พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  43 บท
  0 วิจารณ์
  32.90K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2560 21.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

42) บทที่ 41 แด่ความหวังด้วยความหวัง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 41

แด่ความหวังด้วยความหวัง

           

            “ไลคอลี่ ซิวาลิน ตายแล้วค่ะ ท่านหัวหน้าเผ่า”

            อาร์ทูมิสยืนก้มหน้าเบื้องหน้าเตียงหวายของแอเมน่า สูดจมูกร้องไห้ แอเมน่านอนตะแคง น้ำตาเอ่อเต็มสองตา

            “ข้าศึกกำลังบุกกำแพงชั้นที่สอง” อาร์ทูมิสรายงานต่อ “เราสูญเสียนักรบไปมากมาย”

            “มากแค่ไหน” หัวหน้าเผ่าสาวถามเสียงเบา

            “มากกว่าร้อยละหกสิบ และยังไม่รวมคนเจ็บ” อาร์ทูมิสตอบ

            แอเมน่าหลับตา น้ำตาไหลพราก

            “อาร์ทูมิส” เธอกระซิบ “ข้าลุกไม่ไหว ช่วยพยุงข้าไปที่ระเบียงที”

            “ท่านก็ทราบว่าข้าทำเช่นนั้นไม่ได้ค่ะ” อาร์ทูมิสบอก “ร่างกายของท่านกำลังอ่อนแอ แล้วไปตรงนั้นมันก็อันตราย แม้เราจะอยู่สูงจนข้าศึกยิงไม่ถึง แต่ข้าศึกก็มีทัพอากาศ อาจมีฟาร์ดาราสผ่านมาสักตัว”

            “ได้โปรด” แอเมน่าอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร “หากพวกพ้องของข้าจะต้องตายกันอีก อย่างน้อย ขอให้ข้าได้มองพวกเขาจนวินาทีสุดท้าย”

            “ข้าเสียใจค่ะ ท่านหัวหน้าเผ่า ข้าเป็นแพทย์ และข้าต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของคนไข้เป็นสำคัญ” อาร์ทูมิสยืนกรานทั้งน้ำตา

            “ท่านหมอผีไวท์วิสเพอร์” ฟอเรสเทอร์สาวคนหนึ่งวิ่งมารายงาน “เราต้องการท่านค่ะ”

            “ข้าเพิ่งจะมาดูแลท่านหัวหน้าเผ่าเองนะ” เธอหันไปว่า

            “ได้โปรดเถอะค่ะ คนเจ็บมีมาเพิ่มอีกมาก บางคนอาการสาหัส หน่วยแพทย์ของเรามีน้อยและไม่มีทักษะการเยียวยาสูงเท่าท่าน”

            “ไปเถอะ ข้าไม่เป็นไรหรอก” แอเมน่าพูดเสียงอ่อน

            “ท่านดื่มยาด้วยนะคะ เริ่มจากจอกซ้ายสุดก่อน แล้วตามด้วยจอกตรงกลาง เดี๋ยวข้าจะกลับมาดูอาการอีกที” อาร์ทูมิสบอกแอเมน่าแล้วเดินตามฟอเรสเทอร์สาวไปเร็วๆ

            เมื่ออาร์ทูมิสไปแล้ว แอเมน่าก็พยายามลุกขึ้นจากเตียง ตาจ้องมองออกไปทางระเบียง แต่ก็ลุกไม่ไหว ได้แต่ทรุดลงบนเตียงนอนอยู่อย่างนั้น เสียงศึกสงครามดังเข้ามาในหูตลอดเวลา ทั้งเสียงระเบิด เสียงอาวุธกระทบกัน เสียงดีดสายธนู และเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด เธอไม่สามารถแม้แต่จะมองเห็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นได้ ได้แต่ฟังเสียงอย่างหดหู่ พวกพ้องฟอเรสเทอร์กำลังล้มตายกันไปเรื่อยๆ ที่เหลืออยู่ก็คงอ่อนแรง บาดเจ็บ และท้อแท้ เหมือนที่เธอกำลังเป็นอยู่ตอนนี้

          พวกเอลิลไต่บันไดขึ้นมาบนกำแพงชั้นที่สองไม่หยุดหย่อน พวกฟอเรสเทอร์ก็พยายามต่อสู้สกัดไว้จนถึงที่สุด กำแพงชั้นที่สองต่ำกว่าและแคบกว่ากำแพงชั้นแรก กองกำลังป้องกันกำแพงก็เหลือน้อยลงมาก พวกเอลิลแม้จะตายกันไปมากในศึกนี้ แต่ก็ยังเหลือจำนวนที่เป็นต่ออย่างท่วมท้น ซึ่งตอนนี้ก็บุกขึ้นมาบนกำแพงได้มากมายแล้ว เดลิลวาสก็เป็นหนึ่งในนั้น จากสถานการณ์ คาดว่ากำแพงชั้นที่สองจะถูกพิชิตในระยะเวลารวดเร็วกว่ากำแพงชั้นแรก

          “เครื่องกลของข้าศึกมาจ่อที่ประตูแล้ว” กอร์รินฟันขวานใส่ทหารเอลิลที่ไต่บันไดขึ้นมาหงายตกลงไป “หากประตูพัง กำแพงจะแตกอย่างรวดเร็ว”

          “แล้วเราจะทำอะไรได้ ค้ำยันประตูไว้ก็ไม่ได้ ข้าศึกไม่ได้พังเข้ามาด้วยวิธีปกติ” เซ็นแวนเดอร์พูดอย่างท้อใจ ยิงศรในมือไปเรื่อย “เดลิลวาสมักจะวางกลยุทธ์ที่แก้ทางไม่ได้”

          “เช่นนั้น หลังจากที่ประตูพัง เราก็ต้องต้านทานให้เหนียวแน่นที่สุด” กอร์รินบอก

          “เจ้ามีอะไรจะเสนอหรือ” เซ็นแวนเดอร์ถาม

          เครื่องกลพังประตูของพวกเอลิลกำลังทำงาน เสาเกลียวหมุนเจาะเข้าที่บานประตู มันจะทำการกระชากประตูให้พังเหมือนที่ทำกับประตูกำแพงชั้นแรก ด้านหลังเครื่องกลมีกองทหารม้าและกองทหารราบเอลิลแบ่งเป็นสองแถวตามเดิม รอสัญญาณจากเดลิลวาสว่าจะให้กองกำลังชนิดไหนบุกเข้าไปหลังจากประตูพัง เป็นกลยุทธ์ที่แก้ทางการตั้งรับของอีกฝ่าย หากอีกฝ่ายวางกำลังไว้สำหรับตั้งรับทหารม้า เขาก็จะส่งกองทหารราบเข้าไป แต่หากอีกฝ่ายวางกำลังไว้สำหรับตั้งรับทหารราบ พวกเขาก็จะส่งกองทหารม้าเข้าไป

          “โปรดมอบหน้าที่ส่วนนี้ให้ข้าจัดการ ข้าพอมีแผนอยู่” กอร์รินขออนุญาต

          “เชิญเจ้าเลย”

          “ไมริฟ ข้าต้องการพลหอกยาวจำนวนหนึ่ง” กอร์รินหันไปหา

          “เราแทบไม่มีหอกยาวเหลือแล้ว” ไมริฟเชือดคอทหารเอลิลด้วยกริชแล้วหันไปตอบ

          “เช่นนั้น ก็เอาด้ามธงยาวๆ มาให้คนของเราถือ เอาปลายจุ่มสีดำหรือสีอะไรก็ตามที่ดูคล้ายโลหะ มองจากไกลๆ มันจะดูคล้ายหอกยาว”

          “แต่มันก็ใช้งานเหมือนหอกยาวไม่ได้นะ”

          “แค่ตบตาข้าศึกให้คิดว่าเรามีพลหอกยาว” กอร์รินอธิบาย “ข้าศึกจะได้ไม่ส่งทหารม้าเข้ามา และส่งทหารราบเข้ามาแทน”

          “แสดงว่าเราจะต้องตั้งรับทหารราบ”

          “ถูกต้อง” กอร์รินพยักหน้า “เมื่ออีกฝ่ายพังประตูบุกเข้ามา ขอท่านอย่าเพิ่งสั่งให้พวกพลธนูยิงสกัด โปรดรอฟังข้า ไม่ว่าข้าจะบอกให้ทำอะไร”

          “ทำตามที่เขาบอก” เซ็นแวนเดอร์สั่ง

          ไมริฟถอนสายบัวแล้ววิ่งลงจากกำแพงไป กอร์รินย้ายตำแหน่งไปต่อสู้อยู่บนเชิงเทินเหนือประตู ที่กำลังถูกเครื่องกลกระชากจนใกล้จะพัง พวกนักรบฟอเรสเทอร์ถอดเอาด้ามธงไปจุ่มถังหรือกะละมังสีที่พวกนักรบหญิงนำมาทาหน้าทาตัว เลือกสีที่ดูเข้มๆ เหมือนโลหะ จากนั้นก็ไปตั้งแถวอยู่ด้านหลังประตูพร้อมกับหอกยาวปลอม มีพลธนูอีกมากมายตั้งขบวนอยู่ข้างหลังพร้อมยิงเสริม ไมริฟคอยกำกับอยู่แนวหน้า

          แล้วประตูกำแพงชั้นที่สองที่แตกร้าวจนถึงที่สุดก็พังยับเป็นชิ้นๆ คานไม้ที่ค้ำยันอยู่ล้มระเนระนาด

          เมื่อเข้าใจว่าพวกฟอเรสเทอร์นำพลหอกยาวมารอรับมือกองทหารม้าของตน เดลิลวาสที่ต่อสู้อยู่บนกำแพงก็ชูดาบเล่มขวาทำสัญญาณ กองทหารม้าเอลิลหน้ากำแพงถอยเปิดทาง กองทหารราบที่ถือดาบกับโล่และปืนยาวบุกผ่านช่องประตูเข้ามา ใช้กลยุทธ์เดิมคือไม่รีบร้อนกรูกันเข้ามา แต่รักษารูปแถวให้มั่นคงพร้อมเพรียง แถวแรกสุดจะถือโล่ใบใหญ่กำบังเรียงต่อกันแน่นหนาเป็นโดมครึ่งวง เพื่อป้องกันการยิงสกัดของฝ่ายตรงข้าม และพร้อมจะขยับโล่ออกจากกันเป็นช่องเล็กๆ หลายช่องเพื่อให้สอดปากกระบอกปืนยาวออกมายิงโต้ตอบได้ เป็นกลยุทธ์เดียวกับที่ใช้บุกกำแพงชั้นแรก ซึ่งก็ได้ผลดีเสียด้วย

          แต่หนนี้ไมริฟยังไม่สั่งยิง รอคำสั่งจากกอร์รินตามแผน สงสัยว่าเขาจะทำอะไรต่อไป

          เมื่อแนวหน้าของพวกเอลิลเคลื่อนพลผ่านช่องประตูเข้ามา กอร์รินก็ทำสิ่งที่ทุกคนอ้าปากค้าง นั่นคือกระโดดจากเชิงเทินเหนือช่องประตูลงไปยังกลางกลุ่มข้าศึกเหล่านั้น เท้าเหยียบหลังคอพลปืนเอลิลคนหนึ่งหน้าทิ่มคอหักตาย จากนั้นก็กลิ้งตัวลุกขึ้น เหวี่ยงขวานกวัดแกว่งใส่ข้าศึกรอบตัว เกราะที่ติดหนามอยู่ทั่วตัวเขาดูจะมีประโยชน์เมื่อเข้ามาเบียดเสียดต่อสู้กลางกลุ่มศัตรู การจู่โจมแบบไม่คาดฝันและบ้าบิ่นเช่นนี้สร้างความวุ่นวายแก่พวกเอลิลแนวหน้า แถวโล่ที่ประกอบกันแน่นหนาในตอนแรก ดูจะเริ่มแตกกลุ่มกันเล็กน้อย

          “ไวลด์แฟง สาดกรด” กอร์รินตะโกนบอก สองแขนเหวี่ยงขวานไปมาไม่หยุด ทั้งคอยหลบคมอาวุธมากมาย จนรับแผลเพิ่มมาอีกสองสามแผล

          “สาดไปก็โดนท่านด้วยน่ะสิ” ไมริฟร้อง ยังตกใจกับการกระทำของอีกฝ่ายไม่หาย

          “เร็วเข้า สาดกรด”

          ไมริฟจึงเก็บกริชทั้งสอง วิ่งไปข้างหน้า รวมรวมสมาธิกับพละกำลัง แล้วสาดกรดเหลวสีเขียวปริมาณมากออกจากมือทั้งสอง แถวโล่เอลิลแนวหน้าที่กำลังแตกกลุ่มเกิดช่องโหว่นั้น รับเข้าไปเต็มๆ กรดเหลวไหลซึมผ่านช่องเกราะ กัดกร่อนพวกทหารเอลิลล้มตายกันทั้งแถบ กอร์รินกลิ้งตัวไปอยู่ด้านหลังทหารเอลิลสองคน ให้อีกฝ่ายรับกรดแทน แต่ก็มีสองสามหยดที่กระเซ็นมาถูกตัวเขา ไหลผ่านช่องเกราะเข้ามากัดกร่อนผิวหนังเล็กน้อย ค่อนข้างแสบทีเดียว

          “ตอนนี้ล่ะ ยิงเลย” กอร์รินตะโกน

          “ยิง” ไมริฟตะโกน

          พวกฟอเรสเทอร์ที่ถือหอกยาวปลอมนั้นทิ้งมันลง แล้วคว้าธนูที่สะพายอยู่มาขึ้นสายยิง เช่นเดียวกับพลธนูจำนวนมากที่อยู่ด้านหลัง ฝนธนูพุ่งเข้าใส่พวกเอลิลที่แนวโล่กำลังแตกแถวกระจัดกระจายเพราะถูกสาดกรด พวกทหารเอลิลจึงล้มตายกันเป็นเบือ กอร์รินหมอบราบลงต่ำเพื่อไม่ให้โดนลูกธนูด้วย ดึงศพเอลิลสองร่างมาคลุมตัวไว้

          “ชาร์ปชูเทอร์ ขอธนูสนับสนุน” เขาตะโกน

          เซ็นแวนเดอร์ยิงธนูดอกหนึ่งมาจากบนกำแพง มันแตกกระจายเป็นธนูไฟจำนวนมากโปรยลงมาใส่พวกเอลิลจากด้านบน หนนี้ถือว่ากองทหารราบเอลิลที่บุกผ่านประตูเข้ามาถูกสกัดหนัก ขบวนแถวทั้งติดขัด ชะงัก และเสียรูป ทหารม้าจะเข้ามาช่วยเสริมก็ไม่ได้เพราะพื้นที่ไม่เพียงพอ ทหารราบของฝ่ายเดียวกันอออยู่เต็มหน้าช่องประตู กอร์รินนำหน่วยรบระยะประชิดเข้าต่อสู้สกัดอยู่หลังช่องประตู อาศัยความแคบของพื้นที่ให้เป็นประโยชน์ ข้าศึกอาจมีจำนวนมาก แต่ก็บุกเข้ามาได้ทีละน้อยเมื่อต้องผ่านช่องประตูแคบๆ อีกทั้งยังมีพลธนูฟอเรสเทอร์คอยยิงสนับสนุนอยู่ด้านหลัง นับว่าแนวรับส่วนนี้ค่อนข้างมั่นคง

          “ข้าไม่รู้จะเรียกท่านว่ากล้าหรือบ้าดี” ไมริฟเข้ามาร่วมต่อสู้ข้างๆ กอร์ริน กระโดดเอากริชแทงทะลุหมวกเกราะทหารเอลิลคนหนึ่ง

          “บ้าอย่างมีสติคือความกล้า กล้าอย่างไร้สติคือความบ้า” กอร์รินหมุนตัวปาดคอทหารเอลิลสองคนพร้อมกัน “แต่บอกตรงๆ ข้าก็แยกไม่ออกหรอกว่าตอนไหนที่ตนกล้าหรือบ้า”

          ด้วยแผนอันบ้าบิ่นของกอร์ริน แม้ประตูกำแพงจะพัง แต่พวกเขาก็สามารถสกัดข้าศึกไว้ได้นานพอดู คนตายนอนกองกันเกลื่อน พวกข้างหลังก็เข้ามาแทนที่พวกข้างหน้าเรื่อยๆ ไม่ว่าจะฝ่ายรุกหรือฝ่ายรับ ขณะที่บนกำแพงนั้นก็พยายามต้านทานข้าศึกเต็มที่เหมือนกัน เซ็นแวนเดอร์และพวกพลธนูทั้งยิงธนู ทั้งใช้ใบมีดที่ปลายคันธนูฟันแทง ทั้งใช้ลูกธนูเป็นอาวุธระยะประชิด ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ ไม่มีทางเลือก ต้องต่อสู้ในรูปแบบที่ตนไม่ถนัดในหลายจังหวะ ข้าศึกบุกขึ้นมาได้มากมาย เข้ามาประชิดตัวได้บ่อยครั้ง หน่วยรบระยะประชิดก็มีไม่เพียงพอที่จะปกป้องพวกเขา

          “ข้าศึกกันช่องประตูได้อย่างเหนียวแน่น ดูจะทะลวงเข้าไปไม่ได้ในเร็วๆ นี้” ทหารเอลิลคนหนึ่งรายงานเดลิลวาส ผู้ซึ่งกำลังรัดคอนักรบฟอเรสเทอร์คนหนึ่งด้วยท่อนแขนขวา ดาบในมือซ้ายจ่อที่คอ

          “พวกนั้นกันไม่ได้ทุกทางหรอก กันได้ทางหนึ่ง อีกทางหนึ่งก็ต้องอ่อนแอ” เดลิลวาสเชือดคอฟอเรสเทอร์คนนั้น “ในเมื่อข้าศึกกันช่องประตูได้ ก็ดูสิว่าจะกันบนกำแพงได้หรือเปล่า”

          เขาหันไปเคาะสองดาบ ส่งสัญญาณให้กองทัพของตนหน้ากำแพง  

          เบื้องหน้ากำแพงชั้นที่สอง พวกเอลิลนำแพสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มีโซ่โยงอยู่ที่มุมทั้งสี่มาวางเป็นจำนวนมาก มันคือแพอากาศ อุปกรณ์สงครามสำหรับลำเลียงพลขึ้นไปบนกำแพง เคยใช้กับกำแพงเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดมาแล้ว ซึ่งก็ใช้ได้ดีเสียด้วย พวกทหารเอลิลแบ่งกลุ่มกันขึ้นไปยืนจัดแถวเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสอยู่บนแพ ยกโล่กำบังล้อมเป็นกรอบรอบด้าน รวมทั้งด้านบน จากนั้นก็มีฟาร์ดาราสสองตัวบินมาใช้กรงเล็บเกี่ยวโซ่ ยกแพแต่ละตัวขึ้นไปบนอากาศ บินสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งยกแพขึ้นไปถึงยอดกำแพง แล้วทหารเอลิลทุกคนบนแพก็กระโดดลงมาบนเชิงเทินกำแพง เข้าต่อสู้ทันที

          วิธีนี้ทำให้พวกเอลิลลำเลียงพลขึ้นมาบนกำแพงได้ครั้งละมากมาย พวกฟอเรสเทอร์พยายามยิงสกัดแพอากาศแต่ละตัว แต่กลุ่มทหารเอลิลบนแพก็เรียงโล่กำบังไว้รอบด้าน จะยิงใส่พวกฟาร์ดาราสที่ยกแพก็ทำได้ยาก เพราะร่างของพวกมันแทบทุกส่วนหุ้มด้วยเกราะหนาๆ ปากของพวกมันก็ไม่อยู่เฉย คอยพ่นน้ำแข็งตอบโต้กลับมา ปีกของพวกมันคือส่วนที่ไม่มีเกราะปกคลุม แต่ก็เป็นส่วนที่ทนทานมาก บางตัวแม้มีธนูหลายดอกปักอยู่ที่ปีกก็ยังบินต่อไปได้ไม่มีปัญหา เปลืองลูกธนูโดยเปล่าประโยชน์ สู้เก็บลูกธนูเล็งไปที่คอและหัวจะดีกว่า ฟาร์ดาราสบางตัวถูกยิงจนตาย แพอากาศที่มันหิ้วอยู่จึงเอียงตะแคง ทำเอากลุ่มทหารเอลิลบนแพร่วงตกลงไปตายกันหมด แต่แพตัวอื่นๆ เกือบทั้งหมดก็สามารถส่งทหารขึ้นไปบนกำแพงและกลับไปรับทหารกลุ่มใหม่ได้เรื่อยๆ  ยิ่งนานไปก็ยิ่งยิงสกัดลำบากเพราะบนกำแพงมีทหารเอลิลขึ้นไปต่อสู้มากขึ้นเรื่อยๆ  พวกฟอเรสเทอร์มีหน่วยรบที่สันทัดการต่อสู้ระยะประชิดน้อย เมื่อข้าศึกเข้ามาประชิดตัวได้ครั้งละมากๆ เช่นนี้ ย่อมเป็นปัญหาใหญ่ จะให้พวกข้างล่างขึ้นมาช่วยเสริมก็ทำไม่ได้เพราะเชิงเทินกำแพงแคบนิดเดียว อีกทั้งพวกข้างล่างก็ร่วมต่อสู้ป้องกันช่องประตูกำแพงอยู่กับกอร์ริน กองกำลังของพวกเขาเหลือน้อย ในขณะที่กองกำลังของฝ่ายตรงข้ามยังเหลือมากพอที่จะบุกใส่พวกเขาได้ทุกรูปแบบ อย่างที่เดลิลวาสกล่าวไว้ พวกเขาป้องกันไม่ได้ทุกทางหรอก

          เซ็นแวนเดอร์ยิงธนูเสียบคอหอยทหารเอลิลคนหนึ่งในระยะเผาขน หลบดาบเล่มหนึ่งแล้วฟันสวนด้วยใบมีดปลายคันธนู จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปยืนทรงตัวบนกำแพงเชิงเทินเพื่อหามุมยิง ขึ้นสายธนูดอกหนึ่งเล็งยิงออกไป มันพุ่งผ่านช่องเกราะเข้าเสียบที่คอหอยใต้คางฟาร์ดาราสตัวหนึ่งร่วงลงไปตาย แพอากาศด้านที่มันหิ้วอยู่เอียงตะแคง ทหารเอลิลบนแพร่วงตกลงไปตายหมด จากนั้นเขาก็ตีลังกาหลบดาบกลับไปยืนบนเชิงเทิน เตะปลายคางทหารเอลิลคนหนึ่งหงายตกกำแพงไป การจะสกัดแพอากาศได้สักตัวนั้นยากแสนยาก พลธนูคนอื่นๆ ก็ไม่เก่งกาจเท่าเขา อย่าหวังเลยว่าจะสู้ได้แบบนี้กันทุกคน แพอากาศทำให้พวกเอลิลขึ้นมาบนกำแพงได้มากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งขึ้นมามากก็ยิ่งทำให้สกัดแพแต่ละตัวยาก หน่วยรบส่วนใหญ่ที่พวกฟอเรสเทอร์มีคือพลธนู พวกพลธนูจะทำอะไรได้นักเมื่อถูกประชิดตัวด้วยดาบโล่ นอกจากต้องถอยหลังไป มีหลายจุดบนกำแพงที่ถูกพวกเอลิลควบคุมแล้ว และกำลังขยายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

          ในที่สุด เซ็นแวนเดอร์ก็จำต้องถอนกำลังลงจากกำแพงชั้นที่สองเพราะต้านทานข้าศึกไม่ไหว ที่ช่องประตูกำแพงนั้น กอร์รินกับกองกำลังของเขาก็เริ่มจะต้านไม่ไหวเช่นกัน ข้าศึกบุกเข้ามาหนักมาก สุดท้าย พวกเอลิลก็เข้าควบคุมกำแพงชั้นที่สองได้โดยสมบูรณ์ พวกฟอเรสเทอร์ต้องถอยหลังไป แต่ก็พยายามยืนหยัดต่อสู้ภายในพื้นที่ให้ถึงที่สุด พวกเขาถอยห่างจากกำแพงมากกว่านี้ไม่ได้ ต้องกันไม่ให้ข้าศึกมีพื้นที่หลังจากผ่านกำแพงเข้ามาได้มากนัก มันจะทำให้พวกทหารม้าข้าศึกสามารถเข้ามาจัดขบวนและบุกใส่พวกเขาได้อีก ด้านหลังพวกเขาไม่มีอะไรอีกแล้ว นอกจากที่โล่งว่างและปราสาทต้นไม้ จำนวนของพวกเขาก็เหลืออยู่น้อยนิดเมื่อเทียบกับฝ่ายตรงข้าม พวกทหารราบเอลิลเดินหน้าบุกต่อเต็มที่ จะบีบให้พวกฟอเรสเทอร์ถอยหลังไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีพื้นเพียงพอแก่พวกทหารม้า

          ไมริฟเชือดคอทหารเอลิลสองคนด้วยกริชสองเล่ม หันไปแทงใส่อีกคนซึ่งยกโล่ใบใหญ่กำบังไว้ได้ เธอไต่เหยียบโล่ขึ้นไปแทงกริชทะลุหมวกเกราะทหารคนนั้นทันที จากนั้นก็ตีลังกาแอ่นตัวหลบน้ำแข็งก้อนหนึ่งจากฟาร์ดาราสอย่างสวยงาม ย่อตัวลงเตะกวาดขาทหารเอลิลที่บุกเข้าหาล้มหน้าทิ่ม และแทงกริชซ้ำให้ตาย ม้วนตัวไปข้างหลังลุกขึ้นยืน พร้อมกับฝังกริชที่กลางหัวใจทหารเอลิลอีกคน การเคลื่อนไหวของเธอช่างเหมือนน้ำ ทั้งตัวอ่อน ทั้งลื่นไหล ทั้งคล่องแคล่ว ขวานติดไฟของกอร์รินลอยหมุนมา เธอก็แอ่นตัวหลบทางให้มันร่อนข้ามไปสังหารทหารเอลิลห้าคน แล้วในจังหวะที่มันร่อนกลับมาทางเดิมก็กระโดดแยกขาให้มันลอดใต้ขาไป มือทั้งสองควงกริชแล้วหมุนตัวเข้าไปกลางกลุ่มทหารเอลิล ฟันแทงตายเรียบทั้งกลุ่มชนิดที่เร็วจนอีกฝ่ายตั้งตัวไม่ทัน อีกห้าวินาทีต่อมา ฟาร์ดาราสตัวหนึ่งก็โฉบต่ำลงมาหาเธอพร้อมกับกรงเล็บ เธอกระโดดเกาะคอยาวๆ ของมัน ใช้ขาสองข้างรัดเกี่ยวไว้ ส่วนมือสองข้างก็เชือดกริชสองเล่มที่คอหอยใต้คางของมัน และกระโดดออกไปก่อนที่ร่างของมันจะร่วงลงพื้น ตำแหน่งที่เธอลงไปนั้นอยู่กลางวงล้อมทหารเอลิลพอดี ซึ่งก่อนที่จะมีใครทันได้ทำอะไรต่อ ลูกธนูไฟเกือบยี่สิบดอกจากเซ็นแวนเดอร์ก็โปรยมาช่วย เธอหลบหลีกธนูไฟแต่ละดอกได้อย่างพลิ้วไหว ขณะที่ทหารเอลิลรอบๆ ตัวเธอต่างรับเข้าไปเต็มๆ

          เซ็นแวนเดอร์ลดธนูลงหลังจากใช้ความสามารถพิเศษออกไปช่วยไมริฟ ใช้เท้าเตะแขนทหารเอลิลคนหนึ่งที่แทงดาบใส่ แล้วแทงสวนด้วยมีดติดปลายคันธนู เอลิลสี่คนบุกเข้ามาหาเขา เขาเอื้อมมือจะไปหยิบลูกธนู แต่ก็พบว่ามันหมดแล้วทั้งสองกระบอก จึงปลดมันออกมาแกว่งสายสะพายฟาดใส่ราวกับลูกตุ้ม ทหารเอลิลคนหนึ่งถูกกระบอกธนูเปล่าฟาดใส่หมวกเกราะล้มลงไป กระบอกไม้ทั้งสองแตกเป็นชิ้นๆ อีกสามคนรุกไล่ฟันแทงใส่เขา เขาตีลังกากลับหลังหลายตลบ หลบคมดาบที่ตามมาเรื่อยๆ ระหว่างที่ตีลังกาอยู่ก็คว้ากระบอกใส่ลูกธนูจากศพพลธนูบนพื้น แล้วตวัดขึ้นมาสะพาย พร้อมกันนั้นก็กระชากลูกธนูออกมาสามดอก ยิงในครั้งเดียว มันพุ่งเข้าสังหารทหารเอลิลทั้งสามคนพร้อมกัน คนที่ถูกฟาดด้วยกระบอกธนูกำลังจะลุกขึ้นมาก็ถูกธนูอีกดอกเสียบเข้ากลางหัวใจ เซ็นแวนเดอร์ยื่นเท้าไปเกี่ยวสายกระบอกธนูบนพื้นอีกกระบอก ตวัดให้ลอยขึ้นมา ยื่นแขนไปคล้องสะพาย เขาใช้ลูกธนูมากเป็นพิเศษจึงสะพายทีละสองกระบอก เป็นกระบอกที่เท่าไหร่ในศึกครั้งนี้แล้วก็ไม่รู้

          เห็นกอร์รินหันหลังอยู่ไกลๆ กำลังงัดอาวุธกับทหารเอลิลสามคน พยายามยกขวานต้านคมดาบสามเล่มที่กดลงมา แม้เขาจะแข็งแรง แต่ฝ่ายตรงข้ามก็มีถึงสามคน เซ็นแวนเดอร์ไม่รอช้าตะแคงคันธนูเป็นแนวนอน ขึ้นสายลูกธนูสองดอกยิงออกไป ทั้งสองดอกพุ่งเฉี่ยวหัวเฉี่ยวไหล่หลายคนที่ต่อสู้ขวางอยู่ แล้วพุ่งขนาบศีรษะของกอร์รินข้ามไหล่ทั้งสองข้างไปเสียบเข้าหมวกเกราะทหารเอลิลสองคนที่งัดอาวุธอยู่ด้วย กอร์รินจึงเหลือคู่ต่อสู้เพียงคนเดียว เขาเกี่ยวขวานเป็นวงกลมเบนดาบของอีกฝ่ายออกไปข้างๆ และดีดส้นเท้าขวาเข้าปลายคาง ทำเอาทหารเอลิลคนนั้นล้มหงาย หมวกเกราะกระเด็นหลุดจากศีรษะ แล้วก็ถูกขวานฟันซ้ำในจังหวะต่อมา

          กอร์รินกระชากขวานออกจากร่างของทหารเอลิล ก้มหัวหลบดาบเล่มหนึ่ง แล้วเอาท้ายด้ามขวานกระทุ้งท้องผู้จู่โจมจนตัวงอ ฟันขวานใส่ท้ายทอยตัดหัวขาด คว้าข้อมือทหารเอลิลอีกคนที่ฟันดาบใส่และบิดในท่าปลดอาวุธ มืออีกข้างเอาด้ามขวานขัดคอคู่ต่อสู้แล้วบิดหักทันที จากนั้นก็หมุนตัวเตะใส่ทหารเอลิลถือง้าวเซหน้าหัน และหมุนตัวอีกรอบแกว่งขวานตัดหมวกเกราะและศีรษะของอีกฝ่ายขาดครึ่ง

          ดาบสีเงินแทงเข้าใส่กอร์รินด้วยความเร็วสูง เขาใช้ด้ามขวานปัดป้องออกไปแทบไม่ทัน ไม่ถึงวินาทีต่อมา ดาบอีกเล่มก็แทงตามมา เฉียดคอที่เอียงหลบของเขาไปนิดเดียวเท่านั้น แล้วดาบทั้งสองเล่มก็ฟันเข้าหากันไขว้กันเป็นกากบาท กอร์รินที่อยู่ตรงกลางต้องกระโดดถอยหลังหลบไม่ให้ร่างขาดสองท่อน แล้วก็ต้องกระโดดถอยหลบอีกครั้ง เมื่อดาบทั้งสองตรงเข้ามากระจายกวาดออกจากกัน เดลิลวาสควงดาบทั้งสองเล่มและฟาดฟันใส่กอร์รินอย่างว่องไว กอร์รินควงขวานปัดป้อง หลบหลีก และฟันขวานโต้กลับไปเป็นชุด เดลิลวาสปัดป้องหลบหลีกได้หมด เท้าขวายกเตะใส่ในมุมสูง กอร์รินก้มหัวหลบได้ แทงปลายขวานไปทางหน้าอกอีกฝ่าย เดลิลวาสใช้ดาบซ้ายปัดป้องออกไป ดาบขวาฟันสวนแสกหน้า กอร์รินเบี่ยงตัวหลบไปข้างๆ  แล้วก็ต้องถอยหลังหลบอีกเมื่อดาบเล่มนั้นฟันตามมาในแนวขนานกับพื้น สู้กับเซ็ทซาร์ดคนนี้เป็นสิ่งที่เหนื่อย เดลิลวาสไวทั้งร่างกายทั้งความคิด ปรับเปลี่ยนการโจมตีการป้องกันในจังหวะกะทันหันได้เสมอ

          เดลิลวาสแทงดาบขวาใส่กอร์ริน กอร์รินกระโดดหลบไปทางขวาของเดลิลวาส เงื้อขวานเหนือศีรษะฟันตอบโต้ เดลิลวาสยกดาบซ้ายมากันไว้อย่างรู้ทัน ดาบขวากวาดใส่ลำตัวกอร์รินทันที กอร์รินกระโดดถอยหลังหลบ แล้วก็ต้องรีบวิ่งถอยหลังหลบจนล้มลงไป เมื่อเดลิลวาสกระโดดหมุนตัวเข้ามาสองรอบพร้อมกับแกว่งสองดาบรอบตัวเป็นกงจักร แม้จะล้มลงไป แต่กอร์รินก็แก้ตัวด้วยการม้วนหลังกลับขึ้นมายืนทันที ขาของเดลิลวาสเตะเข้ามา กอร์รินก็ยกเข่ากันไว้ เกราะเหล็กกระแทกกันดังโครม เดลิลวาสเตะอีกจากทางซ้ายและฟันดาบใส่จากทางขวา กอร์รินต้องยกขวานกันดาบทางขวาและยกขากันลูกเตะทางซ้าย ดาบขวาที่ว่างอยู่ของเดลิลวาสขยับทำท่าจะแทงใส่ กอร์รินรีบเบี่ยงตัวหลบตามสัญชาตญาณ แต่กลายเป็นว่ามันคือการหลอกล่อให้เสียจังหวะ แทนที่เดลิลวาสจะแทงดาบ กลับย่อตัวต่ำและหมุนตัวกวาดขาเป็นวงกลม มันเกี่ยวขากอร์รินหงายหลังล้มลงไป จังหวะเดียวกันนั้น เดลิลวาสก็ลุกยืนและฟันดาบทั้งสองใส่กอร์รินที่นอนอยู่บนพื้น กอร์รินยกด้ามขวานรับสองคมดาบของคู่ต่อสู้ในท่านอน คมดาบของเดลิลวาสห่างหน้าเขาไปไม่ถึงสองนิ้ว

          ไมริฟถลาเข้ามาสาดกรดใส่เดลิลวาสเต็มกำลัง เดลิลวาสรีบตีลังกากลับหลังถอยจากกอร์รินหลายตลบเพื่อหลบหลีก ด้านหลังของเขาห่างออกไปราวสิบเมตร มีพลธนูฟอเรสเทอร์สองคนยิงธนูใส่เขาพร้อมกัน เขาหมุนตัวควงสองดาบปัดป้องออกไป แล้วกระโดดม้วนตัวหลายตลบตรงเข้าหาสองพลธนู เมื่อถึงตัวก็ยกแขนไขว้กันเป็นกากบาทแล้วกวาดสองดาบตัดหัวทั้งคู่ขาดกระเด็นพร้อมกัน ทหารโฮเซ่คนหนึ่งฟันขวานยาวใส่เขา เขาใช้ดาบซ้ายปัดป้องออกไป แล้วใช้ดาบขวาปาดคออีกฝ่ายฉับเดียวตาย นักรบดาร์คเนสดีวิลฉวยโอกาสแทงใส่เขาจากด้านหลัง เขาหันกลับไปด้วยความเร็วสูง ไขว้สองดาบเป็นกากบาทคว่ำ กดปลายดาบของคู่ต่อสู้ให้เฉียงลงพื้น จากนั้นก็ยกขาข้างหนึ่งเตะเข้าที่กกหูให้อีกฝ่ายมึนงง แล้วกวาดดาบทั้งสองเล่มเฉียงขึ้นมากระจายออกจากกันในลักษณะของกรรไกร มันตัดคอนักรบดาร์คเนสดีวิลคนนั้นขาดกระเด็น

          ฟ้าเริ่มสางแล้ว พวกฟอเรสเทอร์ถูกบุกถอยหลังไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีทางเลือก พวกเขาเหลือกันอยู่ไม่มาก หน่วยรบระยะประชิดที่เป็นกองกำลังโฮเซ่และดาร์คเนสดีวิลนั้นก็จวนเจียนจะไม่เหลือ บนพื้นมีแต่ศพ ศพ แล้วก็ศพ กองทหารม้าเอลิลใกล้จะมีพื้นที่แล้ว หากพวกฟอเรสเทอร์ถอยหลังไปอีกสักหน่อย พวกเขาก็จะสามารถเคลื่อนพลบุกเข้าเสริมได้ เมื่อถึงเวลานั้น จะเป็นหายนะของพวกฟอเรสเทอร์  

          พลธนูที่ยืนอยู่ข้างๆ เซ็นแวนเดอร์ถูกปืนยาวยิงตาย เซ็นแวนเดอร์ยิงสวนกลับไปสังหารพลปืนเอลิลผู้ยิงมา จากนั้นก็ขึ้นสายธนูสามดอก ยิงสังหารทหารเอลิลพร้อมกันสามคน แล้วยิงอีกดอกสอยฟาร์ดาราสตัวหนึ่งร่วงลงมาตาย มีอีกตัวบินผ่านมาให้เห็นอยู่ไกลๆ  เขาคว้าศรดอกใหม่มาขึ้นสายทันที เนื่องจากเป้าหมายบินอยู่ค่อนข้างห่างอีกทั้งต้องเล็งให้ถูกจุดสำคัญ เขาจึงต้องเพ่งสายตาเป็นพิเศษ ได้จังหวะยิงแล้ว นิ้วกำลังจะปล่อยลูกธนูออกไป

            แต่แล้ว แสงสว่างจ้าก็ส่องลงมากระทบดวงตาของเขาจนต้องรีบหลับตา มันทำให้ตาของเขาพร่ามัวแบบฉับพลัน ศรที่อยู่ในมือถูกยิงออกไปแบบไม่มีหวังเข้าเป้าเลย เซ็นแวนเดอร์ก้มหน้าหลบแสงกระพริบตาช้าๆ พยายามเช็ดน้ำตาที่ไหลพราก

          “อิลิมิน่าขึ้นแล้ว” เสียงจากนักรบฟอเรสเทอร์หลายคนร้องอย่างเสียขวัญ

            เมื่อเมฆที่คอยบดบังแสงให้กับเมืองนี้จางหายไปเมื่อคืน พวกเขาจึงได้รับแสงแดดเต็มๆ อย่างไม่มีอะไรบัง พลธนูฟอเรสเทอร์ที่เคยยิงได้อย่างแม่นยำ บัดนี้สายตาของพวกเขาไม่แหลมคมดังตอนกลางคืนแล้ว เดิมทีพวกเขาก็จวนเจียนจะต้านทัพข้าศึกไม่อยู่ เมื่อถูกซ้ำเติมเช่นนี้อีกก็คงหมดปัญญาจะยื้อยุดต่อไป พวกเอลิลรุกไล่เข้ามาจนสร้างพื้นที่ให้พวกทหารม้าได้สำเร็จ พวกนั้นเริ่มทยอยเคลื่อนพลผ่านกำแพงชั้นที่สอง แปรขบวนจัดแถวเตรียมรบ

            “กองทหารม้าข้าศึกกำลังจัดขบวน” กอร์รินตะโกนบอกเซ็นแวนเดอร์ สองมือยังจับขวานสู้ไม่หยุด เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ไม่มีปัญหากับแสงแดด

            “เราควรทำอย่างไรดีคะ” ไมริฟยกมือป้องตา ท้องฟ้าสว่างขึ้นเรื่อยๆ

            เซ็นแวนเดอร์หลับตา สองมือกำคันธนูแน่นอย่างปวดร้าวใจ

            “ท่านรองหัวหน้าเผ่าคะ โปรดออกคำสั่งด้วยค่ะ”

            เซ็นแวนเดอร์สูดหายใจลึกๆ ลืมตาขึ้น

            “ถอยเข้าปราสาทต้นไม้กันเถอะนะ” เขาพูดอย่างหมดหวัง “เรารักษาพื้นที่ตรงนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว พอแค่นี้เถอะ”

            “ปราสาทต้นไม้ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ใช้รับศึก มันไม่มีป้อมไม่มีเชิงเทิน” กอร์รินท้วง “เราใช้มันเป็นได้แค่ที่หลบภัยเท่านั้น หากจะต้องต่อสู้กับข้าศึก เราก็ต้องเปิดประตูออกมาสู้ หรือไม่ก็รอให้ข้าศึกพังประตูเข้าไป โดยขัดขวางอะไรไม่ได้”

            “หากอยู่ตรงนี้ต่อไป เราก็จะถูกข้าศึกบดขยี้ด้วยทหารม้า ท่ามกลางแสงแดดจ้า” เซ็นแวนเดอร์บอก “เรามีทางเลือกด้วยหรือ”

            เซ็นแวนเดอร์พูดถูก ไม่มีทางใดที่จะรักษาพื้นที่ตรงนี้ไว้ได้อีกแล้ว พวกเขาเหลือกันอยู่เพียงน้อยนิด และบาดเจ็บอ่อนล้าเต็มที สู้อยู่ตรงนี้ต่อไปก็เหมือนรอให้อีกฝ่ายเข้ามาบดขยี้ ดังนั้น พวกเขาที่เหลือ ไม่ว่าจะเป็นนักรบฟอเรสเทอร์ นักรบโฮเซ่ หรือนักรบดาร์คเนสดีวิล ต่างก็ถอยหนีเข้าไปในปราสาทต้นไม้ตามที่สั่ง

เมื่อเห็นพวกฟอเรสเทอร์ถอย เดลิลวาสก็ส่งสัญญาณให้กองทัพของตนหยุดรุกไล่ข้าศึก ปล่อยให้หนีเข้าไปในปราสาทต้นไม้

            “ปล่อยให้ข้าศึกเข้าไปหลบอยู่ในต้นไม้ยักษ์นั่น พวกนั้นทำอะไรเราจากในนั้นไม่ได้อยู่แล้ว” เขาสั่งการ “นำกองทัพเข้ามาในพื้นที่ จัดขบวนให้เป็นรูปร่าง หากข้าศึกถอยไปหลบตั้งหลัก เราก็จะตั้งหลักเหมือนกัน ความพร้อมและเรี่ยวแรงเป็นสิ่งสำคัญในการรบ พักกองทัพให้หายเหนื่อย พยาบาลคนเจ็บ เตรียมความพร้อมให้เต็มที่ เมื่อถึงเวลาสู้ศึกอีกครั้งจะได้พร้อมสมบูรณ์”

            ภายในปราสาทต้นไม้ พวกฟอเรสเทอร์ออกันอยู่ในห้องโถง คนเจ็บก็นอนเรียงกันเกลื่อนไปหมด อาร์ทูมิสและพวกหน่วยแพทย์วิ่งไปวิ่งมาไม่หยุด แทบไม่มีเวลาหายใจ ในตอนนี้ทุกคนล้วนอ่อนแรงและสิ้นหวัง ความพ่ายแพ้อยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว กอร์รินดื่มน้ำในกระบอกไม้ไผ่จนหมด พับเก็บหนามเหล็กตามชุดเกราะเพื่อไม่ให้ไปแทงถูกคนอื่น ต้องปฐมพยาบาลตัวเองเพราะพวกหน่วยแพทย์งานล้นมือ ไมริฟไม่ยอมให้อาร์ทูมิสรักษา เธอยืนกรานว่ามีคนอื่นต้องการหมอมากกว่าเธอ เซ็นแวนเดอร์นั่งพิงผนังซึมๆ มองดูพวกพ้องของตน มีทั้งพวกที่นิ่งเงียบด้วยความสิ้นหวัง ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด หรือไม่ก็นิ่งเงียบเพราะเสียชีวิต ช่างน่าหดหู่ยิ่งนัก หน้าที่ของเขาคือนำพาคนเหล่านี้ และตอนนี้คนเหล่านี้ก็กำลังจะถึงจุดจบ มันทำให้เขารู้สึกผิด

            “ท่านทำได้ดีแล้ว โปรดอย่าเสียใจไปเลย” กอร์รินเข้ามาจับไหล่ปลอบ

            “กาโกคอลกำลังจะสูญสิ้น ในช่วงเวลาที่ข้าเป็นผู้ดูแล” เซ็นแวนเดอร์กระซิบ

            “ใครจะดูแลมันก็ต้องสูญสิ้นทั้งนั้น มันสุดวิสัย” กอร์รินพูดเสียงหนัก “ท่านไม่ได้ไร้ความสามารถเซ็นแวนเดอร์ ตรงกันข้าม ท่านนำพาพวกเรามาได้จนถึงตอนนี้ ถือว่าท่านเก่งมากๆ ข้าขอนับถือจากใจ”

            “ข้าศึกดูจะไม่รีบร้อนเท่าไหร่นะ” เซ็นแวนเดอร์ชำเลืองมองไปยังประตูปราสาทที่ปิดสนิท

            “พวกนั้นคงถือโอกาสพักเหนื่อย พยาบาลคนเจ็บ จัดขบวนทัพ แล้วก็รอให้ฟ้าสว่างกว่านี้” กอร์รินบอก “พวกนั้นรู้ว่าถึงอย่างไรเราก็ไม่มีพื้นที่ได้เปรียบในการใช้รับศึกอีกแล้ว ไม่มีในปราสาทต้นไม้แห่งนี้ เราจะยกพลออกไปสู้หรือให้พวกนั้นพังเข้ามาก็มีค่าเท่ากัน”

            “ถ้าพวกนั้นพังเข้ามา สถานการณ์จะเลวร้ายกว่า” เซ็นแวนเดอร์พูด “พื้นที่ไม่เอื้ออำนวย คนเจ็บก็มาก เราไม่อาจหาข้อได้เปรียบใดๆ ได้จากปราสาทต้นไม้แห่งนี้”

            “เช่นนั้น เราก็คงต้องออกไปสู้แบบซึ่งๆ หน้าเมื่อถึงเวลา” กอร์รินพูดอย่างเด็ดเดี่ยว

            “ท่านรองหัวหน้าเผ่าคะ” นักรบฟอเรสเทอร์สาวคนหนึ่งกระหืดกระหอบวิ่งมารายงาน “ข้าสังเกตการณ์จากหน้าต่างชั้นบน เห็นเซ็ทซาร์ดผู้บัญชาการกองทัพเอลิลแสดงสัญลักษณ์กระดาษค่ะ”

            ฟอเรสเทอร์ทุกคนแม้กระทั่งคนเจ็บต่างเงียบกริบ หันมาใส่ใจ ฝ่ายตรงข้ามต้องการเจรจา เซ็นแวนเดอร์สูดหายใจลึกๆ ลุกขึ้นยืน เขาพอเดาได้ว่ามันจะเป็นแบบนี้

            “ข้าจะออกไปคุยกับเขา” เซ็นแวนเดอร์สั่ง “เปิดประตู”

            ประตูปราสาทต้นไม้ถูกเปิดออก เซ็นแวนเดอร์ก้าวออกไปสู่แสงแดดที่ส่องสว่าง ชูสัญลักษณ์กระดาษตอบรับการเจรจา ต้องหรี่ตาสู้แสง มันสว่างขึ้นเรื่อยๆ ตามช่วงเวลา เบื้องหน้าเขาคือกองทัพเอลิล จัดขบวนเสร็จเรียบร้อย แต่ละคนยืนนิ่งเป็นรูปปั้นเพื่อพักเหนื่อย แม้แต่พวกฟาร์ดาราสก็ลงมาเกาะนิ่งที่พื้นกันหมด จากกองทัพนับแสนนั้นถูกลดจำนวนไปไม่น้อย แต่ก็ยังมากมายอยู่ดี ที่ยืนอยู่เบื้องหน้ากองทัพคือเดลิลวาส ชุดเกราะสีเงินส่องประกายเจิดจ้าเมื่อสะท้อนกับแสงแดด

            เมื่อเซ็นแวนเดอร์เดินเข้าไปหา เดลิลวาสก็พยักหน้าให้

            “ท่านและคนของท่านสู้ได้อย่างกล้าหาญสมศักดิ์ศรี ท่านรองหัวหน้าเผ่าไวท์วิสเพอร์ ข้าเองก็คาดไม่ถึงว่าพวกฟอเรสเทอร์จะสู้ได้ขนาดนี้ สร้างความเสียหายให้แก่กองทัพของข้าไม่น้อยทีเดียว” เซ็ทซาร์ดเอ่ยชม “นี่เป็นศึกแห่งประวัติศาสตร์ ข้าภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน”

            “ท่านคงต้องการเสนอให้เรายอมแพ้ใช่ไหม” เซ็นแวนเดอร์เข้าเรื่องทันที

            “ถูกต้อง” เดลิลวาสพยักหน้า “หากมองตามความเป็นจริง พวกท่านแพ้แน่นอนอยู่แล้ว โปรดวางอาวุธและยอมจำนนเสีย เราทั้งสองฝ่ายจะได้ไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อกันมากกว่านี้ ข้าขอสัญญาด้วยเกียรตินักรบ พวกท่านจะได้เดินจากที่นี่ไปอย่างสงบ ไม่มีใครได้รับอันตรายใดๆ หากปฏิเสธ สิ่งที่พวกท่านจะได้รับนั้น มันจะตรงข้ามกัน”

            “หากเรายอมแพ้ ทิ้งดินแดนให้พวกท่าน แล้วเราอยู่ไปเพื่ออะไร” เซ็นแวนเดอร์พูดอย่างเจ็บปวด “กาโกคอลคือพื้นที่ของเรา วงจรชีวิตของเราเกี่ยวข้องลึกซึ้งกับดินแดนแห่งนี้ เราอยู่ได้เพราะธรรมชาติและป่าเขา ทุกคนเกิดที่นี่ ใช้ชีวิตที่นี่ ตายที่นี่ เราไม่อาจดำรงเผ่าพันธุ์ไว้ได้หากไม่มีกาโกคอล”

            “ซึ่งก่อนที่จะมาเป็นกาโกคอล ดินแดนแห่งนี้เคยเป็นดินแดนของพวกเอลิลมาก่อน และก่อนหน้าที่จะเป็นของพวกเอลิล มันก็เคยเป็นดินแดนของมังกรเรามาก่อน” เดลิลวาสเตือนความจำ “แล้วดูสิว่าตอนนี้มังกรเราเหลืออะไรบ้าง นอกจากเฝ้ารอเวลาสูญพันธุ์เพราะขาดพื้นที่และสภาพแวดล้อมอันเหมาะสม ข้ายอมให้มันเป็นอย่างนั้นไม่ได้ พวกไซคัสไม่ควรสร้างพวกท่านและเผ่าพันธุ์อื่นๆ ขึ้นมาเบียดบังวงจรชีวิตของพวกเราตั้งแต่แรก”

“ก็คงจะจริงของท่าน บางที พวกไซคัสก็ไม่ควรสร้างเผ่าพันธุ์เราขึ้นมาเลย” เซ็นแวนเดอร์ยอมรับ “แต่ไม่ว่าจะควรหรือไม่ควร เผ่าพันธุ์เราก็ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว เรามีชีวิต มีความคิด มีความรัก มีความทรงจำ มีความรู้สึก มันทำให้เราต้องต่อสู้ เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ให้อยู่ต่อไป เพราะทุกชีวิต ล้วนมีสิทธิ์ที่จะเห็นคุณค่าของชีวิตตน”  

            “นั่นคือคำตอบของท่านหรือ” เดลิลวาสถามสรุป “จะสู้ต่อไป ไม่ยอมจำนนใช่ไหม”

            เซ็นแวนเดอร์สูดหายใจลึกๆ ครุ่นคิดอย่างระมัดระวัง แล้วตอบกลับไป

            “เรื่องนี้ ข้าไม่ควรถือวิสาสะตัดสินใจ ข้าเป็นแค่รองหัวหน้าเผ่า” เขาพูด “ข้าขอเวลาปรึกษาหัวหน้าเผ่าของข้า ท่านจะได้คำตอบภายในสี่สิบห้านาที”

            “หัวหน้าเผ่าของท่านไม่ได้มีส่วนร่วมในศึกครั้งนี้ เธอกำลังอ่อนแอเพราะพิษบาดแผล เชื่อว่าเธอคงมอบอำนาจการตัดสินใจแก่ท่านอยู่ดี” เดลิลวาสประเมิน “แต่ข้าก็เห็นด้วยว่าควรจะแจ้งเรื่องนี้ให้เธอทราบ ฉะนั้น ท่านจะได้สี่สิบห้านาทีของท่าน ท่านรองหัวหน้าเผ่า”

            “ไม่ว่าคำตอบจะเป็นเช่นไร ฝ่ายของข้ามีคนบาดเจ็บ รวมทั้งหัวหน้าเผ่าของข้าด้วย” เซ็นแวนเดอร์ขอร้อง “โปรดเมตตาพวกเขา”

            “เรานักรบมีเกียรติมีศักดิ์ศรี เราจะไม่ทำร้ายผู้บาดเจ็บนอกสนามรบอย่างแน่นอน” เดลิลวาสให้คำมั่น “แต่ท่านก็โปรดเข้าใจด้วยว่า เราก็ไม่อาจช่วยเหลือรักษาพวกเขาได้เช่นกัน หากพวกเขาจะตายด้วยพิษบาดแผล เราก็คงต้องปล่อยให้เป็นไปเช่นนั้น”

            “เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว” เซ็นแวนเดอร์พยักหน้าขอบคุณ แล้วหันหลังเดินจากไป

            “อีกเรื่องหนึ่ง ท่านรองหัวหน้าเผ่า” เดลิลวาสเรียก

            เซ็นแวนเดอร์หยุด หันไปมอง

            “ข้าให้โอกาสนี้เพียงครั้งเดียว ระหว่างเราจะไม่มีการเจรจากันอีกแล้ว หากพวกท่านตัดสินใจยอมจำนน ก็จงออกมาพร้อมกับธงขาว และนำอาวุธมาวาง” เดลิลวาสบอก “แต่หากพวกท่านตัดสินใจตรงข้าม ก็จงออกมาพร้อมกับธงรบประจำเผ่าพันธุ์ และนำอาวุธมาต่อสู้กันให้จบสิ้นไป”

 

******************

 

            “ข้าควรทำอย่างไรดีครับ ท่านหัวหน้าเผ่า”

            เซ็นแวนเดอร์ยืนก้มหน้าอยู่หน้าเตียงของแอเมน่า ดูสับสนและสิ้นหวัง ชุดเกราะหนังเต็มไปด้วยรอยฉีดขาด เนื้อตัวมีร่องรอยบาดแผลจากการต่อสู้

            “ข้าได้แต่นอนอยู่ตรงนี้อย่างไร้ประโยชน์ ไม่ได้มีส่วนร่วมในศึกครั้งนี้ ระหว่างที่พวกพ้องแต่ละคนล้มตายไปเรื่อยๆ” แอเมน่านอนซึมอยู่บนเตียง ท่าทางอ่อนแรงเต็มที “เจ้าคือผู้นำในศึกครั้งนี้เซ็นแวนเดอร์ อำนาจการตัดสินใจควรอยู่ที่เจ้า”

            “ข้าทำไม่ได้” เซ็นแวนเดอร์พูดเสียงเบา “ข้าไม่ใช่ผู้นำ ข้าไม่สามารถทำสิ่งที่ท่านทำได้”

            “เจ้าคือผู้นำ เซ็นแวนเดอร์ ไวท์วิสเพอร์” แอเมน่ายืนยัน “เจ้าเป็นคนมีความสามารถสูงส่ง สิ่งเดียวที่เจ้ามีน้อย คือความเชื่อมั่นในตนเอง”

            “ท่านพูดถูกในเรื่องที่ข้าไม่ค่อยจะเชื่อมั่นในตัวเองนัก” เซ็นแวนเดอร์ยอมรับ “ข้าเป็นอย่างนี้มาเสมอ ทุกคนบอกว่าข้าเหมือนพ่อราวกับถอดแบบกันมา นั่นก็เพราะข้ายึดเขาเป็นแบบแทบทุกอย่าง โดยไม่เป็นตัวของตัวเอง ทุกคนบอกว่าข้าว่านอนสอนง่าย นั่นก็เพราะข้ามักจะเชื่อมั่นในคนอื่นมากกว่าเชื่อมั่นในตัวเอง ข้าไม่สามารถนำพาคนอื่นได้หากไม่มีใครมานำพาข้าอีกที อย่างที่ข้าบอกไป ท่านหัวหน้าเผ่า ข้าไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำ”

          “แต่ในศึกครั้งนี้ ไม่มีใครนำพาเจ้า กลับเป็นเจ้าที่นำพาทุกคน ซึ่งการที่เจ้านำกองทัพของเราสู้ศึกมาได้ถึงขนาดนี้ มันพิสูจน์แล้วว่าเจ้าคือผู้นำที่เก่งกาจ และทำสิ่งที่ข้าเองก็คงทำไม่ได้” แอเมน่าพูด “เราอาจหมดหวังกับทุกสิ่งได้ แต่จงอย่าหมดหวังกับตัวเอง”

          “อย่าหมดหวัง” เซ็นแวนเดอร์กระซิบ “นั่นคือสิ่งที่ไลคอลี่เพียรบอกแก่ทุกคนเสมอ”

          “ซึ่งเขาก็พูดถูก” แอเมน่าต่อประโยค

          “และเขาก็ตายไปแล้ว” เซ็นแวนเดอร์เสริม

          “ตาย โดยที่ใจยังมีความหวัง” แอเมน่ากล่าว “เป็นความตายที่ไม่แย่นักหรอก”

          “ข้ามักจะมองการหวังลมๆ แล้งๆ เป็นเรื่องไร้สาระ” เซ็นแวนเดอร์ยิ้มเศร้าๆ ถอนหายใจ “แต่ครั้งนี้ ข้าอยากให้ตัวเองมีหัวใจที่ไม่สิ้นหวังอย่างไลคอลี่หรือท่านบ้าง แม้จะเป็นแค่หวังลมๆ แล้งๆ มันก็มีความหมาย ไลคอลี่พูดถูก การอยู่อย่างไร้ความหวังมันเจ็บปวด ความหวัง ไม่ว่าจะลมๆ แล้งๆ หรือไม่ มันก็คือสิ่งที่ทำให้เรามีพลังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป”

          “แล้วเจ้าล่ะ” แอเมน่าถาม “ยังมีหวังอยู่หรือเปล่า”

          “ข้าไม่รู้” เซ็นแวนเดอร์ส่ายหน้าอย่างสับสน “ท่านคิดว่าข้าควรมองหาความหวังจากตรงไหน”

          “ข้าไม่รู้” แอเมน่าตอบกลับ “แต่ความหวังของข้า ข้ากำลังพยายามมองหาอยู่ตรงหน้า”

          สายตาของเธอจับจ้องอยู่ที่เขา

          “ไม่ว่าเจ้าจะตัดสินใจอย่างไร ขอให้รู้ว่าข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้าเสมอ” เธอยิ้มอย่างอ่อนโยน “และข้าก็หวังว่าเจ้าจะเชื่อมั่นในตัวเอง เหมือนที่ข้าเชื่อในตัวเจ้า”

          เซ็นแวนเดอร์โค้งศีรษะแล้วก้าวถอยออกจากห้อง แต่ก่อนที่จะไป แอเมน่าได้ขอร้องเขา

          “เซ็นแวนเดอร์ ก่อนที่เจ้าจะไป ได้โปรด ช่วยพยุงข้าไปที่ระเบียงที”

          “อภัยให้ด้วยครับท่านหัวหน้าเผ่า แต่ท่านหมอผีมีสิทธิ์ขาดในเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยของคนเจ็บ เธอกำชับไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายท่าน”

          แล้วเซ็นแวนเดอร์ก็เดินจากไป ลงบันไดไปเรื่อยๆ เปลี่ยนบันไดชั้นแล้วชั้นเล่า จนกระทั่งกลับลงไปที่ห้องโถง ที่นั่นทุกคนรอเขาอยู่ รอว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่เขา

          “ท่านหัวหน้าเผ่าเป็นอย่างไรบ้าง” กอร์รินถาม

          “เป็นอย่างที่ท่านหมอผีบอกไว้ ในตอนนี้จิตใจของเธอมีผลกับร่างกายอย่างมาก จะอยู่หรือตาย ขึ้นอยู่กับจิตใจของเธอเท่านั้น” เซ็นแวนเดอร์ตอบ “ซึ่งตอนนี้ สถานการณ์ค่อนข้างบีบคั้น ดูเธอไม่ค่อยมีกำลังใจที่จะอยู่ต่อแล้ว”

          ไมริฟปาดน้ำตา

          “แล้วเราจะเอายังไงต่อ” กอร์รินถามต่อ “จะยอมแพ้หรือสู้ต่อ”

          “นั่นสินะ ควรจะทำอย่างไรต่อไป” เซ็นแวนเดอร์ถอนหายใจ

          “เซ็นแวนเดอร์ ฟังนะ สถานการณ์ตอนนี้มันชัดเจนที่สุดแล้ว” กอร์รินพูดอย่างจริงจัง “สู้ต่อไปก็มีแต่พ่ายแพ้และตายกันหมด”

          “เจ้าจะแนะนำอะไร”

          “ศัตรูของเรา แม้จะเด็ดขาดโหดเหี้ยม แต่พวกนั้นก็รักษาคำพูดเสมอ วางอาวุธยอมแพ้ แล้วหลีกทางให้พวกนั้น ท่านกับคนของท่านที่เหลือจะปลอดภัย” กอร์รินเสนอ “ถอยห่างจากตรงนี้เสีย อย่างน้อย พวกท่านก็ยังรักษาชีวิตไว้ได้”

          “รักษาชีวิตที่สิ้นหวังไว้ได้ มันจะมีค่าอะไร” เซ็นแวนเดอร์พูดอย่างเจ็บปวด “กาโกคอลเป็นอะไรที่ลึกซึ้งกว่าการเป็นแค่พื้นที่ดินแดน มันเป็นชีวิตของเรา และเป็นมาตลอด เรากินพืชพันธุ์และสัตว์ป่ากาโกคอล เราดื่มจากแม่น้ำลำธารกาโกคอล เราอยู่บนต้นไม้กาโกคอล เราหายใจด้วยอากาศกาโกคอล และยามที่เราตาย ดินกาโกคอลก็กลบร่างเรา เปลี่ยนสภาพเราให้เป็นอาหาร น้ำ ที่อยู่ อากาศ ให้แก่ลูกหลานของเราต่อไป เราเป็นชาวป่า พื้นที่ของเราอยู่ในป่า หากไม่มีกาโกคอลแล้ว ฟอเรสเทอร์จะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร”

          เขามองไปยังฟอเรสเทอร์ทุกคนรอบตัว ทุกคนพยักหน้าตอบกลับมา

          “สู้ต่อไป พวกท่านก็เสียกาโกคอลอยู่ดี และจะตายกันหมดด้วย” กอร์รินพูด “เรารู้อยู่แล้วว่าศึกนี้มันเกินกำลังของเรา ท่านทำทุกสิ่งเท่าที่จะทำได้แล้วเซ็นแวนเดอร์ โปรดอย่าเสียใจเลย”  

          “มันก็จริงของเจ้า” เซ็นแวนเดอร์ถอนหายใจ “สู้ต่อไป หรือยอมแพ้ ยังไงเราก็แพ้อยู่ดี”

          เขามองไปรอบๆ  ทุกสายตามองมาที่เขาเป็นหนึ่งเดียว มันทำให้เขารู้สึกเศร้าใจ พวกเขาไม่เหลืออะไรอีกแล้ว นอกจากความสิ้นหวัง

          “ทุกคนรู้สึกไหมคะ” ไมริฟเอ่ยขึ้น “ว่าอากาศมันอุ่นขึ้นแล้ว”

          จริงด้วย ความวุ่นวายและความกังวลทำให้พวกเขาไม่ทันสังเกต ในตอนนี้อุณหภูมิอากาศกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง นั่นหมายความว่าดาวดวงนี้กลับสู่สภาวะสมดุลแล้ว ดาบแดนน้ำแข็งเล่มที่สองถูกปลดปล่อยสำเร็จแล้ว

          “โซลิแทร์ทำสำเร็จ” เซ็นแวนเดอร์กระซิบด้วยรอยยิ้ม “สิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ เขาก็ทำมันจนสำเร็จ อย่างน้อย เรื่องดีก็ยังมีมาให้เรารับรู้บ้าง”

          “นั่นเพราะเขาไม่เคยสิ้นหวัง เขาสู้กับสิ่งที่ไม่มีวันเอาชนะได้ ด้วยหัวใจที่ไม่มีวันยอมแพ้” ไมริฟยิ้ม “ยืนหยัดสู้จนถึงที่สุด แม้ไม่รู้ว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ นั่นคือสิ่งที่เขาและพวกดาร์คเนสดีวิลทำมาตลอด”

          เซ็นแวนเดอร์สุดหายใจลึกๆ มองคันธนูในมือ แล้วกำมันแน่นอย่างเข้มแข็ง ที่เขาเคยถามแอเมน่าว่าควรจะมองหาความหวังจากตรงไหน ตอนนี้เขารู้แล้ว โซลิแทร์และพวกดาร์คเนสดีวิลส่องประกายความหวังเล็กๆ ให้แก่เขา เสมือนเป็นแสงจากสายฟ้าท่ามกลางพายุอันมืดมัวให้เขาได้มองเห็น แม้จะเพียงชั่วเสี้ยววินาที มันก็มีความหมาย เพราะการอยู่อย่างมีความหวังเพียงเสี้ยววินาที มันมีความหมายกว่าการอยู่อย่างสิ้นหวังสักร้อยปีพันปี

          “กอร์รินน้องชาย ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่เจ้าทำเพื่อเรา เราคงสู้มาไม่ได้ขนาดนี้หากไม่มีเจ้า ข้าขอขอบคุณจากใจ” เขาจับบ่ากอร์ริน “กลับแบร์ร็อคเถอะนะ มันคือบ้านของเจ้า ส่วนข้า จะขออยู่ปกป้องบ้านของข้าที่นี่”  

          “ท่านจะสู้หรือ” กอร์รินพูดอย่างไม่อยากเชื่อ “เซ็นแวนเดอร์ ท่านจะตายอยู่ที่นี่”

          “หากจะมีสักที่ให้ข้าตาย คงไม่มีที่ไหนดีกว่าที่นี่อีกแล้ว” เซ็นแวนเดอร์ยิ้มอย่างอ่อนโยน

          “โดยที่ท่านจะตายเปล่าอย่างนั้นหรือ”

          “หากเราตายขณะยืนหยัดต่อสู้เพื่อสิ่งที่เราหวัง ตายโดยที่ใจยังไม่สิ้นหวัง เราจะไม่มีวันตายเปล่า บางที มันอาจเป็นการตายที่ดีที่สุดเสียด้วยซ้ำ” เซ็นแวนเดอร์กล่าวอย่างเข้มแข็ง “พวกดาร์คเนสดีวิล แม้จะรู้ว่าแพ้ แต่พวกเขาก็ยังไม่ยอมแพ้ ยืนหยัดสู้ต่อไป ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะชัยชนะแท้จริงมันอยู่ที่ใจ ไม่ใช่ความสำเร็จ มันไม่ใช่การเอาชนะใคร หรือประสบความสำเร็จมากเพียงใด แต่มันคือการยืนหยัดต่อสู้จนถึงที่สุด ด้วยหัวใจที่ไม่มีวันยอมแพ้ ชนะใจตัวเอง ทำให้ตัวเองภาคภูมิใจ”

           ทุกคนมองเซ็นแวนเดอร์ด้วยความรู้สึกจับใจ เซ็นแวนเดอร์ส่งยิ้มให้ทุกคนอย่างจริงใจ ณ เวลานี้ เขาดูเข้มแข็ง เชื่อมั่นในตนเอง และเปี่ยมไปด้วยความหวัง

          “ในเมื่อพวกดาร์คเนสดีวิลทำเช่นนั้น ข้าก็จะทำเช่นกัน” เซ็นแวนเดอร์ประกาศ “ทุกคนตรงนี้มีสิทธิ์เลือกได้ว่าจะสู้หรือจะถอย ขอให้แต่ละคนเลือกทางเดินของตนเอง สำหรับข้านั้น ข้าขอเลือกที่จะสู้ยืนหยัดจนถึงที่สุด แม้จะตายข้าก็ไม่เสียใจ เพราะข้าได้พยายามต่อสู้เพื่อสิ่งที่ตนหวังอย่างเต็มที่แล้ว”

          ทุกคนยิ้มให้เขาอย่างเข้มแข็ง คว้าอาวุธแล้วลุกยืนขึ้น ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะถอยหนี แม้แต่คนเจ็บบางคนก็ยังกัดฟันคว้าอาวุธลุกขึ้น พวกเขาเลือกที่จะยืนหยัดสู้ เหมือนผู้นำคนนี้ของพวกเขา

          “เราอยู่เคียงข้างท่าน” ไมริฟยิ้มอย่างหนักแน่น มือซ้ายปาดน้ำตา

          “หลังจากนี้ ข้าไม่รู้ว่าตนจะถูกข้าศึกสังหารเป็นคนที่เท่าไหร่” เซ็นแวนเดอร์พูดเสียงเบา แต่เด็ดเดี่ยว “แต่ข้าจะขอเป็นคนแรก ที่ก้าวเข้าไปหาข้าศึกเอง”

          กอร์รินจับไหล่เซ็นแวนเดอร์ ส่งยิ้มให้อย่างจริงใจ

          “เช่นนั้น ข้าขอเป็นคนที่สอง” เขากล่าว “ตลอดชีวิตของข้า ข้ามักจะรู้สึกว่าตนไร้ความสามารถ ข้าไม่มีโอกาสได้แสดงศักยภาพที่แท้จริงเสียที จนกระทั่งข้าได้ร่วมต่อสู้กับพวกท่านที่นี่ ข้าได้มีโอกาสพิสูจน์ตนเอง เพราะพวกท่านเชื่อมั่นในตัวข้า ทำให้ข้ายังไม่สิ้นหวังในตัวเอง นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ามั่นใจว่าตัวเองเก่ง รู้สึกว่าตนเป็นคนสำคัญอย่างแท้จริง พวกท่านไม่รู้หรอกว่ามันมีความหมายกับข้ามากแค่ไหน”

          “พ่อหนุ่ม ท่านไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้” เซ็นแวนเดอร์พูด “ท่านทำเพื่อเรามากมาย เกินกว่าเราจะร้องขอได้อีกแล้ว อาณาจักรแบร์ร็อคของท่านยังรอท่านอยู่ จงมีชีวิตรอดกลับไป”

          “หากข้ารอดชีวิตกลับไป แล้วอย่างไรต่อ เมื่อกาโกคอลแตก แบร์ร็อคก็คงจะอยู่ได้อีกไม่นาน จะช้าจะเร็วข้าก็ต้องตายอยู่ดี ซึ่งชีวิตที่เหลืออยู่สั้นๆ หากมีแต่ความสิ้นหวัง มันจะมีความหมายอะไร” กอร์รินแตะขวานที่ตำแหน่งหัวใจ “ฉะนั้น หากข้าจะต้องตาย ก็ขอให้ตาย โดยที่วินาทีสุดท้ายในชีวิตของข้ายังแบ่งปันความหวังร่วมกับพวกท่านสู้ด้วยกัน หวังด้วยกัน ตายด้วยกัน มันคงเป็นการจบที่สวยงามที่สุดแล้ว”

          ฟอเรสเทอร์หลายคนน้ำตาไหล

          “โฮซอร์เทอร์ริน เฮนิเคมช่างโชคดีนัก ที่มีน้องชายอย่างท่าน” เซ็นแวนเดอร์ดึงกอร์รินเข้าไปกอด

          “หากท่านไม่รังเกียจ จะเรียกข้าว่าน้องชายก็ได้” กอร์รินตบหลังเซ็นแวนเดอร์เบาๆ

          “ตกลง นับตั้งแต่วันนี้ เราสองคนคือพี่น้องร่วมสาบานกัน” เซ็นแวนเดอร์กล่าว

          เมื่อเซ็นแวนเดอร์ปล่อยกอร์ริน อาร์ทูมิสก็เข้ามากอดต่อ เธอปล่อยแขนออกจากเขาแล้วจับหน้าของเขาด้วยสองมือ

          “จงคิดเสมอ ว่าเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวข้า” เธอยิ้มทั้งน้ำตา

          ฟอเรสเทอร์คนอื่นๆ ตบหลังตบไหล่กอร์รินอย่างรักใคร่ ไมริฟกอดเขา แม้จะต่างเผ่าพันธุ์แต่มิตรภาพนั้นไม่แบ่งแยกสิ่งใด

          “เอาล่ะ ข้าศึกรอเราอยู่” เซ็นแวนเดอร์ยิ้มอย่างเข้มแข็ง “เคียงข้างกัน สู้ศึกด้วยกันเป็นครั้งสุดท้ายเถอะนะ สู้ด้วยกัน หวังด้วยกัน ตายด้วยกัน”

          “ข้าและหน่วยแพทย์จะคอยรักษาพยาบาลเจ้าและคนอื่นๆ จนวินาทีสุดท้าย” อาร์ทูมิสกอดลูกชาย “แม่ภูมิใจในตัวลูก”

          “ข้าพร้อมแล้ว” ไมริฟขยับรัดเกล้าขนนกให้เข้าที่

          “ลุยกันเลย” กอร์รินพับหนามเหล็กตามชุดเกราะให้ตั้งขึ้น

          “สู้ด้วยกัน หวังด้วยกัน ตายด้วยกัน” นักรบคนอื่นๆ พูดพร้อมกัน

          เบื้องหน้าปราสาทต้นไม้ เดลิลวาสรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของคนจำนวนมากในปราสาท เขาจ้องมองไปข้างหน้าอย่างเฝ้ารอ นี่ครบสี่สิบห้านาทีแล้ว ถึงเวลาแล้วที่เขาจะได้คำตอบ

          ประตูใหญ่ถูกถอดสลักเปิดออก เซ็นแวนเดอร์ก้าวเดินออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว สองมือถือธงรูปต้นไม้สีเขียว สัญลักษณ์ประจำเผ่าพันธุ์ฟอเรสเทอร์ ที่ตามหลังมาคือกอร์ริน แล้วก็ไมริฟ และกองกำลังฟอเรสเทอร์กลุ่มสุดท้ายที่มีนักรบโฮเซ่และดาร์คเนสดีวิลจำนวนน้อยนิดปะปนอยู่ด้วย ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน ก้าวเดินออกมาด้วยกัน แม้จะต้องหรี่ตาสู้แสงจ้า แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะถอยแม้แต่คนเดียวแสงแดดอาจบั่นทอนกำลังตาของพวกเขา แต่ไม่อาจบั่นทอนกำลังใจได้

          แล้วธงประจำเผ่าพันธุ์ฟอเรสเทอร์จำนวนมากมายก็ถูกยกขึ้นท่ามกลางเหล่านักรบ มันตั้งขึ้นเป็นแนวและโบกสะบัดไปทางเดียวกัน แลดูเป็นเกลียวคลื่นสีเขียวสด พวกฟอเรสเทอร์ขยับขยายจัดขบวนพร้อมสู้ ปักธงลงที่พื้น เตรียมอาวุธ เซ็นแวนเดอร์ยืนอยู่เบื้องหน้ากองกำลังของตน ปักธงประจำเผ่าพันธุ์ที่พื้นข้างตัว ยืนเคียงข้างมันอย่างขอสู้ตาย

          “กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ควรค่าที่จะต่อสู้ด้วย” เดลิลวาสพยักหน้าอย่างนับถือ แล้วหันไปสั่งการกองทัพของตน “เคลื่อนพลไปข้างหน้า ปิดฉากศึกครั้งนี้เสีย”

          แตรสงครามแห่งไอซ์เมสยกจ่อปากเดลิลวาสแล้วเป่า ไอน้ำแข็งพวยพุ่งขึ้นฟ้า ทหารเอลิลทั้งกองทัพเริ่มขยับตัว แถวหน้าสุดยกโล่กำบังแน่นหนา ทั้งแนวตรงและแนวเฉียงขึ้นฟ้า แล้วเริ่มก้าวเท้าออกเคลื่อนพลตามเดลิลวาสไปอย่างพร้อมเพรียง กองทหารม้าที่อยู่ด้านหลังกระจายออกด้านข้างเป็นสองส่วน เตรียมโอบล้อมข้าศึก พวกฟาร์ดาราสที่อยู่ท้ายสุดกระพือปีกบินขึ้นฟ้า เตรียมโจมตีจากทางอากาศ

          “ทุกท่าน ตลอดเวลามานี้ มันมีความหมายกับข้ามากที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพวกท่าน” เซ็นแวนเดอร์ขึ้นสายธนู เล็งเฉียงขึ้นฟ้าเช่นเดียวกับพลธนูฟอเรสเทอร์คนอื่นๆ “หากวันนี้เราจะต้องตายร่วมกัน ก็ขอให้รู้ว่า มันมีความหมายกับข้ามากเช่นกัน”

          แอเมน่ามองไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเธอนอนอยู่บนเตียงที่ห่างจากระเบียง แต่หูของเธอได้ยินเสียง มันคือการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของพวกพ้องเธอ เธอหลับตาลงอย่างเจ็บปวด เธอเป็นหัวหน้าเผ่า เธอควรจะอยู่เคียงข้างพวกเขา แต่ก็ทำไม่ได้แม้แต่จะลุกออกไปมอง

          “ยิง” เซ็นแวนเดอร์ปล่อยธนูออกไป ธนูของเขาแตกกระจายออกเป็นธนูไฟหลายสิบดอก

          พลธนูฟอเรสเทอร์ทุกคนยิงธนูตามเขาไป ลูกธนูโปรยใส่กองทหารราบเอลิล ถูกยิงตายไปบ้าง แต่ก็ไม่มากเท่าที่ควร เพราะพวกเอลิลรักษาขบวนแถวจัดแนวโล่ป้องกันไว้ดี เคลื่อนพลเป็นจังหวะพร้อมเพรียง อีกทั้งแสงแดดยังบั่นทอนความแม่นยำของพวกฟอเรสเทอร์ด้วย เดลิลวาสที่เดินอยู่หน้ากองทัพหลบหลีกและใช้ดาบปัดป้องออกไปได้ทุกดอก พวกฟอเรสเทอร์ระดมยิงใส่ข้าศึกอย่างต่อเนื่อง ไม่มีการกำหนดจังหวะ ไม่มีการสงวนลูกธนู ไม่มีกลยุทธ์ใดๆ อีกแล้ว ทุกคนต่อสู้ เท่าที่พลังของตนจะทำได้ ฝนธนูโปรยใส่พวกเอลิลไม่หยุด บางส่วนที่กำบังไม่สนิทก็ถูกธนูปักล้มลงไป แต่ทั้งกองทัพก็ยังเคลื่อนพลเข้ามาเรื่อยๆ โดยไม่เสียรูปขบวน และเมื่อเข้ามาในระยะใกล้ แถวโล่แรกสุดก็เลื่อนเปิดเป็นช่อง ปากกระบอกปืนยาวยิงเปิดทางทันที เซ็นแวนเดอร์เบี่ยงตัวย่อตัวหลบ กอร์รินกับไมริฟที่อยู่ข้างหลังก็เช่นกัน กระสุนถากเฉี่ยวหมวกเกราะกอร์รินไปสองจุด ทำหนามบนหมวกเกราะซี่หนึ่งหัก ฟอเรสเทอร์หลายคนถูกยิงตาย พวกที่ยิงตอบโต้ไปก็ติดโล่ของฝ่ายตรงข้ามเสียส่วนใหญ่ แสงแดดที่เจิดจ้าทำให้พวกเอลิลไม่ได้เป็นรองพวกเขาในเรื่องการยิงต่อสู้อีกต่อไป

          “ประจัญบาน” เดลิลวาสเงื้อดาบสองเล่มวิ่งบุกไปข้างหน้า ทหารราบเอลิลสลายแถววิ่งบุกตามเขาไปพร้อมกับดาบและโล่

          เซ็นแวนเดอร์ยิงธนูสองดอกสกัดเดลิลวาส เดลิลวาสใช้ดาบสองเล่มปัดป้องออกไปได้ แล้วเขาก็วิ่งผ่านเซ็นแวนเดอร์ไปพร้อมกับกวาดดาบใส่ เซ็นแวนเดอร์ย่อตัวก้มหัวหลบได้อย่างหวุดหวิด เดลิลวาสปะทะดาบกับขวานตอนที่เขาสวนกับกอร์ริน ดาบอีกเล่มปัดป้องลูกดอกของไมริฟออกไป แล้วเขาก็กระโดดหมุนตัว แกว่งดาบสองเล่มรอบตัวเป็นกงจักรในจังหวะที่เข้าปะทะกับกองกำลังฟอเรสเทอร์ ดาบตัดเฉือนนักรบชาวป่าล้มลงไปนอนตายกันหลายคน เหล่าทหารราบเอลิลก็ตามเข้ามาปะทะเช่นกัน เสาธงฟอเรสเทอร์หลายต้นถูกชนล้มถูกฟันขาด พวกพลธนูเริ่มถูกสังหารอย่างรวดเร็วเมื่อถูกเข้าประชิดตัว แต่พวกเขาไม่ถอยอีกแล้ว แม้จะไม่เก่งเรื่องการต่อสู้ระยะประชิด แต่ก็จะสู้ขาดใจ สู้ด้วยทุกอย่างที่ตนจะมี

          กองทหารม้าเอลิลสองส่วนเข้าปะทะปีกซ้ายและปีกขวาของกองกำลังฟอเรสเทอร์ พวกฟาร์ดาราสบุกเข้าโจมตีจากบนฟ้า ขบวนแถวฟอเรสเทอร์แตกกระจายในทันที กลายเป็นการต่อสู้แบบตะลุมบอน พวกเขาไม่สามารถใช้กลยุทธ์เป็นหมู่คณะได้อีกแล้ว แต่ละคนจะต้องต่อสู้ด้วยตัวเอง นั่นเป็นสถานการณ์ของฝ่ายที่กำลังจะแพ้ ขบวนแถวแตกร่น กระจัดกระจาย จับกลุ่มกันไม่ได้ และล้มตายกันอย่างรวดเร็ว

          เซ็นแวนเดอร์เอาลูกธนูเสียบทหารเอลิลคนหนึ่ง ถอนออกมาแล้วยิงใส่อีกคนหนึ่ง ทหารม้าเอลิลควบเข้ามาฟันง้าวใส่ เขาก็กระโดดตีลังกากลับหลังหลบ แล้วหันไปยิงร่วงตกหลังม้า ฟาร์ดาราสตัวหนึ่งโฉบลงมาหาเขา เขาขึ้นสายธนูยิงมัน แต่แสงแดดจ้าที่ส่องลงมาก็ทำให้เห็นไม่ชัดจนยิงพลาดไปถูกส่วนที่เกราะหนา จึงต้องม้วนตัวหลบไปข้างๆ เมื่อกรงเล็บของมันโฉบลงมา การที่เขาม้วนตัวเปลี่ยนตำแหน่งนั้นทำให้เข้าไปชิดตัวพลปืนเอลิลคนหนึ่ง พลปืนคนนั้นหันปืนมาจะยิงแต่เขาก็ใช้คันธนูฟาดกระบอกปืนให้หันไปทางอื่น ฟาดอีกครั้งใส่หมวกเกราะ แล้วแทงใบมีดที่ปลายคันธนูเข้ากลางหัวใจ ทหารเอลิลหลายคนบุกเข้ามาถึงตัวเขา เขาทั้งหลบหลีกคมอาวุธ ทั้งต่อสู้ระยะประชิดด้วยคันธนูและลูกธนู ทั้งหาจังหวะถอยไปยิงในระยะเผาขน เนื่องจากพวกฟอเรสเทอร์มีจำนวนน้อยกว่ามาก กองกำลังก็เสียรูปขบวน จึงถูกเข้าประชิดตัวอยู่เรื่อยๆ เซ็นแวนเดอร์สังหารคู่ต่อสู้ทั้งหมดได้ แต่ก็ได้แผลที่ขาและแขนเพิ่มมาอีก มันยังไม่หนักหนามาก เขากัดฟันยิงธนูสู้ต่อ

          กอร์รินและไมริฟหันหลังชนกันต่อสู้ ทหารคนหนึ่งบุกเข้ามาก็ถูกขวานฟันคอขาด อีกคนบุกเข้ามาก็ถูกกริชแทงทะลุหัวใจ บางคนยกโล่กำบังขวานไว้ได้ แต่ก็ถูกแทงด้วยกริช เช่นเดียวกับที่บางคนปัดป้องกริชได้ก็ถูกฟันด้วยขวาน ทั้งคู่คอยระวังหลังให้กัน ข้าศึกจะบุกมาทางไหนก็รับมือได้หมด น้ำแข็งที่พวกฟาร์ดาราสที่พ่นลงจากฟ้าไม่ว่ามาจากมุมไหน ทั้งสองก็คอยเตือนกันให้หลบได้ทุกลูก อย่างไรก็ตาม ข้าศึกรอบตัวก็มีจำนวนมาก พวกเขามีแค่สองคน ไม่สามารถรับมือได้ทั้งหมด กอร์รินถูกดาบฟันบาดเข้าที่สีข้าง เขาเสยด้ามขวานใส่หน้าเจ้าของดาบและผ่าคมขวานแสกหน้า หมุนตัวเตะกวาดขาทหารเอลิลคนหนึ่งล้มลงไปและจามขวานซ้ำ พลปืนเอลิลคนหนึ่งเล็งใส่เขาจากไกลๆ ก็ถูกไมริฟเป่าลูกดอกไปสังหารเสียก่อน เธอเก็บกระบอกเป่าแล้วชักกริชอีกเล่มออกมาปาดคอทหารเอลิลสองคนพร้อมกัน เบี่ยงตัวหลบดาบ ยกขาสูงเกี่ยวคอขอคู่ต่อสู้ให้ก้มลงแล้วเชือดคอด้วยกริช ทหารเอลิลสองคนวิ่งเข้าหาเธอจากทางซ้ายและขวา ง้าวในมือแทงใส่ เธอหลบด้วยการลงไปแยกขากับพื้นร้อยแปดสิบองศา สองมือแทงกริชใส่ลำตัวทั้งคู่ จากนั้นก็ตวัดขาลุกขึ้นยืน หลบดาบผลักหลังทหารเอลิลคนหนึ่งเซไปหาขวานกอร์ริน ฟาร์ดาราสตัวหนึ่งบินโฉบลงมา กอร์รินคว้าเอวไมริฟอุ้มโยนเธอลอยขึ้นไปเอากริชเชือดคอมัน และประคองรับเธอไว้เมื่อเธอลงมา มืออีกข้างตวัดขวานปาดคอทหารเอลิลคนหนึ่งหน้าหงาย ไมริฟกระโดดใส่ทหารเอลิลคนหนึ่งในลักษณะของสัตว์ป่าขย้ำเหยื่อ ขึ้นไปคร่อมอยู่บนตัวเขาแล้วเอากริชแทงที่หัวใจ จากนั้นก็ม้วนตัวกลับไปยืนหันหลังชนกับกอร์รินเหมือนเดิม

          ทหารม้าเอลิลคนหนึ่งควบตะบึงเข้ามาเต็มฝีเท้าพร้อมกับแทงง้าวใส่เต็มเหนี่ยว บีบให้ทั้งคู่ต้องแยกออกจากกันเพื่อหลบหลีก กอร์รินกลิ้งตัวลุกขึ้น แทงปลายขวานใส่ทหารเอลิลคนหนึ่ง ขว้างขวานปักกลางกะโหลกฟาร์ดาราสที่ลดระดับลงมาจะพ่นน้ำแข็งใส่ เมื่อมันร่วงตกลงมา เขาก็ม้วนตัวเข้าไปคว้าด้ามขวาน ตีลังกากระชากออกพร้อมกับหลบกระสุนปืนยาวนัดหนึ่ง หมุนตัวเหวี่ยงขวานฟันคอทหารเอลิลสามคนพร้อมกัน มีทหารม้าควบเข้ามาแทงหอกใส่ เขากระโดดตีลังกาสูงหลบง้าว พร้อมกับใช้ขาสองข้างเกี่ยวคอคู่ต่อสู้ร่วงลงจากม้าคอหักตาย ยกขวานกำบังดาบเล่มหนึ่ง แล้วฟันสวนอีกฝ่ายหัวขาดกระเด็น กระโดดไปข้างหน้า สับขวานใส่พลปืนเอลิลที่กำลังบรรจุกระสุน บิดข้อมือปลดอาวุธทหารเอลิลที่แทงดาบใส่ มืออีกข้างเชือดคอด้วยคมขวาน ย่อตัวหลบแล้วกระแทกศอกใส่ทหารเอลิลอีกคนที่บุกมาข้างหลัง แล้วหันไปเสยขวานใส่ตายแบบหน้าหงาย กอร์รินเริ่มหายใจหนัก เรี่ยวแรงเริ่มถดถอย เจ็บปวดบาดแผลทั้งเก่าและใหม่ บางแผลเลือดยังไหลไม่หยุด

          ไมริฟก็เริ่มอ่อนกำลังเช่นกัน ศึกครั้งนี้เธอต่อสู้มายาวนาน ร่างกายทำงานหนักและบอบช้ำ เธอใช้กริชปัดดาบคู่ต่อสู้ออกไปแล้วแทงใส่ด้วยกริชอีกเล่ม หมุนตัวเตะศัตรูอีกคนหน้าหันและปักกริชเข้ากลางหลัง กระโดดหลบน้ำแข็งจากฟาร์ดาราสบนฟ้า และกระโดดหลบอีกครั้งเมื่อมีอีกตัวโฉบกรงเล็บลงมา ทหารเอลิลคนหนึ่งยกโล่กำบังเมื่อเห็นเธอเงื้อกริชจะแทง เธอจึงกระโดดขึ้นไปเกาะบนโล่ของเขาแล้วแทงกริชจากมุมสูงเข้าที่หมวกเกราะ ข้าศึกรอบตัวมีมากเกินไป เธอทั้งฟันแทง ทั้งเตะต่อย ทั้งหลบหลีก ฆ่าไปได้ก็มีมาให้สู้อีกเรื่อยๆ เธอสู้อย่างนี้ได้อีกไม่นานแน่

          แล้วในจังหวะที่เธอใช้สองกริชเกี่ยวปลดดาบออกจากมือทหารเอลิลคนหนึ่ง ดาบเล่มหนึ่งก็ฟันเข้าที่ต้นขาของเธอ เธอทรุดคุกเข่าลง ปักกริชเล่มหนึ่งที่พื้น พยุงตัวไม่ให้ล้มลงไปนอน หอบหายใจอย่างอ่อนแรง เลือดไหลจากปากที่แตกหยดลงพื้น รอบตัวคือข้าศึกที่เงื้ออาวุธขึ้น

          ขวานไฟของกอร์รินร่อนเข้ามาวนรอบตัวเธอ ตัดเฉือนข้าศึกที่อยู่รอบตัวเธอล้มตายกันหมด แล้วมันก็ร่อนกลับไปเข้ามือเขา ซึ่งเขาก็สะบัดมันปาดคอทหารเอลิลที่บุกเข้ามาในจังหวะเดียวกัน ฟาร์ดาราสโฉบกรงเล็บลงมาใส่เขา เขาหมุนตัวหลบได้และฟันขวานฉับเดียวตัดคอมันขาด ฟันขวานอีกครั้งใส่ทหารเอลิลซึ่งยกโล่กำบังไว้ได้ เขาจึงกระโดดกระแทกสนับเข่าใส่โล่ให้อีกฝ่ายล้มลงไป แล้วฟันขวานซ้ำ ทหารม้าเอลิลควบม้าบุกเข้ามา เขาก็ฟันขาม้าให้ล้มแล้วฟันอีกครั้งใส่คนขี่ม้า ทหารเอลิลคนหนึ่งถือง้าววิ่งเข้ามาแทงใส่เขา เขาใช้ขวานปัดป้องออกไปแล้วฟันสวนกลับ ทหารเอลิลคนนั้นตะแคงง้าวรับไว้ได้ พร้อมกันนั้นทหารเอลิลอีกคนก็แทงดาบใส่เขาจากด้านข้าง เขาเอี้ยวตัวหลบเกือบไม่ทัน

          ความวุ่นวายทั้งหมดนี้ทำให้เขามองไม่ทันดาบอีกเล่ม มันฟันเข้าที่หลังของเขา ตัดริ้วธงประจำตำแหน่งรองผู้นำสูงสุดขาดครึ่ง แม้ชุดเกราะส่วนนั้นจะหนา แต่เมื่อถูกฟันหนักๆ เช่นนี้ มันก็ขาดทะลุเป็นแนวยาว เลือดสีขาวกระเซ็นออกมา กอร์รินทรุดตัวล้มลงไป ฝืนใจจะลุกขึ้นยืนใหม่ก็ถูกกระทุ้งด้วยด้ามง้าวลงไปนอนแผ่หมดสภาพ อาวุธหลายเล่มเงื้อขึ้น เตรียมปลิดชีพเขา

          กรดของไมริฟสาดเข้าใส่ทหารเอลิลรอบตัวกอร์รินล้มลงไปนอนตายกันหมด เธอถลาเข้ามาหากอร์ริน ประคองศีรษะเขาขึ้นมา เลือดสีขาวของเขาไหลเปรอะมือเธอ

          “บราวน์บีเซล” เธอจวนเจียนจะร้องไห้

          “ไมริฟ พยุงข้าให้ลุกขึ้นที” กอร์รินพูดเสียงเบา “ข้าจะสู้จนเลือดหยดสุดท้าย”  

          “กอร์ริน ข้าเสียใจที่ท่านจะต้องมาจบชีวิตที่นี่” ไมริฟน้ำตาไหลนองหน้า “ห่างไกลจากบ้านของท่าน ห่างไกลจากพวกพ้องของท่าน ท่านสมควรได้สิ่งที่ดีกว่านี้”

          “ไม่หรอก” กอร์รินยิ้มให้เธออย่างเข้มแข็ง “ข้าได้ยืนหยัดสู้ เคียงข้างเพื่อนของข้า และได้ตายตรงนี้ เคียงข้างเพื่อนของข้า ข้าไม่คิดว่าจะมีการตายที่ไหนดีกว่านี้อีกแล้ว”

          ไมริฟยิ้มทั้งน้ำตา ประคองเพื่อนต่างเผ่าพันธุ์ให้ลุกขึ้นยืน กอร์รินกำด้ามขวานแน่น พยายามยืนให้อยู่ ไมริฟยืนหันหลังชนกับเขาอีกครั้ง สองมือจับกริชมั่น

          “สู้ด้วยกัน หวังด้วยกัน ตายด้วยกัน” เธอปาดน้ำตาด้วยแขน

          “สู้ด้วยกัน หวังด้วยกัน ตายด้วยกัน” กอร์รินจับขวานตั้งท่าพร้อมสู้ตาย

          แอเมน่าพยายามลุกจากเตียง ช่างเจ็บปวดยิ่งนักที่ได้ยินแต่เพียงเสียงการต่อสู้ เสียงโลหะกระทบกระแทก และเสียงพวกพ้องถูกฆ่าตายไปทีละคน อย่างน้อยขอเธอได้มองพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่พวกเขาจะตายกันหมด เธอพยายามขยับตัว รวบรวมกำลังที่เหลืออยู่ดันร่างออกจากเตียง

          แล้วเธอก็ล้มลงมาคว่ำหน้าบนพื้น บาดแผลบางแผลฉีดขาด เลือดไหลซึมออกมาเปรอะชุดนอนสีขาวตัวบางของเธอ เธอพยายามตะเกียกตะกายคลานไปที่ระเบียง ทิ้งรอยเลือดไว้เป็นทาง เมื่อไปได้ครึ่งทาง เธอก็รู้สึกอ่อนแรงแทบจะไปต่อไม่ไหว แสงแดดจ้าก็ส่องลงมาจนเธอต้องยกมือป้องตา แต่ก็ยังกัดฟันคลานต่อไป นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้เห็นเซ็นแวนเดอร์ ไมริฟ และพวกพ้องคนอื่นๆ แม้จะไม่มีโอกาสได้บอกลา แต่อย่างน้อย แค่ได้มองด้วยสายตาก็ยังดี

          เธอเอื้อมมือไปเกาะลูกกรงระเบียงที่แกะสลักเป็นเถาไม้สวยงาม ออกแรงหยาดสุดท้ายดึงตัวเข้าไปที่ริมระเบียง มองออกไปยังเบื้องล่าง ไกลออกไปบริเวณกำแพงชั้นที่หนึ่งและชั้นที่สอง มีศพจำนวนมหาศาลนอนเกลื่อน ทั้งฝ่ายศัตรูและฝ่ายของเธอ คนมากมายที่เธอรู้จัก คนมากมายที่เธอรัก ตอนนี้นอนเป็นศพกันเกือบหมดแล้ว เบื้องหน้าปราสาทต้นไม้ กองกำลังของเธอกลุ่มสุดท้ายยังคงยืนหยัดสู้กองทัพข้าศึกที่มีจำนวนมากกว่าหลายต่อหลายเท่า เธอมองเห็นเซ็นแวนเดอร์ เห็นไมริฟ เห็นกอร์ริน และเห็นนักรบฟอเรสเทอร์คนอื่นๆ ที่ถูกฟัน ถูกแทง ถูกยิงล้มตายไปเรื่อยๆ  อีกไม่นานก็คงไม่เหลือสักคน สิ่งที่เธอทำได้คือจ้องมองพวกเขาอยู่ตรงนี้ โดยไม่มีพวกเขาสักคนที่รับรู้ถึงสายตาของเธอ

          แล้วเธอฟุบศีรษะลงที่แขนอย่างสิ้นแรง หลับตาลง

          เซ็นแวนเดอร์ย่อตัวลง หอบหายใจอย่างอ่อนล้า มือข้างหนึ่งปาดเลือดไม่ให้ไหลเข้าตา อีกข้างควานหากระบอกใส่ลูกธนูบนพื้น แต่ก็พบเพียงกระบอกเปล่าเต็มไปหมด กระบอกที่เขาสะพายอยู่เหลือเพียงสามดอก เขาต้องการเพิ่ม บางอย่างบนฟ้าทอดเงาลงมาที่เขา เขาหันไปมอง พบฟาร์ดาราสตัวหนึ่งกำลังบินตรงเข้ามา แสงที่ส่องผ่านปีกโปร่งใสของมันหักเหเป็นลำแสงกระจาย เขาเอื้อมมือไปหยิบลูกธนูในกระบอกสะพายหลัง มีโอกาสยิงได้แค่สามดอกเท่านั้น แสงแดดที่ส่องสว่างทำให้ตาของเขามีปัญหา มองเห็นเป้าหมายไม่ชัด และคงมองตอนที่มันพ่นน้ำแข็งมาโจมตีไม่ชัดเช่นกัน ดังนั้นเขาต้องยิงมันให้ตายก่อนที่มันจะเข้ามาพ่นน้ำแข็งใส่ เพราะเขาหลบไม่ทันแน่ ลูกธนูดอกแรกถูกขึ้นสายและยิงออกไปมันพลาดเป้าไปกระทบกับเกราะอันแข็งแกร่งของมันกระดอนออกไปอย่างไร้ค่า เซ็นแวนเดอร์ดึงลูกธนูดอกที่สองออกมาขึ้นสายใหม่ เจ้าฟาร์ดาราสบินเข้าใกล้ขึ้น เขาต้องเล็งให้เข้าช่องเกราะบริเวณคอหอยใต้คางจึงจะฆ่ามันได้ แต่เป้าหมายนั้นเล็กนิดเดียว และแสงสว่างก็ทำให้ความแม่นยำของเขาเหลือน้อยเต็มที เขายิงธนูดอกที่สองออกไป ธนูพลาดไปปักที่ปีกของเจ้าฟาร์ดาราสทำให้มันเซกลางอากาศเล็กน้อยแต่ก็ยังตั้งหลักบินเข้ามาหาพร้อมกับอ้าปากเตรียมพร้อม

          เซ็นแวนเดอร์ขึ้นสายธนูเล็งดอกสุดท้าย มันคือความหวังสุดท้ายของเขาเขาหรี่ตาสู้แสง มองแทบไม่เห็นเป้าหมาย เป็นไปได้สูงที่จะยิงพลาด ซึ่งหากพลาดดอกนี้ก็หมายถึงจุดจบ อีกฝ่ายกำลังจะโจมตีแล้ว เขาต้องยิงแล้วตอนนี้

          ชั่วเสี้ยววินาทีนั้น มีกลุ่มควันสีดำพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วแตกกระจายออก บดบังแสงแดดที่ส่องใส่ตาของเซ็นแวนเดอร์พอดี นั่นทำให้สายตาของเขากลับมาเฉียบคมโดยฉับพลัน ก่อนที่เจ้าฟาร์ดาราสจะทันได้พ่นน้ำแข็ง เขาก็ปล่อยลูกธนูดอกสุดท้ายพุ่งเสียบเข้าช่องเกราะที่คอหอยใต้คางของมันอย่างแม่นยำ เจ้าสัตว์ร้ายร่วงตกลงมาตายบนพื้นแทบเท้าเขา

          กอร์ริน ไมริฟ เดลิลวาส พวกฟอเรสเทอร์ และพวกเอลิลทั้งหมดหยุดต่อสู้กัน แหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า ท่ามกลางท้องฟ้าที่สว่างด้วยแสงแดด มีกลุ่มควันสีดำลอยเด่นอยู่ให้เห็นไกลๆ แผ่กระจายความมืดออกมา มันก่อตัวเป็นรูปกากบาทสีดำ

          “แอ็กนอสทิกส์ครอส” เซ็นแวนเดอร์กระซิบ

          ตราสัญลักษณ์ของดาร์คเนสดีวิล

          เมฆสีเข้มก่อตัวแผ่กระจายบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว มันช่วยบังแสงสว่างจ้าทำให้ฟ้ามืด ให้ดวงตากลางคืนของพวกฟอเรสเทอร์กลับมามองชัดเจนอีกครั้ง บังเกิดเสียงฟ้าคำรามพร้อมปรากฏแสงฟ้าแลบสว่างเจิดจ้า ฝนไม่ตกลงมา แต่มีสายฟ้าคอยส่องประกายให้เห็น อาร์ทูมิสและเหล่าแพทย์สนาม รวมทั้งคนเจ็บบางคนเปิดประตูปราสาทต้นไม้ออกมายืนมองท้องฟ้า แสงจากสายฟ้าสะท้อนอยู่ในดวงตาพวกเขาทุกคน

          “ดูนั่น” ไมริฟชี้มือ “ที่สายฟ้า”

          สายฟ้าสว่างวาบใกล้กับตราสัญลักษณ์แอ็กนอสทิกส์ครอส ปรากฏให้เห็นสัตว์ปีกสามหัวหุ้มเกราะสีดำสยายปีกบินทะลุตราออกมา ร่างในผ้าคลุมฮู้ดสีดำนั่งอยู่บนหลังของมัน ผ้าคลุมโบกสะบัดอยู่ข้างหลังอย่างสง่างาม มือข้างหนึ่งถือดาบสีดำที่กระพริบแสงด้วยเส้นสายฟ้า ดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ 

          “โซลิแทร์” กอร์รินกระซิบ

          และที่บินทะลุตราสัญลักษณ์แอ็กนอสทิกส์ครอสตามโซลิแทร์ออกมานั้น คือเอเลนเซฟเวอรี่จำนวนมาก พวกมันเพิ่มจำนวนปรากฏให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ มากจนเต็มท้องฟ้า มากจนกลายเป็นกองทัพ

          นี่คือเหตุผลว่าทำไมโซลิแทร์และพวกเอเลนเซฟเวอรี่ทั้งฝูงถึงหายไปอย่างรวดเร็วหลังจากชนะศึกที่เดธแอเรียเพราะเขาและพวกมันบินกลับมาช่วยกาโกคอล พวกฟอเรสเทอร์ยืนตะลึง มองกองทัพจากฟ้าที่มีสายฟ้าคอยส่องประกายเป็นฉากประกอบ ราวกับพวกมันบินออกมาจากสายฟ้า แต่ละคนยิ้มอย่างตื้นตันใจ บางคนน้ำตาไหล สิ่งที่พวกเขามองอยู่ พวกเขาเห็นเป็นสิ่งเดียวกัน ความหวัง

          เดลิลวาสกัดฟันคำราม รีบหยิบชิ้นอัญมณีสีขาวออกมาจากถุงเหล็กที่ฝักดาบ อ่านอักษรดาร์เคนสองสามตัวที่สลักอยู่บนอัญมณี จะใช้มันสะกดพวกเอเลนเซฟเวอรี่อย่างที่เคยทำ แต่ครั้งนี้ เมื่อเขาอ่านตัวอักษรแล้ว อัญมณีกลับไม่เปล่งแสงออกมาเหมือนเคย

          “ปีกแห่งความมืด จงถูกสยบ” เขาประกาศก้อง ชูอัญมณีขึ้น

          ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น โซลิแทร์และกองทัพเอเลนเซฟเวอรี่ยังคงบินตรงเข้ามาเหมือนเดิม เดลิลวาสคำรามอย่างโกรธแค้น โยนอัญมณีทิ้งไป มันใช้การไม่ได้อีกแล้ว เมื่ออัญมณีขาวชิ้นหนึ่งถูกทำลาย อีกชิ้นก็จะเสื่อมฤทธิ์ไปด้วย กลายเป็นเพียงก้อนหินไร้ค่า

          ที่ระเบียงสูงบนปราสาทต้นไม้ แอเมน่าเริ่มขยับตัว เสียงฟ้าคำรามดังมาเข้าหูเธอ เธอลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วมองออกไป เห็นโซลิแทร์และกองทัพเอเลนเซฟเวอรี่บนท้องฟ้า ท่ามกลางแสงสายฟ้าที่คอยส่องสว่าง

          “ข้าหวังว่าจะมีประกายสายฟ้าแห่งความหวัง สะท้อนอยู่ในดวงตาท่านบ้างเช่นกัน”

          นั่นคือสิ่งที่โซลิแทร์เคยบอกกับเธอ

          และในตอนนี้ โซลิแทร์ที่ขี่พาหนะบินอยู่บนฟ้า มีสายฟ้าสาดแสงเจิดจ้าอยู่ข้างหลัง คือสิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของเธอ ดวงตาที่กำลังหลั่งน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง

          แล้วกองทัพเอเลนเซฟเวอรี่ก็กระจายขบวน บุกเข้าโจมตีกองทัพเอลิลอย่างหนักหน่วง โจมตีใส่ทั้งทัพอากาศและทัพบก สอยพวกฟาร์ดาราสลงจากฟ้า โฉบเผาบดขยี้พวกทหารราบและทหารม้าเอลิล ถูกสอยร่วงลงไปบ้าง พวกมันต่อสู้ได้อย่างดุเดือด พวกฟาร์ดาราสที่มีจำนวนน้อยกว่ามากเริ่มถูกเผาร่วงลงไปตายอย่างต่อเนื่อง กองทัพบกเอลิลก็เริ่มจะไม่เป็นขบวนเพราะถูกกระหน่ำโจมตีอย่างรุนแรงจากทางอากาศ ทัพอากาศคือทัพที่ต่อกรด้วยยากที่สุด ความมั่นคงของกองทัพเอลิลเริ่มสั่นคลอน ขณะที่พวกฟอเรสเทอร์กลับมามีกำลังใจอีกครั้ง คนที่ล้มลงไปลุกขึ้นยืนใหม่ พวกเขาจับอาวุธสู้ต่อไป ด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความหวัง

          โซลิแทร์ฟันตัดคอฟาร์ดาราสด้วยดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ บังคับพาหนะหลบก้อนน้ำแข็งและตั้งสมาธิทำฟ้าผ่าใส่กลุ่มทหารเอลิลเบื้องล่าง โฉบลงไปตัดหน้ากลุ่มทหารม้าเอลิลที่กำลังเรียงแถวหน้ากระดานบุกเข้าหาพวกพลธนูฟอเรสเทอร์ แล้วลากดาบฟันผ่านตายเรียบทั้งแถว จากนั้นก็บินสูงขึ้น บังคับพาหนะให้พ่นดาวตกสอยฟาร์ดาราสตัวหนึ่งร่วงตกจากฟ้า เขาบินผ่านกอร์รินที่ชูอาวุธทักทาย ผ่านไมริฟที่ตะโกนเรียกชื่อเขาอย่างดีใจ และผ่านเซ็นแวนเดอร์ที่โบกมือให้ หยิบหอกอากาศข้างอานพาหนะขว้างเสียบคอฟาร์ดาราสอีกตัวหนึ่ง ควงดาบแล้วชี้ลงไปเบื้องล่าง ปล่อยสายฟ้าฟาดเข้ากลางกลุ่มทหารเอลิลที่จัดขบวนเป็นกระดองเต่ากระจัดกระจายกันไปคนละทาง

          เดลิลวาสกระโดดหลบดาวตกและฟันดาบสังหารเอเลนเซฟเวอรี่ที่โฉบลงมา กระโดดเหยียบศพของมันแล้วถีบตัวขึ้นสูง ฟันใส่เอเลนเซฟเวอรี่อีกตัวที่บินต่ำๆ ผ่านมาร่วงตกลงมาตาย มือขวาควงดาบแล้วขว้างขึ้นไปสอยตัวที่สามตกลงมาตาย สายตาเหลือบไปเห็นโซลิแทร์กำลังบินลดระดับบุกเข้าโจมตีพวกทหารเอลิลไม่ไกลออกไปนัก เซ็ทซาร์ดปักดาบลงกับพื้น คว้าหอกเล่มหนึ่งบนพื้นขึ้นมา แล้วขว้างออกไปเต็มเหนี่ยว

          หอกหมุนควงพุ่งเข้าหาโซลิแทร์ด้วยความเร็วสูง เป็นจังหวะเดียวกับที่โซลิแทร์บังคับพาหนะโฉบลงต่ำพอดี เดลิลวาสเคยสอยเขาตกจากพาหนะด้วยหอกมาแล้วมากกว่าหนึ่งครั้ง ซึ่งครั้งนี้มันก็มาในรูปแบบเดิม จังหวะฉุกละหุก มุมหลบไม่มี

          เสี้ยววินาทีหนึ่ง โซลิแทร์นึกถึงเพื่อน แล้วเขาก็ทำสิ่งที่ไมริฟเคยทำโดยไม่ตั้งใจ นั่นคือห้อยตัวลงจากพาหนะ เกี่ยวเท้าข้างหนึ่งไว้กับโกลน มันทำให้เขาหลบหอกของเดลิลวาสได้อย่างฉิวเฉียด แม้แต่เดลิลวาสก็ยังชะงักด้วยความประหลาดใจ ไมริฟที่ต่อสู้อยู่ไกลๆ หันมามองอย่างงงงวยเช่นกัน  

          โซลิแทร์ถอดเท้าออกจากโกลนลงมายืนย่อเข่าอยู่บนพื้นอย่างสง่างาม ดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ฟันคอทหารเอลิลสองคนที่อยู่ในรัศมีการเหวี่ยง กระโดดตีลังกาฟันใส่ทหารม้าเอลิลคนหนึ่งที่ควบสวนมา ก้าวหลบก้อนน้ำแข็งจากบนฟ้า แล้วหมุนตัวเหวี่ยงดาบผ่าเข้ากลางกะโหลกทหารเอลิลคนหนึ่ง กำมือซ้ายที่มีประกายสายฟ้าสว่างวาบ แล้วสะบัดมือปล่อยสายฟ้าออกไประเบิดใส่กลุ่มทหารเอลิลที่ถือดาบถือโล่วิ่งบุกเข้ามาตายทั้งกลุ่ม ควงดาบแล้วแทงใส่ทหารเอลิลที่บุกมาข้างหลังโดยไม่หันไปมอง

          เซ็นแวนเดอร์หาลูกธนูเพิ่มจนพอใช้อีกครั้ง เขาใช้มันยิงใส่พวกเอลิลอย่างคล่องแคล่ว เมฆสายฟ้าของโซลิแทร์ช่วยบังแสงแดด ทำให้เขาและพลธนูฟอเรสเทอร์คนอื่นๆ กลับมามีสายตายที่เฉียบคมอีกครั้ง ความแม่นยำกลับคืนมา ทั้งทหารราบเอลิล ทหารม้าเอลิล และฟาร์ดาราสต่างลงไปนอนเป็นศพอยู่บนพื้นโดยมีธนูของเขาปักอยู่ บางครั้งเขาก็ใช้ความสามารถพิเศษโปรยธนูไฟจำนวนมากเข้าใส่กลุ่มศัตรู นับว่าแม่นยำมาก เพราะมันไม่พลาดไปถูกฝ่ายเดียวกันเลยสักดอกแม้จะมีฝ่ายเดียวกันหลายคนอยู่ในรัศมีโปรยธนูไฟก็ตาม เดลิลวาสต่อสู้อยู่ไม่ไกลออกไปนัก ยืนหันข้างให้เขา กำลังแทงดาบปลิดชีวิตเอเลนเซฟเวอรี่ที่ร่วงลงมาบนพื้น เซ็นแวนเดอร์ง้างธนูเต็มเหนี่ยว ยิงออกไป ลูกธนูพุ่งตรงเข้าหาเดลิลวาสด้วยความเร็วเต็มพิกัด เร็วจนดูแทบไม่ทัน เร็วจนไม่น่าจะปัดป้องหรือหลบหลีกได้

          แต่เสี้ยววินาทีก่อนที่มันจะพุ่งถึงศีรษะของเดลิลวาส เดลิลวาสก็หันมาคว้ามันไว้ได้ด้วยมือเหล็ก เซ็นแวนเดอร์ตะลึงตาค้าง เซ็ทซาร์ดโยนลูกธนูทิ้ง แล้วถอนดาบจากร่างเอเลนเซฟเวอรี่ บุกตรงเข้าหาเซ็นแวนเดอร์ทันที

          เซ็นแวนเดอร์ระดมยิงธนูสกัด เดลิลวาสใช้ดาบปัดป้องออกไปได้หมด เซ็นแวนเดอร์ทั้งพยายามกระโดดเปลี่ยนตำแหน่งยิง กระโดดตีลังกาถอยหลังแล้วยิง เดลิลวาสก็ปัดป้องหลบหลีกได้หมด เซ็ทซาร์ดกระโดดม้วนตัวเข้ามาถึงตัวเซ็นแวนเดอร์แล้วแทงดาบใส่ เซ็นแวนเดอร์กระโดดตีลังกาข้ามหัวอีกฝ่ายหลบได้อย่างน่าหวาดเสียว ยังไม่ทันจะทำอะไรต่อ เดลิลวาสก็หมุนตัวมากวาดดาบใส่สองเล่ม เซ็นแวนเดอร์ต้องหมุนตัวหลบจนเกือบล้ม ฟาดคันธนูใส่อีกฝ่าย เดลิลวาสใช้ด้ามดาบกันเอาไว้ ดาบอีกเล่มแทงเฉียดลำตัวที่เบี่ยงหลบของเซ็นแวนเดอร์ เซ็นแวนเดอร์คว้าลูกธนูดอกหนึ่งออกมาจะแทงใส่ เดลิลวาสหลบและถีบใส่เซ็นแวนเดอร์กระเด็นล้มหงายหลัง

          เซ็นแวนเดอร์รีบม้วนหลังลุกขึ้นยืนและยิงธนูใส่เดลิลวาสที่บุกเข้ามาในจังหวะต่อเนื่อง เดลิลวาสใช้ดาบซ้ายปัดออกไป ดาบขวาแทงไปข้างหน้าและกวาดเป็นครึ่งวงกลม เซ็นแวนเดอร์ต้องกระโดดหลบถึงสองครั้ง หมุนตัวเตะสวนกลับด้วยความว่องไว เดลิลวาสย่อตัวหลบได้ง่ายๆ ยกสองดาบเป็นกากบาทขวางปลายคันธนูที่เซ็นแวนเดอร์แทงใส่ เบี่ยงมันออกไปข้างๆ แล้วเหวี่ยงสองดาบกลับมาฟันในแนวขนานกับพื้น เซ็นแวนเดอร์ก้าวถอยหลบ ขว้างลูกธนูดอกหนึ่งใส่เดลิลวาส เดลิลวาสเบี่ยงตัวหลบแล้วฟันใส่อีก เซ็นแวนเดอร์ม้วนตัวหลบไปอยู่ข้างหลังเดลิลวาส ขึ้นสายธนูยิงใส่อย่างรวดเร็วในระยะเผาขน เดลิลวาสก็หันมาปัดป้องได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน เท้าถีบใส่เซ็นแวนเดอร์ที่รีบลุกยืนหลบไปข้างๆ เกือบไม่ทัน ดาบขวาของเดลิลวาสแทงตามมา เซ็นแวนเดอร์ใช้คันธนูเบี่ยงมันออกไป มืออีกข้างคว้าลูกธนูจากกระบอกสะพายหลังแทงใส่เดลิลวาสจากมุมสูง หวังจะปักเข้าที่หัว เดลิลวาสยกส่วนท้ายของด้ามดาบซ้ายกันแขนเซ็นแวนเดอร์ไว้อย่างรู้ทัน แล้วฟันสนับศอกซ้ายเข้าที่ใบหน้าขวาของเซ็นแวนเดอร์ เซ็นแวนเดอร์ถึงกับเซหันหลังไปทั้งตัว เลือดกระเซ็นออกจากปาก

          ปลายดาบสองเล่มของเดลิลวาสฟันใส่หลังของเซ็นแวนเดอร์เป็นกากบาท กระบอกใส่ลูกธนูที่อยู่ข้างหลังแตกเป็นเสี่ยงๆ  ลูกธนูกระจัดกระจายออกพร้อมด้วยหยาดเลือดสีแดงฉาน เซ็นแวนเดอร์ตัวแอ่น ตาลอย เดินเซไปข้างหน้าสองสามก้าว ปล่อยคันธนูหลุดจากมือ ทรุดตัวคุกเข่าลงข้างหน้าเสาธงประจำเผ่าพันธุ์ฟอเรสเทอร์ต้นหนึ่งที่ปักอยู่บนพื้น แล้วเอนตัวล้มไปพิงซบกับเสาธงอย่างสิ้นเรี่ยวสิ้นแรง ธงประจำเผ่าพันธุ์ฟอเรสเทอร์ล้มลงไปกับเขาด้วย 

          แต่ก่อนที่ธงจะล้มลงไปถึงพื้น มือที่สวมถุงมือเหล็กสีดำก็คว้ามันเอาไว้ และจับมันตั้งขึ้นอีกครั้ง เป็นการประคองเซ็นแวนเดอร์ที่พิงธงอยู่ให้ขึ้นมาด้วย เซ็นแวนเดอร์เงยหน้ามองอย่างอ่อนล้า มองเห็นโซลิแทร์ยืนตระหง่านประคองธง ท่ามกลางแสงสายฟ้าที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้าเหนือหัว โซลิแทร์ขยับเสาธงให้ปักลงพื้นอย่างมั่นคง แล้วก้าวไปเผชิญหน้ากับเดลิลวาส ผ้าคลุมโบกสะบัดไปทิศทางเดียวกับธง

          เดลิลวาสแยกเขี้ยว สองมือจับดาบยกขึ้นตั้งท่าพร้อมสู้ โซลิแทร์ยืนนิ่ง แขนขวาที่เหยียดเฉียงออกข้างตัวถือดาบฟรอส์ฟอร์เมอร์ที่มีเส้นสายฟ้าไหลผ่าน ทั้งคู่จ้องมองกันอย่างดูเชิง สองครั้งที่เคยต่อสู้กัน เดลิลวาสเป็นฝ่ายชนะทั้งสองครั้ง เป็นคู่ต่อสู้ที่เหนือกว่ามาตลอด และครั้งนี้ ทั้งคู่จะต่อสู้กันอีก เป็นครั้งสุดท้าย

          เสียงฟ้าคำรามสนั่นหวั่นไหวและแสงฟ้าแลบสว่างจ้า เดลิลวาสและโซลิแทร์บุกเข้าหากัน ดาบปะทะกันดังลั่น ประกายไฟฟ้าสว่างวาบออกจากดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ เดลิลวาสแทงดาบใส่โซลิแทร์ทั้งมุมสูงและมุมต่ำ โซลิแทร์หมุนตัวหลบพร้อมกับแกว่งดาบเหนือหัว ตวัดใส่เดลิลวาสในมุมสูงสองรอบ เดลิลวาสก้าวถอยเอนหัวหลบ แล้วก้าวไปข้างหน้า ฟันดาบเข้าหากันและกระจายออก โซลิแทร์ตีลังกากลับหลังหลบทั้งสองจังหวะ สะบัดผ้าคลุมบังหน้าคู่ต่อสู้แล้วแทงดาบสวน เดลิลวาสเบี่ยงตัวหลบไปทางซ้าย โซลิแทร์หมุนตัวเหวี่ยงดาบใส่ทางซ้ายทันที เดลิลวาสยกดาบในมือซ้ายกันไว้ แล้วก็ต้องรีบยกดาบขวากันไว้ในอีกไม่ถึงหนึ่งวินาที เมื่อโซลิแทร์หมุนตัวเหวี่ยงดาบย้อนไปทางขวา ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้

          โซลิแทร์แทงดาบเข้าใส่ด้วยสองมือ เดลิลวาสก้าวหลบไปข้างๆ พร้อมกับใช้ดาบสองเล่มประกบขัดดาบของโซลิแทร์ไว้ บิดตัวเพื่อจะปลดอาวุธออกจากมือของอีกฝ่าย แต่โซลิแทร์ไม่ได้ฝืนไว้ เขาก้าวขยับไปตามการบิดตัวของเดลิลวาส ทำให้ข้อมือของเขายังจับดาบในรูปแบบเก่า ในเมื่อใบดาบของเขาถูกสองดาบของเดลิลวาสประกบซ้ายขวา เขาก็กระชากดาบออกทางด้านบน ไปอยู่ในท่าจับดาบเงื้อขึ้นเหนือศีรษะ แล้วสับลงมาเต็มเหนี่ยว เดลิลวาสต้องกระโดดหลบไปข้างๆ ขายกเตะใส่โซลิแทร์ โซลิแทร์ยกเข่าเบี่ยงขาของอีกฝ่ายออกไป แล้วหมุนตัวเข้าไปฟันสนับศอกซ้ายติดเงี่ยงแหลมตอบโต้ เดลิลวาสยกสนับแขนกันไว้ได้ ทำให้โซลิแทร์อยู่ในลักษณะหันหลังเกือบชิดตัวเขา แขนอีกข้างของเดลิลวาสอ้อมดาบโอบคอโซลิแทร์เพื่อจะเชือดคอ โซลิแทร์ขยับดาบมาตั้งเป็นมุมฉากขวางไว้ เดลิลวาสพยายามงัดดาบให้เข้ามาใกล้คอของโซลิแทร์ โซลิแทร์รู้ว่าอีกฝ่ายแข็งแรงกว่า เขางัดพลังสู้ด้วยไม่ไหวแน่ การยืนของเดลิลวาสในตอนนี้งอเข่าเล็กน้อยเพื่อทรงตัวให้มั่นคง โซลิแทร์จึงยกเท้าข้างหนึ่งไปข้างหลัง เหยียบเข่าข้างที่งอของเดลิลวาส แล้วถีบตัวกระโดดตีลังกาหลุดจากคมดาบของอีกฝ่าย ข้ามหัวไปอยู่ข้างหลัง เสี้ยววินาทีก่อนที่เท้าจะแตะถึงพื้น สองมือก็จับดาบเงื้อขึ้นเหนือศีรษะ แล้วฟันลงมาเป็นแนวตรงตั้งฉากแบบที่ใช้พิชิตกัปตันโพรเฟด เดลิลวาสรีบหันมายกสองดาบไขว้เป็นกากบาทรับไว้เหนือศีรษะ ยังไวกว่ากัปตันโพรเฟด เท้ายกถีบโซลิแทร์หงายหลังล้มลงไป โซลิแทร์อาศัยแรงถีบส่งตัวเองม้วนหลังลุกขึ้นมายืน แล้วกระโดดม้วนหน้าบุกเข้าแทงดาบใส่เดลิลวาสในท่าคุกเข่า เดลิลวาสกระโดดหลบไปข้างๆ แล้วก็ต้องกระโดดตีลังกาหลบอีกครั้งเมื่อโซลิแทร์กวาดดาบตามมา ดาบของโซลิแทร์เป็นดาบยาว รัศมีฟันกว้าง ต้องหลบให้ไกลกว่าปกติ

          เดลิลวาสก้าวเท้าแทงดาบเล่มหนึ่งและฟันดาบอีกเล่มหนึ่งใส่โซลิแทร์ โซลิแทร์ขยับดาบปัดป้องได้สองจังหวะติดกัน หมุนตัวสะบัดผ้าคลุมบังหน้าเดลิลวาสและแทงดาบลอดใต้ผ้าคลุมไป เดลิลวาสปัดป้องในลักษณะติดขัดเล็กน้อย การสะบัดผ้าคลุมพร้อมกับเหวี่ยงดาบนั้นทำให้คู่ต่อสู้มองไม่ค่อยเห็นทิศทางของดาบ โซลิแทร์จึงทั้งฟันแทงและสะบัดผ้าคลุมกระหน่ำโจมตีอีกฝ่าย เดลิลวาสทั้งปัดป้องทั้งหลบหลีกเป็นพัลวัน สายตาต้องไวเพราะดาบของโซลิแทร์จะโผล่พ้นผ้าคลุมออกมาเพียงเสี้ยววินาทีสุดท้าย การต่อสู้ในครั้งนี้โซลิแทร์ดูจะเคลื่อนไหวได้เร็วกว่าครั้งที่ผ่านมา คงเพราะประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้นในสนามรบ อย่างไรก็ตาม เซ็ทซาร์ดผู้เกรียงไกรก็ยังไวพอที่จะรับมือได้ตลอด

          แล้วในจังหวะหนึ่ง เดลิลวาสก็ได้โอกาสกวาดขาขัดขาของโซลิแทร์ล้มลงไป

          ยังไม่ทันจะทำอะไรต่อ โซลิแทร์ก็ใช้ขาเกี่ยวขาเดลิลวาสล้มลงมานอนข้างๆ กันทั้งคู่ฟันดาบต่อสู้กันในท่าที่พอจะเหวี่ยงดาบใส่กันได้ทั้งที่ยังนอนอยู่บนพื้น โซลิแทร์กลิ้งตัวหลบคมดาบของเดลิลวาสและลุกขึ้นยืนเดลิลวาสดีดตัวลุกขึ้นยืน แล้วทั้งคู่ก็เข้าประดาบกันต่อ

          โซลิแทร์แทงดาบใส่เดลิลวาส เดลิลวาสกระโดดตีลังกาข้ามหัวหลบ ทันทีที่ลงถึงพื้นก็กระโดดหมุนตัวสองรอบและแกว่งดาบรอบตัวเป็นกงจักรเข้าหาโซลิแทร์ โซลิแทร์คุกเข่าแอ่นตัวหลบด้วยท่ากึ่งสะพานโค้ง หันกลับไปตวัดดาบใส่ขาของเดลิลวาสอย่างทันท่วงที เดลิลวาสกระโดดยกขาหลบ จังหวะที่ลงมาก็สับสองดาบลงมาใส่โซลิแทร์ โซลิแทร์ม้วนตัวหลบไปข้างๆ แล้วลุกขึ้นยืน โผเข้ามาระดมแทงดาบใส่เดลิลวาสสี่จังหวะด้วยความเร็วสูง เดลิลวาสเดินถอยหลังปัดป้องได้ทั้งสี่จังหวะ

          โซลิแทร์รุกต่อด้วยการหมุนตัวเข้าหาพร้อมกับกวาดดาบรอบตัว เดลิลวาสกระโดดถอยหลังหลบ ทันทีที่หมุนครบรอบ โซลิแทร์ก็กระโดดลอยตัวขึ้นแล้วสับดาบลงมาอย่างหนักหน่วง เดลิลวาสยกดาบขวากำบังเหนือศีรษะ ดาบซ้ายแทงเข้าทางหน้าอกโซลิแทร์ โซลิแทร์ใช้สนับแขนซ้ายปัดป้องออกไป มือขวาที่จับดาบแกว่งดาบย้อนกลับไปข้างหลังแล้วเสยคมใส่เดลิลวาสจากด้านล่าง เดลิลวาสกระโดดตีลังกาถอยหลังหลบ แล้วกระโดดเข้ามาฟันสองดาบใส่เป็นกากบาท โซลิแทร์ยกสนับแขนสองข้างกันคมดาบไว้ได้ทั้งสองเล่ม ดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ที่อยู่ในมือขวาขยับปาดไปทางคอหอยเดลิลวาสทันที เดลิลวาสทำท่ากึ่งสะพานโค้งหลบ กลับขึ้นมายืนตัวตรงและควงดาบเล่มหนึ่งแทงใส่โซลิแทร์ โซลิแทร์ใช้ดาบปัดป้องออกไปและแทงสวนกลับ เดลิลวาสเบี่ยงตัวหลบแล้วแทงดาบอีกเล่ม โซลิแทร์ปัดป้องด้วยสนับแขนแล้วควงดาบกระแทกด้ามใส่ในจังหวะแรก กวาดดาบปาดใส่ในจังหวะที่สอง เดลิลวาสหลบได้ทั้งสองจังหวะ ใช้ดาบกระแทกดาบของโซลิแทร์ให้ปัดออกนอกทิศทาง ดาบอีกเล่มตวัดฟันบีบให้โซลิแทร์ขยับหลบมาอยู่ตรงหน้า แล้วกระโดดแทงเข่ากระแทกใส่อกเสื้อเกราะของโซลิแทร์ สนับเข่าโลหะกระแทกกับเกล็ดเอเลนเซฟเวอรี่เคลือบโลหะดังโครม โซลิแทร์เสียหลักหงายล้มลงไป

          เดลิลวาสกระโดดแทงดาบซ้ำใส่ โซลิแทร์กลิ้งตัวหลบลุกขึ้นยืน เดลิลวาสเหวี่ยงดาบตามมา โซลิแทร์ขยับหลบแล้วแทงดาบใส่ เดลิลวาสหมุนตัวปัดป้องด้วยดาบซ้าย แล้วฟันใส่ด้วยดาบขวา โซลิแทร์ก้มหัวหลบแทบไม่ทัน เดลิลวาสตรงเข้ามาฟันใส่อีก โซลิแทร์ถอยหลังหลบ แล้วก้าวไปข้างหน้า อาศัยดาบที่ยาวกว่าแทงสวนกลับ แต่ครั้งนี้ กลับกลายเป็นการเปิดโอกาสให้เดลิลวาสได้ใช้กลยุทธ์ที่เคยเอาชนะโซลิแทร์มาแล้วถึงสองครั้ง ด้วยความรวดเร็ว เดลิลวาสประสานดาบสองเล่มเป็นกากบาทคว่ำ กดดาบของโซลิแทร์ให้เฉียงลงพื้น โซลิแทร์เสียหลักเซไปข้างหน้า แล้วขาข้างหนึ่งของเดลิลวาสก็ยกเตะใส่ในมุมสูง เป้าหมายคือข้างศีรษะของโซลิแทร์

          ยามที่เรากำลังเผชิญกับความยากลำบากนั้น เรามักจะนึกถึงเพื่อนขึ้นมาเสมอ ในวินาทีนั้น คำพูดประโยคหนึ่งของกอร์รินย้อนเข้ามาในหัวของโซลิแทร์

          “บางสิ่ง อาจหนักหนาเกินกว่าที่เราจะแบกรับไหว แต่เราก็ยังสามารถรับมือกับมันได้ ด้วยการงัด”

          เสี้ยววินาทีก่อนที่ขาของเดลิลวาสจะมาถึงศีรษะของโซลิแทร์ โซลิแทร์ก็ย่อตัวคุกเข่าลงข้างหนึ่งหลบได้อย่างหวุดหวิด พร้อมกันนั้น สองมือก็กดด้ามดาบลง ให้เข่าที่ชันขึ้นรองอยู่ใต้ด้านแบนของใบดาบ เหมือนใช้ดาบเป็นคานงัดโดยใช้เข่าเป็นแกนงัด สองดาบของเดลิลวาสที่ประสานเป็นกากบาทคว่ำกดปลายดาบของโซลิแทร์อยู่นั้น ถูกงัดยกขึ้น แรงงัดทำให้เดลิลวาสที่ยืนขาเดียวอยู่ในจังหวะนั้นเซเสียหลักถอย ซึ่งปลายดาบของโซลิแทร์ก็ขึ้นมาอยู่ระดับเดียวกับหน้าอกของเดลิลวาสพอดี โซลิแทร์ลุกขึ้นยืน แทงดาบไปข้างหน้าด้วยมือขวาสุดแขน ดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ส่วนปลายแทงเข้าที่อกเสื้อเกราะของเดลิลวาส ประกายไฟฟ้าสว่างวาบ ปลายดาบทะลุออกข้างหลัง

          โซลิแทร์ถอนดาบกลับมา เดลิลวาสยืนค้างอยู่ชั่วครู่ บาดแผลมีประกายไฟฟ้าชั่ววินาที แล้วเขาก็ล้มหงายลงไปสิ้นชีวิตบนพื้น ร่างลุกติดเป็นไฟสลายหายไป

          ในที่สุด ด้วยการช่วยเหลือจากกองทัพเอเลนเซฟเวอรี่พวกเอลิลที่เหลืออยู่ก็แตกทัพกระจัดกระจายถอยหนีไปคนละทิศละทาง พวกฟอเรสเทอร์เป็นฝ่ายชนะ รักษาเมืองไว้ได้ ทุกคนไชโยโห่ร้องด้วยความดีใจ อาร์ทูมิสและพวกแพทย์สนามต่างออกมาสวมกอดยินดีกับพวกนักรบ เสาธงประจำเผ่าพันธุ์ฟอเรสเทอร์ที่ล้มลงไปถูกจับตั้งขึ้นใหม่ทีละตัว มันโบกสะบัดเป็นแนวสีเขียวอย่างสวยงาม ท่ามกลางท้องฟ้ามืดครึ้มที่เต็มไปด้วยฝูงเอเลนเซฟเวอรี่และมีประกายสายฟ้าสาดแสงเป็นระยะ

          เซ็นแวนเดอร์ที่กึ่งนั่งกึ่งนอนซบอยู่ที่เสาธงประจำเผ่าพันธุ์ตัวหนึ่งนั้นมองไปรอบๆ อย่างเหนื่อยล้า เขาเห็นไมริฟพยุงกอร์รินให้ลุกขึ้นยืน เห็นแต่ละคนที่ยืนอยู่ช่วยดึงมือคนที่ล้มลงไปให้ลุกขึ้นยืนไม่ว่าจะเป็นฟอเรสเทอร์ โฮเซ่ หรือดาร์คเนสดีวิล สิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันคือมิตรภาพที่ดีต่อกัน บางครั้ง เราก็ต้องเผชิญกับความยากลำบากแสนสาหัสจนล้มลุกคลุกคลาน แต่หากเรามีเพื่อน อย่างน้อย เราก็รู้ว่าไม่ได้ถูกทิ้งอย่างโดดเดี่ยว ยามที่เราล้มลงไป ยังมีใครสักคนช่วยดึงมือเราให้ลุกขึ้นยืนเสมอ

          มือที่สวมถุงมือเหล็กสีดำยื่นไปหาเซ็นแวนเดอร์ เซ็นแวนเดอร์เงยหน้ามอง โซลิแทร์ถอดหน้ากากออกแล้วส่งยิ้มให้อย่างจริงใจ

          เซ็นแวนเดอร์เอื้อมมือไปจับมือโซลิแทร์ มือของทั้งคู่จับกันในวินาทีที่บนท้องฟ้ามีแสงสายฟ้าส่องประกาย โซลิแทร์ยิ้มกว้างขึ้นแล้วดึงมือเซ็นแวนเดอร์ให้ลุกขึ้นยืน เซ็นแวนเดอร์เกาะเสาธงเพื่อประคองตัวไม่ให้ล้ม แม้จะโอนเอนเล็กน้อย แต่ก็ยังยืนอยู่ได้

          “ข้าไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรถึงจะพอ” เซ็นแวนเดอร์พูด

          “คนที่ท่านควรขอบคุณมากที่สุด คือตัวท่านเอง ที่ยังไม่สิ้นหวัง ยืนหยัดสู้จนถึงที่สุด ไม่ยอมแพ้” โซลิแทร์กล่าว “ตราบที่ใจของเรายังคงมีความหวัง หนทางจะยังมีเสมอ”

          เซ็นแวนเดอร์ยิ้มให้โซลิแทร์อย่างซาบซึ้ง ไมริฟประคองกอร์รินเดินเข้ามาหาทั้งคู่ ชุดเกราะของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยชำรุด เนื้อตัวบาดเจ็บชโลมไปด้วยเลือดแห้งๆ แต่ใบหน้ามีรอยยิ้มอันแสนสุข

          “ไงแบล็กกี้” กอร์รินทักทาย

          “ไงบราวนี่” โซลิแทร์ทักตอบ

          “ชีวิตข้ามีแต่เรื่องเหลือเชื่อ แต่คงไม่มีครั้งไหนจะเท่าครั้งนี้อีกแล้ว” กอร์รินยิ้มอย่างชื่นบาน

          “อะไรที่ข้าเคยเกลียดกลัว อะไรที่ข้าเคยคิดไม่ดีต่อพวกเอเลนเซฟเวอรี่ ข้าขอเปลี่ยนใหม่ทุกอย่าง” ไมริฟเงยหน้ามองฝูงเอเลนเซฟเวอรี่ที่บินอยู่เต็มท้องฟ้าอย่างรักใคร่ เกราะสีดำของพวกมันสะท้อนแสงสายฟ้าเป็นระยะ “พวกมันอาจดูน่ากลัว ป่าเถื่อน แข็งกระด้าง แต่ความจริงแล้วพวกมันดีที่สุดเลย”

          “เหมือนปีศาจ” กอร์รินจับไหล่โซลิแทร์

          “ขอบคุณ” โซลิแทร์ยิ้มให้เขา

          “ขอบคุณท่านต่างหาก” ไมริฟแก้ไข “ที่ช่วยกาโกคอลไว้”

          “ข้าคงไม่สามารถช่วยได้ หากพวกท่านไม่ยืนหยัดต่อสู้รักษามาได้ถึงขนาดนี้” โซลิแทร์บอก “เราทุกคนช่วยกาโกคอล เราทุกคนช่วยกันชนะสงคราม”  

          “โดยมีเจ้าจุดประกายความหวังให้แก่เรา” เซ็นแวนเดอร์พูด “เป็นสายฟ้าที่ส่องแสง ท่ามกลางพายุอันมืดมัว ให้เราได้มองเห็นความหวัง และมีพลังที่จะยืนหยัดต่อไป”

          “สายฟ้า” กอร์รินจับไหล่โซลิแทร์

          “สายฟ้า” ไมริฟจับไหล่โซลิแทร์อีกข้าง

          ฟอเรสเทอร์คนอื่นๆ ต่างพากันเข้ามาหาโซลิแทร์อย่างเนืองแน่น ทั้งชื่นชม ซาบซึ้ง และรักใคร่โซลิแทร์ยิ้มอย่างมีความสุข ชื่อของเขาอาจออกเสียงคล้ายกับคำว่าโดดเดี่ยว แต่สิ่งที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้ มันตรงข้ามกับคำว่าโดดเดี่ยวยิ่งนัก วินาทีนี้ปีศาจหนุ่มคนนี้คือวีรบุรุษ คือมิตรแท้คือสายฟ้าที่ส่องแสงแห่งความหวังให้แก่ทุกคน

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา