สับลงมาเต็มเหนียว แล้วลุกยืน ขึ้นสายธนูยิงใส่ท้ายทอยผู้โจมตีในระยะเผาขน

          แล้วดาบเล่มหนึ่งก็ฟันเข้าที่ขาของเธอ เธอทรุดล้มลงไป

          “อย่าทำเธอ” ไมริฟร้องลั่น

          ทหารเอลิลจะแทงดาบซ้ำ แต่เธอก็ยังไวกว่า ยิงธนูแสกหน้าเขาได้ก่อน เธอพยายามพยุงตัวลุกขึ้นยืน เลือดไหลออกมาเต็มขา

          “ห้ามตามมาไมริฟ นี่คือคำสั่ง” เธอยืนกราน

          น้ำพุอยู่ไม่ไกลแล้ว แต่ทหารเอลิลอีกหลายคนก็เข้ามายืนประกบเธอ อาวุธเตรียมพร้อม

          “ท่านหัวหน้าเผ่า ได้โปรด ให้เราเข้าไปช่วย” ไมริฟเสียงสั่น น้ำตาเริ่มไหล

          “ท่านหัวหน้าเผ่า โปรดอนุญาตเรา” เซ็นแวนเดอร์ตะโกนบ้าง

          พวกทหารเอลิลบุกเข้าหาเธอ เธอใช้คันศรในมือขวาและลูกธนูหนึ่งกำในมือซ้ายต่อสู้สุดชีวิต มันไม่ใช่อาวุธที่เหมาะแก่การต่อสู้ในระยะประชิดเลย สภาพเธอตอนนี้ก็ไม่สมบูรณ์นัก ขาข้างหนึ่งบาดเจ็บมีเลือดไหล เนื้อตัวมีริ้วรอยบาดแผลหลายรอย

          “รองหัวหน้าเผ่า หัวหน้าวูดส์วาร์เด็น” เธอพูดไปต่อสู้ไป “จงเชื่อฟังข้า”

          เซ็นแวนเดอร์กัดฟัน พยายามยิงคุ้มกันเธอถึงที่สุด ยิงจากระยะนี้ช่วยอะไรได้ไม่มาก พวกเอลิลหลายคนเดาทิศทางได้และใช้โล่กำบังได้หมด ไมริฟยกมือปิดปาก น้ำตาเริ่มไหล โล่ใบหนึ่งกระแทกใส่แอเมน่าล้มลงไป แอเมน่าใช้ลูกธนูในมือซ้ายแทงที่ข้อเท้าให้อีกฝ่ายล้มลงมาด้วย และแทงเสยใส่ใต้คาง จากนั้นก็กลิ้งตัวขัดขาทหารเอลิลที่อยู่ข้างหน้าหน้าทิ่มล้มลงไป เธอลุกขึ้นกระโจนไปหาแท่นน้ำพุที่อยู่ตรงหน้า เอื้อมมือจะไปคว้ารูปปั้น

          ดาบเล่มหนึ่งเฉือนเข้าที่ชายโครงของเธอ เธอล้มฟุบลงไปบนแท่นน้ำพุ เลือดแดงฉานไหลออกมาผสมกับน้ำพุ

          “ไม่” เซ็นแวนเดอร์ตะโกนลั่น นักรบฟอเรสเทอร์คนอื่นๆ แทบจะทนดูไม่ได้

          แอเมน่ากัดฟัน เอาคันธนูเกี่ยวรูปปั้นลงมา คว้ามันไว้ ข้อความภาษาดาร์เคนที่แท่นน้ำพุหยุดเรืองแสง น้ำพุในบ่อเหือดแห้งไปทันที เหลือเพียงเลือดของแอเมน่า เธอเริ่มรู้สึกหนาวๆ  หูเริ่มไม่ได้ยิน ตาเริ่มพร่า เนื้อตัวเปียกโชกด้วยน้ำและเลือดของตน เธอรวบรวมพลังเฮือกสุดท้าย ขว้างรูปปั้นออกไป มันลอยไปตกใกล้ๆ กับแนวต้นไม้ พวกนักรบฟอเรสเทอร์ที่อยู่ใกล้ๆ รีบมาคว้ามันไป

          ทหารเอลิลคนหนึ่งก้าวเข้ามา เงื้อดาบขึ้น แอเมน่าพลิกตัวหันไปหา เฝ้ามองความตายที่อยู่ตรงหน้าด้วยดวงตาอันพร่าเลือน

          “ไมริฟ อย่า” เซ็นแวนเดอร์ร้องลั่น

          ไมริฟคว้าเถาวัลย์ โหนเหวี่ยงตัวเหินไปในอากาศ ข้ามหัวกลุ่มทหารเอลิลรอบนอกไปอย่างบ้าบิ่น แล้วโถมลงไปใส่ทหารเอลิลสองสามคนที่อยู่กลางขบวนล้มลงไป กริชเล่มหนึ่งขว้างออกไปเสียบท้ายทอยทหารเอลิลที่กำลังจะลงดาบใส่แอเมน่า ทหารเอลิลล้มลงไปตายคาที่

          ในเมื่อมีคนฝ่าฝืนคำสั่งแล้ว พวกฟอเรสเทอร์ที่เหลือก็จะไม่อยู่เฉยๆ เช่นกัน พวกเขาลงจากต้นไม้ เดินหน้าเข้ายิงธนูใส่พวกเอลิลโดยไม่คิดเรื่องที่กำบังหรือแสงสว่าง เซ็นแวนเดอร์ก็เป็นหนึ่งในนั้น พวกเอลิลรีบจัดแถวยกโล่กำบังและยิงโต้ตอบ พวกฟอเรสเทอร์สังเวยชีวิตไปอีกหลายคน แต่พวกเขาไม่สนใจ หัวหน้าเผ่าเสียสละตัวเองเพื่อพวกเขา พวกเขาจะเอาเธอกลับมา

          ความวุ่นวายนี้ทำให้ไมริฟได้รับความสนใจจากศัตรูน้อยลง เธอใช้ความสามารถพิเศษสาดกรดใส่พวกทหารเอลิลที่จะเข้ามาโจมตี ไถลตัวมุดลอดใต้หว่างขาของทหารเอลิลคนหนึ่ง ตรงเข้าไปถอนกริชออกจากท้ายทอยทหารเอลิลที่เธอขว้างใส่ แล้วหันไปใช้กริชสองเล่มต่อสู้กับพวกทหารเอลิลสี่ห้าคนที่ดาหน้าเข้ามา ยืนขวางร่างของแอเมน่าไว้ ร่างซึ่งแน่นิ่งไปแล้ว

          กลุ่มธนูไฟของเซ็นแวนเดอร์โปรยใส่ทหารเอลิลจำนวนมาก รวมทั้งพวกที่กำลังดาหน้าเข้าหาไมริฟด้วย นับเป็นอีกหนึ่งการยิงที่แม่นยำปนโชคดี ไมริฟเก็บกริช ออกแรงลากแอเมน่าออกมาจากพื้นที่ ถูกลูกหลงคมอาวุธไปสองสามแผล แต่ก็ยังลากต่อไป พวกเอลิลไม่ได้ใส่ใจเธอนักเพราะรูปปั้นไม่ได้อยู่ที่เธอแล้ว ในที่สุด ไม่ริฟก็ลากหัวหน้าเผ่าของตนออกมาจากพื้นที่อันตรายได้ พวกพลธนูเข้ามาสมทบและยิงคุ้มกัน เซ็นแวนเดอร์ก้าวมายืนบังให้เธอ เอาธนูออกมาขึ้นสายอย่างแน่วแน่ เกราะหนังที่สวมอยู่ชำรุดและมีบาดแผลเต็มไปหมด

          “ไมริฟ พาท่านหัวหน้าเผ่าไปที่ปลอดภัย ข้าจัดการทางนี้เอง”

          ในเมื่อไม่มีรูปปั้น แท่นน้ำพุก็ใช้การไม่ได้อีกต่อไป พวกเอลิลจึงพากันถอยกลับ อย่างน้อย ปฏิบัติการของพวกนั้นก็ลุล่วงไปมากทีเดียว ถางป่าเปิดทางได้เกือบสำเร็จ หากมองจากบนท้องฟ้าสูงๆ จะเห็นว่าป่ารอบนอกของกาโกคอลนั้นถูกถางยาวเป็นช่องเส้นตรง อีกนิดเดียวจะทะลุไปถึงเมืองหลวงกาโกคอล หากพวกเอลิลยกพลมาอีกครั้ง ก็จะมีถนนสำหรับให้เดินทัพตัดผ่านป่าอย่างสะดวก ถางป่าเพิ่มอีกเล็กน้อยก็จะทะลุไปถึงเมืองหลวงกาโกคอลได้ พวกฟอเรสเทอร์พยาบาลคนเจ็บและจัดการกับคนตายหลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ แต่ละคนทั้งขวัญเสียและสิ้นหวัง ป่ารอบนอกคือแนวป้องกันที่ดีที่สุดที่พวกเขามี ตอนนี้พวกเขาคงใช้มันไม่ได้อีกแล้ว

          “ท่านหัวหน้าเผ่า ได้โปรดฟื้นเถอะค่ะ” ไมริฟน้ำตานองหน้า กอดร่างที่แน่นิ่งของแอเมน่า เลือดแดงฉานของแอเมน่าเลอะเต็มตัวเธอ “ลืมตาสิคะ ท่านหัวหน้าเผ่า”

          “ชีพจรเต้นอ่อนมาก” เซ็นแวนเดอร์จับชีพจรเธอ “ต้องรีบให้ท่านหมอผีรักษา”

          “ก็พาไปสิคะ”

          “ข้าส่งข่าวไปแล้ว จะมีคนมาเคลื่อนย้ายเธออย่างเหมาะสม” เซ็นแวนเดอร์ชี้แจง “ตอนนี้อย่าเพิ่งเคลื่อนย้ายเธอ ร่างกายเธอกำลังอยู่ในสภาพเปราะบาง อาจบาดเจ็บเพิ่มได้”

          “เราจะรักษาชีวิตเธอไว้ได้ไหมคะ” ไมริฟหันมาหาเซ็นแวนเดอร์ด้วยใบหน้าที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา “เธอจะตายไหมคะ”

          “ข้า” เซ็นแวนเดอร์กระซิบ “ข้าตอบไม่ได้ ข้าเสียใจไมริฟ”

          ไมริฟสะอื้น กอดร่างแอเมน่าไว้แน่น เซ็นแวนเดอร์เอื้อมแขนไปโอบญาติสาว เอาศีรษะเธอมาซบที่บ่าแล้วลูบเบาๆ เพื่อปลอบ ครั้งนี้พวกฟอเรสเทอร์ตายกันไปมาก แนวป้องกันที่ดีที่สุดก็ถูกเจาะ หัวหน้าเผ่าก็จวนเจียนจะสิ้นลม ความหวังของพวกเขาดูจะเลือนหายไปจนหมดแล้ว

 

********************

 

            รูปปั้นที่แอเมน่าชิงมาจากแท่นน้ำพุลุกไหม้อยู่บนกองไฟ เซ็นแวนเดอร์นั่งซึมอยู่หน้ากองไฟคนเดียว ยังสวมเกราะและสะพายกระบอกลูกธนู เขามีบาดแผลจากการต่อสู้ แต่ก็ไม่ยอมไปทำแผล ดูเหมือนจะอยากอยู่ตามลำพังเสียมากกว่า ขนนกประจำตำแหน่งที่คาดอยู่บนศีรษะนั้นหลุดลุ่ย ซึ่งเขาก็ไม่สนใจจะจัดแต่งมัน เอาแต่นั่งจ้องกองไฟ ด้วยท่าทางของคนหมดหวัง

            “เซ็นแวนเดอร์ อยู่นี่เอง ข้าตามหาท่านเสียทั่ว” ไลคอลี่ ซิวาลินแหวกป่าเดินเข้ามาหา “ท่านบาดเจ็บนี่ น่าจะไปทำแผลนะ”

            “ข้าไม่เป็นไร” เซ็นแวนเดอร์กล่าวอย่างไร้อารมณ์ ยังไม่ละสายตาจากกองไฟ

            “ข้าควรแจ้งให้ท่านทราบ ว่าข้ากลับมาจากเมืองกากูลพร้อมกับแขกต่างเผ่าพันธุ์” ซิวาลินรายงาน “หัวหน้าแฮนดรัสที่ชื่อไรมิน บุฟโฮปล่องเรือมายังชายฝั่งเมืองกากูล พร้อมกับพวกพ้องจำนวนหนึ่ง พวกเขามาขอความช่วยเหลือจากเรา เกาะของพวกเขากำลังประสบปัญหาความแห้งแล้ง พวกเขาต้องการเมล็ดพืชและปัจจัยในการเพาะปลูก อีกทั้งเรือพวกเขาก็ได้รับความเสียหายระหว่างเดินทาง พวกเขาขอไม้ในการซ่อมแซม และขออาศัยอยู่ในพื้นที่อาณาจักรของเราจนกว่าจะซ่อมเรือเสร็จ”

            “เราก็แค่ให้สิ่งที่พวกเขาต้องการ ไม่จำเป็นต้องพามาที่นี่” เซ็นแวนเดอร์พูดอย่างไม่ใส่ใจ

            “บุฟโฮปคิดว่าเป็นมารยาทที่จะมาแสดงความเคารพหัวหน้าเผ่าอย่างถูกต้อง ในฐานะผู้มาเยือน และแสดงความขอบคุณที่ทางฝ่ายเรามีน้ำใจให้การช่วยเหลือ” ซิวาลินอธิบาย “ข้าจึงพาเขากลับมาที่เมืองหลวงของเรา พร้อมกับกัปตันวอร์ดิว รองหัวหน้าแฮนดรัส พวกเขาคงยินดีที่จะได้พบท่าน”

            “เกี่ยวอะไรกับข้าหรือ”

            “ในตอนนี้หัวหน้าเผ่าของเราไม่อยู่ในสภาพทำหน้าที่ได้ ท่านคือคนที่รับหน้าที่แทนเธอ”

            “นั่นสินะ” เซ็นแวนเดอร์เพิ่งนึกได้ ดูไม่กระตือรือร้นนัก “เราไม่ใช่เผ่าพันธุ์แล้งน้ำใจ มักจะเป็นมิตรกับเผ่าพันธุ์อื่นเสมอ พวกแฮนดรัสต้องการอะไร เราก็จัดหาให้พวกเขาไปตามนั้น แล้วเดี๋ยวข้าจะพบปะกับพวกเขาแทนท่านหัวหน้าเผ่าเอง”

            “ท่านไม่เป็นไรนะ” ซิวาลินสังเกตท่าทางของอีกฝ่าย

            “ข้าเองก็ไม่รู้” เซ็นแวนเดอร์งึมงำ

            “ข้าควรจะอยู่ที่นี่ ร่วมต่อสู้ที่นี่” ซิวาลินพูดอย่างรู้สึกผิด

            “ท่านไม่ผิดหรอก ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น” เซ็นแวนเดอร์ส่ายหน้า “หัวหน้าเผ่าของเราเป็นอย่างไรบ้าง”

            “ท่านหมอผีพยายามเยียวยาเธออย่างที่สุดแล้ว แต่เธอได้รับบาดเจ็บมาก มีโอกาสรอดเพียงครึ่งเดียว” ซิวาลินบอก “ขึ้นอยู่กับจิตใจของเธอด้วย ว่าจะสู้ได้ถึงเพียงไหน”

            “จะเอากำลังใจที่ไหนไปสู้” เซ็นแวนเดอร์พึมพำ “ในตอนนี้ทุกคนต่างตื่นกลัวและสิ้นหวัง ข้าศึกจะกำจัดเราเป็นฝ่ายแรก และกำลังจะทำสำเร็จด้วย ไม่ว่าใครตอนนี้ต่างก็ไม่เหลือกำลังใจที่จะสู้ต่อ”

            “แล้วท่านล่ะ” ซิวาลินถาม “ยังเหลือกำลังใจที่จะสู้ต่ออยู่อีกไหม

            “ท่านเห็นสภาพข้าตอนนี้แล้วคิดว่าอย่างไรล่ะ” เซ็นแวนเดอร์ถามกลับ

            “ฟังนะ” ซิวาลินพูดอย่างจริงจัง “ไม่ว่าท่านจะรู้สึกอย่างไรในตอนนี้ ขอให้ท่านอย่าเพิ่งสิ้นหวัง เพราะเวลานี้เราทุกคนต้องการท่านมากที่สุด หัวหน้าเผ่าของเราไม่อยู่ในสภาพจะทำหน้าที่ต่อไปได้ ท่านคือคนที่จะทำหน้าที่แทนเธอ ท่านรองหัวหน้าเผ่า”

            “ข้าทำไม่ได้ ข้าไม่ใช่ผู้นำ” เซ็นแวนเดอร์พูดเสียงเบา “ข้าไม่ใช่คนที่มีความคิดริเริ่ม ข้าทำตามแนวทางเดิมๆ มาตลอด”

            “เช่นเดียวกับฟอเรสเทอร์ทั้งเผ่าพันธุ์” ซิวาลินพูด “เผ่าพันธุ์ของเรากลัวการเปลี่ยนแปลงมาตลอด โดยเฉพาะคนแก่หัวโบราณอย่างข้า แต่เราก็ต้องยอมรับว่า มันคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”

            “สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือพวกเอลิลกำลังจะกำจัดเรา เราสู้อะไรพวกนั้นไม่ได้ และเราก็อยู่ในสภาพที่อ่อนแอที่สุด หัวหน้าเผ่าของเราก็ไม่รู้จะมีชีวิตรอดหรือไม่ นักรบของเราก็ตายกันไปมากมาย แนวป่าป้องกันของเราถูกเปิดทาง”

            “อย่างน้อย ข้าศึกก็ถางป่าเปิดทางไม่ได้ทั้งหมด ถนนยังไม่ทะลุไปถึงเมืองหลวง” ซิวาลินชี้ไปยังรูปปั้นที่ถูกเผาอยู่ในกองไฟ “และเราก็ทำลายสิ่งที่ใช้ถางได้แล้ว”

            “ไม่จำเป็นที่พวกเอลิลจะต้องใช้รูปปั้นนี่ในการถางป่าอีกแล้ว” เซ็นแวนเดอร์ว่า “ป่าถูกเปิดทางจนเกือบสำเร็จ ส่วนเล็กๆ ที่ยังเหลืออยู่ พวกเอลิลก็แค่มาถางเก็บงานอีกเล็กน้อยตอนยกอีกกองทัพมา ซึ่งกองทัพที่ว่านี้จะเป็นกองทัพใหญ่ กองทัพจริงๆ กองทัพที่บุกมาเพื่อพิชิตเราในครั้งเดียว กองทัพที่เราไม่มีปัญญาจะต่อกรอะไรได้”

            “นั่นยิ่งทำให้ท่านไม่ควรละทิ้งความหวัง” ซิวาลินเน้นเสียง “ยามนี้ สิ่งที่ทุกคนต้องการมากที่สุดคือความหวัง และทุกคนต่างฝากความหวังไว้ที่บรรดาผู้ปกครองเผ่าพันธุ์อย่างเรา โดยเฉพาะกับท่าน”

            “บางที พวกเขาอาจไม่ควรทำอย่างนั้น” เซ็นแวนเดอร์ส่ายหน้า

            “โปรดอย่าพูดอย่างนั้น” ซิวาลินพูดอย่างจริงจัง “ในตอนนี้ท่านคือผู้ดูแลเผ่าพันธุ์แทนท่านหัวหน้าเผ่าแอเมน่าแล้ว ถ้าท่านหมดศรัทธากับความหวัง แล้วฟอเรสเทอร์คนอื่นๆ จะพึ่งพาใครได้”

            “ท่านก็เอาแต่บอกว่าอย่าหมดหวัง แต่ไม่ดูความเป็นจริงเลยว่าเราจะหวังกับอะไรได้ในตอนนี้” เซ็นแวนเดอร์หันไปหาอีกฝ่าย “คำพูดของท่านเหมือนจะดูดี แต่มันไม่สอดคล้องกับเหตุผลสักนิด คำพูดทำนองนี้มักจะมาจากคนรุ่นเก่าเสมอ พูดจาเหมือนน่าเชื่อถือ แต่จริงๆ แล้วหาเหตุผลไม่ได้ เป็นเหตุให้พวกลัทธิศาสนาไร้เหตุผลอย่างพวกที่เชื่อในเวรกรรม นรกสวรรค์ โลกของวิญญาณ มันถึงได้ครอบงำจิตใจของคนรุ่นก่อนๆ จนเผ่าพันธุ์ของเราไม่พัฒนา และสู้ศัตรูที่ฉลาดกว่าไม่ได้”

            ซิวาลินนิ่งเงียบ ดูเจ็บปวดเหมือนมีอะไรแทงใจ เซ็นแวนเดอร์เองก็เริ่มรู้สึกผิดที่ตนพูดแรงเกินไป

            “มันก็จริงของท่าน” ซิวาลินยิ้มเศร้าๆ  “คนรุ่นเก่าๆ อย่างข้าไม่ค่อยฉลาด มีความเชื่อผิดๆ ตรรกะเพี้ยนๆ พูดอะไรทำอะไรไม่ค่อยมีเหตุผลอันสมควร ชอบอ้างสิ่งลอยๆ ที่ไม่มีตัวตนขึ้นมาเสมอ” เขาเอื้อมมือมาจับไหล่เซ็นแวนเดอร์ “แต่แม้พวกเราจะด้อยสติปัญญาและมีความคิดที่ไม่เข้าท่า สิ่งที่เรายังมีมากมายคือความรักและความห่วงใยต่อคนรุ่นหลัง เราทำทุกอย่างเพื่อหวังให้ลูกหลานเราได้ดีเสมอ เราอาจทำได้ไม่ดีนัก หลายครั้งที่เจตนาที่ดีนำมาสู่หายนะมากมาย แต่นั่นมันก็ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้แล้ว ก็สติปัญญาความคิดของเรามีแค่นี้ เราจึงเพียงได้แต่หวังว่า คนรุ่นหลังจะทำได้ดีกว่าเรา” เขายิ้มอย่างให้กำลังใจ ไม่มีการกล่าวโทษเลยแม้แต่น้อย “ท่านพูดถูกทุกประการพ่อหนุ่ม คำพูดในเรื่องความหวังของข้ามันก็แค่คำพูดลอยๆ  ตรรกะวิบัติ ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล ตามแบบฉบับความคิดของคนรุ่นเก่า แต่นั่นก็เพราะข้าต้องการแค่ไม่อยากเห็นท่านสิ้นหวัง ความสิ้นหวังเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดมาก อาจเป็นสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดก็ว่าได้ และข้าก็ไม่อยากให้ท่านต้องทนเจ็บปวด แม้จะเป็นคำพูดลอยๆ ข้าก็ได้แต่หวังว่ามันจะทำให้ท่านเจ็บปวดน้อยลง”

            แล้วเขาก็ตบบ่าเซ็นแวนเดอร์เบาๆ ก่อนจะเดินจากไป เซ็นแวนเดอร์หันกลับไปมองกองไฟ รู้สึกผิดมากขึ้นอีก สิ่งที่เขาพูดออกไป มันเพียงมาจากอารมณ์ที่สิ้นหวังเท่านั้น

            ไม่รู้ว่าเขานั่งอยู่อย่างนี้นานเท่าไหร่ แต่ก็รู้สึกตัวอีกทีตอนได้ยินเสียงคนเดินมาข้างหลัง เขาหันไปมอง แล้วก็รีบขึ้นสายธนูเล็งใส่ทันที เบื้องหน้าเขาคือเอลิลในชุดเสื้อคลุมยาวสีกรมท่า สวมหมวกทรงสูง ถือไม้เท้าคล้ายรากไม้

            “ขอแสดงความเคารพ ท่านรองหัวหน้าเผ่าเซ็นแวนเดอร์ ไวท์วิสเพอร์” ผู้มองไกลโค้งศีรษะ ไม่เกรงกลัวหรือหวั่นระแวงที่ถูกอาวุธเล็งใส่เลยสักนิด “อภัยให้ด้วยที่ข้าบุกรุกเข้ามาโดยไม่ขออนุญาต ข้าไม่มีเจตนาร้าย ต้องการเพียงแค่พูดคุยกับท่าน”

            เซ็นแวนเดอร์ยังเงียบ เล็งธนูใส่เป้าหมายตาไม่กระพริบ

            “โปรดอย่าวิตก ข้าไม่ใช่ศัตรูของท่าน” ผู้มองไกลพูดต่อ

            “ไปบอกนักรบฟอเรสเทอร์ที่เผ่าพันธุ์ของท่านเพิ่งฆ่าตายไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน และหัวหน้าเผ่าของข้าที่กำลังครึ่งเป็นครึ่งตายอยู่ตอนนี้สิ” เซ็นแวนเดอร์กระชากเสียง

            “น่าเศร้า ที่ข้าไม่ใช่หนึ่งในพวกพ้องแล้ว” ผู้มองไกลชี้แจง “ท่านมีชีวิตอยู่ในดาวดวงนี้มานานหลายร้อยปี และได้ยินเรื่องเล่าจากคนที่อยู่มานานกว่าท่านอีกหลายร้อยปี ท่านคงจะพอได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับเอลิลผู้แปลกแยกและน่าอับอาย ที่ถูกเรียกว่า ผู้มองไกล”

            “ท่านเองหรือ” เซ็นแวนเดอร์เริ่มสนใจ แต่ยังไม่ลดธนูลง

            “หลังจากที่พวกไซคัสกวาดล้างเผ่าพันธุ์ของข้า ไม่มีวันไหนเลยที่ข้าจะมีชีวิตอยู่โดยไม่รู้สึกผิด” ผู้มองไกลพูดด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ใดๆ “หายนะมากมายมีต้นเหตุมาจากข้า”

            “ท่านคือเอลิลที่แตกต่างจากเอลิลคนอื่น” เซ็นแวนเดอร์ว่า

            “วิสัยทัศน์ของข้ากว้างไกลกว่าเอลิลคนอื่นๆ บางที มันก็กว้างไกลเกินไป ไกลจนกลายเป็นปัญหา” ผู้มองไกลบอก “ข้ามองไกลจนเห็นปัญหาของเผ่าพันธุ์เป็นเรื่องเล็กน้อย ข้ามองไปถึงความอยู่รอดของดาวดวงนี้และจักรวาลนี้ ข้าพบว่าดาวดวงนี้เมื่อไม่มีธรรมชาติ มันจะอายุสั้นลง แตกดับได้ง่ายขึ้น และหากดาวดวงนี้แตกดับ มันก็อาจส่งผลให้ทั้งกาแล็กซีสั่นคลอนจนแตกดับได้เช่นกัน เผ่าพันธุ์เอลิลของข้าต้องลดทอนธรรมชาติเพื่อพัฒนาเผ่าพันธุ์ พวกเขาจึงมีความเห็นต่างจากข้า โดยเฉพาะไอซ์ครีเอเทอร์ผู้ซึ่งเห็นผลประโยชน์ของเผ่าพันธุ์เอลิลเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ดังนั้นข้าจึงขัดแย้งกับเขาและเอลิลทั้งเผ่าพันธุ์ ขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นสั่นคลอนความมั่นคงแก่เผ่าพันธุ์ได้เพราะตอนนั้นเรากำลังทำสงครามกับพวกไซคัสอยู่ด้วย จึงมีคนมากมายยื่นเรื่องขอให้ข้าพ้นสภาพจากการเป็นเผ่าพันธุ์เอลิล ข้าจึงไม่ใช่เอลิลนับแต่นั้นมา หรืออย่างน้อยอีกสองสามปี หลังจากการกระทำอันน่าอับอายของข้า ข้าก็ไม่อาจหน้าด้านหน้าทนเรียกตัวเองว่าเอลิลได้อีกต่อไป”

            เซ็นแวนเดอร์เงียบ รอฟังต่อไป ธนูยังขึ้นสาย

            “ท่านรองหัวหน้าเผ่าไวท์วิสเพอร์ ท่านเป็นคนใจกว้างนักที่ทนรับฟังข้ารำพันถึงความอัปยศของตนได้ ท่านลอร์ดมืดแบล็กโฟรเซ็นสตอร์มมีความอดทนต่อเรื่องไร้สาระของข้าได้น้อยกว่า แต่ข้าก็พอเข้าใจว่าพวกดาร์คเนสดีวิลมักจะทำในสิ่งที่ตรงประเด็นเสมอ และไม่ค่อยใส่ใจเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อตน” ผู้มองไกลโค้งศีรษะ

            “พวกไซคัสทำสงครามกับพวกเอลิลจนเป็นฝ่ายได้เปรียบ ต้อนอีกฝ่ายให้ไปรวมกันอยู่ในดินแดนที่ชื่อว่าไอซ์เมสได้” เซ็นแวนเดอร์ดึงเรื่องกลับ “แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่สามารถพิชิตไอซ์เมสได้เสียที”

            “จนกระทั่งพวกนั้นสร้างวัตถุพลังงานสูงที่มีความสามารถในการย้ายมวลสารขึ้นมา เหรียญทราวิคัส หรือที่รู้จักในนามความลับแห่งการเดินทาง” ผู้มองไกลต่อประโยค “ลินเลนธันขุดอุโมงค์ลับลอบเข้าไปใจกลางดินแดนไอซ์เมส ณ เมืองเดธแอเรีย แล้วจึงใช้เหรียญวิเศษนี้ มันเปลี่ยนทหารไซคัสที่อยู่นอกไอซ์เมสเป็นกองทัพให้กลายเป็นธาตุอากาศ และเดินทางด้วยความเร็วสูงมาปรากฏกายใกล้ๆ กับเหรียญ หรือเรียกง่ายๆ ว่าหายตัวมาปรากฏใกล้ๆ กับเหรียญ ท่านคิดดูสิ จู่ๆ มีข้าศึกเป็นกองทัพมาปรากฏกายบริเวณใจกลางสำคัญของพื้นที่ เป็นใครก็แพ้”

            “ข้าได้ยินว่าความลับแห่งการเดินทางมีทั้งหมดห้าเหรียญ” เซ็นแวนเดอร์ทวนความจำ “ลินเลนธันใช้พิชิตพวกเอลิลไปหนึ่งเหรียญ ส่วนอีกสี่เหรียญนั้นหายสาบสูญไปหลังจากพวกไซคัสแพ้สงครามพวกเฟลมฟอร์ส ใครจะไปรู้ว่าวัตถุเล็กๆ จะทำให้เผ่าพันธุ์ยิ่งใหญ่อย่างเอลิลจบสิ้นลงได้”

            “และพวกไซคัสก็สร้างมันขึ้นมาได้” ผู้มองไกลพูดช้าๆ “เพราะข้าเป็นคนบอกวิธี”

            เซ็นแวนเดอร์พยักหน้าอย่างเข้าใจ

            “พวกไซคัสเป็นเผ่าพันธุ์ที่รักษาธรรมชาติ ข้าเชื่อว่าเมื่อธรรมชาติได้รับการรักษา ดาวดวงนี้ก็จะแตกดับได้ยากขึ้น และระบบกาแล็กซีนี้ก็จะไม่แตกดับไปด้วย ข้าจึงตัดสินใจสนับสนุนลินเลนธันและเผ่าพันธุ์ไซคัส” ผู้มองไกลพูด “นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ข้าแสดงความโง่เขลาออกมาอย่างชัดเจน ข้าสนับสนุนธรรมชาติ ทั้งที่ตัวข้าเองก็มีความเข้าใจในธรรมชาติเพียงน้อยนิด ด้วยที่กำเนิดมาจากเผ่าพันธุ์ที่ไม่ได้ดำรงชีวิตตามธรรมชาติ ข้าควรจะรู้ว่าธรรมชาตินั้นโหดเหี้ยม ซับซ้อน ลึกลับ ไม่มีกฎตายตัว และไม่มีวันคาดเดาได้ไม่ว่าจะมีวิสัยทัศน์กว้างไกลแค่ไหน บางที การที่ธรรมชาติถูกทำลายหรือแม้กระทั่งดับสูญ ก็อาจเป็นวิถีอย่างหนึ่งของธรรมชาติก็เป็นได้ ข้ายื่นมือช่วยเหลือพวกไซคัสเผ่าพันธุ์ผู้รักษาธรรมชาติ ให้พิชิตเผ่าพันธุ์เอลิลของข้าที่ลดทอนธรรมชาติลง แต่พวกไซคัสกลับสร้างความเสียหายให้แก่ดาวดวงนี้มากกว่าหลายเท่า พวกนั้นสร้างเผ่าพันธุ์อื่นขึ้นมาอีกสี่เผ่าพันธุ์ เป็นต้นเหตุให้เกิดพวกเฟลมฟอร์สขึ้น นำพามาซึ่งสงครามที่ไม่จบไม่สิ้น ข้าน่าจะรู้ดีว่าธรรมชาติของดาวดวงนี้ มันไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากเป็นพื้นที่สงคราม”

            เซ็นแวนเดอร์ฟังต่อไป

            “ข้าคิดได้ในที่สุดว่า ไม่ว่าข้าจะมีวิสัยทัศน์กว้างไกลเพียงใด มีมุมมองที่กว้างไกลแค่ไหน มันก็ไม่มีวันกว้างไกลพอ จักรวาลนี้กว้างใหญ่เกินกว่าสายตาของใครจะมองถึงได้ สงครามที่เกิดขึ้นทั่วทั้งดาวดวงนี้ มันเป็นแค่จุดเล็กๆ ในจักรวาลเท่านั้น หากดาวดวงนี้มันจะแตกดับ หากกาแล็กซีนี้มันจะแตกดับ มันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อจักรวาลอันกว้างใหญ่เลย ข้าจะมองไปให้ไกลทำไม ในเมื่อไม่ว่ามองยังไง ก็ไม่มีวันมองได้ไกลพอ นั่นทำให้ข้าตระหนักได้ว่า สายตาอันยาวไกลของตนมันไม่มีประโยชน์เลย” ผู้มองไกลกล่าว “จะคิดไปให้ไกลทำไม จะให้ความสำคัญกับสิ่งใหญ่ๆ ทำไม ในเมื่อมันก็มีสิ่งที่ใหญ่ว่าไปเรื่อยๆ ทำไมเราไม่มองให้ใกล้ลง คิดให้สั้นลง และมาใส่ใจกับสิ่งเล็กๆ ที่ตนมองข้าม เผ่าพันธุ์ของเรา พวกพ้องของเรา พื้นที่ของเรา ครอบครัวของเรา นั่นคือสิ่งที่ไอซ์ครีเอเทอร์และเอลิลคนอื่นๆ ทุ่มเททุกอย่างเพื่อมัน ขณะที่ข้ากลับทำลายมันย่อยยับ ในตอนนี้พวกพ้องของข้าก็กลายเป็นหุ่นเชิดของพวกเฟลมฟอร์ส ทนทุกข์รับผลจากการกระทำของข้า สมควรแล้วที่ข้าจะมีชีวิตอย่างอัปยศอดสูในทุกๆ วัน ซึ่งก็อาจเป็นเช่นนี้ไปชั่วนิรันดร์”

            เซ็นแวนเดอร์ลดธนูลง ละสายตาจากผู้มองไกลไปมองที่กองไฟ รูปปั้นของพวกไซคัสถูกเผาจนไม่เหลือแล้ว

            “ก่อนที่เหล่าผู้สร้างจากต่างดาวจะมาสร้างพวกเอลิลและพวกไซคัสในดาวดวงนี้ เดิมแล้วดาวดวงนี้เคยเป็นที่อยู่ของเหล่ามังกร” เขาพูดเสียงเบา “ทุกวันนี้ การที่ดาวดวงนี้มีเผ่าพันธุ์เกิดขึ้นมากมาย มันส่งผลกระทบให้มังกรอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ พวกเฟลมฟอร์สพยายามกำจัดเผ่าพันธุ์อื่นๆ ก็เพื่อรักษาเผ่าพันธุ์มังกรไว้ ท่านคิดว่าบางทีพวกนั้นอาจเป็นฝ่ายถูกไหม บางทีมันก็อาจสมควรแล้ว ที่ฟอเรสเทอร์เราจะถูกกำจัดไป”

            “ที่ข้าเล่าความอัปยศของตนเองให้ท่านฟังนั้น ก็เพื่อให้ท่านเรียนรู้จากความผิดพลาดของข้า ท่านรองหัวหน้าเผ่าไวท์วิสเพอร์” ผู้มองไกลโค้งศีรษะ “แทนที่ท่านจะมองให้ไกล แทนที่จะมองไปยังภาพรวมอันยิ่งใหญ่เกินไป ทำไมท่านไม่มาใส่ใจกับสิ่งที่อยู่ใกล้ๆ เริ่มจากตัวท่านเอง และเพื่อนๆ ของท่าน มิตรภาพและความรัก บรรดาสิ่งต่างๆ ที่ท่านคิดว่ามันทำให้ชีวิตท่านมีความหมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยทำ จริงอยู่ พวกท่านอาจไม่ควรถูกสร้างขึ้นมาในดาวดวงนี้ อาจไม่ใช่เรื่องผิดที่จะกำจัดพวกท่าน แต่พวกท่านก็ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว กำเนิดขึ้นมาแล้ว ทุกสิ่งมีชีวิตล้วนมีความรู้สึกนึกคิด มีสิทธิ์ที่จะเห็นคุณค่าของชีวิตตน เมื่อจะถูกกำจัด พวกท่านก็มีสิทธิ์ที่จะปกป้องตนเองไม่ว่าจะผิดหรือจะถูก ไม่ว่าพวกท่านจะเกิดมาอย่างไร มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดที่พวกท่านจะพยายามดำรงเผ่าพันธุ์ของตนไว้”

            “คงจะดำรงไว้ไม่ได้อีกแล้ว” เซ็นแวนเดอร์พูดด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง “ศัตรูแข็งแกร่งมากเกินไป ฟอเรสเทอร์เราจะมีปัญญาอะไรไปหยุดยั้งได้ ในบรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งหมด เราล้าหลังที่สุด ฉลาดน้อยที่สุด มีพัฒนาการช้าที่สุด อ่อนแอที่สุด”

            “นั่นเป็นเพราะพวกท่านเป็นเผ่าพันธุ์ที่รักสงบมากที่สุด และเข้าใจวิถีแห่งความสงบมากที่สุด” ผู้มอไกลต่อประโยค “ทำให้พวกท่านมีความอ่อนโยน จริงใจ มีน้ำใจ และรู้จักประนีประนอม คุณสมบัตินี้เป็นคุณสมบัติที่เผ่าพันธุ์อื่นๆ ที่ฉลาดกว่าพวกท่านนั้นแทบไม่มี อย่ามองว่าเผ่าพันธุ์ของท่านด้อยความสามารถและอ่อนแอ ท่านรองหัวหน้าเผ่าไวท์วิสเพอร์ ความแข็งแกร่งมันแก้ปัญหาไม่ได้ทุกอย่าง หากถามความเห็นข้านั้น ข้าคิดว่าเผ่าพันธุ์ของท่านมีความพิเศษยิ่งนัก ในขณะที่เผ่าพันธุ์อื่นๆ ที่แข็งแกร่งหันอาวุธเข้าปะทะกัน มีเพียงเผ่าพันธุ์ท่านเท่านั้นที่มีความอ่อนน้อมพอจะจับอาวุธแยกออกจากกันได้”

            แล้วผู้มองไกลก็เปลี่ยนร่างเป็นกองใบไม้สีกรมท่า ปลิวล่องลอยจากไป เซ็นแวนเดอร์มองตาม ยืนนิ่งต่อไปเป็นนาที เขายืนอยู่อย่างนั้น จมอยู่กับห้วงความคิด จนกระทั่งกองไฟที่ก่อขึ้นมอดดับไป จนกระทั่งผ่านไปไม่รู้นานเท่าไหร่ จนกระทั่งซิวาลินกลับมาพบเขาอีกครั้ง

            “เซ็นแวนเดอร์ ท่านอยู่ตรงนี้มาตั้งนานแล้ว อย่างน้อยก็กลับไปทำแผลเถอะนะ”

            “ไลคอลี่” เซ็นแวนเดอร์เอ่ยขึ้น “ข้าไม่ค่อยมีประสบการณ์เรื่องการเดินทางออกนอกอาณาจักรนัก หวังว่าท่านจะพอให้คำแนะนำข้าเกี่ยวกับบางเส้นทางได้บ้าง”

            “ท่านมีแผนจะออกเดินทางหรือ”

            “ข้าจะทำสิ่งที่ฟอเรสเทอร์อย่างข้าพอจะทำได้” เซ็นแวนเดอร์พูด “แยกอาวุธออกจากกัน”

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา