พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  43 บท
  0 วิจารณ์
  32.90K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2560 21.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

40) บทที่ 39 ศึกเดธแอเรีย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 39

ศึกเดธแอเรีย

                

          “กอร์ริน กินเข้าไปอีกหน่อยเถอะ เดี๋ยวจะไม่มีแรงสู้รบ”

          “ไม่ไหว ไลคอลี่ ข้ากลืนอะไรแทบไม่ลง อยากสำรอกออกมาบ้างด้วยซ้ำ”

          “ข้ารู้ว่าท่านเสียขวัญ แต่โปรดเชื่อคนแก่เถอะ ยามนี้ท่านต้องยิ่งเตรียมร่างกายให้พร้อม ท่านต้องกินอีกหน่อย”

          “ก็ได้ งั้นข้าขออีก”

            บรรยากาศในกาโกคอลกำลังตึงเครียดถึงขีดสุด พวกเขาทราบจำนวนกองทัพใหญ่เอลิลแล้ว หนึ่งแสนมันมากกว่าที่พวกเขาจะรับมือไหว มีโอกาสสูงมากที่กาโกคอลจะแตกพ่าย ในตอนนี้กองทัพที่ว่านั่นกำลังตั้งค่ายอยู่นอกเมือง พักทัพและประกอบเครื่องกลสงครามเตรียมพร้อมรบ ถางป่าเปิดเส้นทางเดินทัพต่อจากที่กองกำลังชุดก่อนทำค้างไว้ อีกไม่นานมันจะกลายเป็นถนนตัดผ่านป่าโดยสมบูรณ์ ถนนที่กองทัพเอลิลจะเคลื่อนพลผ่านป่าเข้าหาเมืองหลวงกาโกคอลโดยตรง พร้อมกับอาวุธหนักและเครื่องกลสงคราม ฟอเรสเทอร์ทุกคนต่างตื่นกลัวและสิ้นหวัง พวกเขาจะต่อกรกับศัตรูที่เหนือกว่ามากมายขนาดนี้ได้อย่างไร ผู้ที่ไม่สามารถสู้รบได้ถูกส่งไปยังแบร์ร็อคภายใต้การดูแลของโฮเซ่เรียบร้อย อาร์ทูมิสยืนกรานจะอยู่ที่นี่ สงครามจะต้องมีคนบาดเจ็บ เธอกับพวกหน่วยพยาบาลจะไม่ทิ้งพวกนักรบไปไหน แอเมน่าแม้จะบาดเจ็บสาหัสแต่ก็ยืนกรานที่จะอยู่ที่นี่เช่นกัน ทุกคนเห็นด้วยกับเธอในเรื่องนี้ เพราะเธอบาดเจ็บขนาดนี้ไม่ควรถูกเคลื่อนย้ายไปไหนไกลๆ

            “ไมริฟ สาวน้อย ทานอีกหน่อยเถอะนะ” ซิวาลินพยายามตักสตูป้อนเธอ

            ไมริฟส่ายหน้าไม่ยอมกิน เอาแต่นั่งกอดเข่าซึมๆ

            “ป่านอกเมืองเป็นพื้นที่รับผิดชอบของข้า มันคือความภาคภูมิใจของพวกเราวูดส์วาร์เด็น” เธอพูดเสียงสั่นเครือ “แต่ตอนนี้เราไม่อาจแม้แต่จะเหยียบเข้าไปในป่าได้ ต้องมานั่งหมดหวังอยู่ด้านหลังกำแพง ซึ่งคงจะแตกเมื่อข้าศึกเคลื่อนทัพเข้ามา”

            “ข้าทำไม่ได้” กอร์รินวางถ้วยสตูลง “กินอะไรไม่ลงอีกแล้ว อย่าให้ข้าต้องกลืนอะไรอีกเลยนะ”

            “ทุกคน” ซิวาลินมองไปรอบๆ อย่างเหนื่อยใจ “อย่าเพิ่งหมดหวังกันสิ”

            ใครจะไปสนใจคำพูดของเขาในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าศึกมีจำนวนมากกว่าไม่รู้กี่เท่า มีทั้งทัพบก ทัพอากาศ และเครื่องกลสงคราม ใครมันจะไม่สิ้นหวัง เซ็นแวนเดอร์เอาแต่นั่งซึม ไม่ยอมแตะต้องอาหารมาหลายมื้อแล้ว เขาคือผู้บัญชาการในศึกครั้งนี้ รู้สึกเหมือนกำลังแบกทุกสิ่งทุกอย่างไว้บนบ่าเขาจะนำพาทุกคนให้ผ่านพ้นไปได้อย่างไร ทุกคนต่างฝากความหวังไว้ที่เขา แต่เขาไม่รู้จะฝากความหวังไว้ที่ใคร ลึกๆ ในใจแล้ว เขามองเห็นความพ่ายแพ้ของกาโกคอลตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มศึก และเชื่อว่าไม่ใช่เขาคนเดียวที่มองเห็น เป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายมากเมื่อทุกคนพากันสิ้นหวัง สิ้นหวังคือความรู้สึกที่เจ็บปวดที่สุด

            “ตอนที่เดลิลวาสเรียกข้าออกไปเจรจา” เขาเอ่ยขึ้นหลังจากนิ่งเงียบมานาน “เขาเรียกร้องให้เราวางอาวุธยอมแพ้ เพื่อทั้งสองฝ่ายจะได้ไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อกัน”

            “ถ้าเราวางอาวุธยอมจำนน ทิ้งอาณาจักรไป แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนได้อีก กาโกคอลคือพื้นที่ของเรา” ไมริฟพูดอย่างหนักแน่น “แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าสู้ไม่ได้ แต่เราก็จะไม่ยอมแพ้ทั้งที่ยังไม่สู้แน่”

            “ข้าก็บอกเขาไปอย่างนั้น” เซ็นแวนเดอร์ว่าต่อ “เขาจึงบอกข้าต่อว่า หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ใครก็ตามที่จับอาวุธสู้กับกองทัพของเขา จะไม่ได้รับการละเว้น แม้จะเป็นผู้หญิง”

            “ไม่มีปัญหา” ไมริฟพูด แม้เธอจะสิ้นหวังแต่หัวใจก็ยังเด็ดเดี่ยว “เขาจะได้รู้เสียที ว่าผู้หญิงเผ่าพันธุ์นี้มีพิษสงมากแค่ไหน”

            “ท่านเป็นผู้หญิง แต่ท่านก็กล้าหาญไม่แพ้ผู้ชาย” กอร์รินชื่นชม

            “เผ่าพันธุ์ข้านั้นผู้หญิงรบเคียงข้างผู้ชายมาทุกยุคทุกสมัย หรือจะพูดให้ถูกคือ ผู้ชายรบเคียงข้างผู้หญิง เพราะฟอเรสเทอร์มีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย” ไมริฟว่า “อำนาจทางการเมืองการสงครามส่งผ่านมาถึงมือผู้หญิงหลายครั้งหลายคราแล้ว เราเป็นประชาธิปไตย เรามีความเสมอภาค”

            “ใช่แล้ว ระบอบประชาธิปไตยนั้นใช้ได้ดีกับเผ่าพันธุ์ที่รักสงบ มีความเป็นอยู่ที่เท่าเทียมกัน ดำเนินชีวิตไปตามวิถีธรรมชาติ ไม่มีเงินตรา ไม่มีอำนาจ ไม่มีความเห็นแก่ตัวมาทำให้เสื่อมเสีย” เซ็นแวนเดอร์ถอนหายใจ “มันจะไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว เมื่อกาโกคอลแตก”

            “ฟังนะ ท่านรองหัวหน้าเผ่า” ซิวาลินพูดอย่างจริงจัง “ข้ารู้ว่าท่านกำลังรู้สึกอย่างไร แต่มันไม่ดีเลยที่ท่านจะมาแสดงความสิ้นหวังต่อหน้าคนอื่นๆ มันจะทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีก”

            “มองไปรอบๆ สิไลคอลี่” เซ็นแวนเดอร์กวาดมือ “แล้วบอกข้าที ว่ามีใครที่ไม่มีอาการสิ้นหวังบ้าง”

            “นั่นยิ่งทำให้ท่านไม่ควรแสดงให้พวกเขาเห็นว่าท่านก็สิ้นหวังเหมือนกัน” ซิวาลินว่า “แม้พวกเขาจะสิ้นหวัง แต่พวกเขาก็ยังเชื่อมั่นในตัวท่าน พวกเขายังพร้อมที่จะสู้ศึกครั้งนี้ไปพร้อมกันท่าน เราทุกคนท้อแท้กันได้แต่เราไม่ควรท้อถอย คนของท่านอาจสิ้นหวังแต่ก็ยังมีกำลังใจสู้ แต่พวกเขาจะมีกำลังใจสู้ได้อีกนานแค่ไหน หากเห็นผู้นำของพวกเขาสิ้นหวังแบบนี้”

            เซ็นแวนเดอร์นั่งเงียบ จ้องมองพื้น ความจริงแล้วเขาก็บอกตัวเองมาตลอดว่าตนไม่ใช่ผู้นำ

          “ข้ารู้ว่าท่านสิ้นหวัง ข้าเองก็สิ้นหวัง เราทุกคนต่างสิ้นหวัง ก็เห็นกันอยู่กว่าสถานการณ์เป็นแบบนี้” ซิวาลินจับไหล่เซ็นแวนเดอร์ “ย้อนกลับไปสิบเก้าปี พวกดาร์คเนสดีวิลก็สิ้นหวังเหมือนกัน พวกนั้นก็ตกอยู่ในสถานการณ์ใกล้เคียงกับเรา ต้องต่อสู้กับศึกที่ไม่มีทางเอาชนะได้ แต่พวกเขาก็ปักหลักสู้จนถึงที่สุด เพราะแม้พวกเขาจะสิ้นหวังเพียงใด มันก็ยังเหลือความหวังเล็กๆ อยู่ในหัวใจพวกเขาเสมอ พวกเขาไม่คาดหวังหรอกว่าจะสู้ชนะ แต่พวกเขาขอสู้อย่างไม่ยอมแพ้ ถึงแม้จะแพ้สงคราม แต่ก็ยังชนะใจตัวเอง นั่น ทำให้ดาร์คเนสดีวิลเป็นเผ่าพันธุ์ที่เข้มแข็งที่สุดเสมอ เซ็นแวนเดอร์ ข้าเชื่อว่าท่านก็สามารถเป็นอย่างนั่นได้”

          เซ็นแวนเดอร์สูดหายใจลึก หยิบถ้วยเปล่ามาใบหนึ่ง แล้วยื่นส่งให้ซิวาลิน

          “ท่านพูดถูก พวกดาร์คเนสดีวิลไม่เคยหมดหวัง ข้าก็ไม่ควร” เขาพูดอย่างหนักแน่น “ขอให้ข้าสักถ้วยที ร่างกายข้าต้องพร้อมสำหรับสู้ศึก”  

          “ข้าด้วย” กอร์รินยื่นส่งถ้วยของตนให้บ้าง

          “ข้าด้วยค่ะ” ไมริฟยื่นส่งถ้วยเช่นกัน

          ซิวาลินยิ้ม ตักสตูเติมให้ทุกคน

 

*****************

 

            “เกินยี่สิบสี่ชั่วโมงมานานแล้วอาจารย์เซซิล เราล่าช้าแล้ว”

          กัปตันมาซูลรายงานเซซิลที่เอาแต่ยืนอยู่หน้าค่าย รอให้ผู้นำสูงสุดของตนปรากฏตัว ในตอนนี้ดาร์คเนสดีวิลทุกคนสวมเกราะติดอาวุธครบชุด เก็บค่ายเรียบร้อย เครื่องกลสงครามและอาวุธหนักถูกประกอบเตรียมออกศึก ทั้งทหารราบ ทหารม้า และรถม้าศึกต่างจัดขบวนพร้อมเคลื่อนทัพทันทีที่มีคำสั่ง สิ่งเดียวที่ไม่รวมอยู่ในทัพคือเอเลนเซฟเวอรี่สีดำพาหนะประจำตัวโซลิแทร์ มันยืนนิ่งสนิทไม่ขยับเขยื้อน นอกจากโซลิแทร์แล้วไม่มีใครสามารถควบคุมมันได้ พวกเขาจึงปล่อยมันไว้อย่างนั้น เอาเถิด ขาดมันไปแค่ตัวเดียวก็แทบไม่มีผลอะไรกับกองทัพอยู่แล้ว

          “รออีกหน่อยเถิด” เซซิลพูดเสียงเบา ตายังจ้องอยู่ที่เดิม

          “อาจารย์เซซิล เขาไม่มาแล้ว” กัปตันมาซูลพูดอย่างจริงจัง “ภารกิจต้องดำเนินต่อไป ท่านลอร์ดทำหน้าที่ส่วนของเขา เราก็ต้องทำหน้าที่ส่วนของเรา เราต้องสานต่อเจตนารมณ์สุดท้ายของเขา”

          เซซิลหันไปมองกองทัพดาร์คเนสดีวิลทั้งสามหมื่น ทุกคนรอคำสั่งจากเขา

          “โปรดสั่งการ” กัปตันมาซูลทำแขนกากบาท “ท่านผู้นำสูงสุดรักษาการณ์”

          เซซิลหลับตาลง แล้วลืมตาอย่างเข้มแข็ง ชูมือขึ้นฟ้า พลุสีเหลืองพุ่งออกจากปลายมือของเขาแตกกระจายส่องสว่าง กองทัพดาร์คเนสดีวิลขยับยืนตรง เสียงเกราะกระทบกันดังอย่างพร้อมเพรียง

          “ท่านผู้นำสูงสุด ลอร์ดมืดโซลิแทร์ แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม ดูเหมือนจะทำภารกิจของเขาไม่สำเร็จ เขาพยายามเท่าที่จะทำได้แล้ว” เซซิลกล่าว มีความเจ็บปวดเจือปนในน้ำเสียง “แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ภารกิจของเราจะต้องดำเนินต่อไป มีเขาหรือไม่มี เราก็จะยังคงเดินหน้าเข้าสู่เมืองหลวงเดธแอเรีย เข้าตีฐานทัพเอลิลอย่างสุดความสามารถ ตามความปรารถนาครั้งสุดท้ายของแบล็กไรดิงฮู้ด”

          “เราอยู่เคียงข้างท่าน อาจารย์เซซิล”

          “เราจะสู้เคียงข้างกับท่าน เดอะ เจสเทอร์”

          “เราจะก้าวสู่สมรภูมิพร้อมกับท่าน”

          บรรดานักรบดาร์คเนสดีวิลบอกกับเขาอย่างเด็ดเดี่ยว เซซิลยิ้มอย่างเข้มแข็ง พยักหน้าให้ทุกคน สวมหมวกเกราะที่ถืออยู่ในมือ

          “ไปจบมันกันเถอะ” เขาพูด

          พลุสีน้ำเงินพุ่งออกจากมือของเขา ดาร์คเนสดีวิลทุกคนเอ่ยคำว่า “เราคือกำแพง”  แล้วเริ่มออกเคลื่อนขบวนอย่างพร้อมเพรียง เจ้าเอเลนเซฟเวอรี่สีดำยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ขยับไปไหน บนเนินเขาไม่ห่างออกไปนัก มนุษย์สาวผมสีน้ำตาลทองขี่ม้าสีขาวกำลังคอยตามจับตาดูพวกเขาอยู่ห่างๆ  พวกดาร์คเนสดีวิลรู้ว่าถูกเธอติดตามอยู่แต่ก็ไม่ใส่ใจอะไร ใครจะมาตามดูพวกเขามันไม่สำคัญอีกแล้ว ชะตากรรมอันยากลำบากรอพวกเขาอยู่ที่เดธแอเรีย

 

***************

 

.           ในยามเที่ยงตรง ณ เมืองเดธแอเรีย เมืองหลวงของอาณาจักรไอซ์เมส กองทัพดาร์คเนสดีวิลจำนวนสามหมื่นตบเท้าเดินหน้าเข้าหาฐานทัพเอลิล ยังไม่มีใครมองเห็นฐานทัพเพราะมันมีเกราะมนต์ดำพรางอยู่ แต่พวกเขาก็รู้ว่ามันอยู่ตรงตำแหน่งไหนจากข้อมูลที่เซ็นแวนเดอร์มอบให้ ธงสีดำที่มีกากบาทสีดำเงาตรงกลางโบกสะบัดอยู่ทั่วกองทัพ อาวุธหนัก อุปกรณ์สงคราม และเกวียนลำเลียงกระสุนเพลิงตามอยู่รั้งท้าย ครั้งนี้ไม่มีทัพอากาศเอเลนเซฟเวอรี่ มีเพียงทัพบกเท่านั้น นักรบทุกคนก้าวเท้าเดินหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกดีวอเชอร์ถือโล่ยาวทรงรี พวกดีเซ็นทรีถือหอกสามง่าม คาดดาบคู่ที่เข็มขัด สะพายหน้าไม้และโล่ใบเล็กที่บรรจุลูกศรสามง่าม ศึกครั้งใหญ่กำลังจะเริ่มต้น ท่ามกลางหิมะเย็นเฉียบ

            กัปตันโพรเฟดยืนมองกองทัพดาร์คเนสดีวิลอยู่บนกำแพง เขาสวมเกราะสีเงินเป็นประกาย กระบังหมวกเกราะเลื่อนขึ้นเพื่อจะได้มองชัดๆ  มือถือปืนยาว ดาบคาดอยู่ที่เข็มขัด หลังสะพายโล่ขนาดกลาง บนกำแพงรอบข้างเขามีทหารเอลิลประจำอยู่หนาแน่น และมีฐานยิงจรวดอยู่เป็นจุดๆ  ด้านหลังกำแพงก็มีฐานยิงจรวดแบบติดล้อเรียงแถวอยู่เช่นกัน รวมทั้งกองทัพเอลิลอีกจำนวนมาก มีทั้งทหารราบและทหารม้า

            “ข้าศึกมาแล้ว” เขากล่าวเสียงเรียบๆ แต่ได้ยินกันทั่ว “จัดตำแหน่งตั้งรับบนกำแพง โล่อยู่แถวหน้า ปืนยาวอยู่แถวถัดไป ฐานยิงจรวดปรับระยะยิงให้ไกลที่สุดทั้งบนกำแพงและหลังกำแพง เกราะมนต์ดำไม่มีประโยชน์แล้วในสถานการณ์นี้ ข้าจะปิดการทำงานของมัน เพื่อให้อาวุธหนักของเราคำนวณจุดตกได้แม่นยำขึ้น”

            อากาศส่วนที่เป็นเกราะมนต์ดำกระเพื่อมเล็กน้อยแล้วจางหายไป ฐานทัพเอลิลปรากฎให้เห็นเบื้องหน้ากองทัพดาร์คเนสดีวิล เซซิลส่งสัญญาณหยุดเดินทัพ พวกดีเซ็นทรีเลื่อนกระบังหมวกเกราะขึ้น พวกดีวอเชอร์แกะผ้าเหล็กคาดหน้าออก ดวงตาแต่ละคู่ที่จ้องมองไปข้างหน้ามีแววหวั่นเกรง พวกเขาจะต้องบุกเข้าไปที่นั่น บนกำแพงที่มีทหารเอลิลประจำการอยู่หนาแน่น โล่ยกเรียงต่อกันมิดชิด ปืนยาวจำนวนมากมายเล็งพาดข้ามขอบโล่มาอย่างน่ากลัว พร้อมจะลั่นไกใส่เมื่อพวกเขาบุกเข้าไปถึงระยะยิง ฐานยิงจรวดบนกำแพงก็ปรับเล็งเตรียมพร้อม เกราะสีเงินเงาของทหารเอลิลแต่ละคนสะท้อนแสงเป็นประกายอย่างน่าเกรงขาม พวกดาร์คเนสดีวิลเริ่มเสียกำลังใจ พวกเขาไม่สันทัดการเป็นฝ่ายโจมตี และยังต้องมาโจมตีศัตรูที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ทันทีที่ศึกเริ่มต้น พวกเขาจะตายกันเกลื่อนกลาด โดยไม่รู้ว่าจะสร้างความเสียหายแก่ฝ่ายตรงข้ามได้มากแค่ไหน แต่ที่รู้แน่ๆ คือฝ่ายของพวกเขาจะเสียหายอย่างสาหัสแน่

            กัปตันมาซูลลงจากหลังม้า เลื่อนกระบังหมวกหน้าจิ้งจอกแยกเขี้ยวขึ้น เซซิลลงจากรถม้าศึก แกะผ้าเหล็กลายปีศาจแยกเขี้ยวออก ทั้งคู่มองหน้ากัน แล้วหันกลับไปมองฐานทัพเอลิลอย่างท้อใจ

            ในตอนนั้นเอง มีเงาของสัตว์ปีกขนาดใหญ่บินอยู่เหนือพวกเขา เซซิลและกัปตันมาซูลเงยหน้าขึ้นไปมอง เอเลนเซฟเวอรี่สีดำกำลังบินอยู่บนท้องฟ้า ก่อนหน้านี้มันยังยืนนิ่งอยู่ในค่ายไม่ขยับเขยื้อนไปไหน อะไรทำให้มันบินมาที่นี่ได้

            แล้วท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้ม เมฆสีเข้มก่อตัวครอบคลุมทั่วทั้งบริเวณ ดาร์คเนสดีวิลทุกคนแหงนหน้ามองท้องฟ้า บังเกิดประกายสายฟ้าสว่างจ้าพร้อมกับเสียงฟ้าคำรามดังสนั่นหวั่นไหว แล้วสายฝนก็กระหน่ำลงมา มันไม่ตกลงในพื้นที่ที่พวกเขายืนอยู่ แต่ตกลงในบริเวณกำแพงและฐานทัพของพวกเอลิล พวกเอลิลที่เล็งปืนอยู่ต้องเปลี่ยนรูปแบบการถือไม่ให้น้ำเข้าช่องรังเพลิง น้ำฝนเริ่มจับตัวเป็นน้ำแข็งเมื่อมันตกใส่พวกทหารเอลิลจนเปียกโชก พวกเอลิลไม่สะทกสะท้านเพราะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ไร้ความรู้สึกและปรับสภาพกับความหนาวเย็นได้ดีมาก แต่อย่างน้อยมันก็จะเป็นอุปสรรคต่อการรบของพวกเขาในอีกหลายเรื่อง

            ประกายสายฟ้าสว่างวาบ ปรากฏร่างในผ้าคลุมฮู้ดสีดำ กำลังเดินเข้ามาหากองทัพดาร์คเนสดีวิลจากทางซ้าย เซซิล กัปตันมาซูล และดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ หันไปมอง

โซลิแทร์ก้าวเดินเข้ามาหาพวกเขา มือซ้ายถือหน้ากากเหล็กที่มีรอยถูกหางกระเบนฟาด มือขวาถือดาบยาวสีดำมีเส้นสายฟ้าเล็กๆ แล่นผ่านใบดาบเมื่อขยับผ่านอากาศ ดาบแดนน้ำแข็งฟรอสท์ฟอร์เมอร์ แม้ว่าชุดเกราะของเขาจะเต็มไปด้วยรอยชำรุด ผ้าคลุมขาดๆ วิ่นๆ  แต่ ณ เวลานี้ เขาดูสง่างามและมีพลังยิ่งนัก เขาส่งยิ้มอย่างจริงใจให้ทุกคน ดวงตาสีน้ำเงินและเส้นผมสีทองคำที่มีบางส่วนเปื้อนเลือดสีดำนั้นสะท้อนสายฟ้าเป็นประกายเจิดจรัส ดาร์คเนสดีวิลทุกคนเริ่มยิ้มออกมาอย่างมีความหวัง โซลิแทร์ปลดปล่อยดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์สำเร็จ เขาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้ หากยังไม่หมดสิ้นความหวังที่จะพยายามต่อไป

            โซลิแทร์หยุดยืนอยู่หน้ากองทัพ หันไปหาดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ  แล้วปักดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ลงที่พื้นเบื้องหน้าทุกคนตามสัญญา เซซิล กัปตันมาซูล และดาร์คเนสดีวิลทุกคนคำรามกู่ร้องอย่างมีกำลังใจท่ามกลางเสียงฟ้าคำรามและสายฟ้าสว่างเจิดจ้า กัปตันโพรเฟดบนกำแพงที่มีน้ำแข็งจับเกราะอยู่ทั่วชุดเกราะก็มองมายังโซลิแทร์และดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป พวกดาร์คเนสดีวิลก็มีความหวังและกำลังใจเต็มเปี่ยม พวกเขาพร้อมที่จะสู้ อย่างที่ผู้นำของพวกเขาสู้มาจนสำเร็จ

            “นั่นดาบแดนน้ำแข็งฟรอสท์ฟอร์เมอร์” ทหารเอลิลที่ยืนอยู่ข้างกัปตันโพรเฟดเอ่ยขึ้น

            “นานแสนนาน ในที่สุด มันก็เป็นอิสระจากพวกไซคัส” กัปตันโพรเฟดกล่าว “เราเป็นหนี้บุญคุณแบล็กไรดิงฮู้ดในเรื่องนี้ เขาคู่ควรแล้วที่จะเป็นผู้ถือดาบ”

            “ซึ่งเขากำลังจะใช้ดาบเล่มนั้นต่อสู้กับเรา”

            “ทุกอย่างยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เราเตรียมพร้อมสำหรับพายุฝนมาแล้ว รักษารูปแบบการตั้งรับตามเดิม” กัปตันโพรเฟดสั่งการ “หากข้าศึกเข้ามาในระยะก็ยิงสกัดด้วยปืนยาว แค่เปลี่ยนรูปแบบการถือในตอนนี้ก็พอ เรามีผ้ากันน้ำพันช่องรังเพลิงอยู่ อย่างน้อยกระสุนนัดแรกของเราก็จะไม่ด้าน”

            พวกเอลิลปฏิบัติตามคำสั่ง ยกเลิกการเล็งปืนพาดขอบโล่มาถือเป็นแนวตะแคงเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเข้าปากกระบอกปืน เผ่าพันธุ์นี้มีความสามารถในเรื่องความเป็นระเบียบความพร้อมเพรียงอยู่แล้ว เมื่อฝ่ายตรงข้ามเข้ามาในระยะ พวกเขาก็สามารถประทับเล็งยิงได้อย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ต้องรอจังหวะกันนาน

            “ดาร์คเนสดีวิล สหายของข้า พี่น้องของข้า” โซลิแทร์กล่าวด้วยเสียงปกติ แต่ได้ยินกันทั่วถึงทั้งกองทัพ ด้วยพลังจากภาษาดาร์เคน เขี้ยวขาวเงาวับอยู่ในปาก ท่ามกลางเสียงฟ้าร้องคำราม เขาชี้ไปยังฐานทัพเอลิล “สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า คือศึกที่เราไม่มีวันเอาชนะได้ ฝ่ายตรงข้ามอยู่ในสถานะที่เหนือกว่าเรามาก เราไม่มีทัพอากาศ มีจำนวนน้อยกว่า และต่อสู้ในรูปแบบที่เสียเปรียบ” เสียงของเขาประสานกับเสียงฟ้าคำราม “สิ่งที่เราเผชิญอยู่ตอนนี้ มันก็เหมือนกับสิ่งที่เราเคยเผชิญเมื่อสิบเก้าปีก่อน ข้า และพวกท่านหลายๆ คน เคยยืนอยู่ด้วยกัน เฝ้ามองกองทัพศัตรูที่อยู่เบื้องหน้า กองทัพที่เราไม่มีวันจะเอาชนะได้ ฝ่ายตรงข้ามคือเผ่าพันธุ์ที่รบเก่งที่สุด ส่วนเราเป็นแค่เผ่าพันธุ์หมดสภาพ ไม่มีอะไรจะไปต่อกร จะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นหนทาง เหมือนติดอยู่ในพายุอันมืดมัว แต่ทำไม เราถึงยังยืนหยัดที่จะสู้ต่อไป”

            เขาชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า สายฟ้าส่องประกายเจิดจ้าพร้อมด้วยเสียงคำรามดังสนั่นหวั่นไหว

          “เพราะท่ามกลางพายุอันมืดมัว ยังมีแสงเล็กๆ ที่ส่องสว่างเพียงชั่วครู่ นั่นคือสายฟ้า แม้มันจะเป็นเพียงแสงเล็กๆ ที่ส่องสว่างเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็เป็นเสี้ยววินาทีที่เราได้มองเห็น เสี้ยววินาทีที่เรามีความหวัง การมีชีวิตอย่างสิ้นหวังสักร้อยปีพันปี มันไม่มีความหมายเท่าการมีชีวิตอย่างมีหวังแค่หนึ่งวินาที” เขาทำแขนกากบาทที่กลางหน้าอก กลางหน้าอกคือตำแหน่งหัวใจของดาร์คเนสดีวิล “นี่คือเหตุผลว่า ทำไมวันนี้เราถึงสู้แม้จะรู้ว่าแพ้ เพราะในหัวใจอันมืดมนของเราทุกคนยังมีสายฟ้าเล็กๆ ส่องประกายอยู่ ชัยชนะที่แท้จริงมันไม่ใช่การเอาชนะใคร หรือประสบความสำเร็จมากเพียงใด แต่มันคือการยืนหยัดต่อสู้จนถึงที่สุด ด้วยหัวใจที่ไม่มีวันยอมแพ้ ชนะใจตัวเอง ทำให้ตัวเองภาคภูมิใจ”  เสียงของเขาเบาแต่หนักแน่นและมีพลัง แขนสองข้างยังทำกากบาทอยู่ที่หัวใจ “ฉะนั้น แม้ศึกครั้งนี้เราจะพ่ายแพ้ ขอจงรับรู้ไว้ว่า การที่ข้าได้ยืนหยัดจนพ่ายแพ้ไปพร้อมกับพวกท่าน มันคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้า”

          ดาร์คเนสดีวิลทุกคนยิ้มให้เขาอย่างรักใคร่และเคารพ ไม่ใช่ในฐานะผู้นำ แต่ในฐานะพี่น้อง ฐานะเพื่อน แต่ละคนทำแขนกากบาทที่กลางหัวใจ เสียงเกราะเหล็กกระทบกันดังติดต่อกันกระหึ่มทั้งกองทัพ โซลิแทร์ยิงพลุสีดำขึ้นฟ้า มันแตกระเบิดออกเป็นรูปกากบาทสีดำที่แผ่เงามืดออกมา แอ็กนอสติกส์ครอส สัญลักษณ์ประจำเผ่าพันธุ์ดาร์คเนสดีวิล สัญลักษณ์ที่ดาร์คเนสดีวิลทุกคนกำลังทำกันอยู่ ดาร์คเนสดีวิลทั้งกองทัพส่งเสียงกู่ร้องและเคาะอาวุธประสานไปเสียงฟ้าคำราม เขี้ยวเงาวับส่องประกายอยู่ในปากทุกคน ท้องฟ้าด้านบนสาดแสงสายฟ้าลงมายังพวกเขา ณ เวลานี้ กองทัพดาร์คเนสดีวิลช่างดูมีพลังมหาศาล

          “เตรียมตัวให้พร้อม สู้ให้เต็มที่” กัปตันโพรเฟดสั่งการ “เพราะข้าศึกของเราสู้สุดขาดใจแน่”

          พวกดีเซ็นทรีเลื่อนกระบังหมวกลงมาปิดหน้า พวกดีวอเชอร์คาดผ้าเหล็กปิดปาก เสียงโลหะเคลื่อนไหวดังสลับกันไปมา พวกเขาพร้อมแล้วที่จะเดินหน้าเข้าไปสู้ศึกที่ไม่มีวันชนะ ด้วยหัวใจที่ไม่มีวันยอมแพ้

          “จงมองไปยังสายฟ้า ดาร์คเนสดีวิลใจแกร่ง” โซลิแทร์ชี้ไปยังประกายแสงสว่างวาบบนท้องฟ้า พร้อมด้วยเสียงฟ้าคำรามกึกก้อง“มันเปรียบเสมือนเรา ที่เป็นเพียงแสงเล็กๆ เสี้ยววินาที แต่เราจะขอสาดแสงให้สว่างเจิดจ้า ให้มันเป็นเสี้ยววินาทีที่มีความหมาย”  มือซ้ายของเขายกหน้ากากมาสวม“ลิขิตฟ้าอาจหยุดยั้งเราได้ แต่มันไม่อาจหยุดยั้งเราไม่ให้พยายามได้”  มือขวาของเขาถอนดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ออกมาจากพื้น เส้นสายฟ้าส่องประกายบนใบดาบ“จงแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดในดาวดวงนี้ คือหัวใจของปีศาจที่ส่องประกายด้วยสายฟ้า”  เขาขีดกากบาทที่พื้นด้วยปลายดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ “พี่น้องของข้า ข้าอยากได้ยินมันอีกครั้ง บอกข้า บอกดาวดวงนี้ บอกตัวพวกท่านเอง เรา คือ อะไร”

          “เราคือกำแพง” ดาร์คเนสดีวิลทุกคนตะโกนสุดเสียง

          พลุสีน้ำเงินพุ่งออกจากปลายมือของโซลิแทร์แตกกระจายส่องสว่างทั่วท้องฟ้า

          “เราคือกำแพง” โซลิแทร์หันกลับไปยังฐานทัพเอลิล แล้วออกวิ่งบุกเข้าไป แขนขวาถือดาบเหยียดเฉียงออกข้างลำตัว ผ้าคลุมโบกสะบัดอยู่ข้างหลังอย่างสง่างาม

          เซซิล กัปตันมาซูล และดาร์คเนสดีวิลทั้งกองทัพออกวิ่งตามเขาไป พร้อมกับคำรามว่า “เราคือกำแพง” ท่ามกลางเสียงฟ้าคำรามและแสงสายฟ้าที่ส่องประกาย ศึกครั้งนี้พวกเขาอาจสู้ไม่ไหว แต่พวกเขาก็จะสู้ สู้อย่างถึงที่สุด

          “อาวุธหนักบนกำแพง รอสัญญาณจากข้า” กัปตันโพรเฟดเงื้อมือขึ้น “ข้าศึกจะเข้ามาถึงระยะยิงในอีกสิบวินาทีโดยประมาณ”

          พวกทหารเอลิลที่ประจำอยู่ตามฐานยิงจรวดบนกำแพง จ่อตะเกียงใกล้กับชนวนจรวด แม้จะถูกกระหน่ำด้วยฝนและความเย็น พวกเขาก็ยังสามารถจุดชนวนได้ มันเป็นตะเกียงเจ้าพายุ ออกแบบมาให้ทนต่อพายุฝน พวกดาร์คเนสดีวิลแตกแถวกันออกไป พยายามกระจายออกห่างกัน ไม่จัดแถวเป็นระเบียบ ไม่อยู่รวมเป็นกลุ่ม เน้นที่ความเร็วในการบุกไปให้ถึงกำแพง กลยุทธ์กระจายแถวกันแบบนี้จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามมีโอกาสยิงถูกพวกเขาได้น้อยลง โดยเฉพาะเมื่อใช้อาวุธหนัก

          “ยิง” กัปตันโพรเฟดสะบัดมือไปข้างหน้า

          จรวดทุกลำบนกำแพงถูกจุดชนวน แล้วมันก็พุ่งตรงเข้าใส่กองทัพดาร์คเนสดีวิลแนวหน้า เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงตามจุดที่มันตกใส่ ดาร์คเนสดีวิลจำนวนมากมายสังเวยชีวิตให้แก่การยิงระลอกแรก แม้จะพยายามกระจายกันแล้ว แต่รัศมีของระเบิดก็ไม่ได้แคบๆ  โซลิแทร์พุ่งม้วนตัวไปข้างหน้าหลบรัศมีระเบิดแล้ววิ่งต่อ เซซิลยกโล่กำบังเปลวไฟและสะเก็ดระเบิด กัปตันมาซูลก้มหัวลงต่ำ เปลวไฟและหิมะกระจายอยู่รอบตัว ดาร์คเนสดีวิลทั้งกองทัพยังคงวิ่งเข้าหากำแพงไม่หยุด ปากตะโกนว่า “เราคือกำแพง” พวกเอลิลยิงจรวดและบรรจุจรวดอย่างแข็งขัน แต่ละลูกที่ยิงไปล้วนเอาชีวิตดาร์คเนสดีวิลไปหลายคน

          “ข้าศึกกำลังจะเข้ามาในระยะปืน” กัปตันโพรเฟดยกปืนยาวเล็งไปข้างหน้า “ประทับเล็ง”

          พวกพลปืนเอลิลบนกำแพงถอดผ้ากันน้ำออกจากช่องรังเพลิงให้อากาศผ่าน ปืนจะได้ใช้งานได้ พวกเขาเล็งพาดขอบโล่ของพวกทหารเอลิลแถวหน้าที่ยืนเรียงแถวตั้งกำแพงโล่อย่างแน่นหนา น้ำฝนและความเย็นอาจทำให้กระสุนด้านได้ แต่ไม่ใช่กับนัดแรก ก่อนหน้านี้พวกเขาพันผ้ากันน้ำไว้ไม่ให้เข้าช่องรังเพลิง อย่างน้อยนัดแรกที่ยิงออกไป จะไม่มีนัดไหนด้าน

          “ยิง” กัปตันโพรเฟดเหนี่ยวไก

          ปืนเอลิลทุกกระบอกลั่นไกส่งกระสุนออกไป โซลิแทร์พุ่งม้วนตัวหลบอีกครั้งแล้ววิ่งต่อ เซซิลยกโล่ยาวกำบัง กัปตันมาซูลถูกกระสุนพุ่งถากที่หัวไหล่ล้มลงไป แต่ก็กลิ้งตัวลุกขึ้นมาวิ่งใหม่ นักรบดาร์คเนสดีวิลอีกมากมายถูกยิงล้มไปเป็นแถบ บางคนหลบหลีกได้ บางคนใช้โล่ป้องกันไว้ได้ บางคนหลบได้นัดหนึ่งก็ไปโดนอีกนัดหนึ่ง บางคนกำบังโล่ได้แต่ก็ไม่เพียงพอ ถูกยิงตายไปเหมือนกัน พวกดีวอเชอร์มีโล่ยาวๆ ไว้กำบังกระสุน พวกดีเซ็นทรีก็มีโล่ใบเล็กที่เป็นกระบอกบรรจุลูกศรสามง่าม แต่การวิ่งบุกเต็มฝีเท้าก็ทำให้กำบังยากขึ้น อีกทั้งกระสุนของอีกฝ่ายก็พุ่งมามากมาย พวกเอลิลที่ยิงปืนไปแล้วก้าวถอยไปข้างหลังเพื่อบรรจุกระสุนนัดใหม่ พวกที่อยู่แถวถัดไปก้าวขึ้นมาแทนที่ ทำทุกอย่างด้วยความพร้อมเพรียงและเป็นจังหวะยิ่งนัก การยิงจึงต่อเนื่องไม่ขาดระยะ

          “อาวุธหนักหลังกำแพง” กัปตันโพรเฟดยกมือทำสัญญาณ “ยิงสนับสนุน”

          ฐานยิงจรวดติดล้อที่ประจำตำแหน่งเรียงกันอยู่หลังกำแพงนั้น ถูกจุดชนวนส่งจรวดโค้งข้ามกำแพงตรงเข้าใส่พวกดาร์คเนสดีวิล พวกดาร์คเนสดีวิลต้องรับทั้งกระสุนปืนและจรวดพร้อมๆ กัน ยากยิ่งนักที่จะหลบหลีกได้ พวกเขาจึงถูกกำจัดไปอีกมากมาย บางคนร่างกระเด็นกระดอนไปคนละทาง โซลิแทร์และเซซิลต่างก็ได้แผลไฟลวกจากรัศมีเปลวไฟ เป็นการยิงสกัดที่ค่อนข้างหนักหน่วง เพียงแค่เปิดฉากศึกก็มีศพดาร์คเนสดีวิลนอนตายเกลื่อน เป็นสัจธรรมของสงครามที่ว่าฝ่ายรุกจะตายก่อน และจะตายกันมากมายหากฝ่ายรับตั้งรับได้ดี ฝ่ายที่อยู่บนตำแหน่งสูงกว่าย่อมยิงได้ไกลกว่าและมีมุมยิงที่สะดวกกว่า ที่ผ่านมานั้นพวกดาร์คเนสดีวิลใช้กลยุทธ์ทำนองนี้รับมือกับข้าศึกที่บุกเข้าหากำแพงตนเสมอ ตอนนี้พวกเขาเป็นฝ่ายโดนบ้าง รู้ซึ้งแล้วว่ามันหนักหนาขนาดไหน

          พวกดาร์คเนสดีวิลแนวหน้าบุกเข้ามาถึงกำแพง ตำแหน่งนี้ใกล้เกินมุมยิงของจรวด โซลิแทร์ร่อนใบจักรสังหารทหารเอลิลคนหนึ่งตายคากำแพง เซซิลและพวกดีวอเชอร์ต่อโล่ตั้งกำแพงกันเป็นแนวกำบัง กัปตันมาซูลและพวกดีเซ็นทรีตั้งแถวอยู่ด้านหลังเล็งหน้าไม้พาดข้ามขอบโล่ยิงตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม พวกดีวอเชอร์ก็คอยเปิดช่องโล่ปล่อยวงแหวนฮีเลียมออกไปโจมตีเช่นกัน ทหารเอลิลหลายคนถูกสอยร่วงตกกำแพง แต่ส่วนใหญ่ก็มีโล่ของพวกแถวหน้าสุดกำบังไว้ให้ พวกดาร์คเนสดีวิลยิงอะไรไปก็ถูกขวางด้วยโล่อยู่เรื่อยๆ

          สายฟ้าจากบนท้องฟ้าฟาดลงมาบนกำแพง ทำเอาทหารเอลิลกลุ่มใหญ่กระจัดกระจายตายกันไปคนละทาง โซลิแทร์ตั้งสมาธิ รวมรวมพลัง เขาควบคุมให้ฟ้าผ่าลงบนกำแพงอีกจุด หวังจะให้มันผ่าลงบนฐานยิงจรวด แต่อำนาจพิเศษนี้ไม่ได้ใช้ง่ายๆ  กำหนดความแม่นยำก็ลำบาก แถมเปลืองเรี่ยวแรงอีกด้วย มันจึงผ่าพลาดเป้าไปถูกกลุ่มทหารเอลิลด้านหลังกำแพงแทน ผ่าอีกครั้งที่สาม คราวนี้ผ่าลงฐานยิงจรวดเครื่องหนึ่งบนกำแพงพอดี ส่งผลให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงที่จุดนั้น ทหารเอลิลกระจัดกระจายตายกันไปหลายคน ขบวนแถวบนกำแพงเริ่มเสียรูป แถวโล่บางส่วนเกิดช่อง ทำให้พวกดาร์คเนสดีวิลยิงเข้าเป้าหมายได้มากขึ้น

          โซลิแทร์รู้สึกอ่อนแรงลงเล็กน้อย หอบหายใจหนัก ไม่ควรทำฟ้าผ่าติดต่อกันแบบนี้เลย หากไม่ระมัดระวังเขาจะอ่อนแรงในจังหวะที่ไม่เหมาะสม ซึ่งผลกระทบก็เกิดทันตาเห็น มันทำให้เขาช้าลงชั่วขณะจนหลบกระสุนนัดหนึ่งไม่ทัน รับมันเข้าไปเต็มอก เสื้อนอกโลหะของเขาทะลุเป็นรูแต่เสื้อเกราะของเขากลับไม่เป็นอะไร เขาไม่ได้รับการบอบช้ำจากแรงกระแทกด้วย ต้องขอบคุณมาร์คาร์ที่ทำเสื้อเกราะอันแสนพิเศษตัวนี้ให้ เขาขยับไปหลบอยู่หลังโล่ของเซซิล ที่ยืนอยู่อีกข้างของเซซิลคือกัปตันมาซูลผู้ซึ่งกำลังก้มตัวต่ำบรรจุศรลงในหน้าไม้ พวกดาร์คเนสดีวิลพยายามยิงก่อกวนบริเวณฐานยิงจรวดของพวกเอลิลไม่ให้พวกนั้นใช้งานได้สะดวก จะได้ส่งจรวดมาโจมตีพวกเขาได้ช้าลงและแม่นยำน้อยลง ซึ่งก็นับว่าพอทำได้เพราะบริเวณฐานยิงจรวดแต่ละเครื่องก็ไม่เอื้ออำนวยให้พวกเอลิลไปตั้งแถวป้องกันได้แน่นหนานัก กำแพงเมืองนี้ไม่กว้างเหมือนกำแพงเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลน พื้นที่บนกำแพงจึงมีน้อย

          “อาวุธหนักของเราเข้ามาได้ระยะแล้ว” เซซิลบอก

          “ยิง” โซลิแทร์ยกดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ทำสัญญาณ

          เครื่องยิงค้างคาวผีติดล้อของพวกดาร์คเนสดีวิลส่งกระสุนเพลิงปีศาจตรงเข้าใส่พวกเอลิล บางลูกพุ่งใส่บนเชิงเทินกำแพง บางลูกพุ่งข้ามกำแพงไป มันแตกระเบิดกระจายเปลวไฟสีเขียวและสะเก็ดดาวตกเล็กๆ  พวกทหารเอลิลเป็นฝ่ายกระเด็นกระดอนบ้าง พวกที่อยู่บนกำแพงนั้นหลบได้ยากเพราะพื้นที่ไม่เอื้ออำนวย แนวรับบนกำแพงเริ่มกระจัดกระจาย เปิดช่องทางให้ลูกศรสามง่ามและวงแหวนของพวกดาร์คเนสดีวิลเข้าถึงตัวพวกเอลิลได้โดยมีแนวโล่ขวางน้อยลง พวกที่ตั้งขบวนอยู่หลังกำแพงนั้นหลบได้ง่ายกว่าเพราะมีพื้นที่ แต่ก็ยังถูกระเบิดถูกเผาตายกันไปมากมาย เมื่อพวกดาร์คเนสดีวิลส่งกระสุนเพลิงไป พวกเอลิลก็ส่งจรวดกลับมา ทั้งสองฝ่ายยิงตอบโต้กันไปมาด้วยอาวุธหนัก ขณะที่ปืนยาวกับหน้าไม้และวงแหวนก็พุ่งใส่กันไปมาไม่หยุด ฐานยิงจรวดบางเครื่องถูกลูกระเบิดเพลิงพุ่งใส่แตกระเบิดออกมาอย่างรุนแรง ทำเอาบรรดาทหารเอลิลที่อยู่ในรัศมีนั้นมีสภาพเป็นชิ้นๆ  เครื่องยิงระเบิดเพลิงบางเครื่องก็ถูกจรวดพุ่งใส่แตกกระจาย เปลี่ยนสภาพดาร์คเนสดีวิลหลายคนเป็นชิ้นๆ เช่นกัน พวกดาร์คเนสดีวิลมีเกวียนลำเลียงกระสุนเพลิง ส่วนพวกเอลิลก็มีกองแท่งจรวดเตรียมไว้สำหรับบรรจุใส่ฐานยิง ยามถูกอาวุธหนักของอีกฝ่ายระเบิดใส่ มันก็กระจายรัศมีและความรุนแรงมากขึ้นหลายเท่าตัว ไม่ต้องพูดถึงพวกทหารนักรบที่อยู่ใกล้ๆ พวกนี้โชคร้ายสุดๆ กลายเป็นศพไหม้ๆ ก่อนที่ร่างจะตกถึงพื้นเสียอีก ฝนหยุดเทใส่พวกเอลิลแล้ว แต่เมฆก็ยังอยู่บนท้องฟ้าพร้อมด้วยเสียงฟ้าคำรามและแสงฟ้าแลบเป็นระยะ แต่ที่ส่งเสียงดังสนั่นและส่องแสงสว่างวาบไม่ขาดสายคือระเบิดจากอาวุธหนักที่ทั้งสองฝ่ายยิงใส่กัน

          “ต้องขอบคุณใบเล็ทเทรดของพวกฟอเรสเทอร์ ลดพื้นที่ขนเสบียงไปได้ทั้งหมด” เซซิลปล่อยวงแหวนสังหารทหารเอลิลคนหนึ่งร่วงตกกำแพง “ทำให้เราขนเครื่องกลและอาวุธหนักมาได้มากขึ้น”

          “ยิงต่อสู้กันแบบนี้ ฝ่ายตรงข้ามอยู่ที่สูงกว่า ยังไงเราก็เสียเปรียบ” กัปตันมาซูลขึ้นสายหน้าไม้

          “ระดมยิงต่อไป คอยสลายขบวนข้าศึกบนกำแพง” โซลิแทร์ร่อนใบจักรสอยทหารเอลิลร่วงตกกำแพงอีกคน แล้วก้มหลบกระสุน กำแพงไม่สูงมากเขาจึงร่อนถึง “เราต้องปูทางสำหรับลำเลียงพลขึ้นกำแพง และยิงคุ้มกันให้เครื่องกลอื่นๆ เข้าไปในตำแหน่งที่เหมาะสม”

          กัปตันโพรเฟดลุกขึ้นยืนจากการย่อตัวหมอบเป็นรอบที่สาม โล่ที่ยกกำบังในมุมสูงนั้นมีรอยไหม้เล็กๆ  ควันโชยออกมาจากผิวโล่

          “ทัพอากาศ” เขาเคาะโล่สองครั้งทำสัญญาณ “โจมตี”

          ฟาร์ดาราสฝูงใหญ่เหินบินข้ามกำแพงตรงเข้าหาพวกดาร์คเนสดีวิล แต่ละตัวสวมเกราะหนาหนักสีเงินตั้งแต่หัวจดหาง ช่วงเวลายากลำบากของพวกดาร์คเนสดีวิลมาถึงแล้ว ทัพอากาศเป็นทัพที่รับมือยากที่สุด ซึ่งทัพอากาศฝ่ายเอลิลก็มีจำนวนมาก แต่ฝ่ายพวกเขาไม่มีเหลือ ที่พอทำได้ก็แค่พยายามตอบโต้จากบนพื้นดินเท่าที่จะมีปัญญา

          “เครื่องกลต่อสู้หน่วยรบทางอากาศ เตรียมพร้อม” โซลิแทร์ยกดาบทำสัญญาณ

          เครื่องยิงหอกรูปเอเลนเซฟเวอรี่ เครื่องกลสงครามชนิดใหม่ที่พวกดาร์คเนสดีวิลคิดขึ้นมา ถูกเข็นมาเรียงแถวประจำตำแหน่ง บรรจุหอกสามง่ามเรียบร้อย

          “ยิง” โซลิแทร์ชี้ดาบไปข้างหน้า

          เครื่องยิงหอกทุกเครื่องถูกดึงคันโยกยิงหอกออกไปเครื่องละสามเล่ม มันส่งหอกขึ้นไปได้สูงและพุ่งเร็วมาก ฟาร์ดาราสหลายตัวถูกหอกสามง่ามเสียบตกลงมาตาย เกราะหนาๆ ของพวกมันอาจทานทนลูกศรหน้าไม้และวงแหวนฮีเลี่ยมได้ แต่ไม่มีทางทานทนอาวุธชิ้นใหญ่อย่างหอกสามง่ามได้ พวกฟาร์ดาราสพยายามบินฉวัดเฉวียนหลบหอก แต่ก็มีอีกหลายตัวที่หลบไม่พ้นเพราะหอกมีมากมาย หอกที่พุ่งไม่เข้าเป้าก็ข้ามไปพุ่งใส่พวกเอลิลบนกำแพงบ้าง ข้ามกำแพงลงไปใส่พวกเอลิลที่อยู่หลังกำแพงบ้าง สลายกลุ่มพวกเอลิลที่อยู่รวมกันได้เป็นอย่างดี

          อย่างไรก็ตาม พวกดาร์คเนสดีวิลก็ทำได้แค่นั้น พวกฟาร์ดาราสเริ่มโฉบเล่นงานพวกเขา พ่นก้อนน้ำแข็งแห้งเคลือบฟรีออนและตวัดกรงเล็บเหล็กโจมตีพวกเขาอย่างหนักหน่วง โล่หนาๆ ยังไม่สามารถป้องกันอานุภาพน้ำแข็งพิฆาตได้ ต้องหลบหลีกเพียงอย่างเดียว เครื่องยิงหอกอาจสอยพวกมันลงมาได้บ้าง  แต่มันก็มีข้อจำกัดหลายอย่างยิ่งนัก มุมยิงจำกัด บรรจุกระสุนช้า และจะเล็งให้ถูกเป้าหมายก็ไม่ใช่เรื่องง่ายโดยเฉพาะเป้าหมายที่บินไปบินมาไม่หยุดนิ่ง เครื่องยิงหอกบางเครื่องก็ถูกพวกฟาร์ดาราสเข้าทำลาย พวกดีเซ็นทรีและพวกดีวอเชอร์พยายามยิงหน้าไม้และวงแหวนสกัดพวกมันเต็มที่เมื่อมีตัวใดโฉบใส่เครื่องยิงหอก ในตอนนี้มันเป็นเครื่องกลที่มีความสำคัญมาก

          “เล็งที่หัวและบริเวณคอหอย” กัปตันมาซูลเล็งหน้าไม้แล้วยิงออกไป “เกราะส่วนนั้นบาง หน้าไม้และวงแหวนยังพอเจาะเข้า”

          “อาจารย์เซซิล ท่านและกัปตันมาซูลดูแลภาคพื้นดิน” โซลิแทร์สั่ง “ข้าจะขึ้นไปบนฟ้า”

          เซซิลทำแขนกากบาท แล้วโยนวงแหวนเข้าที่คอหอยใต้คางฟาร์ดาราสตัวหนึ่งที่โฉบข้ามหัวมา มันร่วงไถลไปกับพื้นหิมะตายสนิท เอเลนเซฟเวอรี่สีดำบินลงมารับโซลิแทร์แล้วบินขึ้นฟ้า ฟาร์ดาราสตัวหนึ่งบุกเข้ามาพ่นน้ำแข็งใส่ทันที เขาบังคับพาหนะบินหลบแล้วตวัดดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ฟันคอมัน มันตัดผ่านเกราะหนาๆ ของฟาร์ดาราสได้อย่างง่ายดาย พลังงานสายฟ้าจากใบดาบดูจะเพิ่มอำนาจการตัดผ่านมากขึ้น บริเวณเกราะที่ถูกฟันจะทิ้งประกายไฟฟ้าเล็กๆ ไว้ชั่วขณะ ฟาร์ดาราสอีกตัวโฉบกรงเล็บใส่เขา เขากระชากบังเหียนบินหลบลงต่ำพร้อมกับยกดาบขึ้นเหนือหัว เฉือนที่ใต้อกและท้องของมันซึ่งเป็นบริเวณที่เกราะหนาที่สุด แต่ดาบก็ตัดผ่านปลิดชีวิตเจ้าสัตว์ร้ายได้ อำนาจการตัดของมันสูงยิ่ง แม้สำหรับคนที่ไม่ใช่เฮเวนล็อคหรือไอซ์ครีเอเทอร์แล้วดาบเล่มนี้จะไม่ต่างจากดาบธรรมดาทั่วไปนัก แต่อย่างน้อย เรื่องความคมและความแข็งแกร่งของมันก็เป็นเลิศ

          “อาวุธหนัก ปรับองศาให้ยิงข้ามกำแพง” เซซิลสั่งการ “เตรียมลำเลียงพลขึ้นกำแพง”

          เครื่องยิงระเบิดเพลิงและเครื่องยิงหอกปรับมุมยิงสูงขึ้น ให้จุดตกของกระสุนลอยข้ามกำแพงไปเพื่อไม่ให้โดนพวกเดียวกันยามส่งคนขึ้นไปบนกำแพง นั่นทำให้พวกเอลิลบนกำแพงกลับมาจัดขบวนแถวกันได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง ประสิทธิภาพในการยิงปืนต่อสู้กับพวกดาร์คเนสดีวิลจึงมากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม การที่ฝนตกก่อนหน้านี้ก็ทำให้ปืนยาวหลายกระบอกเริ่มยิงไม่ออก น้ำแข็งเข้าไปจับเกาะดินปืนจนกระสุนด้าน

          “ประกอบลิฟต์” กัปตันมาซูลสั่งการ

          พวกนักรบดาร์คเนสดีวิลแบกเสายาวมาหลายต้น ฐานของมันเป็นสี่เหลี่ยมกว้าง ความสูงของมันน่าจะสูงกว่ากำแพงเล็กน้อย พวกเขาตั้งเสาที่หน้ากำแพง ตอกลิ่มที่รูสี่มุมของฐานเสาเพื่อให้ยึดติดกับพื้น มีนักรบดาร์คเนสดีวิลอีกจำนวนหนึ่งแบกแผ่นกระดานเหล็กกว้างเท่าฝาบ้านมาประกอบกับเสา บนยอดเสามีรอกโยงเชือกเหล็ก พวกเขาเอาปลายเชือกเหล็กด้านหนึ่งเกี่ยวตะขอกับแผ่นกระดาน เมื่อดึงปลายเชือกเหล็กอีกด้าน แผ่นกระดานจะถูกชักรอกขึ้นไป เป็นลักษณะการทำงานของลิฟต์

          พวกดาร์คเนสดีวิลทั้งดีเซ็นทรีและดีวอเชอร์ขึ้นไปยืนบนแผ่นกระดานแต่ละแผ่น จัดกลุ่มเป็นสี่เหลี่ยมหนาแน่น โล่ยกกำบังอยู่ข้างหน้าและเหนือศีรษะ กำบังกระสุนและก้อนน้ำแข็งที่ศัตรูบนกำแพงทิ้งลงมา แล้วพวกดาร์คเนสดีวิลก็รวมพลังกันออกแรงดึงเชือกเหล็ก ชักรอกพวกที่ยืนอยู่บนแผ่นกระดานขึ้นไป เซซิลขึ้นไปกับลิฟต์ตัวแรก กัปตันมาซูลขึ้นไปกับลิฟต์ตัวถัดไป ส่วนลิฟต์ตัวอื่นๆ ก็เริ่มถูกประกอบและส่งคนขึ้นไปเช่นกัน บางตัวก็ให้ม้าปีศาจช่วยดึงรอก ที่ใช้เครื่องกลชนิดนี้ได้ก็เพราะกำแพงของพวกเอลิลไม่สูงมาก เป็นเครื่องกลที่บ่งบอกถึงความสามัคคีของพวกดาร์เคนดีวิล มันคงจะใช้การติดขัดอย่างหนักหากพวกเขาไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อแผ่นกระดานที่เต็มไปด้วยกลุ่มนักรบถูกชักรอกขึ้นไปจนสุด มันก็อยู่ระดับสูงกว่าเชิงเทินกำแพงเล็กน้อย กลุ่มนักรบดาร์คเนสดีวิลกระโจนจากแผ่นกระดานลงไปบนเชิงเทิน เข้าต่อสู้กับพวกทหารเอลิลที่ทิ้งปืนยาวแล้วชักดาบคว้าโล่

          “ข้าศึกเริ่มบุกขึ้นมาบนกำแพง” กัปตันโพรเฟดแทงดาบใส่ดีวอเชอร์คนหนึ่ง แล้วถอนดาบออกมาฟันคอดีเซ็นทรีคนหนึ่ง แขนอีกข้างยกโล่กำบังลูกศรสามง่ามโดยไม่หันไปมอง “ใช้อาวุธระยะประชิด”

          เซซิลใช้ขอบโล่ฟันใส่พวกทหารเอลิลที่อยู่ใกล้ตัว ปล่อยวงแหวนใส่พวกที่อยู่ไกล หยิบหลอดเคมีจากหลังโล่ขว้างใส่กลุ่มทหารเอลิลลุกติดไฟไหม้กันทั้งกลุ่ม กัปตันมาซูลยิงหน้าไม้หนึ่งนัดสังหารทหารเอลิลหนึ่งคน สะพายหน้าไม้เก็บ พุ่งหอกสามง่ามออกไปเสียบทหารเอลิลอีกคน แล้วชักดาบคู่ออกมาต่อสู้กับพวกทหารเอลิลรอบตัว การใช้ลิฟต์ทำให้พวกดาร์คเนสดีวิลส่งคนขึ้นมาได้ทีละมากๆ และไม่ถูกสกัดง่ายๆ เหมือนการพาดบันไดปีนขึ้นไป นับเป็นความฉลาดและความสร้างสรรค์ของพวกเขา เมื่อลิฟต์ตัวไหนส่งคนขึ้นไปบนกำแพงหมดแล้ว พวกเขาก็จะลดแผ่นกระดานลงมารับนักรบอีกกลุ่มขึ้นไป พวกที่สาวรอกอยู่ข้างล่างก็ออกแรงกันแข็งขัน ใครถูกยิงตายก็จะมีคนมาแทนที่อยู่เรื่อยๆ  ฐานยิงจรวดบนกำแพงเริ่มใช้การไม่ได้เพราะพวกดาร์คเนสดีวิลบุกขึ้นไปขัดขวางการทำงาน มีเพียงบรรดาฐานยิงจรวดด้านหลังกำแพงที่ยิงข้ามกำแพงตอบโต้กับเครื่องยิงระเบิดเพลิงและเครื่องยิงหอกของพวกดาร์คเนสดีวิลสวนกันไปมา

          แม้พวกดาร์คเนสดีวิลจะส่งคนขึ้นไปได้ทีละมากๆ  แต่พวกเอลิลก็ใช่ว่าจะต้านไม่อยู่ พวกผีตรึงกำลังตั้งรับอย่างเหนียวแน่น บางคนประกอบดาบเป็นง้าวคอยแทงสกัดไม่ให้อีกฝ่ายข้ามมาจากลิฟต์ได้ พวกฟาร์ดาราสยังเป็นปัญหาใหญ่ พวกมันคอยโฉบก่อกวนไม่ให้พวกเขาลำเลียงพลได้สะดวก ทั้งพ่นน้ำแข็ง ทั้งโฉบชนพวกที่กำลังขึ้นลิฟต์ตกลงไปตาย ลิฟต์บางตัวก็ถูกพวกมันพ่นน้ำแข็งตัดเชือกเหล็กทำเอากลุ่มนักรบที่เพิ่งถูกชักรอกขึ้นไปจนสุดนั้นร่วงตกลงมาตายกันหมด พวกดาร์คเนสดีวิลพยายามคุ้มกันเครื่องกลแต่ละตัว ยิงสกัดพวกมันด้วยอาวุธระยะไกลที่มี ทุกคนคิดถึงพวกเอเลนเซฟเวอรี่จับใจ ไม่มีพวกมัน พวกเขารู้สึกสู้อะไรพวกฟาร์ดาราสไม่ค่อยได้

          ฟาร์ดาราสตัวหนึ่งโฉบเข้าหาลิฟต์ตัวหนึ่งหวังจะสร้างความเสียหาย โซลิแทร์บังคับพาหนะโฉบตัดหน้ามันพร้อมกับลากดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ตัดคอมันขาดกระเด็น จากนั้นก็ปล่อยสายฟ้าจากปลายดาบระเบิดฟาร์ดาราสอีกตัวเป็นชิ้นๆ  เนื้อตัวของเขามีบาดแผลแห้งกรังจากการถูกน้ำแข็งของพวกมันพุ่งถากไปมา เสื้อเกราะอันแข็งแกร่งของเขาต้านทานอานุภาพน้ำแข็งแห้งเคลือบฟรีออนไม่ไหว เอเลนเซฟเวอรี่สีดำพาหนะของเขาก็ได้แผลมาบ้างเช่นกัน เกราะหนาหนักของมันชำรุดและมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะ อย่างนี้ไม่ดีแน่ ทัพอากาศข้าศึกมีเต็มท้องฟ้าไปหมด และพวกเขาก็แทบจะไม่มีอะไรไปต่อกรเลย พวกมันเล็งเครื่องกลสงครามเป็นเป้าหมายหลัก พวกเอลิลฉลาดที่ใช้กลยุทธ์นี้ หากไม่เหลือเครื่องกลสงครามพวกดาร์คเนสดีวิลก็จะแพ้ทันที พวกเขาจะไม่มีเครื่องยิงหอกไว้ตอบโต้ทัพอากาศ ไม่มีเครื่องยิงระเบิดเพลิงไว้ตอบโต้กับจรวดของฝ่ายตรงข้าม ไม่มีลิฟต์ไว้ลำเลียงพลขึ้นไปบนกำแพง ซึ่งทั้งสามชนิดนี้ก็เริ่มจะถูกพังหายไปทีละตัวสองตัว ตำแหน่งเดียวที่พวกฟาร์ดาราสไม่โจมตีคือบนกำแพง เพราะมีฝ่ายของตนต่อสู้รวมอยู่ด้วย อาจพลาดไปถูกฝ่ายเดียวกันได้ ฉะนั้น หากพวกดาร์คเนสดีวิลรู้ตัวว่าตนหาทางรับมือกับพวกฟาร์ดาราสไม่ได้ก็ควรรีบส่งคนขึ้นไปบนกำแพงให้มากที่สุด ก่อนที่จะไม่เหลือช่องทางให้ส่งคนขึ้นไป

          แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ เพราะพวกเอลิลบนกำแพงก็คอยตั้งรับได้อย่างเหนียวแน่น แม้พื้นที่บนกำแพงจะแคบ แต่พวกนั้นก็ยังอาศัยความแคบบีบให้พวกดาร์คเนสดีวิลลำเลียงพลลงจากลิฟต์ลำบาก พวกดาร์คเนสดีวิลบุกขึ้นไปเรื่อยๆ ก็ถูกสกัดตายเรื่อยๆ  พวกเอลิลที่อยู่ด้านหลังกำแพงก็คอยขึ้นไปแทนที่พวกที่ตาย ที่โคนกำแพงทั้งด้านหน้าและด้านหลังเต็มไปด้วยศพของทั้งสองฝ่าย ศพบนกำแพงก็มีเยอะจนบางครั้งต้องเขี่ยให้ตกจากกำแพงเพื่อจะได้มีพื้นที่ต่อสู้ พวกดาร์คเนสดีวิลเป็นฝ่ายตายมากกว่าในอัตราส่วนที่แตกต่างกันมากเพราะเสียเปรียบหลายต่อหลายด้าน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาจะลำบากหนักขึ้นอีก โซลิแทร์ทั้งใช้ดาบฟัน ทั้งร่อนใบจักร ทั้งบังคับพาหนะบินโฉบหลบการโจมตีของศัตรูไปมา ไม่ใช่แค่น้ำแข็งจากพวกฟาร์ดาราส กระสุนปืนยาวบางนัดของพวกพลปืนเอลิลก็พุ่งขึ้นมาโจมตีเขาอีก คงได้มีสักจังหวะที่เขาถูกสอยตกลงไปแน่ ลำพังแค่ตัวเองยังจะเอาไม่รอดแล้ว จะหาทางยังไงให้ฝ่ายของตนลดความเสียเปรียบลงได้บ้าง

          ยามที่เรากำลังเผชิญกับความยากลำบากนั้น เรามักจะนึกถึงเพื่อนขึ้นมาเสมอ จู่ๆ โซลิแทร์ก็นึกถึงตอนที่ไมริฟถูกพวกเอเลนเซฟเวอรี่ไล่กวดที่ฟรอสท์ไอรอนแคลด เธอเสียหลักตกจากหลังพาหนะบินได้ เท้าข้างหนึ่งติดอยู่กับโกลนของมัน ห้อยหัวต่องแต่งอยู่กลางอากาศ

          “เราคือกำแพง” โซลิแทร์สูดหายใจลึกๆ รวบรวมความกล้า บังคับพาหนะลดระดับลงต่ำให้บินไปตามแนวกำแพง

          แล้วเขาก็ทำสิ่งที่แปลกประหลาดและบ้าดีเดือดที่สุด นั่นคือห้อยหัวลงจากพาหนะ เกี่ยวเท้าข้างหนึ่งไว้กับโกลนแบบที่ไมริฟเคยทำโดยไม่ตั้งใจ สองมือจับดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์เหยียดลงไปสุดแขน เมื่อพาหนะของเขาบินยาวไปตามแนวกำแพง ดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ก็ลากผ่านพวกทหารเอลิล ฟันตัดผ่านล้มลงไปตายกันเป็นแนวยาว ส่งผลให้ขบวนแถวเอลิลบนกำแพงเสียรูปเป็นแนวยาว พวกดาร์คเนสดีวิลจึงสามารถบุกขึ้นมาได้มากขึ้นเพราะอีกฝ่ายเสียจังหวะกะทันหัน สกัดพวกเขาได้น้อยลง

          ปลายง้าวและปลายดาบหลายเล่มแทงถูกโซลิแทร์ แน่นอนเขาห้อยหัวบินอยู่ต่ำๆ แบบนี้ย่อมหนีการถูกฟันแทงหลายๆ ครั้งไม่พ้น แต่ต้องของคุณเสื้อเกราะตัวนี้ที่ทำให้เขาไม่ได้รับอันตรายมากมาย อย่างน้อยก็แค่ถูกบาดเป็นแผลตามส่วนที่ไม่ใช่เสื้อเกราะ แต่ก็นับว่าโชคดีมากๆ ที่บริเวณศีรษะของเขาไม่ถูกคมอาวุธบ้าง ส่วนนั้นแทบไม่มีเกราะ หากโดนเข้าไปสักเล่มเขาตายสนิทแน่ ความคมความแข็งแกร่งของดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์นั้นน่าชื่นชม เมื่อมีแรงส่งจากพาหนะของโซลิแทร์ มันก็ลากผ่านตัดโล่เหล็กตัดดาบเหล็กของพวกทหารเอลิลขาดทะลุเลยทีเดียว ราวกับดาบจะแผ่พลังงานสายฟ้าออกมาเสริมการตัดทะลวงมากขึ้น ทหารเอลิลคนหนึ่งถูกดาบลากผ่านศีรษะแยกเป็นสองซีก ประกายไฟฟ้าปรากฏบนส่วนที่ถูกฟัน แล้วทั้งศีรษะและหมวกเกราะก็แตกกระจายเหมือนถูกฟ้าผ่า

          โซลิแทร์ถอดเท้าออกจากโกลน ลงมายืนย่อเข่าบนกำแพงอย่างสง่างาม สองมือจับดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์กวัดแกว่งฟาดฟันพวกทหารเอลิลที่อยู่รอบตัว ดาบยาวสองมือเป็นอาวุธที่เหมาะแก่สถานการณ์มีศัตรูล้อมรอบเช่นนี้ รัศมีการเหวี่ยงมันกว้าง ความหนักหน่วงของมันก็พอตัว แม้เขาจะรู้สึกว่าดาบเล่มนี้เบามาก แต่น้ำหนักที่มันเหวี่ยงฟาดใส่บรรดาศัตรูบ่งบอกให้รู้ว่ามันหนัก ดูเหมือนมันจะเบาเฉพาะกับผู้ครองดาบเท่านั้น นั่นทำให้เขาได้เปรียบ เขาสามารถเคลื่อนไหวดาบได้รวดเร็วลื่นไหล ขณะที่คู่ต่อสู้จะรับความหนักหน่วงของมันไปในความเร็วเกินปกติ เป็นเหตุให้มีทหารเอลิลนอนตายอยู่รอบการเหวี่ยงดาบของเขาเต็มไปหมด นักรบดาร์คเนสดีวิลมากมายเข้ามาสมทบกับเขา ร่วมต่อสู้อย่างฮึกเหิม ผู้นำสูงสุดของพวกเขาดุเดือดจริงๆ  เอาชนะใจพวกเขาได้ทั้งกองทัพเลย

          ต้องขอบคุณความกล้าหาญและความสร้างสรรค์ที่บ้าบิ่นของโซลิแทร์ สถานการณ์ของพวกดาร์คเนสดีวิลเริ่มดีขึ้น พวกเขาบุกขึ้นมาบนกำแพงได้มากขึ้นจนพวกเอลิลเริ่มต้านลำบาก สกัดกั้นได้ยากขึ้นเพราะขึ้นมากันได้มากมายแล้วพวกฟาร์ดาราสก็ไม่สามารถช่วยโจมตีได้เพราะมีฝ่ายเดียวกันอยู่บนกำแพงด้วย กัปตันโพรเฟดทั้งฟาดโล่ทั้งฟันดาบสังหารดาร์คเนสดีวิลทุกคนที่เข้าใกล้อย่างเก่งกาจ แต่ก็ต้องนำกำลังถอยหลังไปหลายก้าวเพราะเริ่มจะต้านอีกฝ่ายไม่ไหว ทหารเอลิลบนกำแพงบางส่วนเริ่มถอยไปตั้งหลักด้านล่างและอีกหลายส่วนก็มีทีท่าว่าจะถอยลงไปเช่นกัน กำแพงเมืองเดธแอเรียมีพื้นที่ไม่มาก ไม่สามารถเอาคนขึ้นไปได้เยอะๆ เหมือนกำแพงเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลด ดังนั้น เมื่อข้าศึกบุกขึ้นมาได้มากๆ จึงตั้งรับลำบาก

          “ข้าศึกบนกำแพงกำลังแตกขบวน อาจารย์เซซิล ท่านเริ่มจัดการกับประตู” โซลิแทร์สั่งการ ดาบแทงเข้ากลางหัวใจทหารเอลิลคนหนึ่ง “กัปตันมาซูล จัดกองทหารม้าปีศาจเข้าประจำที่”

          เซซิลทำแขนกากบาทแล้วหงายหลังตีลังกาลงจากกำแพง ก๊าซฮีเลียมในตัวเขาทำให้เขาลอยตกลงไปช้าลง เป็นข้อดีของการเป็นดีวอเชอร์ กัปตันมาซูลก็หาวิธีลงจากกำแพงได้อย่างสวยงามไม่แพ้กัน ลิฟต์ตัวหนึ่งเพิ่งจะลำเลียงคนขึ้นมาบนกำแพง เขากระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนแผ่นกระดานที่ว่างแล้วลดระดับกลับลงไปที่พื้น โซลิแทร์ฟันดาบตัดคอทหารเอลิลคนหนึ่ง กระโดดขึ้นไปยืนบนขอบกำแพงเชิงเทินแล้วเตะปลายคางอีกคนกระเด็นตกกำแพง ดาบแทงเข้ากลางอกคนที่สามจากมุมสูง มุมที่อีกฝ่ายยกโล่กำบังไม่ทัน แล้วจึงกระโดดตีลังกาข้ามหัวทหารเอลิลหลายคนกลับลงมาบนเชิงเทิน ดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ตวัดฟันอย่างรวดเร็วทันทีที่เท้าแตะพื้น ทหารเอลิลสี่คนลงไปกองเป็นศพภายในสามวินาที ทหารเอลิลคนหนึ่งโถมตัวมาฟันง้าวใส่เขา เขาก้มหัวหลบและกระแทกศอกใส่ท้ายทอยอีกฝ่ายเซไปพาดตัวกับกำแพงเชิงเทิน แล้วก็จับขาทั้งสองของทหารคนนั้นงัดโยนตกกำแพงลงไป ดาบเล่มหนึ่งฟันใส่เขา เขายกสนับแขนกำบังแล้วฟันสวนกลับไปสังหารอีกฝ่าย ดาบอีกเล่มฟันมาเขาก็ยกสนับแขนกำบังแล้วฟันสวนกลับไปสังหารอีก ร่อนใบจักรสองใบลงไปพิฆาตทหารเอลิลสองคนที่เล็งปืนยาวมาจากทางด้านหลังกำแพง จากนั้นก็กระโดดเหยียบขอบกำแพงเชิงเทินถีบตัวขึ้นสูงกลางอากาศ สองมือจับดาบฟันเหนือศีรษะปาดคอฟาร์ดาราสตัวหนึ่งที่บินผ่านมาร่วงตกลงไปตาย แม้ดาร์คเนสดีวิลจะไม่ถนัดการตีเมือง แต่การต่อสู้บนกำแพงนั้นพวกเขาถนัดมาก บางคนสามารถประยุกต์กลยุทธ์ต่อสู้ของตนให้สอดคล้องกับสิ่งต่างๆ ที่มีบนกำแพงได้สารพัด

          โซลิแทร์ต่อสู้จนมาถึงบริเวณส่วนที่เกือบๆ จะอยู่เหนือประตูกำแพง ส่วนนี้ของกำแพงมีทหารเอลิลอยู่หนาแน่นและเป็นส่วนที่กว้างขวางกว่าส่วนอื่น มีฐานยิงจรวดและกล่องใส่จรวดอยู่สองจุด แต่ตอนนี้ไม่ได้ใช้งานเพราะมีนักรบดาร์คเนสดีวิลขึ้นมาต่อสู้อยู่ใกล้ๆ เต็มไปหมด ที่อยู่ใต้เชิงเทินลงไปนั้นโซลิแทร์มองเห็นตัวถ่วงน้ำหนักประตูสองตัว มันคือสิ่งที่ถ่วงน้ำหนักให้ประตูเลื่อนเปิดขึ้นได้โดยใช้สลักกลไก ซึ่งสลักกลไกก็อยู่เบื้องล่างใกล้ๆ กับประตู บริเวณนั้นมีทหารเอลิลคุ้มกันแน่นหนา และยังมีพวกที่ต่อสู้อยู่หลังประตูด้วย พวกนั้นคอยใช้หอกยาวหรือไม่ก็ยิงปืนยาวลอดผ่านช่องตะแกรงเหล็กต่อสู้กับพวกดาร์คเนสดีวิลที่อยู่หน้าประตู ซึ่งก็คอยแทงหอกยาวและยิงหน้าไม้กับวงแหวนลอดช่องตะแกรงมาเหมือนกัน เซซิลก็คือหนึ่งในนั้น เขาใช้โล่กำบังอะไรก็ตามที่พวกเอลิลยิงแทงลอดช่องตะแกรงมา มืออีกข้างก็หาจังหวะปล่อยวงแหวนสวนกลับไป หรือไม่ก็ขว้างหลอดเคมีใส่ ด้านหลังโล่ของเขาเก็บหลอดแก้วเคมีอยู่หลายหลอด แต่ละหลอดก็มีปฏิกิริยาแตกต่างกันไปยามหลอดแตก บางหลอดก็กระจายของเหลวติดไฟเผาพวกเอลิล บางหลอดก็ระเบิดออกมาอย่างรุนแรง บางหลอดก็เป็นกรดที่มีผลกับเนื้อหนังและกระดูก กัดกร่อนร่างพวกเอลิลจนพรุน หากไม่ได้ปล่อยวงแหวนหรือขว้างหลอดทดลอง เขาก็ใช้มือข้างนั้นคว้าหอกยาวของอีกฝ่ายไว้แล้วงัดกระแทกหรือดึงผู้ใช้หอกมาชนกับประตู การต่อสู้กับอาวุธยาวคืออีกสิ่งที่เขาถนัด

          “ทุกคนหลีกทาง” เซซิลสั่ง “นำคานงัดมาประจำที่”

          พวกดาร์คเนสดีวิลที่ต่อสู้อยู่หน้าประตูต่างขยับหลีกทาง เครื่องกลโลหะตัวใหญ่ถูกเข็นมาจ่อหน้าประตู เป็นเครื่องกลที่พวกดาร์คเนสดีวิลเตรียมไว้สำหรับใช้เปิดประตู มีลักษณะเหมือนคานงัด มีคานสามตัวเพื่อเฉลี่ยน้ำหนัก มันถูกนำมาชิดประตู ปลายคานด้านหน้าทั้งสามตัวสอดเข้าที่ช่องตะแกรงประตูอย่างพอดิบพอดี พวกเอลิลทั้งยิงทั้งแทงหอกเพื่อจะก่อกวนไม่ให้พวกดาร์คเนสดีวิลใช้เครื่องกล แต่ก็มีแผ่นฝาโลหะตรงแกนกลางคานงัดขวางอยู่ พวกดาร์คเนสดีวิลเตรียมพร้อมเรื่องนี้แล้ว

          เซซิลสะพายโล่ไว้ที่หลัง ขยับไปประจำที่อยู่ด้านหลังคานงัด ด้านที่มีสว่านเกลียวขนาดยักษ์สำหรับเจาะลงพื้น เขาจับมือหมุนที่อยู่ด้านบนของตัวสว่าน ลักษณะของมันคล้ายกับพวงมาลัยเรือแนวนอนขนาดยักษ์ ดาร์คเนสดีวิลอีกจำนวนมากเข้ามาจับมือหมุนร่วมกับเขา นี่เป็นอีกเครื่องกลที่พวกดาร์คเนสดีวิลจะต้องอาศัยความพร้อมเพรียงและความสามัคคี

          “หมุน” เซซิลคำราม

          พวกเขาช่วยกันออกแรงดันมือหมุนให้หมุน แม้จะเป็นเครื่องทุ่นแรงก็ยังต้องใช้พลังอย่างมาก แต่ด้วยความเป็นหนึ่งเดียวกัน พวกเขาก็ดันให้มันหมุนได้ในจังหวะสม่ำเสมอ สว่านเกลียวขนาดยักษ์เจาะลงไปในพื้นทีละน้อย กดคานด้านหลังลง ยกคานด้านหน้าขึ้น มันได้ผล ประตูกลค่อยๆ ถูกงัดขึ้นทีละน้อย แม้แต่พวกเอลิลก็ยังดูประหลาดใจที่อีกฝ่ายคิดค้นเครื่องกลเปิดประตูชนิดนี้ขึ้นมาได้ ด้านหลังเครื่องกลนั้น กัปตันมาซูล กองทหารม้าปีศาจ และกองรถม้าศึกปีศาจกำลังจัดขบวนแถวเป็นแนวยาว ให้ความกว้างของกองกำลังพอดีกับความกว้างของประตู เตรียมพร้อมบุกเข้าไปเมื่อประตูเลื่อนเปิดขึ้นจนสุด

          “ข้าศึกกำลังจะเปิดประตูเข้ามาได้” กัปตันโพรเฟดสั่งการ เกราะและโล่สีเงินของเขามีบางส่วนที่เป็นสีดำ จากเลือดของพวกดาร์คเนสดีวิลที่เขาฆ่า “ทุกคนถอยหลังตั้งหลัก เตรียมใช้แผนที่สอง”

          เขาและทหารเอลิลส่วนใหญ่ที่ต่อสู้บนกำแพงนั้นถอยลงจากกำแพง เตรียมรับมือกับข้าศึกที่จะบุกเข้ามาทางประตู เมื่อบนกำแพงมีพวกเอลิลคอยต่อสู้สกัดน้อยลง พวกดาร์คเนสดีวิลก็ส่งคนขึ้นไปได้อย่างมากมายและรวดเร็วกว่าเดิม ดาร์คเนสดีวิลบางส่วนก็เข้ากระชับพื้นที่ได้ถึงขั้นลงมาต่อสู้อยู่ด้านหลังกำแพง ดูเหมือนว่าฝ่ายพวกเขาเริ่มจะควบคุมกำแพงได้

          “จัดขบวนเตรียมรับมือทหารม้าข้าศึก” กัปตันโพรเฟดเคาะโล่ทำสัญญาณ “หอกยาวขึ้นหน้า ปืนยาวอยู่ข้างหลัง ทหารม้าจัดแถวเตรียมสมทบ”

          กองกำลังหอกยาวของพวกเอลิลจัดแถวเดินฉับๆ ไปทางประตูที่กำลังถูกงัดเปิดขึ้นเรื่อยๆ  โซลิแทร์ที่สู้อยู่บนกำแพงเชือดคอทหารเอลิลคนหนึ่งแล้วหันไปมอง หากปล่อยให้พวกพลหอกยาวเอลิลไปจัดขบวนหน้าประตูได้ กัปตันมาซูลและพวกทหารม้าปีศาจบุกเข้ามาไม่ได้แน่ ต้องทำอะไรสักอย่างให้แถวหอกยาวแตกขบวน เขาเหลือบไปเห็นกล่องใส่จรวดของพวกเอลิลที่วางอยู่บนกำแพงไม่ไกลออกไปนัก ดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ฟันแทงต่อสู้เปิดทางทันที เขาสู้จนไปถึงกล่องจรวด ออกแรงผลักมันให้ตกไปทางด้านหลังกำแพง จรวดหลายลำในกล่องกลิ้งไปหากองกำลังหอกยาวเอลิลที่กำลังเดินหน้าเข้ามา

          พวกพลหอกยาวเอลิลหยุดชะงัก แต่นั่นก็ไม่ทันแล้ว เส้นสายฟ้าพุ่งออกจากปลายดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ตรงเข้าใส่จรวดลำหนึ่ง มันแตกระเบิดออกอย่างรุนแรงพร้อมทั้งทำจรวดลำอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ๆ ระเบิดไปด้วย บางลำก็พุ่งออกไปและระเบิดใส่กลุ่มเอลิลที่ยืนอยู่ไกลๆ  พวกพลหอกยาวเอลิลต่างกระเด็นกระดอนกระจัดกระจาย บางคนชิ้นส่วนร่างกายก็ไปคนละทาง ความวุ่นวายนี้ทำให้แถวหอกยาวของพวกเอลิลเสียหลักและเสียรูปขบวน เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูกำแพงถูกงัดขึ้นจนสุดพอดี

          “เราคือกำแพง” กัปตันมาซูลสะบัดบังเหียนม้าควบบุกไปข้างหน้า ถือหอกสามง่ามในมือขวาขนานกับพื้นเตรียมแทง

          กองทหารม้าปีศาจและกองรถม้าศึกปีศาจบุกตามเขาผ่านช่องประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว เปิดช่องหลบคานงัดที่ค้ำประตูอยู่ตรงกลาง พวกทหารเอลิลที่อยู่ใกล้ๆ กับประตูถูกชนกระเด็นกระดอนไปคนละทาง ส่วนขบวนแนวรับที่อยู่ถัดไปนั้นกำลังเสียหลักจากการระเบิดเมื่อกี้นี้ โดยเฉพาะพวกพลหอกยาวที่กลับมาจัดขบวนตั้งรับไม่ทัน จึงถูกเหล่าม้าปีศาจและรถม้าศึกปีศาจเหยียบชนราบเป็นหน้ากลอง ใบเหล็กคมๆ ที่ติดอยู่ตามชุดเกราะม้าและตามรถม้าตัดเฉือนพวกเอลิลล้มตายไปเป็นทางเมื่อพวกดาร์คเนสดีวิลบุกเข้ามาแล้วก็กระจายขบวนออกเป็นรูปพัดเพื่อจะได้เข้าปะทะกับพวกเอลิลเป็นวงกว้าง สลายกลุ่มพวกทหารราบเอลิลให้แตกขบวน กัปตันมาซูลควบม้านำหน้าทุกคนและแทงหอกสามง่ามสังหารพวกทหารเอลิลด้วยความรวดเร็ว พวกดาร์คเนสดีวิลหลั่งไหลผ่านช่องประตูเข้ามาเรื่อยๆ ราวกับกระแสน้ำสีดำ นำหน้าด้วยทหารม้าแล้วตามด้วยทหาราบ พวกเอลิลสกัดกั้นไม่อยู่ เซซิลปรากฏตัวพร้อมกับรถม้าศึกของเขา เป็นรถม้าที่มีส่วนแหลมส่วนคมเต็มไปหมด มันไล่เหยียบไล่ชนฝ่ายตรงข้ามอย่างน่ากลัว ส่วนตัวเขาก็ไม่บังคับรถเฉยๆ คอยใช้ขอบโล่ฟันใส่พวกทหารเอลิลไปตลอดทาง คอยโยนหลอดเคมีใส่เป็นระยะๆ ด้วย

          อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่พวกดาร์คเนสดีวิลที่มีทหารม้า พวกเอลิลก็มีเช่นกันและมีเยอะด้วย พวกนั้นไม่รีรอ เคลื่อนพลเข้าปะทะทันที ทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างรุนแรงราวกับสายน้ำสีเงินและสายน้ำสีดำถูกเทมารวมกัน ทหารม้าผีหลายคนถูกหอกสามง่ามแทงตาย ทหารม้าปีศาจหลายคนก็ถูกง้าวแทงตายพวกทหารราบก็เข้าปะทะกัน ตะลุมบอนวุ่นวายไปหมด แม้พวกพลหอกยาวเอลิลจะเสียหลักและแตกขบวนในตอนแรก แต่ตอนนี้พวกเขาก็เข้าต่อสู้กับพวกทหารม้าดาร์คเนสดีวิลได้ ขณะเดียวกัน พวกดาร์คเนสดีวิลก็มีพลหอกยาวไว้ต่อสู้กับพวกทหารม้าเอลิลเช่นกัน เสียงระเบิดขาดหายไปแล้วเพราะทั้งสองฝ่ายไม่อยู่ในสถานการณ์ที่จะยิงอาวุธหนักใส่กันได้ เสียงที่มาแทนที่คือเสียงอาวุธกระทบกระแทกกัน พวกเอลิลที่ยังสู้อยู่บนกำแพงนั้นต่างถอยลงไปสมทบกับพวกข้างล่างกันหมด ไม่มีประโยชน์ที่จะปกป้องกำแพงอีกต่อไปในเมื่อข้าศึกบุกผ่านทางประตูเข้ามาได้ พวกดาร์คเนสดีวิลจึงจัดวางกำลังบางส่วนประจำที่บนกำแพง คอยยิงสนับสนุนจากบนที่สูง การต่อสู้เริ่มเปลี่ยนมาอยู่ในรูปแบบที่พวกเขาค่อนข้างถนัด ต่อสู้โดยมีส่วนหนึ่งคอยยิงสนับสนุนอยู่บนกำแพง กลยุทธ์เดียวกับที่พวกเขาใช้ที่ฟรอสท์ไอรอนแคลดในช่วงท้ายของศึกแต่ละครั้ง  

          กัปตันโพรเฟดขึ้นไปต่อสู้บนหลังม้า ใช้ง้าวแทงทหารม้าปีศาจคนหนึ่งตายแล้วกวาดตัดคอดีวอเชอร์คนหนึ่งที่ขับรถม้าสวนมา ในตอนนี้เขากับกองทัพเอลิลของเขาถอยไปตั้งหลักห่างจากกำแพงค่อนข้างมาก ทำให้พวกดาร์คเนสดีวิลบุกกระชับพื้นที่เข้าไปในบริเวณฐานทัพได้มากขึ้นอีก พวกปีศาจบุกผ่านช่องประตูเข้ามาเรื่อยๆ ด้วยความรวดเร็ว ในไม่ช้าคงจะผ่านกำแพงเข้ามาได้ทั้งกองทัพ เครื่องกลบางชิ้นอย่างเครื่องยิงหอกถูกนำเข้ามาด้วย ยามนี้สถานการณ์ของพวกดาร์คเนสดีวิลกำลังพลิกผันมากลายเป็นดี เมื่อได้โอกาสบุกต้องบุกให้หนัก พวกฟาร์ดาราสบนท้องฟ้าดูจะเบาบางลงมาก น่าแปลกว่าพวกมันหายไปไหน แต่การที่พวกมันเหลืออยู่แค่นี้นับว่าเป็นสิ่งที่ดี พวกดาร์คเนสดีวิลต้องชิงทุกความได้เปรียบในสถานการณ์เช่นนี้ บัดนี้ ในเรื่องตำแหน่งพื้นที่นั้นพวกดาร์คเนสดีวิลไม่ได้เป็นรองแล้ว พวกเขาบุกผ่านกำแพงเข้ามาได้

          โซลิแทร์ลงจากกำแพงมาต่อสู้อยู่บนพื้นดิน ฟันดาบตัดคอทหารเอลิลคนหนึ่ง หลบกระสุนปืนยาวแล้วตีลังกาเข้าไปแทงคนยิง ทหารม้าเอลิลควบเข้ามาจะฟันง้าวใส่ก็ถูกเขาร่อนใบจักรสอยตกม้าตาย จากนั้นก็กระโดดม้วนตัวเข้าไปอยู่กลางกลุ่มทหารเอลิล แกว่งดาบรอบตัวปาดคอพวกนั้นเป็นวงกลมตายทั้งกลุ่ม ทำทุกอย่างด้วยความว่องไวมาก ทหารเอลิลคนหนึ่งยิงปืนใส่เขาแต่ยิงไม่ออกเพราะกระสุนเป็นน้ำแข็ง จึงถูกเขาเข้าไปฟันคอขาด อีกคนปืนไม่ด้านยิงใส่เขาได้ แต่เขาก็ยกสนับแขนกำบังกระสุนแล้วเข้าไปฟันคอขาดเช่นกัน คนที่สามจะลอบยิงเขาจากข้างหลัง แต่เขาก็หายไปกับการต่อสู้ที่ชุลมุนอยู่รอบตัว รู้ตัวอีกทีก็ถูกดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์แทงจากข้างหลังทะลุออกมาทางหน้าอกแล้ว ความคล่องแคล่วและความเงียบเหมือนปีศาจในนิทานของโซลิแทร์นั้นยังคงเป็นเช่นเดิม และดูจะทำได้ดีกว่าเดิมเมื่อได้ดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์มา อย่างน้อยดาบก็เบากว่าเดิมและใช้ถนัดมือกว่าเดิม ย่อมส่งผลถึงการต่อสู้มากกว่าเดิม

          ทหารเอลิลสี่ห้าคนล้มลงไปนอนเป็นศพไหม้ๆ หลังจากถูกขว้างด้วยหลอดเคมีของเซซิล เขาบังคับรถม้าหักเลี้ยวชนบดขยี้พวกเอลิลที่อยู่ในเส้นทาง ทหารเอลิลบางกลุ่มพยายามจะล้มรถม้าของเขาด้วยการต่อโล่กันเป็นทางลาด ให้ล้อรถม้าข้างหนึ่งวิ่งไต่ขึ้นมาแล้วคว่ำลง แต่รถม้าของเซซิลและรถม้าดาร์คเนสดีวิลคันอื่นๆ ถูกออกแบบให้ข้างล้อมีเกลียวเหล็กคมๆ ยื่นออกไป พวกเอลิลที่เข้าใกล้ล้อจึงถูกเกลียวบดขยี้แทบจะเป็นชิ้นๆ  ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอนที่จะคว่ำรถม้าศึกของพวกดาร์คเนสดีวิล ช่างเป็นพาหนะที่อันตราย

          ในขณะที่ขับรถม้านั้น เซซิลก็หันฝ่ามือไปทางเหล่าทหารเอลิลที่ตั้งแถวดาบโล่อยู่ข้างหน้า แล้วตั้งสมาธิปล่อยวงแหวนเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดหนึ่งเมตรออกไป มันลอยช้ากว่าวงแหวนปกติเล็กน้อย แต่เมื่อเข้ากระทบเป้าหมายแล้ว มันก็ระเบิดออกเป็นไฟอย่างรุนแรง เผาผลาญทหารเอลิลตายทั้งกลุ่ม เปิดทางให้เขาบังคับรถม้าผ่านไป

          ห่างออกไปทางซ้ายราวห้าสิบเมตร กัปตันโพรเฟดกำลังควบม้าเหยียบชนพวกทหารราบดาร์คเนสดีวิล ขณะที่มือสองข้างกรอกดินปืนบรรจุกระสุนใส่ปืนยาว นับว่าทรงตัวเก่งและมือนิ่งมากมาก คนปกติแค่เตรียมกระสุนปืนยาวระหว่างอยู่ในศึกก็ลำบากแล้ว นี่เขาสามารถทำมันขณะอยู่บนหลังม้าที่กำลังวิ่งเหยียบชนศัตรู ทั้งสั่นทั้งกระเทือนตลอดเวลา แล้วยังเตรียมกระสุนได้รวดเร็วด้วย เซซิลปล่อยวงแหวนเข้าโจมตีในจังหวะที่กัปตันโพรเฟดเตรียมกระสุนเสร็จพอดี กัปตันโพรโฟดหลบได้อย่างเฉียดฉิวด้วยการเอนหลังราบไปกับอาน และในระหว่างที่เอนตัวอยู่ ปืนยาวก็เล็งยิงสวนกลับมา กระสุนพุ่งถากบริเวณด้านข้างหมวกเกราะของเซซิล ทำเอาปีกค้างคาวข้างนั้นแหว่ง เซซิลเสียหลักกลิ้งตกรถม้า หางคิ้วถูกกระสุนถากมีเลือดไหล เขารีบลุกขึ้นกวาดโล่ฟันคอทหารเอลิลสองคนที่บุกเข้ามา ขว้างหลอดเคมีใส่กลุ่มทหารเอลิลทางซ้าย หลอดนี้แตกระเบิดออกติดต่อกันหลายรอบคล้ายประทัด แต่รุนแรงกว่ามาก ทหารเอลิลกลุ่มนั้นลงไปนอนเป็นศพกันหมด

          กัปตันมาซูลถูกล้อมด้วยหอกยาว เขาจึงลงจากหลังม้าแล้วต่อสู้กับอีกฝ่ายด้วยดาบคู่ หอกยาวเหมาะสมแก่การใช้ต่อสู้ทหารม้า แต่มันไม่เหมาะกับการต่อสู้กับทหารราบเพราะมันยาวเทอะทะ แทบไม่มีความคล่องตัว ดังนั้นทหารม้าดาร์คเนสดีวิลคนใดที่ถูกขวางด้วยหอกยาว ก็จะลงมาต่อสู้บนพื้นเหมือนกัปตันมาซูล พวกดีวอเชอร์บนรถม้าศึกก็เช่นกัน นั่นบีบบังคับให้พวกเอลิลต้องทิ้งหอกยาวแล้วชักดาบออกมาต่อสู้ ไม่ใช่แค่พวกพลหอกยาวเอลิลเท่านั้นที่ต้องทำเช่นนี้ พวกพลหอกยาวดาร์คเนสดีวิลก็ต้องทิ้งหอกยาวและชักดาบออกมาเมื่อพวกทหารม้าเอลิลลงจากหลังม้าเข้าสู้กับพวกตนด้วยดาบกับโล่ ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างหนัก ผลัดกันฆ่าและถูกฆ่า พวกดาร์คเนสดีวิลยังได้เปรียบตรงที่กองกำลังบางส่วนของตนขึ้นไปคอยยิงสนับสนุนอยู่บนกำแพง ส่วนพวกที่ยังอยู่นอกกำแพงก็ทยอยผ่านช่องประตูเข้ามาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย จนกระทั่งเข้ามากันได้หมดทั้งกองทัพ

          “ข้าศึกผ่านกำแพงเข้ามาในฐานทัพกันหมดแล้ว” กัปตันโพรเฟดชูดาบทำสัญญาณ “เริ่มต้นดำเนินแผนการที่สอง”

          แล้วพวกฟาร์ดาราสก็กลับมาให้เห็นอีกครั้ง หนนี้พวกมันมีจำนวนมากกว่าเดิม และแต่ละตัวหิ้วเอาน้ำแข็งก้อนมหึมาติดกรงเล็บมาด้วย พวกมันเริ่มทิ้งใส่กองทัพดาร์คเนสดีวิลเป็นจุดๆ เล็งไปตามจุดที่มีคนหนาแน่นและเป็นบริเวณที่อยู่ห่างจากพวกเดียวกัน พวกดาร์คเนสดีวิลต้องรับก้อนน้ำแข็งยักษ์จำนวนมากที่ถูกทิ้งลงมาจากฟ้าตายกันเกลื่อนกลาด ทั้งหลบทั้งวิ่งหนีกันด้วยความลำบากยากเย็น โดยเฉพาะพวกที่อยู่บนกำแพง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่จะถูกโจมตีจากทางอากาศได้ง่าย พวกฟาร์ดาราสทั้งทิ้งก้อนน้ำแข็งใส่ พ่นน้ำแข็งใส่ และโฉบกรงเล็บใส่อย่างเต็มที่ ไม่ต้องกลัวจะพลาดไปถูกพวกเดียวกันเพราะบนกำแพงมีแต่พวกดาร์คเนสดีวิล นี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมก่อนหน้านี้พวกฟาร์ดาราสส่วนใหญ่จึงหายไปจากท้องฟ้าชั่วขณะ พวกมันเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีอย่างรุนแรงนั่นเอง ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นการโจมตีที่รุนแรงมาก พวกดาร์คเนสดีวิลถึงกับเสียรูปขบวนแทบทั้งกองทัพ

          “จรวดใหญ่ ประจำที่” กัปตันโพรเฟดสั่งการ บังคับม้าผีของตนให้หันหน้าไปทางกำแพง

          ฐานยิงขนาดใหญ่ที่ตั้งจรวดขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของธรรมดาถูกเข็นมาจากด้านหลังฐานทัพ จรวดไม่ได้ตั้งเฉียงขึ้นฟ้า แต่มันตั้งเป็นแนวนอนขนานกับพื้น เล็งไปยังตำแหน่งประตูกำแพงที่ถูกคานงัดง้างเปิดอยู่ ทางข้างหน้าค่อนข้างโล่งเพราะพวกฟาร์ดาราสทิ้งน้ำแข็งเปิดทางให้เป็นพิเศษ

          “ยิง” กัปตันโพรเฟดชี้ดาบไปข้างหน้า

          จรวดยักษ์ถูกจุดชนวน แล้วมันก็พุ่งออกไปด้วยความเร็วสูง เฉี่ยวชนนักรบดาร์คเนสดีวิลบางคนกระเด็นไปคนละทิศละทาง แล้วเข้าปะทะกับคานงัดที่ง้างประตูระเบิดออกอย่างรุนแรง ดาร์คเนสดีวิลที่อยู่ในรัศมีต้องสังเวยชีวิตไปด้วย แม้คานงัดของพวกดาร์คเนสดีวิลจะถูกออกแบบมาแข็งแรงเต็มที่ แต่ด้วยระเบิดที่รุนแรงเช่นนี้ทำให้มันเสียหายหนัก มันเริ่มทรุดลงและส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเหมือนจะรับแรงกดได้อีกไม่นาน ในจังหวะที่พวกดาร์คเนสดีวิลกำลังเสียรูปขบวนเช่นนี้ ทำให้พวกเอลิลหลายกลุ่มสามารถวิ่งตัดผ่านกองทัพไปได้ มีทหารเอลิลกลุ่มหนึ่งขึ้นไปบนกำแพงบริเวณที่มีตัวถ่วงน้ำหนักประตูแขวนอยู่สองตัว พยายามฟันโซ่ทั้งสองเส้นให้ขาดเพื่อตัดตัวถ่วงน้ำหนักทั้งสอง หากไม่มีตัวถ่วงน้ำหนัก คานงัดของพวกดาร์คเนสดีวิลก็จะรับน้ำหนักมากขึ้นอีกเท่าตัว สภาพของมันเสียหายขนาดนี้ แน่นอนว่ารับไม่ไหวแน่

          โซลิแทร์วิ่งขึ้นไปบนกำแพง มุ่งหน้ายาวไปตามแนวกำแพงเพื่อจะไปหยุดยั้งทหารเอลิลกลุ่มนั้น ทั้งกระโดด ทั้งพุ่งม้วนตัว ทั้งตีลังกาไปข้างหน้า หลบน้ำแข็งก้อนยักษ์ หลบก้อนแข็งเคลือบฟรีออน หลบกรงเล็บของพวกฟาร์ดาราส ได้บาดแผลเพิ่มอีกเล็กน้อย เศษน้ำแข็งก้อนใหญ่สองก้อนกระจายมาชนเขาเต็มแรง เขาล้มลงไปตามแรงกระแทก แต่ก็รีบลุกขึ้นมาวิ่งต่อทันที ต้องหยุดยั้งไม่ให้ตัวถ่วงน้ำหนักถูกตัด

          ทหารเอลิลกลุ่มนั้นหันมาตั้งท่าเตรียมต่อสู้เมื่อเขาวิ่งไปถึง พวกนั้นมีกันอยู่หกคน คนแรกนั้นโซลิแทร์กระโดดเอาสนับเข่ากระแทกใส่โล่ล้มหงายลงไปแล้วแทงดาบซ้ำสังหาร คนที่สองฟันง้าวใส่โซลิแทร์ ซึ่งโซลิแทร์ก็ตวัดดาบปัดป้องออกไปแล้วฟันสวนตัดคอฉับเดียวขาด จากนั้นก็สะบัดผ้าคลุมปิดหน้าคนที่สาม แล้วแทรกตัวไปแทงดาบเข้ากลางหัวใจคนที่สี่ ก่อนจะหันกลับไปผลักคนที่สามที่เพิ่งสะบัดผ้าคลุมออกจากหัวเซไปชนผนังให้มึนงง แล้วควงดาบเชือดคอตาย คนที่ห้าแทงดาบใส่โซลิแทร์จากด้านหลัง โซลิแทร์ยกดาบกวาดข้ามศีรษะไปข้างหลังโดยไม่หันไปมอง ปัดป้องดาบของคู่ต่อสู้ออกไป ตอกส้นรองเท้าเหล็กเสยใส่คางอีกฝ่ายให้มึนงงในจังหวะที่สอง แล้วจึงหันไปฟันเสยดาบใส่จากหน้าอกแสกขึ้นไปถึงหน้าผาก แยกหมวกเกราะของอีกฝ่ายออกเป็นสองซีก ทหารเอลิลคนสุดท้ายบุกเข้ามา โซลิแทร์หมุนตัวเตะทหารคนนั้นเข้าที่ขมับด้วยความรวดเร็ว หมวกเกราะหลุดออกจากศีรษะ ร่างเข้าชนผนังอย่างแรงแล้วเซถอยออกมามึนๆ  แล้วก็ถูกดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ตวัดปาดคอ

          กระสุนปืนยาวนัดหนึ่งพุ่งเข้าใส่โซ่ของตัวถ่วงน้ำหนักตัวแรกที่ถูกฟันจนใกล้จะขาด ตัวถ่วงน้ำหนักตัวแรกจึงขาดตกลงไปกระแทกกับพื้นดังสนั่น คานงัดทรุดลงอีกเล็กน้อยเพราะแบกน้ำหนักมากขึ้น โซลิแทร์หันไปมอง ควันโชยออกจากปากกระบอกปืนยาวของกัปตันโพรเฟด เขายืนเล็งอยู่ข้างล่างห่างออกไปไม่ไกลนัก ไม่น่าเชื่อว่าจะยิงแม่นขนาดนี้ ทหารเอลิลที่อยู่ใกล้ๆ รับปืนที่ว่างเปล่าไปและส่งอีกกระบอกที่บรรจุกระสุนแล้วให้เขา โซลิแทร์รีบตรงไปหาตัวถ่วงน้ำหนักตัวที่สอง พยายามจะปกป้องมันเต็มที่ แต่กัปตันโพรเฟดก็เร็วกว่า กระโดดพุ่งม้วนตัวเปลี่ยนตำแหน่งแล้วเล็งยิงจากอีกมุมในท่าคุกเข่า กระสุนพุ่งไปตัดสายโซ่ส่วนที่ถูกฟันเสียหาย ตัวถ่วงน้ำหนักตัวที่สองจึงขาดร่วงตกลงพื้นข้างๆ ตัวแรก

          เมื่อไม่มีตัวถ่วงน้ำหนัก ประตูก็หนักขึ้นเป็นเท่าตัว คานงัดของพวกดาร์คเนสดีวิลที่กำลังเสียหายนั้นสุดจะทานทนน้ำหนักมันได้อีกต่อไป มันจึงแตกพังเป็นชิ้นๆ พร้อมกับประตูตะแกรงที่ปิดฉับลงมา พวกดาร์คเนสดีวิลติดกับเสียแล้ว ทั้งกองทัพถูกขังอยู่ในฐานทัพเอลิล ด้านหน้าคือข้าศึก ด้านหลังคือกำแพงที่ปิดสนิท เหมือนกำลังถูกบีบอัด ในตอนนี้หากจะต้องถอยทัพก็ถอยไม่ได้แล้ว

          “พวกเอลิลใช้กลยุทธ์ทหารเจ็บ” กัปตันมาซูลถีบที่ประตูกำแพงอย่างโกรธแค้น “เมื่อเริ่มต้านไม่อยู่ก็แสร้งทำเป็นเสียที ถอยไปตั้งหลักไกลๆ ให้เรามีพื้นที่เพียงพอสำหรับนำทั้งกองทัพเข้ามาในฐานทัพ จนกระทั่งกองทัพเราบุกผ่านเข้ามาในกำแพงจนหมด ก็ปิดประตูขัง ไม่ให้รอดออกไปได้แม้แต่คนเดียว”

          “เราถอยไม่ได้แล้ว” เซซิลกระพริบตาถี่ๆ ไม่ให้เลือดไหลเข้าตา “ต้องสู้อย่างเดียวเท่านั้น”

          แล้วกองทัพเอลิลอีกส่วนหนึ่งก็ปรากฏตัวจากด้านหลังฐานทัพ เข้ามาสมทบการต่อสู้ ในตอนนี้พวกเอลิลส่งกองทัพทั้งหมดในฐานทัพเข้าสู่สมรภูมิเพื่อกำจัดฝ่ายตรงข้ามให้สิ้นซาก พวกดาร์คเนสดีวิลเหลือจำนวนเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด ขบวนทัพของพวกเขาก็กำลังแตกกระจายเพราะถูกทัพอากาศเอลิลสลายขบวน เมื่อทัพบกเอลิลเดินหน้าเคลื่อนพลเข้ามาซ้ำหนักขึ้น จึงกลายเป็นการต่อสู้แบบตะลุมบอนกระจัดกระจาย แน่นอนว่าการต่อสู้ในรูปแบบนี้ฝ่ายที่น้อยกว่าย่อมเสียเปรียบหนัก แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้ สู้ต่อไปเท่าที่หัวใจจะยืนหยัดอยู่ได้เท่านั้น

          พวกฟาร์ดาราสพังลิฟต์ทุกตัวและเครื่องกลอื่นๆ ที่อยู่นอกกำแพง แล้วคอยโฉบไปโฉบมาเล่นงานพวกดาร์คเนสดีวิลเมื่อมีจังหวะที่เหมาะสม บรรดาเครื่องยิงหอกที่พวกดาร์คเนสดีวิลนำผ่านกำแพงเข้ามาด้วยนั้นดูจะใช้ไม่ได้แล้วในสถานการณ์ตะลุมบอนเช่นนี้ แม้แต่หน้าไม้ก็ยังใช้ลำบากเพราะแทบไม่มีเวลาขึ้นสาย ในตอนนี้พวกดาร์คเนสดีวิลที่เคยอยู่บนกำแพงต้องลงมาต่อสู้ข้างล่างกันหมด อยู่ข้างบนนั้นต่อไปก็เป็นเป้าให้ทัพอากาศข้าศึก ไม่มีพวกเอเลนเซฟเวอรี่พวกเขาก็จนปัญญาจะต่อกรกับพวกฟาร์ดาราสอย่างจริงจัง พวกเอลิลเหนือกว่าเพราะมีทัพอากาศที่พวกเขาไม่มี คิดไปก็ยิ่งเจ็บปวด พวกเขาเคยมีทัพอากาศที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ตอนนี้พวกเขากลับต้องต่อสู้กับทัพอากาศฝ่ายตรงข้าม โดยไม่มีอะไรของฝ่ายตนบินอยู่บนฟ้าเลย

          การต่อสู้นำเดินต่อไปเรื่อยๆ  ท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดครึ้ม เสียงฟ้าคำราม ประกายสายฟ้าแลบ เสียงอาวุธฟาดฟันกันไม่ขาดสาย และเสียงยิงปืนยาวเป็นระยะ พวกดาร์คเนสดีวิลเริ่มเหลืออยู่บางตา ศพกองเกลื่อนไปหมด เลือดสีดำนองทั่วพื้นหิมะ คนที่ยังต่อสู้อยู่ก็ล้วนบาดเจ็บและอ่อนแรง พวกเอลิลก็ตายกันไปมากมาย แต่ก็ยังเหลือจำนวนมากกว่าพวกดาร์คเนสดีวิลในอัตราส่วนที่แตกต่างชัดเจน กัปตันโพรเฟดนำกองทัพบุกทะลวงอีกฝ่ายหนักขึ้น ตอนนี้เขาลงมาต่อสู้บนพื้นแล้ว ดาบกับโล่ในมือทั้งสองฟาดฟันสังหารพวกดาร์คเนสดีวิลอย่างเก่งกาจ ดีวอเชอร์คนหนึ่งฟันขอบโล่ใส่เขา เขานำใบดาบไปขัดแทรกอยู่ระหว่างช่องขอบโล่ของคู่ต่อสู้ บิดให้โล่อยู่ในมุมที่ศัตรูถือไม่ถนัด แล้วนำโล่ของตนกระแทกใส่โล่ของศัตรู ทำให้ขอบโล่อีกด้านถูกดันไปปาดคอศัตรูเสียเอง จากนั้นก็ยกโล่กำบังดาบดีเซ็นทรีคนหนึ่ง มืออีกข้างเชือดดาบเข้าที่ท้องของอีกฝ่าย ดีเซ็นทรีตัวงอทรุดลง แล้วเขาก็กระโดดเหยียบหลังดีเซ็นทรีคนนั้นถีบตัวขึ้นสูงไปฟันดาบตัดหัวดีวอเชอร์คนหนึ่งที่ขับรถม้าผ่านมา ดีเซ็นทรีคนหนึ่งแทงดาบใส่เขาจากด้านข้าง เขาใช้ดาบกับโล่ขัดดาบของอีกฝ่ายไว้แล้วกระชากมันหลุดจากมือ ก่อนจะกวาดดาบกลับไปปาดคอตาย ดีวอเชอร์สองสามคนปล่อยวงแหวนใส่เขาในจังหวะฉุกละหุก เขาก็ยังตีลังกาหลบไปข้างๆ ได้ง่ายๆ  ในตอนนี้เขาต่อสู้อยู่ข้างๆ เครื่องยิงหอกที่ใช้การไม่ได้แล้ว ดีเซ็นทรีคนหนึ่งฟันดาบต่อสู้กับเขา แทงดาบใส่เขา เขาม้วนดาบลงเป็นวงกลม ดันปลายดาบของอีกฝ่ายให้ไปแทงติดอยู่ในช่องเครื่องกล จากนั้นก็ถีบใส่ให้มึนงง แล้วตามด้วยดาบปักเข้าที่หัวใจ

          เซซิลและกัปตันมาซูลต่อสู้อยู่คนละฟากกองทัพเพื่อคุมปีกทั้งสองด้าน สถานการณ์ย่ำแย่พอกัน เกราะของทั้งคู่มีรอยชำรุดเต็มไปหมด ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล ผมสีโลหะเงินที่โผล่ยาวออกมาจากหมวกเกราะของทั้งคู่ก็มีเลือดสีดำแห้งกรังจับเกาะ เซซิลฟันขอบโล่แสกหน้าทหารเอลิลที่จะมาแทงง้าวใส่ เล็งวงแหวนโยนขึ้นฟ้าเข้าใต้คางฟาร์ดาราสตัวหนึ่งร่วงตกลงมาตาย จากนั้นก็หมุนตัวเข้าไปกวาดขอบโล่รอบตัวกลางกลุ่มทหารเอลิล ขอบโล่คมกริบตัดเฉือนพวกเอลิลตายทั้งกลุ่ม เบี่ยงตัวหลบดาบเล่มหนึ่ง กระแทกศอกใส่ให้มึนงง แล้วสวนกลับด้วยขอบโล่หัวแทบแยก มีง้าวอีกเล่มแทงใส่เขา เขาใช้ขอบโล่ด้านล่างกดง้าวให้ปักลงพื้น อีกมือปล่อยวงแหวนอัดเต็มหน้าอีกฝ่าย ที่ด้านหลังโล่ของเขาเหลือหลอดเคมีอยู่หลอดสุดท้าย เขาขว้างมันใส่หัวฟาร์ดาราสตัวหนึ่งที่โฉบตรงมาหา มันระเบิดออกและลุกเป็นไฟเผาหัวเจ้าสัตว์ร้ายร่วงตกลงมาตายไถลไปกับพื้น

          ฟาร์ดาราสอีกตัวร่วงโครมลงมาบนพื้นใกล้ๆ กัน มีดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ปักอยู่ที่คอ โซลิแทร์ม้วนตัวเข้ามาถอนดาบที่เพิ่งขว้างไป ควงดาบปาดคอทหารเอลิลสองคนที่บุกเข้าหา แล้วเดินเข้ามาสมทบกับเซซิล ร่างกายที่เคยได้รับการรักษาตอนปลดปล่อยดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์นั้นกลับมามีบาดแผลอีกครั้ง ครั้งนี้มากมายกว่าเดิม เกราะก็ชำรุดเสียหายหลายจุดจากน้ำแข็งที่พวกฟาร์ดาราสพ่นใส่ ระหว่างที่เขาเดินเข้ามา เลือดสีดำก็ไหลหยดออกจากชุดเกราะเป็นทางๆ

          “สถานการณ์ทางท่านเป็นอย่างไรบ้าง เดอะ เจสเทอร์” เขาถามเสียงหอบอยู่หลังหน้ากาก

          “วิกฤต” เซซิลหันตอบ “เหมือนส่วนอื่นๆ ของกองทัพ ฝ่ายตรงข้ามเหลือคนมากกว่าในอัตราส่วนที่ค่อนข้างเหลื่อมล้ำ พวกเราที่เหลืออยู่ต่างก็บาดเจ็บและอ่อนแรง มีกำแพงกั้นอยู่ด้านหลังเรา เราถอยไม่ได้” เขากระแทกโล่ใส่หน้าทหารเอลิลคนหนึ่งล้มลงไปแล้วเอาขอบโล่สับคอขาด หันมาคุยต่อ “ดูเหมือนว่าเราจะไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากสู้จนตายกันหมด”

          “คงอีกไม่นานแล้วล่ะ” โซลิแทร์มองไปรอบๆ “พวกเราเริ่มจะไม่เหลือแล้ว”

          ดีเซ็นทรีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกระเด็นมาตายแทบเท้าโซลิแทร์ ทหารเอลิลคนหนึ่งลดปืนยาวมีควันโชยลงเพื่อบรรจุกระสุนนัดใหม่ แต่ยังไม่ทันจะทำอะไรก็ถูกใบจักรของโซลิแทร์ร่อนเสียบกลางหน้าผาก

          “เราทุกคนรู้กันอยู่แล้วว่าเราจะต้องแพ้ และอาจจะต้องตายกันหมด” เซซิลยกโล่กำบังดาบเล่มหนึ่ง แล้วตวัดขอบโล่สวนกลับไปเฉือนหน้าอกอีกฝ่าย “ที่สู้กันอยู่ตอนนี้ ก็เพื่อจะได้ตายอย่างสง่างาม” เขาชี้ขึ้นไปยังแสงฟ้าแลบบนท้องฟ้า “เป็นสายฟ้าส่องสว่างครั้งสุดท้าย”

          “อย่างน้อย เราสามคนก็ได้ตายร่วมกัน อย่างที่ท่านต้องการก่อนหน้านี้” โซลิแทร์ฟันคอทหารเอลิลคนหนึ่ง ยกสนับแขนกำบังคมดาบของทหารเอลิลอีกคน แล้วแทงดาบสวนกลับเข้ากลางหัวใจ สับดาบใส่ขอบโล่ด้านบนของทหารเอลิลคนที่สาม ให้ขอบโล่ด้านล่างปักลงพื้น แล้วจึงกระโดดเหยียบขอบโล่ เอาสนับเข่าเสยปลายคางอีกฝ่ายหน้าหงายล้มแน่นิ่งไปบนพื้น

          “จริงๆ แล้ว สิ่งที่ข้าต้องการ คือให้เราสามคนมีชีวิตอยู่ร่วมกันให้นานที่สุด” เซซิลบิดแขนทหารเอลิลที่ถือดาบด้วยท่าปลดอาวุธ แล้วเชือดคอด้วยขอบโล่ “แต่หากมันนานที่สุดได้แค่นี้---อย่างน้อยมันก็นานกว่าที่เราคิดนะ เพราะเราน่าจะตายกันก่อนหน้านี้ไปหลายรอบแล้ว”

          “จะตายช้าตายเร็ว ยังไงเราก็ต้องตาย” โซลิแทร์ถอนดาบจากทหารเอลิลคนหนึ่งแล้วฟันใส่อีกคน “แต่การตายเพราะพยายามทำสิ่งที่หวังอย่างเต็มที่ ให้สมศักดิ์ศรี จะว่าไปมันก็ไม่แย่นักหรอกนะ”

          “ไม่แย่เลยสักนิด” เซซิลยิ้มอยู่หลังหมวกเกราะ แขนสองข้างยกโล่ต้านดาบและง้าวของทหารเอลิลสี่คนที่ฟันกดลงมาใส่จากด้านบน “ความจริงมันยอดเยี่ยมเสียด้วยซ้ำ”

          โซลิแทร์ฟันดาบข้ามขอบโล่เซซิลไปปาดคอปาดศีรษะทหารเอลิลทั้งสี่คนตายหมดในครั้งเดียว

          “ขอบคุณ อาจารย์เซซิล” โซลิแทร์ชี้ที่ตัวเอง “ที่ดูแลเลี้ยงดูเด็กชายคนนี้มาจนถึงวันนี้”

          “ขอบคุณเช่นกัน” เซซิลตอบกลับ “ที่ให้ข้าได้มีโอกาสดูแลเลี้ยงดูเด็กชายที่ดีที่สุดคนนี้”

          เอเลนเซฟเวอรี่สีดำร่อนลงมาจอดข้างหน้าโซลิแทร์ ตะปบเหยียบทหารเอลิลสองคนตายติดพื้น มันก็ได้รับบาดเจ็บหนักจากการต่อสู้กับพวกฟาร์ดาราส เกราะชำรุดเสียหายทั้งตัว ปีกก็มีรอยขาดบางจุด โซลิแทร์ปีนขึ้นหลังมัน สะบัดบังเหียน ทะยานขึ้นไปต่อสู้กับพวกฟาร์ดาราสบนท้องฟ้าอย่างไม่มีอะไรจะเสีย ดาบฟรอส์ฟอร์เมอร์กระชับในมือขวาอย่างมั่นคง

          เขาฟันคอฟาร์ดาราสตัวแรกที่เข้ามาใกล้ ยิงสายฟ้าจากปลายดาบใส่อีกตัวหนึ่ง แล้วบังคับพาหนะให้โฉบต่ำเพื่อหลบก้อนน้ำแข็งเย็นจัดสี่ก้อนในขณะที่โฉบต่ำ กรงเล็บโลหะสองข้างของเอเลนเซฟเวอรี่สีดำก็ตวัดใส่ทหารเอลิลสองคนหัวขาดกระเด็น จากนั้นโซลิแทร์ก็กระชากบังเหียนให้มันพุ่งทะยานขึ้นฟ้าเร็วจี๋ หลบน้ำแข็งอีกหลายก้อนที่พุ่งมาจากทุกทิศทุกทาง ก้อนน้ำแข็งเหล่านั้นกระแทกกันเองอย่างแรงจนแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ  ระหว่างที่บินขึ้นด้วยความเร็วสูง มือขวาของเขาก็ฟันดาบสังหารฟาร์ดาราสทุกตัวที่เอื้อมถึง ถูกเฉี่ยวถูกถากด้วยก้อนน้ำแข็งอีกหลายก้อน เขาขึ้นมาสูงมากจนเห็นพวกทหารนักรบข้างล่างมีขนาดเล็กจิ๋ว และด้วยความสูงระดับนี้ทำให้เขามองเห็นทั้งฐานทัพเอลิลอย่างกว้างขวาง ฐานทัพไม่ใหญ่มาก มีอาคารสิ่งก่อสร้างอยู่ประปราย

          แต่ที่สะดุดตาที่สุดคือหลุมขนาดใหญ่ที่อยู่ใจกลางฐานทัพเป็นรูปทรงกรวยกว้างๆ คล้ายอัฒจันทร์กีฬาจากโพรงเหมืองที่มีอยู่ตามผนังหลุมเต็มไปหมด บอกให้รู้ว่านั่นเคยเป็นที่ที่พวกเอลิลขุดเอาแร่ขึ้นมาใช้แต่เลิกใช้งานไปสักพักแล้ว รอบปากหลุมมีป้อมน้ำแข็งหลายหลัง แต่ละหลังมีฟาร์ดาราสประจำการอยู่หนึ่งตัว พวกมันไม่บินไปไหน เอาแต่คอยแหงนหน้ามองฟ้า เฝ้าระวังไม่ให้ศัตรูที่ไหนบินมาเข้าใกล้หลุมทางอากาศ เสมือนเป็นป้อมต่อสู้ทางอากาศ คงคอยปกป้องอะไรสักอย่างในหลุม ซึ่งในหลุมก็ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยสิ่งที่ถูกหุ้มด้วยน้ำแข็งเบียดเสียดเรียงกันอยู่เป็นขั้นบันได กึ่งกลางหลุมมีหอคอยที่สร้างจากน้ำแข็งสี่เหลี่ยมก้อนใหญ่ๆ มาวางซ้อนกัน ความสูงพอๆ กับปากหลุม มีสะพานแขวนพาดจากปากหลุมด้านหนึ่งข้ามไปหา ซึ่งบนหอคอยนั้นมีแท่นน้ำแข็งตั้งอยู่ บางอย่างที่สะท้อนแสงสายฟ้าวางอยู่บนแท่น แม้มันจะอยู่ไกลขนาดนี้โซลิแทร์ก็ยังสังเกตเห็นประกายแวววาวของมันอย่างชัดเจน

          น้ำแข็งแห้งเคลือบฟรีออนห้าก้อนพุ่งตรงเข้ามาแบบเรียงเป็นหน้ากระดาน โซลิแทร์บังคับพาหนะดิ่งหนีลงไปทันที เขาพุ่งลงสู่เบื้องล่างด้วยความเร็วเต็มที่เช่นเดียวกับตอนขึ้น มือขวาฟันดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ใส่พวกฟาร์ดาราสไปด้วย เห็นกัปตันมาซูลอยู่ไกลๆ กำลังขี่ม้าปีศาจต่อสู้กับพวกทหารเอลิล แทบไม่มีเวลาหายใจ โซลิแทร์สะบัดบังเหียนบินตรงเข้าไปหาทันที ฟันแทงฟาร์ดาราสอีกสองตัวร่วงลงไประหว่างทาง เจ้าเอเลนเซฟเวอรี่สีดำร่อนลงตะปบทหารเอลิลสองคนใกล้ๆ กับกัปตันมาซูล หัวทั้งสามหันไปพ่นดาวตกสามทิศทางสอยทหารม้าเอลิลสามคนร่วงตกหลังม้า กัปตันมาซูลกระชากบังเหียนให้ม้าปีศาจยกขาหน้าพ่นไฟเผากลุ่มทหารเอลิลกลุ่มที่ดาหน้าเข้ามา แล้วจึงหันมาพยักหน้าให้โซลิแทร์

          “ท่านลอร์ด ดีใจที่ได้พบท่านอีกในสภาพที่ยังมีชีวิตอยู่” เขาเลื่อนกระบังหมวกเกราะขึ้น ปากมีเลือดไหล โหนแก้มมีบาดแผล “สภาพท่านดูไม่ได้เลยนะนี่ คงไม่ต่างจากข้าตอนนี้นักหรอก หวังว่าเราสองคนคงไม่เลือดหมดตัวตายก่อนถูกฆ่านะ”

          “มันคงจะจบในอีกไม่นานนี้แล้วกัปตันมาซูล พวกเราเริ่มจะไม่เหลือแล้ว” โซลิแทร์ลงจากพาหนะ ปล่อยให้มันบินขึ้นฟ้า ตัวเขาร่อนใบจักรกำจัดพวกทหารเอลิลไปทีละใบ “ท่านเห็นหลุมยักษ์บริเวณด้านหลังฐานทัพไหม”

          “ในหลุมนั้น” กัปตันมาซูลขึ้นสายหน้าไม้ “คือตำแหน่งที่พวกเอเลนเซฟเวอรี่ถูกดึงตัวมาจองจำด้วยคำสาปแห่งอัญมณีขาว”

            โซลิแทร์เบิกตากว้าง ใช่แล้ว ทำไมเขาถึงไม่ทันสังเกต ในหลุมเต็มไปด้วยบางสิ่งที่ถูกหุ้มด้วยน้ำแข็ง เบียดเสียดเรียงกันอยู่เป็นขั้นบันได บางสิ่งที่ว่านั้นคือพวกเอเลนเซฟเวอรี่ทั้งฝูง พวกมันต้องคำสาปให้ถูกแช่แข็งเบียดเสียดกันอยู่หนาแน่นในหลุม ทุกตัวจากโฟรเซ็นทิเนลอยู่รวมกันในนั้นหมด แต่ละตัวยังสวมเกราะ บางตัวก็ยังมีรถม้าอากาศเทียมอยู่ที่หลังส่วนวัตถุสีขาววาวๆ บนหอคอยกลางหลุมนั้น ก็คืออัญมณีขาวอีกชิ้นที่ใช้สยบพวกเอเลนเซฟเวอรี่ เขาได้ยินมาถูก อัญมณีมีสองชิ้น ชิ้นหนึ่งที่อยู่กับเดลิลวาสมีไว้ใช้ร่ายคำสาป ส่วนชิ้นที่เขาเห็นอยู่นี้มีไว้รักษาอำนาจคำสาปให้คงอยู่ มันจะคอยกระจายพลังงานให้พวกเอเลนเซฟเวอรี่ทั้งหมดในหลุม ถูกแช่แข็งแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ

          “สโนว์ฟ็อกซ์ข้ามองเห็นหนทางหนึ่ง ที่พลิกผันสถานการณ์ของเราได้” โซลิแทร์พูดช้าๆ “อาจถึงขั้นเป็นฝ่ายชนะศึก”

          กัปตันมาซูลถึงกับยิงหน้าไม้พลาดเมื่อได้ยินประโยคนั้น

          “ท่านหมายความอย่างที่พูดจริงๆ หรือ” เขาหันมามองหน้าโซลิแทร์

          “เราเอาชนะพวกเอลิลได้ โดยใช้วิธีเดียวกับพวกไซคัส” โซลิแทร์พูด “พวกเอลิลเก่งกาจและแข็งแกร่ง แต่ก็มีจุดอ่อน พวกนั้นจะสู้ไม่ไหว หากมีกองทัพศัตรูโผล่ขึ้นมากลางฐานทัพของตน”

          “แต่เราไม่มีเหรียญวิเศษอย่างพวกไซคัส” กัปตันมาซูลท้วง“และไม่เหลือกองทัพอีกแล้ว”

          “เรายังเหลืออยู่อีกหนึ่งกองทัพ” โซลิแทร์บอก “ซึ่งเป็นกองทัพที่ดีที่สุดที่เรามี”

          เขาชี้ไปทางหลุมยักษ์ที่จองจำเหล่าเอเลนเซฟเวอรี่

          “ท่านเฉียดเข้าใกล้หลุมนั่นไม่ได้แน่ ท่านลอร์ด” กัปตันมาซูลเตือน “การป้องกันมันแน่นหนามาก ท่านก็น่าจะเห็นป้อมที่อยู่รอบๆ หลุม พวกฟาร์ดาราสบนป้อมจะคอยอารักขาอัญมณีอย่างเดียวไม่บินไปไหน อีกทั้งยังมีทัพฟาร์ดาราสบินอยู่เต็มท้องฟ้าฝ่ายเราไม่มีทัพอากาศ มีแค่พาหนะของท่านเพียงตัวเดียวที่บินได้ ยังไงท่านก็ไม่มีทางบุกเข้าไปทางอากาศได้ ถูกสอยร่วงก่อนแน่”

          “แน่นอน เราไม่มีทางบุกเข้าไปทางอากาศได้ เพราะข้าคนเดียวไม่มีวันทำสำเร็จ พวกเอลิลก็รู้เรื่องนี้ดี” โซลิแทร์ว่า “แต่ถ้าเราบุกฝ่าเข้าไปตรงๆ ทางบก มีท่านและคนอื่นๆ ร่วมฝ่าฟันไปกับข้าด้วย มันจะมีหวังมากกว่า”

          “โอกาสสำเร็จมีน้อยมาก” กัปตันมาซูลพูดอย่างจริงจัง “ข้าไม่คิดว่ามันจะได้ผล”

          “มันก็ไม่น่าจะได้ผลหรอก แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่ดาร์คเนสดีวิลเราทำตลอดมา ยืนหยัดสู้จนถึงที่สุด ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม” โซลิแทร์เงยหน้ามองแสงสายฟ้าท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิด เปรียบเหมือนกับความหวังรางๆ ที่ปรากฏขึ้นมาเสี้ยววินาที “ชัยชนะแท้จริงมันอยู่ที่ใจ ไม่ใช่ความสำเร็จ”

          กัปตันมาซูลหลับตายกมือกุมหัวตัวเอง เหมือนเมื่อสิบเก้าปีก่อนที่เขาตัดสินใจจะขี่ม้าเข้าไปช่วยโซลิแทร์ในครั้งนั้น เขาสูดหายใจลึกๆ  ลืมตาขึ้น ยิ้มอย่างเข้มแข็ง

          “ส่งมือมา” เขายื่นมือไปหาโซลิแทร์ เขี้ยวเงาวับปรากฏอยู่ในปาก

          โซลิแทร์คว้ามือของกัปตันมาซูลแล้วถูกดึงขึ้นไปนั่งซ้อนม้า ยิงพลุสีเหลืองขึ้นฟ้า นักรบดาร์คเนสดีวิลทุกคนที่เหลืออยู่ต่างพยายามฝ่าเข้ามารวมกับพวกเขาทั้งคู่เท่าที่ทำได้ ทั้งทหารม้า ทหารราบ และรถม้าศึก

          “ทหารม้าและรถม้าศึกมารวมกันตรงนี้” กัปตันมาซูลตะโกน “ทหารราบ คุ้มกันให้เราด้วย”

          พวกทหารม้าปีศาจและรถม้าศึกปีศาจพยายามเข้ามาจัดขบวนแถวร่วมกับทั้งคู่เท่าที่จะทำได้ พวกดีวอเชอร์และดีเซ็นทรีทหารราบช่วยกันต่อสู้ปกป้องไม่ให้รูปขบวนเสีย พวกฟาร์ดาราสเริ่มบินรวมกลุ่มกันบนฟ้าเมื่อเห็นข้าศึกตีฝ่าเข้าไปรวมตัวกันเป้าหมายมารวมกันเยอะๆ แบบนี้ยิ่งกระหน่ำโจมตีง่าย

          กัปตันมาซูลเลื่อนกระบังหมวกเกราะลงมาปิดหน้า โซลิแทร์ชูดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ขึ้น เกล็ดน้ำแข็งที่เป็นลวดลายและตัวอักษรบนใบดาบส่องสะท้อนสายฟ้าเป็นประกาย

          “เคียงข้างกัน ดาร์คเนสดีวิล” เสียงของเขามีพลังดังชัดเจนไปทั่วด้วยอำนาจภาษาดาร์เคน “ส่องประกายสายฟ้าด้วยกัน เป็นครั้งสุดท้าย”

          พลุสีน้ำเงินพุ่งจากปลายมือของเขาส่องสว่างขึ้นบนท้องฟ้า

          “หยุดพวกนั้นไว้” กัปตันโพรเฟดชี้มืออยู่บนหลังม้า

          “เราคือกำแพง” กัปตันมาซูลและดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ ตะโกนกึกก้อง แล้วกองทหารม้าและรถม้าศึกดาร์คเนสดีวิลที่เหลืออยู่ก็ทะยานบุกไปข้างหน้าเหยียบชนพวกทหารราบเอลิลที่ขวางทาง พวกพลหอกยาวเอลิลและพวกทหารม้าเอลิลเริ่มตีวงเข้าสกัด พวกฟาร์ดาราสก็เข้าผสมโรงด้วย พวกทหารราบดีเซ็นทรีและดีวอเชอร์พยายามต่อสู้เปิดเส้นทางให้เต็มที่ ส่วนพวกทหารม้าและรถม้าปีศาจก็พยายามบุกฝ่าออกไป ดีเซ็นทรีขี่ม้าและดีวอเชอร์ขับรถม้าคนแล้วคนเล่ารอบตัวโซลิแทร์ถูกสังหาร ถูกสกัด ถูกโจมตีหายไปเรื่อยๆ  กองกำลังของเขาเบาบางลงอย่างรวดเร็ว กัปตันมาซูลควบม้าพาเขาหลบดาบ หลบหอกยาว หลบง้าว หลบก้อนน้ำแข็งจากพวกฟาร์ดาราสอย่างสุดความสามารถ จุดมุ่งหมายคือต้องฝ่าไปให้ถึงหลุม ทหารม้าเอลิลกลุ่มหนึ่งตั้งกำแพงขวางหน้า โซลิแทร์ปล่อยสายฟ้าสังหารตายไปทั้งกลุ่ม ฟาร์ดาราสตัวหนึ่งโฉบตามหลังมาและอ้าปากเตรียมพ่นน้ำแข็ง โซลิแทร์หันไปร่อนใบจักรสองใบเสียบเข้าปากสังหารมันได้ก่อน ใบจักรที่เหลืออยู่ถูกใช้จัดการข้าศึกที่ขวางอยู่จนกระทั่งไม่เหลือสักใบ คราวนี้ต้องขว้างลูกศรสามง่ามที่สะพายอยู่บนหลังกัปตันมาซูลแทน ซึ่งมันก็เหลืออยู่ไม่กี่ดอกเท่านั้น เมื่อเดินหน้าต่อไปอีกเล็กน้อยมันก็ถูกใช้จนหมดเช่นกัน

          รอบข้างเขาไม่มีทหารม้าหรือรถม้าศึกร่วมฝ่าไปด้วยอีกแล้ว ทุกคนถ้าไม่ตายก็ถูกสกัดไว้อยู่ข้างหลัง มีเพียงเขากับกัปตันมาซูลเท่านั้นที่ยังมุ่งหน้าต่อไป ฟาร์ดาราสสองตัวบินลดระดับลงมาอ้าปากพ่นน้ำแข็งไล่หลังทั้งคู่ก้มหัวหลบอย่างฉิวเฉียด ทำให้น้ำแข็งทั้งสองก้อนข้ามไปถูกกลุ่มทหารเอลิลข้างหน้าแทน กัปตันมาซูลบังคับม้ากระโดดข้ามศพเหล่านั้นและกางดาบทั้งสองเล่มปาดคอทหารม้าเอลิลสองคนที่จะเข้ามาแทงง้าวใส่ คราวนี้มีฟาร์ดาราสไม่ต่ำกว่าห้าตัวบินโฉบมาขวางหน้าเป็นแถวหน้ากระดานกัปตันมาซูลต้องหยุดม้ากะทันหัน ไม่รู้จะสู้จะหนียังไงแล้ว

          วงแหวนฮีเลียมวงใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลางขนาดหนึ่งเมตรพุ่งเข้ามาระเบิดกระจายไฟใส่พวกฟาร์ดาราสทั้งกลุ่ม ชิ้นส่วนไหม้ไฟของพวกมันร่วงกราวลงมาคล้ายดอกไม้ไฟ

          “ท่านลอร์ด กัปตันมาซูล” เซซิลตะโกน “ไป”

          ม้าปีศาจของกัปตันมาซูลวิ่งทะยานไปต่อ ปาดคอทหารเอลิลสองสามคนด้วยใบดาบที่ติดอยู่ตามข้างเกราะและด้านหน้าเกราะม้า หลุมจองจำเอเลนเซฟเวอรี่อยู่ห่างออกไปไม่มากแล้ว ต้องฝ่าไปให้ได้ อีกนิดเดียวเท่านั้น โซลิแทร์ควงดาบฟันทหารเอลิลสามคนพร้อมกันก้มหัวหลบก้อนน้ำแข็ง กำลังจะชักกริชออกมาต่อสู้ด้วยมืออีกข้าง  แต่ก็ต้องชะงักเมื่อกัปตันมาซูลก็หยุดม้าเป็นครั้งที่สอง

          หลุมจองจำเอเลนเซฟเวอรี่อยู่ห่างออกไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น แต่เหล่าทหารหอกยาวเอลิลก็ขวางอยู่ข้างหน้า แล้วเข้ามาตีวงล้อมรอบพวกเขาอย่างแน่นหนา จะไปต่อ จะถอย หรือจะไปทางไหนก็ไม่ได้แล้ว พวกเขามีกันแค่สองคนกับม้าปีศาจอีกหนึ่งตัว จะฝ่าไปได้ยังไง ดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ ก็อยู่ห่างออกไปไกลแสนไกล เข้ามาช่วยอะไรไม่ได้แล้วหอกยาวเริ่มกระชับวงล้อมบีบเข้ามา กัปตันมาซูลหันซ้ายหันขวา สถานการณ์ของทั้งคู่ตอนนี้เหมือนย้อนกลับไปเมื่อสิบเก้าปีก่อน ตอนที่ทั้งคู่ตกอยู่ในวงล้อมของพวกเฟลมฟอร์สกันเพียงสองคน

          “เราเกือบจะไปถึงปลายทางแล้ว ท่านลอร์ด” กัปตันมาซูลยิ้มอย่างเสียดาย เลื่อนกระบังหมวกเกราะขึ้น “ผ่านวงล้อมตรงนี้ไปก็ถึงแล้ว”

          “อย่างน้อย เราก็ร่วมกันฟันฝ่ามาไกลถึงขนาดนี้ได้” โซลิแทร์จับบ่าอีกฝ่าย “ไกลกว่าที่เราคาดไว้ก่อนเริ่มศึกมากทีเดียว”

          “เรามากันได้ไกลขนาดนี้ ก็เพราะท่านทำให้เราทุกคนได้ตระหนักว่า อะไรคือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของดาร์คเนสดีวิล ยืนหยัดต่อสู้กับสิ่งที่ไม่มีวันเอาชนะได้ ด้วยหัวใจที่ไม่มีวันยอมแพ้ นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราเอาชนะเฟลมฟอร์ส เอาชนะพวกมนุษย์ เป็นแรงบันดาลใจให้เผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอกลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่ง” กัปตันมาซูลพูดเสียงเบา “เป็นแรงบันดาลใจให้สุนัขจิ้งจอกหิมะขี้ขลาดตัวหนึ่ง สามารถเดินมาไกลจนถึงตรงนี้ได้”

          โซลิแทร์มองไปยังวงล้อมหอกยาวถี่ยิบที่ขยับตีวงเข้ามาเรื่อยๆ  ดาบกำแน่นอยู่ในมือพร้อมสู้ตาย

          “วันนี้คงเป็นวันที่ข้าจะต้องตาย” กัปตันมาซูลหันมากระซิบกับโซลิแทร์พร้อมกับรอยยิ้มเศร้าๆ “ขอบคุณมากน้องชาย ที่ทำให้ข้าได้พบกับวันที่ข้าภูมิใจตัวเองมากที่สุดในชีวิต”

          แล้วเขาก็กระโดดลงจากหลังม้า ขว้างดาบในมือทั้งสองไปข้างหน้าสุดแรง ดาบทั้งสองเล่มลอยหมุนไปถากแสกหน้าพลหอกยาวเอลิลสองคนล้มลงไปตาย แล้วข้ามไปเสียบทะลุหมวกเกราะอีกสองคนตายคาที่ วงล้อมหอกยาวเกิดช่องเล็กๆ ตรงหน้า กัปตันมาซูลคว้าบังเหียนม้าปีศาจมาสะบัดแล้วโยนส่งให้โซลิแทร์ โซลิแทร์ยึดบังเหียนไว้แทบไม่ทันเมื่อม้าปีศาจกระโจนวิ่งไปข้างหน้ากะทันหัน กระโดดข้ามศพพลหอกเอลิลสี่คนที่เพิ่งล้มลงไป พลหอกที่อยู่ใกล้ๆ พยายามแทงตามไปแต่ก็ไม่ทัน จะไล่ตามก็ไม่ทันเช่นกันเพราะอีกฝ่ายขี่ม้า ดังนั้นจึงหันมาเตรียมเล่นงานกัปตันมาซูล ผู้ซึ่งคว้าดาบสองเล่มขึ้นมาจากศพดีเซ็นทรีบนพื้น ตั้งท่าพร้อมสู้ตาย แม้ร่างกายเหนื่อยล้า บาดแผลเต็มตัว อยู่ในสภาพที่ไม่เหมาะแก่การสู้ต่อ แต่ก็ขอสู้ด้วยหัวใจอันเด็ดเดี่ยว

          “แม้ข้าจะเป็นแค่สุนัขจิ้งจอก” เขาเลื่อนกระบังหมวกเกราะหน้าสุนัขจิ้งจอกปีศาจแยกเขี้ยวลงมาปิดหน้า “แต่วันนี้ ข้าจะขอคำรามให้กึกก้องจนฟ้าสะเทือน”

          โซลิแทร์พยายามเกาะม้าทรงตัวไม่ให้ร่วง แม้เขาจะเป็นคนที่ทรงตัวเก่ง ต่อสู้ได้หลากหลายรูปแบบ ขี่พาหนะบินได้ แต่เขากลับไม่ถนัดขี่ม้ามาแต่ไหนแต่ไร โดยเฉพาะม้าที่กำลังวิ่งเต็มฝีเท้าและเหยียบชนพวกทหารเอลิลบางคนบางกลุ่มที่ขวางทาง มันโขยกเขยกเหมือนจะเหวี่ยงเขาลงจากหลังให้ได้ ต้องเก็บดาบไว้กับฝักเพื่อใช้สองมือยึดเกราะม้าให้มั่น อย่างไรก็ตาม แม้จะฝ่ามาด้วยความทุลักทุเล แต่เขาก็สามารถฝ่าเอลิลทั้งกองทัพตรงมายังหลุมจองจำเอเลนเซฟเวอรี่ที่ใจกลางฐานทัพได้แล้ว ไม่มีใครไล่ตามเขามาทัน อัญมณีขาวส่องแสงให้เห็นอยู่ไม่ไกล นั่นคือเป้าหมายของเขา เขาบังคับม้าปีศาจมุ่งหน้าไปยังสะพานแขวนที่พาดจากปากหลุมข้ามไปยังหอคอยกึ่งกลางฐานทัพ ข้ามสะพานนี้ไปก็จะถึงอัญมณี

          แต่มีคนไปถึงสะพานก่อนเสียแล้ว กัปตันโพรเฟดลงจากหลังม้าผีเล็งยาวยิงใส่เขาทันที กระสุนพุ่งผ่านช่องเกราะทะลุเข้าไปในคอม้าปีศาจที่โซลิแทร์ขี่อยู่ มันล้มลงไป โซลิแทร์กระเด็นตกจากม้าที่ตาย แต่ก็ยังม้วนตัวไปข้างหน้าตามแรงเหวี่ยงลุกขึ้นยืนได้ทันที เขาออกวิ่งต่อ เมื่อล้มก็ลุกได้ เมื่อเดินหน้าแล้วก็จะไปให้ถึงที่สุด แม้จะไม่มีพาหนะก็จะไปต่อด้วยสองขาของตนนี่ล่ะ กัปตันโพรเฟดนำห่างเขาไปมาก กำลังวิ่งข้ามสะพานแขวนไป โซลิแทร์เร่งฝีเท้าเต็มที่ มีน้ำแข็งแห้งเคลือบฟรีออนก้อนหนึ่งพุ่งลงมาใส่จากมุมสูง เขาม้วนตัวไปข้างหน้าหลบได้แล้ววิ่งต่อ พวกฟาร์ดาราสตามป้อมรอบๆ หลุมนั้นพยายามพ่นน้ำแข็งสกัดเขาไว้ แต่เขาก็คิดถูกที่ว่าพวกมันจะหามุมโจมตีลำบากหากบุกเข้าไปทางพื้นดิน ป้อมของพวกมันถูกสร้างสำหรับป้องกันการบุกรุกทางอากาศโดยเฉพาะ จึงแทบไม่ค่อยมีมุมโจมตีทางบกเลย เมื่อเขาวิ่งไปถึงสะพานก็ไม่ต้องหลบน้ำแข็งจากพวกมันอีกแล้ว จุดนี้คือมุมที่พวกมันโจมตีไม่ได้

          โซลิแทร์ออกวิ่งข้ามสะพานแขวนไป ต้องทรงตัวให้ดีๆ เพราะมันสั่นๆ แกว่งๆ เป็นปกติของสะพานที่ทำด้วยเชือกและไม้ หลุมที่อยู่ข้างใต้นี้มีความลึกมาก ตายแน่นอนหากพลัดตกลงไป สะพานก็ยาวเหยียด ที่ปลายสะพานอีกด้านนั้น กัปตันโพรเฟดข้ามไปถึงหอคอยกลางหลุมแล้ว เขาทิ้งโล่ลงพื้น ชักดาบ หันกลับไปฟันเชือกแขวนสะพานเส้นหนึ่งให้ขาด

          โซลิแทร์เสียหลักล้มเมื่อเชือกแขวนสะพานเส้นหนึ่งถูกตัด สะพานเอียงเสียสมดุล กัปตันโพรเฟดกำลังจะตัดสะพานไม่ให้เขาข้ามไป ตอนนี้เขายังไปไม่ถึงครึ่งสะพานด้วยซ้ำ ไม่รู้จะวิ่งไปถึงอีกฟากทันก่อนสะพานขาดหรือไม่ หากไม่ทันนั่นหมายถึงชีวิตของเขา หากจะรักษาชีวิตถอยกลับตอนนี้ก็ยังทัน เพราะยังข้ามมาได้ไม่ไกล แต่ถ้าถอยกลับ ก็หมายถึงจะไม่เหลือหนทางข้ามไปได้อีกแล้ว

          หากเราสู้ต่อไป เราอาจจะทำสำเร็จหรือไม่ก็ล้มเหลว แต่หากเรายอมแพ้ สิ่งที่รอเราอยู่จะมีแต่ความล้มเหลวเพียงอย่างเดียว โซลิแทร์ตัดสินใจไปต่อ วิ่งไปทรงตัวไปเท่าที่จะทำได้ เชือกแขวนสะพานก็ถูกตัดไปทีละเส้น สะพานก็เอียงมากขึ้นสั่นมากขึ้นเพราะตัวยึดน้อยลงเรื่อยๆ  แต่เขาก็ยังตะเกียกตะกายไปต่อสุดชีวิต เขาจะไม่ถอยกลับ ตายก็ตาย จุดหมายอยู่ตรงหน้า หากไม่อาจไปถึงได้จริงๆ  อย่างน้อยก็ขอให้ได้พยายามฝ่าฟันไปจนถึงที่สุด

          เชือกแขวนสะพานเส้นสุดท้ายถูกตัด สะพานขาดร่วงลงสู่เหว โซลิแทร์วิ่งเกือบจะไปถึงปลายทางอยู่แล้ว เขารวบรวมพลังกระโดดไปข้างหน้าในจังหวะสุดท้าย เอื้อมมือจะไปคว้าเกาะขอบหอคอย แต่มันก็อยู่ไกลเกินปลายมือ เขาดิ้นรนมาได้ไกลถึงขนาดนี้แล้ว แต่ก็ยังไกลไม่พอ จุดหมายอยู่ห่างไปเพียงเมตรเดียวแต่ก็ยังไกลเกินเอื้อม เขาล้มเหลว ร่วงตกลงไปสู่หุบเหว สองมือพยายามดิ้นรนไขว่คว้าจุดหมายที่ตนไปไม่ถึงเป็นครั้งสุดท้าย

          มีกระแสลมรุนแรงผลักเขาไปข้างหน้า มือขวาของเขาเอื้อมไปคว้าด้านข้างหอคอยที่ช่องรอยต่อได้พอดี เขายึดเกาะหอคอยไว้แล้วหันไปมองข้างหลัง เห็นมนุษย์สาวผมสีน้ำตาลทองในชุดกันหนาวสีขาวยืนอยู่ที่ขอบปากหลุมข้างหลังเขา มือข้างหนึ่งของเธอพันเศษผ้าชิ้นยาวๆ สีดำไว้ อีกข้างหนึ่งหันฝ่ามือมาทางเขา เธอนั่นเองที่ปล่อยกระแสลมช่วยส่งตัวเขามาถึงหอคอยได้ เป็นคนเดียวกับที่คอยติดตามดูกองทัพดาร์คเนสดีวิลอยู่ห่างๆ รูปลักษณ์ของเธอดูคุ้นตามาก ซึ่งไม่ว่าเธอจะเป็นใคร เธอเพิ่งจะช่วยเขาไว้

          น้ำแข็งแห้งจากฟาร์ดาราสบนป้อมก้อนหนึ่งพุ่งเข้าใส่เธอ เธอปล่อยกระแสลมเบี่ยงมันออกไปเล็กน้อย มันพุ่งกระทบกับพื้น สะเก็ดน้ำแข็งแห้งเล็กๆ กระเด็นไปถูกแขนขาเธอ เกิดบาดแผลเล็กๆ เธอรีบวิ่งออกไปจากตรงนั้นทันที ขณะเดียวกันโซลิแทร์ก็ออกแรงปีนหอคอยขึ้นไปให้ถึงยอด มันเป็นหอคอยที่สร้างจากน้ำแข็งก้อนใหญ่มาวางซ้อนกัน จึงมีช่องรอยต่อให้เขาปีนเกาะขึ้นไปได้เรื่อยๆ  เกราะโลหะที่เขาสวมอยู่หนักอึ้ง เส้นทางปีนก็ลำบาก จุดหมายก็อยู่สูง แต่เขาก็ยังมุ่งมั่นปีนมันต่อไป เสียงฟ้าคำรามดังสนั่นและสายฟ้าสว่างวาบอยู่บนท้องฟ้าเหนือหัว จะสำเร็จหรือไม่มันไม่สำคัญ ขอแค่พยายามให้ถึงที่สุดก็พอ

          บนหอคอย กัปตันโพรเฟดมองตามมนุษย์สาวคนนั้นวิ่งหลบน้ำแข็งพวกฟาร์ดาราสออกไปจากพื้นที่ด้วยความแปลกใจ เธอเข้ามาในฐานทัพได้อย่างไร

          ถุงมือเหล็กสีดำข้างหนึ่งคว้าเกาะที่ขอบหอคอย กัปตันโพรเฟดหันขวับไปมอง แทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น เข้าใจว่าอีกฝ่ายร่วงตกลงไปแล้ว ไม่นึกว่าจะตะเกียกตะกายดิ้นรนมาได้ถึงตรงนี้ โซลิแทร์ดึงตัวขึ้นมายืนบนหอคอย เขาไต่ขึ้นมาได้สำเร็จ แม้จุดหมายจะอยู่แสนไกล อุปสรรคจะขัดขวางมากมาย ล้มลุกคลุกคลานหลายต่อหลายครั้ง แต่ด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ เขาก็ฝ่าฟันมาจนใกล้จุดหมายปลายทางถึงเพียงนี้ได้

          กัปตันโพรเฟดคว้าโล่ขึ้นจากพื้น ยกดาบบุกเข้าหาโซลิแทร์ โซลิแทร์ชักดาบออกจากฝักบุกเข้าหากัปตันโพรเฟด ดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ปะทะเข้ากับโล่ดังสนั่น ประกายเส้นสายฟ้าสว่างวาบบนใบดาบ ดาบของกัปตันโพรเฟดตวัดมาทางคอหอยของโซลิแทร์ ผู้ซึ่งเบี่ยงหลบได้แล้วแทงดาบสวนกลับไป กัปตันโพรเฟดก็หลบได้เช่นกัน เขาหันไปกระโดดเหยียบแท่นวางอัญมณีและถีบตัวกลับมาฟันดาบใส่โซลิแทร์ในมุมสูง โซลิแทร์ทำท่ากึ่งสะพานโค้งหลบ แล้วหมุนตัวเหวี่ยงดาบพร้อมกับสะบัดผ้าคลุมเข้าใส่ ทำเช่นนี้คู่ต่อสู้จะเดาทิศทางดาบลำบากเพราะมีผ้าคลุมบังอยู่ กัปตันโพรเฟดยกโล่กำบังแทบไม่ทันและเกือบจะเสียหลักถอยตกจากหอคอย  โซลิแทร์แทงดาบซ้ำในจังหวะที่สอง กัปตันโฟรเฟดตีลังกาล้อเกวียนหลบไปข้างๆ แล้วหมุนตัวเตะใส่โซลิแทร์จนเกือบจะเซตกขอบหอคอยไปเหมือนกัน โซลิแทร์พยายามทรงตัวไม่ให้ตก มือขวาแทงดาบสกัดกัปตันโพรเฟดที่กำลังจะบุกเข้ามา กัปตันโพรเฟดได้ทีใช้ดาบกับโล่ขัดดาบของโซลิแทร์ไว้แล้วพยายามบิดปลดอาวุธออกจากมือ กลยุทธ์นี้ใช้ได้ดีกับดาบที่สั้นกว่านี้ แต่ดาบเล่มนี้เป็นดาบยาว เหมาะที่จะถือด้วยสองมือ โซลิแทร์จึงใช้มืออีกข้างจับด้ามดาบไว้ไม่ให้กัปตันโพรเฟดบิดมันหลุดจากมือ แล้วกระแทกงัดดาบออกด้านข้างซ้ายขวาเหมือนเป็นคานงัดแนวนอน โล่และดาบของกัปตันโพรเฟดที่ขัดดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์อยู่จึงถูกงัดแยกออกจากกัน ปลายดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์อยู่แนวเดียวกับตำแหน่งหัวใจของกัปตันโพรเฟด โซลิแทร์ดันดาบแทงใส่ทันที กัปตันโพรเฟดเบี่ยงตัวหลบได้อย่างฉิวเฉียด ปลายดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์แทงขูดผิวอกเสื้อเกราะเป็นรอยบางๆ  มีประกายสายฟ้าเล็กจิ๋วเผาผิวเกราะเล็กน้อยตอนที่มันขูด ขาข้างหนึ่งของโซลิแทร์เตะเข้าเต็มหลังกัปตันโพรเฟด เสียงเกราะโลหะกระแทกกันดังโครม กัปตันโพรเฟดเซล้มหน้าทิ่ม แต่ก็ม้วนตัวลุกขึ้นมายืนได้ทันที ดาบกับโล่ตั้งท่าเตรียมสู้ต่อ โซลิแทร์พอจะประเมินจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ได้แล้ว กัปตันโพรเฟดจะรับมือไม่ค่อยทันหากถูกโจมตีเข้าช่องตรงกลางระหว่างดาบกับโล่ มันเป็นตำแหน่งที่มักสร้างความสับสนแก่ผู้ที่ใช้อาวุธสองชิ้น

          ทั้งสองบุกเข้าหากันอีกครั้ง ดาบปะทะกันเต็มเหนี่ยว กัปตันโพรเฟดกวาดดาบในมุมสูง โซลิแทร์ก้มหัวหลบ หมุนตัวฟันดาบใส่กัปตันโพรเฟดผู้ซึ่งยกโล่กำบังไว้ได้และฟันดาบใส่โซลิแทร์อีกครั้ง โซลิแทร์ยกสนับแขนซ้ายรับคมดาบไว้เหนือหัว มือขวาแทงดาบใส่กัปตันโพรเฟดในแนวตรง กัปตันโพรเฟดม้วนดาบลงเป็นวงกลม ดันปลายดาบของโซลิแทร์ให้เบี่ยงไปชิดด้านข้างแท่นวางอัญมณี พร้อมกันนั้นมือซ้ายก็กระแทกขอบโล่เข้าใส่กลางดาบเพื่อให้ดาบถูกกระแทกติดข้างแท่น มือที่จับดาบของโซลิแทร์จะได้ถูกหนีบจนต้องปล่อยดาบออกจากมือ กลยุทธ์นี้เคยใช้ปลดอาวุธแอนโทดัส แร็กซ์ริงหัวหน้าฮาล์ฟเรดมาแล้ว แต่โซลิแทร์กลับแก้ทางด้วยการใช้สองมือจับด้ามดาบขืนไว้ ใช้เท้าข้างหนึ่งยันเหยียบแท่นเพื่อให้มีแรงขืนเพียงพอ จากนั้นก็ออกแรงงัดด้ามดาบเข้าหาตัวเหมือนใช้ชะแลงงัดเปิดประตู กัปตันโพรเฟดจึงเป็นฝ่ายถูกงัดในแนวนอนเซเสียหลักถอยหลังไป

          ด้วยความรวดเร็ว โซลิแทร์กระโดดเหยียบที่ขอบแท่น ถีบตัวตีลังกาข้ามหัวอีกฝ่าย และเสี้ยววินาทีก่อนที่เท้าของเขาจะแตะถึงพื้น สองมือก็จับดาบเงื้อขึ้นเหนือศีรษะแล้วฟันลงมาเป็นแนวตรงตั้งฉากในจังหวะที่เท้าแตะพื้นพอดี มันกะทันหันเสียจนกัปตันโพรเฟดหันตามไปทันแต่ก็ป้องกันไม่ทัน ปลายดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ฟันผ่านช่องว่างระหว่างโล่กับดาบของเขาแสกเข้าที่หน้า ผ่ากระบังหมวกเกราะปิดหน้าแยกออกเป็นสองซีก หมวกเกราะและศีรษะส่วนที่ถูกฟันนั้นปรากฏประกายไฟฟ้าอยู่เสี้ยววินาที เป็นรอยไหม้เหมือนถูกสายฟ้าเล็กๆ ฟาดใส่ กัปตันโพรเฟดหงายล้มแน่นิ่งลงไป ไม่ขยับเขยื้อนอีกเลย

          โซลิแทร์ก้าวไปที่แท่นวางอัญมณี สองมือเงื้อดาบขึ้นเหนือศีรษะอีกครั้ง แล้วฟันลงมาสุดแรง ท่ามกลางเสียงฟ้าคำรามกึกก้อง ประกายไฟฟ้าแผดสว่างบนใบดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์เมื่อมันผ่าลงบนวัตถุ อัญมณีขาวแตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับแท่นวางอัญมณี

          เมื่ออัญมณีถูกทำลาย คำสาปจองจำก็เสื่อมพลัง น้ำแข็งที่ห่อหุ้มร่างเอเลนเซฟเวอรี่ทุกตัวในหลุมแตกกระจายออก แสงไฟสีเขียวกลับมาสว่างในดวงตาของพวกมันแต่ละคู่แล้วเอเลนเซฟเวอรี่ทั้งฝูงก็กางปีกทะยานขึ้นฟ้าอย่างสง่างาม เกราะหนาสีดำของพวกมันเลื่อมเป็นเงาเหมือนใหม่ พวกฟาร์ดาราสบนป้อมรอบๆ หลุมถูกเผาไม่เหลือซาก โซลิแทร์กระโดดขึ้นหลังเอเลนเซฟเวอรี่ตัวหนึ่งบินตามเอเลนเซฟเวอรี่ตัวอื่นๆ ออกจากหลุม ขึ้นสู่ท้องฟ้าอันมืดมิดที่ส่องประกายเจิดจ้าเป็นพักๆ ด้วยสายฟ้า

          ราวกับเป็นการย้อนภาพในอดีตเมื่อสิบเก้าปีก่อน ตอนที่มาร์กอลลอสจอมพิชิตถูกทำลายอำนาจ ทุกคนหันไปมองสิ่งที่ปรากฏขึ้นอย่างตกตะลึง เอเลนเซฟเวอรี่หลายพันตัวเหินเวหาอยู่เต็มท้องฟ้า แสงสีเขียวจากดวงตานับพันนับหมื่นคู่ส่องสว่างท่ามกลางความมืด พวกมันเริ่มอาละวาดทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของพวกเอลิลพินาศวอดวาย ไม่ว่าพวกเอลิลจะแข็งแกร่งสักเพียงใด เมื่อมีกองทัพที่มีประสิทธิภาพทำลายล้างสูงอย่างพวกเอเลนเซฟเวอรี่โผล่ขึ้นมากลางฐานทัพเช่นนี้ เก่งแค่ไหนก็ไม่มีทางรับมือไหว พวกฟาร์ดาราสถูกสังหารร่วงกราวลงมาเป็นหิมะตก กองทัพบกเอลิลที่ต่อสู้อยู่เบื้องล่างก็ถูกกระหน่ำอย่างหนักหน่วง กลุ่มทหารเอลิลที่ล้อมกรอบโจมตีกัปตันมาซูลจนทำให้ล้มลงไปนอนได้และกำลังจะเงื้อดาบปลิดชีวิตนั้น ถูกเผาถูกโฉบหายไปทั้งกลุ่ม เซซิลที่นอนอยู่บนพื้นยกโล่ต้านง้าวสี่เล่มที่พยายามกดลงมานั้นก็ได้รับการช่วยเหลือเช่นกัน ทั้งอาคาร กำแพง ป้อม และหอคอยต่างๆ ในฐานทัพถูกดาวตกและเปลวไฟสีเขียวเผาทำลายราบ แม้จะมีเอเลนเซฟเวอรี่บางส่วนถูกสอยตกลงไปตายระหว่างการต่อสู้ แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งทั้งฝูงได้ เข้าใจแล้วว่าทำไมพวกไซคัสถึงหาทางสยบพวกเอเลนเซฟเวอรี่ เพราะเมื่อพวกมันต่อสู้เป็นฝูงพวกมันจะเป็นอาวุธทำลายล้างที่อันตรายที่สุด

          โซลิแทร์มองลงจากหลังเอเลนเซฟเวอรี่ที่ตนขี่เห็นมนุษย์สาวคนนั้นควบม้าสีขาวไปที่โคนหอคอยหลังหนึ่งแล้วจมหายลงไปในพื้นหิมะเสียเฉยๆ  นั่นคงเป็นทางเข้าอุโมงค์ลับของพวกไซคัสที่ลินเลนธันเคยลอบเข้ามาใช้เหรียญวิเศษในการพิชิตพวกเอลิล เป็นคำตอบว่ามนุษย์คนนี้ลอบเข้ามาได้อย่างไร หอคอยที่อยู่ใกล้ๆ ปากอุโมงค์นั้นถูกเผาถล่มลงไปกลบเป็นอันว่าอุโมงค์ถูกปิดทางไปเรียบร้อย

          ในที่สุด ด้วยกองทัพเอเลนเซฟเวอรี่ สถานการณ์จึงพลิกผัน จากที่กำลังจะพ่ายแพ้และตายกันหมด พวกดาร์คเนสดีวิลกลับกลายเป็นฝ่ายชนะพวกเอลิลที่เหลืออยู่แตกร่นกระจัดกระจายถอยหนีไปแต่แรกเริ่มนั้นมันแทบไม่มีทางที่จะเป็นเช่นนี้ พวกดาร์คเนสดีวิลมองเห็นความพ่ายแพ้ตั้งแต่เริ่ม ไม่คาดหวังว่าจะชนะเลย แต่พวกเขาก็ยังคงยืดหยัดสู้ต่อไปไม่สิ้นหวัง สู้กับสิ่งที่ไม่มีวันเอาชนะได้ ด้วยหัวใจที่ไม่มีวันยอมแพ้ หวังแค่ทำให้ตนเองภาคภูมิใจ และนี่คือชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของพวกเขาชัยชนะที่ดาวดวงนี้จะจดจำไปอีกนานแสนนานถึงเผ่าพันธุ์ที่มีหัวใจเข้มแข็งที่สุด มันไม่สำคัญหรอกว่าสิ่งที่เราต้องสู้นั้นจะเก่งกาจ แข็งแกร่ง หรือเหนือกว่าสักเพียงใด มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะยืนหยัดสู้กับมันจนถึงที่สุดหรือไม่ต่างหาก

          เอเลนเซฟเวอรี่ที่โซลิแทร์ขี่ ร่อนลงจอดข้างๆ ผืนธงประจำเผ่าพันธุ์ดาร์คเนสดีวิลผืนใหญ่ที่ขาดกองอยู่บนพื้นหิมะ โซลิแทร์ลงจากหลังมัน มันกางปีกบินขึ้นฟ้าไป แรงกระพือปีกส่งผลให้ผืนธงปลิวขึ้นมาคลุมร่างเขาอย่างสง่างาม ดาร์คเนสดีวิลทุกคนที่เหลือหันมามองเขา ย้อนกลับไปเมื่อสิบเก้าปีก่อน ตอนที่พวกเขาเอาชนะพวกเฟลมฟอร์สได้ โซลิแทร์ก็ถูกห่มด้วยผืนธงเช่นกัน เป็นภาพที่ตราตรึงใจในตอนนั้นและตอนนี้ ทุกคนปรบมือกู่ร้องสรรเสริญ บังเกิดประกายสายฟ้าสว่างวาบและเสียงฟ้าคำรามเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเมฆดำบนท้องฟ้าก็จางหายไป เปลี่ยนสภาพเป็นไอใสถูกดูดกลับเข้าไปในถุงมือเหล็กของโซลิแทร์

          “เราชนะ” เซซิลเข้ามาหา ถอดหมวกเกราะออก ใบหน้าและเส้นผมเปื้อนเลือดสีดำเต็มไปหมด ทั้งบาดเจ็บและอ่อนล้า แต่ก็มีความสุข “เราทำสำเร็จ มากกว่าที่เราจะคาดฝัน”

          “ข้าตระหนักแล้วว่า ปีศาจคือสิ่งมีชีวิตที่มีพลังมหาศาลจริงๆ” กัปตันมาซูลเข้ามาสมทบด้วยเช่นกัน เลื่อนกระบังหมวกเกราะขึ้น สภาพก็ไม่ได้ดีไปกว่าเซซิลเลย “ตราบที่เรายังไม่สิ้นหวัง ตราบที่หัวใจของเรายังยืนหยัดสู้ต่อไป อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น”

          “แน่นอนที่สุด” โซลิแทร์พยักหน้า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราเข้มแข็ง พวกเราคือยอดปีศาจ”

          “เราคือกำแพง” ดาร์คเนสสีวิลคนอื่นๆ คำราม ทำแขนกากบาทพร้อมกัน เสียงเกราะกระทบกันดังกระหึ่ม แล้วแต่ละคนก็แยกย้ายไปปฐมพยาบาลให้ตนเอง รวมทั้งจัดการกับศพพวกพ้องที่ตาย โซลิแทร์ถอดเกราะบางส่วนออก ตัดผืนธงที่คลุมตัวมาเป็นผ้าพันแผลรัดห้ามเลือด แล้วสวมเกราะกลับคืน เอเลนเซฟเวอรี่สีดำพาหนะประจำตัวของเขาร่อนลงมาจอดเบื้องหน้า เขาปีนขึ้นหลังมัน

          “อาจารย์เซซิล กัปตันมาซูล” เขาสั่งการ น้ำเสียงเป็นการเป็นงาน “หลังจากที่คนของเราพักรักษาตัวกันเรียบร้อยแล้ว ทำลายฐานทัพที่เหลือของพวกเอลิลให้หมด อย่าให้มีอะไรหลงเหลือสำหรับใช้ได้ใหม่”

          เซซิลกับกัปตันมาซูลทำแขนกากบาทรับคำสั่ง โซลิแทร์สะบัดบังเหียน เอเลนเซฟเวอรี่สีดำกระพือปีกบินขึ้นฟ้า

          “เกือบลืมไป” กัปตันมาซูลนึกขึ้นได้ หยิบขวดเหล็กออกมาจากส้นรองเท้า “ข้าเคยสัญญาว่าจะเสนอให้ท่านลอร์ดดื่มฉลองทุกครั้งที่เราชนะศึกใหญ่และรอดตาย ให้หิมะถล่มใส่หัวเถอะ! เขารู้ทันข้า บินหนีไปไหนแล้วไม่รู้”

          “พวกเอเลนเซฟเวอรี่ก็เช่นกัน” เซซิลเงยหน้ามองท้องฟ้า ไม่มีเอเลนเซฟเวอรี่เหลืออยู่สักตัวแล้ว หายไปตอนไหนก็ไม่ทันสังเกต พวกนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ค่อนข้างเงียบ บางครั้งมีอยู่ก็รู้สึกเหมือนไม่มี

          “ยังไงก็แล้วแต่ ข้าขอดื่มให้พวกเอเลนเซฟเวอรี่” กัปตันมาซูลกระดกขวดเหล้า “พวกมันคือหน่วยรบดาร์คเนสดีวิลที่ดีที่สุด ข้าจะไม่หวาดระแวงพวกมันอีกต่อไปแล้ว”

          “แด่เอเลนเซฟเวอรี่” เซซิลรับขวดเหล็กที่กัปตันมาซูลส่งต่อมาให้แล้วดื่ม

          “ท่านเห็นมนุษย์สาวผมสีน้ำตาลทองไหม” กัปตันมาซูลนึกขึ้นได้ “ก่อนหน้านี้เธอตามดูกองทัพเราอยู่ห่างๆ แล้วข้าก็เห็นเธอในฐานทัพแห่งนี้ไม่นานก่อนจบศึก เธอเข้ามาทำอะไรที่นี่”

            “เธอช่วยให้ท่านลอร์ดไปถึงอัญมณี” เซซิลบอก

          “ท่านแน่ใจหรือ”

          “ข้าเห็น ข้าสู้อยู่ไม่ไกลออกไปนัก แล้วก็ไม่ใช่ข้าคนเดียวที่เห็น อีกหลายคนในกองทัพก็เห็นเหมือนกัน”

            “แล้วเธอทำอย่างนั้นทำไม” กัปตันมาซูลข้องใจ “เธอช่วยเราทำไม”

            “เรื่องนี้เราคงไม่รู้” เซซิลส่ายหน้า“แต่ที่เรารู้แน่ชัด คือเราคงไม่ชนะศึกครั้งนี้ หากไม่ใช่เพราะเธอ”

          “เธอคือใครกัน”

          “นั่นสิ เธอคือใครกัน”

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา