พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  43 บท
  0 วิจารณ์
  32.92K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2560 21.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) บทที่ 7 ชำระแค้น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 7

ชำระแค้น

 

                หากจะกล่าวถึงบรรดาเมืองสวยงามในอาณาจักรโมราโซมอส เมืองเซร่าถือเป็นหนึ่งในเมืองที่สวยงามที่สุด และเป็นหนึ่งในสองเมืองลูกหลวงแห่งอาณาจักรโมราโซมอส ทุกคนรู้จักเมืองนี้ในนามเมืองแห่งเทพนิยาย เพราะเป็นเมืองที่จำลองนิทานแทบทุกเรื่อง ทั้งโครงสร้างเมือง รูปร่างอาคารในเมือง การประดับตกแต่ง ศิลปะ จิตกรรม ประติมากรรม พืชพรรณในเมือง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเก็บรายละเอียดมาจากนิทานก่อนนอนของเด็กๆ ทั้งสิ้น ไม่แปลกใจที่บรรดาผู้มาเยือนจะกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า “ช่างเป็นเมืองที่แสนจะโรแมนติกอะไรเช่นนี้” เด็กๆ ในเมืองล้วนมีสุขภาพจิตดี มีหน้าตาผ่องใส เพราะเติบโตมากับจินตนาการอันงดงาม ความเจิดจรัสของเมือง สภาพแวดล้อมอันน่าอยู่ ระดับอาชญากรรมต่ำ และความห่างไกลจากมลพิษทางการเมือง ส่งผลให้ประชาชนในเมืองนี้อยู่กันอย่างสันติสุข ควบคู่ไปกับจินตนาการอันสวยงามรอบตัว

                อาร์รอส ไอวิวรี่ หลานชายของพระราชาคือผู้ปกครองเมืองนี้ เขามีวังอันแสนสวยงามอยู่กลางเมือง วังที่ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์รวมแห่งเทพนิยาย ทุกสิ่งในวังล้วนเก็บรายละเอียดยิบย่อยจากนิทาน จึงมักถูกใช้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองอยู่เสมอ ในวังแห่งนี้มีหอคอยดูดาวที่สวยงามสูงเสียดฟ้า บริเวณยอดหอคอยมีเมฆขาวบริสุทธิ์ก้อนหนึ่งแผ่ล้อมอยู่ มันไม่เคยลอยไปไหนเลย ไม่เคยเปลี่ยนรูปร่าง และก็ไม่ได้ลอยสูงในระดับของเมฆทั่วไปด้วย ราวกับมันเป็นส่วนหนึ่งของหอคอย ไม่ได้เป็นเมฆเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแน่นอน อย่างน้อยเมฆที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติก็ไม่สามารถให้คนขึ้นไปยืนได้ เหมือนเมฆก้อนนี้

                เด็กสาวร่างเพรียวบางในชุดกระโปรงยาวสีแดง กำลังยืนอยู่ที่ขอบเมฆ มองลงไปยังวิวทิวทัศน์อันงดงามของเมืองเบื้องล่าง สีแดงของชุดนั้นเข้ากับผิวขาวสะอาดของเธอยิ่งนัก ยิ่งอาบไล้ด้วยแสงแดดอ่อนๆ ยิ่งทำให้มันดูผุดผ่อง ผมสีน้ำตาลทองหยักศกของเธอปลิวเบาๆ อยู่ที่บ่าและหลัง ตามแรงลมเอื่อยๆ มันสะท้อนแสงแดดเป็นเงา

                ประตูหอคอยด้านหลังเธอเปิดออก เธอหันไปมอง อาร์รอส ไอวิวรี่ส่งยิ้มให้เธอขณะก้าวเหยียบลงมาบนเมฆ ตอนนี้เขาอายุค่อนข้างเยอะแล้ว แต่เขาดูหนุ่มกว่าคนวัยเดียวกันอย่างไร้ข้อกังขา ความหล่อเหลาไม่ได้ลดลงไปมากนัก รอยเหี่ยวย่นแทบไม่มี ผมสีน้ำตาลทองยังดกหนายาวประบ่า ใบหน้ามีสีสัน กล้ามเนื้อล่ำสันเหมือนเดิม

                “ยิ่งลูกโตขึ้น พ่อว่าลูกยิ่งเหมือนเจ้าหญิงในเทพนิยายมากขึ้นทุกวัน” เขาพูด “แม่นางฟ้าของพ่อ”

                ซอร์โรร่า ไอวิวรี่ยิ้มอย่างสดใส แก้มสองข้างเป็นสีชมพู เธออายุสามสิบสองปี แต่อยู่ในวัยสิบเจ็ดปี ด้วยฤทธิ์ยาหยุดที่เคยดื่มเมื่อตอนแปดขวบ อีกไม่นานก็จะเป็นสาวเต็มตัว ผิวเธอเปล่งปลั่ง ใบหน้าเรียวได้รูป คิ้วเรียวคม ปากแดงเป็นธรรมชาติ ดวงตาสีน้ำตาลยังคงมีแววตาแห่งความเมตตาเช่นเดิม มันทำให้รอยยิ้มของเธอดูเป็นมิตรจริงใจ

                “ถ้าเป็นเจ้าหญิงในเทพนิยาย ก็คงดีกว่าเจ้าหญิงในโลกความจริงล่ะค่ะ” เด็กสาวพูดด้วยเสียงเล็กใส “อย่างน้อยเจ้าหญิงในเทพนิยาย ก็ไม่ต้องถูกคุกคามความสงบจากอำนาจการเมือง”

                “จึงนับว่าเป็นเรื่องดีที่ลูกไม่ใช่เจ้าหญิง คุณย่าของลูกต่างหากที่เป็น และพ่อกล้าพูดได้ว่า มันไม่ได้ทำให้เธอมีความสุขนักหรอก แม้เธอจะไม่กล้ายอมรับก็ตาม” อาร์รอสเดินเข้ามาลูบศีรษะลูกสาว “คนที่เชื่อว่าลาภยศ เงินทอง อำนาจ ความหรูหราเป็นสิ่งสำคัญที่สุด มักไม่เคยสัมผัสความรู้สึกเป็นสุขอย่างแท้จริง สิ่งเหล่านั้นมันต้องสร้างจากการพึ่งพาหรือควบคุมผู้อื่น ซึ่งเราไม่สามารถทำอย่างนั้นได้นานนัก สักวัน เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป เราจะอยู่อย่างลำบาก ฉะนั้นจงเป็นอย่างที่ลูกเป็นซอร์โรร่า ใครจะคิดยังไงกับลูกก็ช่างเขา ลูกไม่ได้ต้องการพึ่งพาหรือควบคุมพวกนั้นไม่ใช่หรือ”

                “พ่อรู้เรื่องที่พวกหนุ่มสาวมนุษย์ไม่ค่อยอยากจะคบหาข้าแล้ว” เด็กสาวยิ้มอย่างรู้ทัน “เพราะข้าทำตัวไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไป เพราะข้าสนใจคลั่งไคล้ทุกอย่างที่เป็นดาร์คเนสดีวิล”

                “มนุษย์พวกนั้นไม่อยากคบลูก เพราะลูกประเสริฐกว่าพวกนั้น” อาร์รอสแก้ไข “ลูกเป็นมนุษย์คนเดียวที่ละอายใจและเห็นอกเห็นใจต่อผู้ที่ต้องแบกรับความโหดเหี้ยมของมนุษย์เรา ขณะที่มนุษย์ผู้น่าคบคนอื่นๆ ดูจะไม่มีความคิดแบบนี้ในหัวเลย”

                “ตอนนี้มนุษย์เหล่านั้นตั้งฉายาให้ข้าว่านางฟ้าปีศาจ” ซอร์โรร่าพึมพำ “อย่างกับว่าข้าจะอับอาย มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ข้าเคยได้รับจากพวกนั้นด้วยซ้ำ”  

                “พ่อไม่เคยเห็นมนุษย์คนใดมีความเป็นมิตรต่อปีศาจมากเท่าลูกมาก่อน ลูกสนใจทุกอย่างที่เป็นปีศาจ ตอนเด็กๆ ก็ร้องไห้โวยวายเมื่อพ่อเล่านิทานที่ปีศาจเป็นฝ่ายถูกปราบให้ฟัง” อาร์รอสหัวเราะอย่างเอ็นดู

                “ตอนนี้พวกเขาก็กำลังจะถูกปราบจริงๆ แล้วนี่คะ กัปตันเท็มเปิลกำลังนำทัพมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล” ซอร์โรร่าพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง “จากขนาดของกองทัพและอาวุธหนักที่นำไปด้วย พวกเขาคงไม่สนใจว่าพวกดาร์คเนสดีวิลจะบาดเจ็บล้มตายแค่ไหน นี่มันยุติธรรมแล้วหรือคะ”

                “พระราชาเกลียดคนแข็งข้อ และพระองค์ก็ไม่คิดจะปรานีในการจัดการกับคนเหล่านั้น” อาร์รอสถอนหายใจ “พ่อรู้ว่าลูกไม่อยากให้เป็นแบบนี้ พ่อก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ แต่เราไม่อาจทำอะไรเพื่อหยุดยั้งได้ ความเอื้ออาทรที่เรามีต่อพวกดาร์คเนสดีวิลนั้น ทำให้มนุษย์คนอื่นๆ มองเราในแง่ลบเรื่อยๆ พ่อยังไม่เดือดร้อนมากเพราะไม่ได้แสดงการเข้าข้างพวกดาร์คเนสดีวิลมากเกินไป ก็แค่ไม่ได้รับการโปรดปรานจากพระราชาเท่าแม็ค แรคแทนทิน ลูกพี่ลูกน้องของพ่อ รัชทายาทอันดับสองอีกคนหนึ่ง แต่ลูกสาวของพ่อนี่สิน่าสงสาร” อาร์รอสลูบแก้มซอร์โรร่า “พระราชาใจร้ายนัก ที่สั่งห้ามไม่ให้ลูกเข้าไปในท้องพระโรงของพระองค์เป็นเวลาสองปี เพื่อกันไม่ให้ลูกได้พูดจาสนับสนุนพวกดาร์คเนสดีวิลให้พระองค์ระคายหู มันค่อนข้างหยามศักดิ์ศรีในเชิงสร้างความอับอาย ที่แย่กว่านั้นคือ พ่อไม่มีอำนาจเพียงพอจะตำหนิพระองค์ด้วย”

                “ข้าไม่เห็นจะอยากไปเหยียบท้องพระโรงอันศักดิ์สิทธิ์ แต่สร้างขึ้นด้วยแรงงาน ความเจ็บปวด และชีวิตของคนนับล้าน” ซอร์โรร่าพูดอย่างมีอารมณ์ “ในนั้นมีแต่พวกนักปกครองที่คอยแต่แสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเอง ประชุมกันทีไรก็เถียงเรื่องผลประโยชน์กันหน้าดำหน้าแดงยิ่งว่านักเลงข้างถนน พระราชาเองก็ไม่เคยกลัวว่าหลอดคอเหี่ยวๆ ของพระองค์จะแตกเลย แม้แต่พ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ในตลาดเมืองเนพเพอร์ก็คงยกนิ้วให้ ข้าไม่สนใจว่าพระองค์จะหยามศักดิ์ศรีข้าในเรื่องนี้หรอกค่ะ ศักดิ์ศรีในราชสำนักไม่ใช่สิ่งที่ข้าใส่ใจ มันมีไว้สำหรับคนที่ชอบคุกคามชีวิตผู้อื่น คนที่ข้าไม่มีวันจะยอมเป็น”

                “อย่างไรก็ตาม ลูกก็ไม่ควรไปโต้แย้งพระราชา และพูดประโยคเชิงถากถางแบบนั้นบ่อยๆ นะ” อาร์รอสเตือน “มันจะก่อภัยต่อลูกได้”

                “เขาคิดว่าเป็นพระราชาแล้วทำอะไรก็ไม่ผิดอย่างนั้นหรือคะ เขาเป็นเทพเจ้ามาจากไหน เขามีอะไรพิเศษกว่ามนุษย์ทั่วไปอย่างนั้นหรือ” ซอร์โรร่าพูดอย่างเผ็ดร้อน “เขาก็มนุษย์ที่เดินบนดิน กินอาหาร และต้องนอนหลับต้องหายใจเหมือนเราสองคนนี่แหละ อาจต่างแค่งี่เง่ากว่าและขี้โมโหมากกว่า”

                “สัญญากับพ่อนะ ว่าจะพูดแบบนี้ให้ห่างจากหูพระองค์มากที่สุด” อาร์รอสขอร้อง แต่ก็อดขำไม่ได้ “อย่างไรก็ตาม เขาก็เป็นพี่ชายของย่าลูก และเป็นคนที่มีอำนาจพอจะทำให้เราสองคนเดือดร้อนได้ ถึงอย่างไรลูกก็ควรระมัดระวังเวลาอยู่ในรัศมีหูตาของเขา”

                “ที่ข้าควรทำ ก็แค่ทนให้พวกเขาทารุณกรรมและเหยียบย่ำพวกดาร์คเนสดีวิลหนักกว่าที่เคยทำใช่ไหมคะ” ซอร์โรร่าพูดอย่างหมดหวัง

                “ได้แต่หวังว่าศึกครั้งนี้ พวกดาร์คเนสดีวิลจะไม่ตายกันมาก แล้วหลังจากนั้นก็จะไม่ถูกทารุณกดขี่หนักกว่าเดิมนัก” อาร์รอสพูดเสียงเบา

                “พระราชามีโครงการจะสร้างฐานทัพไว้ที่โฟรเซ็นทิเนล เพื่อใช้ควบคุมพวกดาร์คเนสดีวิลอย่างจริงจัง รวมทั้งเตรียมร่างมาตรการใหม่ๆ ที่จะใช้จัดระเบียบพวกดาร์คเนสดีวิล ให้มีช่องทางแข็งข้อให้น้อยที่สุด มั่นใจได้ว่าพวกดาร์คเนสดีวิลถูกทารุณหนักกว่าเดิมมากแน่ค่ะ” ซอร์โรร่าพูด

                อาร์รอสถอนหายใจ ที่ลูกสาวพูดนั้นเป็นความจริง เขาไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากตบแก้มปลอบใจเธอเบาๆ  ซอร์โรร่าเป็นมนุษย์ที่ไม่เหมือนใคร เธอมีความเอื้ออาทรต่อพวกดาร์คเนสดีวิลอย่างที่ตัวเขาหรือมนุษย์คนใดไม่มีวันมีได้ เขารู้ว่าเมื่อพวกดาร์คเนสดีวิลต้องทนทุกข์ทรมาน มันจะทำให้เธอเจ็บปวด

                “ในดาวดวงนี้มีแต่สิ่งที่ขาดความยุติธรรม ซึ่งสิ่งที่ไร้ความยุติธรรมที่สุดคือโชคชะตา” อาร์รอสกล่าว “มันไม่เคยเข้าข้างพวกดาร์คเนสดีวิลเลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาได้มา ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกพวกมี ล้วนได้มาจากการต่อสู้ฝ่าฝัน ความอดทน และการพยายามฝืนโชคชะตาอันน่าสมเพชของตนเอง”

                “โชคดีไม่เคยเข้าข้างปีศาจ นั่นคือภาษิตที่กล่าวกันมาแต่โบราณ” ซอร์โรร่ากระซิบ

                “มีแต่คนอ่อนแอเท่านั้นที่ฝากความหวังไว้กับโชคชะตา” อาร์รอสพูดให้กำลังใจลูกสาว “ชัยชนะไม่ได้หมายถึงความเข้มแข็ง มันอาจเกิดเพราะความโชคดี แต่คนที่ยืนหยัดจนพ่ายแพ้ต่างหากที่เข้มแข็งอย่างแท้จริง ลูกจำได้ใช่ไหม ว่าอะไรทำให้เผ่าพันธุ์ที่เก่งที่สุดอย่างเฟลมฟอร์สถูกทำลายลง”

                “จำได้ค่ะ และก็จะไม่มีวันลืม”

                “พ่ออยากให้ลูกเข้มแข็งบ้าง” อาร์รอสลูบศีรษะซอร์โรร่า “แล้วโชคชะตาจะทำลูกเจ็บได้น้อยลง”

                เขาจูบกระหม่อมเธอ แล้วเดินออกจากก้อนเมฆลงจากหอคอยเพื่อให้เธอได้ใจลอยคนเดียวต่อไป ซอร์โรร่าหันกลับไปมองทิวทัศน์อีกครั้ง มือทั้งสองกุมเศษผ้าสีดำยาวๆ ชิ้นหนึ่ง มันเป็นเศษผ้าที่เพื่อนปีศาจตัวน้อยคนหนึ่งได้นำมาพันแผลให้เธอ นานแสนนานมาแล้ว

 

*****************

 

                กัปตันเท็มเปิลและกองทัพมนุษย์เคลื่อนพลเข้าเขตอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลในยามสาย พื้นหิมะมากมายไปด้วยรอยเท้า รอยเกือกม้า และรอยล้อเลื่อนปืนใหญ่ อากาศที่นี่ยังคงหนาวเสมอต้นเสมอปลาย แสงก็ทึบๆ ทึมๆ แม้จะไม่มีหิมะตก มองไปทางไหนก็มีแต่หิมะกับภูเขาน้ำแข็ง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมนุษย์ถึงไม่อยากเข้ามาในอาณาจักรนี้นัก มันไม่มีอะไรน่าอยู่ ทั้งหนาว ทั้งแล้ง ทั้งมืดทึม ชวนให้หดหู่ ทหารอัศวินแต่ละคนสวมเสื้อคลุมขนสัตว์หนาทับชุดเกราะ หายใจออกมาเป็นควันขาว กัปตันเท็มเปิลสวมชุดเกราะหนาสีแดงทองและสวมเสื้อคลุมขนสัตว์ทับชุดเกราะเช่นเดียวกับพวกอัศวิน หมวกเกราะของเขามีพู่สีแดงห้อยย้อยลงมาเป็นหางม้าอย่างสง่างาม มือขวาถือทวนอัศวิน มือซ้ายถือบังเหียนม้า ดาบสองคมคาดอยู่ที่เข็มขัด โล่เหล็กขนาดกลางแขวนอยู่ที่อานม้า วันนี้เขาจะปราบปรามการแข็งข้อของพวกดาร์คเนสดีวิล พวกปีศาจจะรู้ซึ้งว่ากองทัพที่เปี่ยมไปด้วยแสนยานุภาพนั้น เป็นยังไง

          “เรากำลังอยู่ในพื้นที่ของเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลด หน้าด่านของอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล เราจะเข้าตีเมืองนี้เพื่อเปิดเส้นทางไปยังเมืองอื่นๆ” กัปตันเท็มเปิลหันไปกล่าวแก่พวกทหารลาดตระเวน “อย่างไรก็ตาม ข้ารู้สึกว่ามันเงียบมาก จนป่านนี้ยังไม่เห็นดาร์คเนสดีวิลสักคน พวกเจ้าไปตรวจตราพื้นที่โดยรอบ หากพบเห็นอะไรผิดสังเกต ให้กลับมาแจ้งแก่ข้า”

                พวกทหารลาดตระเวนโค้งศีรษะรับคำสั่ง แล้วขี่ม้าลุยหิมะแยกออกไปอีกทาง พวกนั้นมีประมาณสิบคน นับว่าเป็นกลุ่มลาดตระเวนที่มีขนาดใหญ่ทีเดียว อีกทั้งมีอาวุธครบมือ ดาบโล่มีพร้อม

          “อย่างน้อยวันนี้อากาศก็ไม่แย่นัก” กัปตันเท็มเปิลเงยหน้ามองฟ้า “หิมะไม่ตก อากาศไม่หนาวมาก”  

          “ท่านเข้าใจผิดแล้ว” อัศวินที่อยู่ใกล้ที่สุดพูด “ข้ากำลังจะกลายเป็นน้ำแข็ง มือไม้ชาไปหมด ไม่อยากเชื่อเลยว่าพวกดาร์คเนสดีวิลจะอยู่ที่นี่กันได้”

          “หากพระราชาได้ยินที่เจ้าพูด เจ้าจะหนาวกว่านี้แน่” กัปตันเท็มเปิลพูดเสียงต่ำ

                อัศวินคนนั้นหุบปากเงียบ ไม่พูดอะไรต่ออีกตลอดการเดินทาง  นานๆ ครั้งจะมีสัตว์ปรากฏให้เห็นบ้าง พวกแมวน้ำน้ำจืดนอนผึ่งพุงอยู่ริมทะเลสาบที่กลายเป็นน้ำแข็งครึ่งหนึ่ง พวกนกเพนกวินน้ำจืดรวมฝูงกันอยู่ริมแม่น้ำเย็นเฉียบ และกระโดดหนีลงน้ำเมื่อเห็นกองทัพมนุษย์ผ่านมา ธรรมชาติและการดำรงชีวิตของสัตว์พวกนี้ไม่มีอะไรเหมือนกับชนิดที่พบในอาณาจักรโมราโซมอสเลย กัปตันเท็มเปิลคอยยกกล้องขึ้นมาส่องมองอยู่เป็นระยะ เพื่อมองหาความเคลื่อนไหว แต่ก็ยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวจากฝ่ายตรงข้ามสักนิด เท่าที่เห็นก็แค่พื้นหิมะว่างเปล่า ป่าแห้งแล้งเล็กๆ เป็นกระจุก ภูเขาน้ำและแข็งเนินน้ำแข็ง หน่วยลาดตระเวนยังไม่กลับมา คงยังไม่พบความเคลื่อนไหวใดๆ เช่นกัน

                “เรายังไม่ได้เคลื่อนพลเข้าไปถึงตัวเมือง พวกดาร์คเนสดีวิลคงรวมกันเตรียมรับศึกอยู่ที่นั่น” กัปตันเท็มเปิลบอก “พื้นที่รอบนอกจึงโล่ง ไม่มีปีศาจออกมาเพ่นพ่าน”

          “หรือพวกมันอาจถอยไปเมืองอื่นกันหมดแล้ว” อัศวินคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “อาจสำนึกได้ และกำลังหาทางเสนอข้อตกลงให้เราหยุดยั้งการโจมตี”

          “ไม่มีการหยุดยั้ง ข้าไม่ได้ยกทัพจำนวนมากมายมาฟังคำขอยอมแพ้จากพวกมัน นี่คือการชำระแค้น คือการสั่งสอนให้หลาบจำ” กัปตันเท็มเปิลเสียงแข็ง “แข็งข้อต่อมนุษย์ เป็นสิ่งที่อภัยไม่ได้ จะต้องถูกทำให้อ่อนน้อม ด้วยความแข็งกร้าว”

          พวกเขาเดินทัพมาถึงบริเวณพื้นที่กว้างใหญ่ มีเนินขนาดใหญ่ขนาบอยู่สองข้างทาง หิมะบนพื้นเริ่มหนาขึ้นเรื่อย ทำให้พวกมนุษย์ต้องออกแรงลุยหิมะมากขึ้น ทหารบางคนเริ่มบ่นอย่างเบื่อหน่ายว่าไม่ได้ฆ่าพวกดาร์คเนสดีวิลเสียที ขณะที่บางคนก็ยังพึมพำเกี่ยวกับความหนาวเย็นไม่จบไม่สิ้น

          “หนาวชะมัด” ทหารคนหนึ่งบ่น “ทำไมพวกดาร์คเนสดีวิลถึงไม่ไปอาศัยอยู่ในที่อุ่นกว่านี้นะ”

          “หุบปาก” กัปตันเท็มเปิลตะคอก “ข้าไม่อยากให้พวกดาร์คเนสดีวิลเห็นว่าความหนาวเย็นนั้นเป็นปัญหาต่อกองทัพของข้า กองทัพนี้ต้องดูเก่งกาจ ไม่สะท้านต่ออุปสรรคใดๆ”

          “อย่าห่วงเลยครับกัปตันเท็มเปิล พวกดาร์คเนสดีวิลกระจอกจะตาย พวกมันไม่เคยชนะพวกเราสักครั้ง” ทหารอีกคนพูดบ้าง “ต่อให้หนาวกว่านี้สักสิบเท่า เราก็ฆ่าพวกมันได้สบายๆ”

                สิ้นเสียงทหารคนนั้น เสียงฝีเท้าจำนวนมากย่ำหิมะเบาๆ ก็ดังแว่วมาเข้าหูพวกเขา เป็นเสียงย่ำหิมะที่เบามาก ราวกับย่ำอยู่แค่ส่วนผิวหิมะไม่ได้เหยียบลึกลงไป กัปตันเท็มเปิลพยายามเงี่ยหูฟังว่ามันดังมาจากที่ใด ค่อนข้างเดายาก เพราะเหมือนว่าเสียงไม่ได้ดังมาจากทิศทางเดียว มันดังมาจากสองทิศทาง หากเดาไม่ผิดก็น่าจะมาจากบนเนินเขาที่ขนาบข้างกองทัพของเขาอยู่นี่ล่ะ พวกทหารมนุษย์เริ่มขยับไปจับอาวุธตามสัญชาตญาณ หากเสียงที่ว่านั่นคือพวกดาร์คเนสดีวิล ก็แสดงว่าพวกนั้นเลือกที่จะรวมพลออกมานอกตัวเมือง เลือกที่จะออกมาเผชิญหน้าในพื้นที่โล่ง

          กัปตันเท็มเปิลทำมือให้สัญญาณ พวกทหารมนุษย์ที่แบกบันไดยาวอยู่รีบทิ้งบันได และชักอาวุธออกมาเตรียมไว้ ปืนใหญ่ที่ลากมาด้วยก็ถูกจัดให้หันหน้าไปทางเนินเขาที่ขนาบอยู่สองข้าง บันไดยาวดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ในสถานการณ์เช่นนี้

                “พวกหน่วยลาดตระเวนหายหัวไปไหนกันหมด ข้าศึกอยู่ใกล้ขนาดนี้ ทำไมไม่โผล่มารายงานสักคน” กัปตันเท็มเปิลกัดฟันพึมพำ

                “ดูนั่นสิ” ทหารคนหนึ่งชี้ไปบนเนินที่อยู่ทางซ้าย

                ทุกคนตาค้าง จ้องมองสัตว์ประหลาดสามหัวที่ยืนนิ่งสนิทอยู่บนเนิน มันคือเอเลนเซฟเวอรี่ แต่มีขนาดใหญ่กว่าชนิดปกติเล็กน้อย และเป็นสีดำสนิทแทนที่จะเป็นสีเทาสลับดำ ดวงตาใสว่างเปล่าทั้งสามคู่เปล่งแสงสีน้ำเงินเจิดจ้าแทนที่จะเป็นสีเขียว ทั้งกรงเล็บทั้งสี่ที่เป็นโลหะ ปลายหางที่เป็นโลหะคมกริบรูปลูกศร ทุกส่วนที่เป็นหนามแหลม รวมไปถึงเขี้ยวแหลมคมที่เรียงเป็นระเบียบอยู่ในปากทั้งสาม ล้วนแต่เป็นสีดำสนิททั้งสิ้น ใครที่คิดว่าพวกเอเลนเซฟเวอรี่ประหลาดแล้ว ยังต้องคิดว่าเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้ประหลาดกว่า มันคือตัวอะไร เอเลนเซฟเวอรี่ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว

          เจ้าเอเลนเซฟเวอรี่สีดำตัวนี้เป็นเพียงพาหนะ มีผู้ขับขี่นั่งอยู่บนหลังของมัน เขาสวมผ้าคลุมมีฮู้ดสีดำมิดชิด ที่ปกคลุมแทบทุกส่วนของร่างกาย สวมหน้ากากน่ากลัวสีดำ รองเท้าเหล็กสีดำที่โผล่พ้นชายผ้าคลุมออกมามีลักษณะเหมือนขาเอเลนเซฟเวอรี่ เขานั่งนิ่งอยู่บนอานพาหนะราวกับเป็นสิ่งไม่มีชีวิต ไม่ว่าเขาเป็นใครก็ตาม เขาสามารถควบคุมสัตว์อันตรายสูงอย่างเอเลนเซฟเวอรี่ได้

                “พวกนั้นมันตัวอะไร” อัศวินมนุษย์คนหนึ่งกระซิบ เห็นชัดว่าจัดให้ทั้งสัตว์ร้ายและผู้ขับขี่อยู่ในประเภทเดียวกัน

                อย่างไรก็ตาม เอเลนเซฟเวอรี่สีดำและผู้ขับขี่ในผ้าคลุมหมวกฮู้ดก็ไม่ได้เป็นจุดสนใจอีกต่อไป เนื่องจากมีนักรบในชุดเกราะดำจำนวนมากขี่ม้าจากด้านหลังเนินทยอยขึ้นมาสมทบ กัปตันเท็มเปิลหันซ้ายหันขวา นักรบม้าดำเหล่านี้ปรากฏตัวเต็มเนินที่ขนาบข้างกองทัพมนุษย์ นักรบดาร์คเนสดีวิลในชุดเกราะและมีอาวุธครบมือที่เรียกกันว่าพวกดีเซ็นทรี ขี่ม้าที่แสนจะแปลกประหลาด เหมือนกันทุกตัวคือเป็นสีดำ มีเขาปีศาจสีดำคู่หนึ่งบนหัว ดวงตาเป็นสีแดงว่างเปล่าดั่งทับทิมสีเลือด หางสีดำไม่มีขน แต่มีปลายหางเป็นหัวลูกศร กีบเท้าของพวกมันมีเปลวไฟสีเขียวลุกโชน แต่เปลวไฟกลับไม่ได้สร้างความเสียหายแก่หิมะที่พวกมันเหยียบอยู่แม้แต่น้อย พวกมันไม่หายใจ ไม่ส่งเสียง ไม่ขยับเขยื้อนเกินจำเป็น คงไม่มีชีวิตจิตใจใดๆ ทั้งสิ้น พวกมันสวมเกราะหนาสีดำอย่างดี ติดใบดาบคมๆ ไว้ตามเกราะอกและขาหน้า

                พวกมนุษย์เริ่มวิตกกังวล นี่ไม่ใช่พวกดาร์คเนสดีวิลที่พวกเขาคาดว่าจะพบ ที่ผ่านมานั้นพวกดาร์คเนสดีวิลไม่เคยมีปัจจัยการรบสมบูรณ์ขนาดนี้ พวกนั้นควรจะอ่อนแอ อยู่ในสภาพเสื่อมโทรม และดูสิ้นหวังเหมือนที่เป็นมาตลอด ทำไมจู่ๆ ถึงเปลี่ยนเป็นแบบนี้ได้

                “เตรียมตั้งรับการปะทะจากสองทาง หอกยาวประจำที่อยู่แถวแรก ปืนยาวประทับเล็งอยู่แถวสอง บรรจุกระสุนปืนใหญ่ จุดชนวนทันทีที่ข้าส่งสัญญาณ” กัปตันเท็มเปิลสั่งการ

                พวกมนุษย์จัดแถวตามคำสั่ง พวกดาร์คเนสดีวิลยังคงตั้งแถวสงบนิ่งอยู่บนเนินทั้งสอง คาดคะเนไม่ถูกว่าพวกนั้นมีจำนวนเท่าไหร่ เพราะคงมีอีกส่วนหนึ่งอยู่ด้านหลังเนิน เนินด้านซ้ายมีผู้ขับขี่เอเลนเซฟเวอรี่สวมผ้าคลุมฮู้ดเป็นผู้นำกองกำลัง ส่วนเนินด้านขวามีนักรบปีศาจขี่ม้าคนหนึ่งเป็นผู้นำกองกำลัง เขาสวมเกราะเหมือนดีเซ็นทรีทั่วไป แต่ต่างที่มีจิ้งจอกหิมะสีขาวประดับอยู่บนยอดหมวกเกราะด้านหลังเขาเหล็ก

                “พวกมันรออะไรอยู่” กัปตันเท็มเปิลพึมพำอย่างประสาทเสีย “ทำไมไม่เริ่มโจมตีเสียที”

                โซลิแทร์ แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม ผู้นำสูงสุดแห่งดาร์คเนสดีวิล ผู้ซึ่งสวมผ้าคลุมฮู้ดสีดำและนั่งอยู่บนหลังเอเลนเซฟเวอรี่สีดำนั้น หงายมือทั้งสองที่สวมถุงมือเหล็กและสนับแขนติดกรงเล็บเหล็กขึ้น บางสิ่งที่คล้ายไอน้ำโปร่งใส ถ่ายเทออกมาจากมือทั้งสองผ่านถุงมือเหล็ก มันลอยตัวเป็นสายขึ้นไปบนฟ้า แล้วก่อตัวเป็นเมฆสีเข้มอย่างรวดเร็ว เมฆแผ่ปกคลุมท้องฟ้าบริเวณนั้นจนมืดครึ้ม ลมเริ่มพัดแรงขึ้นจนผิวหิมะบนพื้นปลิวกระจายเล็กน้อย พวกมนุษย์ได้แต่อ้าปากค้าง เงยหน้ามองฟ้า แน่นอนว่าต้องการคำอธิบาย

                บังเกิดฟ้าแลบ เสียงฟ้าคำรามดังสนั่น แล้วสายฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย นี่มันบ้าชัดๆ  ฝนเทลงมาในสภาพอากาศหนาวถึงจุดเยือกแข็ง พวกมนุษย์ทั้งตกใจทั้งหนาวสั่น มันเป็นฝนชนิดไหนก็สุดจะเดาได้ เพราะมันไม่ได้จับตัวเป็นน้ำแข็งกลางอากาศ ทั้งที่อากาศก็แสนจะหนาวเย็น พวกมนุษย์ตัวสั่น บางคนหนาวจนฟันกระทบกัน ทุกคนล้วนเปียกโชกและหนาวถึงกระดูกดำ เสื้อกันหนาวขนสัตว์ถูกถอดทิ้งไปเพราะมันไม่ได้ช่วยอะไรแล้ว

          ความร้ายกาจของฝนชนิดนี้คือ แม้มันไม่ได้จับแข็งกลางอากาศ แต่มันก็เริ่มจับเป็นน้ำแข็งเมื่อตกลงมาอาบพวกมนุษย์แล้ว น่าประหลาดใจที่มันไม่ได้ตกใส่พวกดาร์คเนสดีวิลแม้แต่คนเดียว ขอบเขตของฝนมันไปสิ้นสุดตรงพื้นที่ที่พวกดาร์คเนสดีวิลยืนอยู่ ราวกับเมฆแหว่ง พวกปีศาจจึงตัวแห้งสนิท ขณะที่พวกมนุษย์หนาวสั่น เปียกปอน และจับแข็ง

                “เจ้ามันตัวบ้าอะไรกัน” กัปตันเท็มเปิลคำรามผ่านเสียงฟ้าร้อง มีหยดน้ำที่จับแข็งเกาะเต็มหมวกเกราะและเครา ตามองไปยังโซลิแทร์ด้วยความกราดเกรี้ยวผสมหวาดกลัว

                โซลิแทร์ยกมือข้างหนึ่งชูขึ้นฟ้า พลุสีเหลืองพุ่งออกจากปลายมือและส่องสว่างท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิดร่วมไปกับแสงฟ้าแลบ เขาส่งสัญญาณพลุอย่างที่ไพรม์ดีวอเชอร์เคยทำ บนเนินอีกฝั่งหนึ่ง กัปตันมาซูลผู้สวมหมวกเกราะประดับจิ้งจอกหิมะนั้นมองเห็นสัญญาณ เขาเลื่อนกระบังหมวกที่เป็นหน้าสุนัขจิ้งจอกแยกเขี้ยวลงมาปิดหน้า หอกสามง่ามในมือขวาตั้งท่าเตรียมพร้อม ดีเซ็นทรีขี่ม้าคนอื่นๆ ก็ถือหอกสามง่ามในมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างปลดโล่สะพายหลังที่มีลักษณะคล้ายปีกค้างคาวออกมาถือและถือบังเหียนไปด้วย พวกม้าปีศาจเริ่มขยับตัว เตรียมพร้อมวิ่งหลังจากยืนนิ่งมานาน

                “เล็งปืนยาวไว้ให้พร้อม รักษาแถวหอกยาวไว้ พวกมันบุกลงมาแน่” กัปตันเท็มเปิลตะโกนเสียงสั่นๆ ไม่รู้ว่าเพราะความหนาวหรือเริ่มประสาทกิน “ใครหนี ใครแตกแถว โดยไม่ได้รับคำสั่งจากข้า ประหารชีวิตอย่างเดียว”

                พลุสีน้ำเงินพุ่งออกจากปลายมือของโซลิแทร์ แตกกระจายสว่างจ้าบนฟ้า พลุสีนี้คือสัญญาณโจมตี เอเลนเซฟเวอรี่สีดำของเขากางปีกที่มีขอบเป็นหนามเหล็กทะยานบินเข้าหากองทัพมนุษย์ นำหน้าพวกนักรบดาร์คเนสดีวิลที่ควบม้าปีศาจตามหลังมา บนเนินอีกฝั่งหนึ่ง กัปตันมาซูลก็ควบม้านำหน้ากองทหารม้าปีศาจของตน บุกตรงเข้าหากองทัพมนุษย์เช่นกัน พวกทหารม้าดาร์คเนสดีวิลปรากฏตัวขึ้นบนยอดเนินทั้งสองฝั่งและบุกลงมาเรื่อยๆ ราวกับสายน้ำตกสีดำ ฝนที่โปรยปรายนั้นหยุดตกทันทีเมื่อพวกดาร์เนสดีวิลเคลื่อนพลเข้าไปในพื้นที่ แต่เมฆสีเข้มยังคงคลุมพื้นที่ต่อไป พร้อมส่งเสียงคำรามและแสงฟ้าแลบ กัปตันเท็มเปิลตาเหลือก พวกทหารมนุษย์ขวัญกระเจิง จำนวนแท้จริงของกองกำลังดาร์คเนสดีวิลชุดนี้ปรากฏให้เห็นแก่สายตาแล้ว กองทัพมนุษย์กำลังจะถูกกองทัพทหารม้าดาร์คเนสดีวิลที่มีจำนวนมากกว่าราวสองเท่า บุกเข้าโจมตีจากสองข้างทาง

                “อัศวิน ทหารม้า ตั้งแถวอยู่ด้านหลังแนวปืน ปืนยาวยิงทันทีที่หวังผลได้ ไม่ต้องรอสัญญาณ” กัปตันเท็มเปิลสั่งการแทบไม่หายใจ “ปืนใหญ่ ยิง!”

                เขายกแตรทองเป่าให้สัญญาณด้วยเสียงขัดๆ เพราะมันมีน้ำและน้ำแข็งจับเกาะ พวกทหารมนุษย์ที่คุมปืนใหญ่รีบจุดชนวน แต่เคราะห์ร้ายที่จุดไม่ติด เกือบทุกกระบอกดินปืนเป็นน้ำแข็ง บางกระบอกชนวนก็เป็นน้ำแข็ง มีแค่ไม่กี่กระบอกที่พอยิงออก แต่ก็แทบจะไม่ถูกเป้าหมายเลย การนำปืนใหญ่ไปสู้กับทหารม้านั้นถือว่าไม่เหมาะสมนัก ทหารม้าเป็นหน่วยรบเคลื่อนที่เร็ว มีความคล่องตัวสูงมาก เป็นเรื่องยากที่จะยิงให้ตรงเป้าหมาย เมื่อยิงออกไปแล้วก็ไม่มีเวลาบรรจุกระสุนนัดใหม่ ปืนใหญ่กลายเป็นแค่กระบอกเหล็กไร้ค่าในสถานการณ์นี้ ทหารปืนยาวหลายคนเริ่มลั่นไกยิง แต่กระสุนก็ด้านอีกตามเคยเพราะน้ำฝนเข้าไปจับแข็งในช่องรังเพลิง ไม่ใช่เรื่องตลกแล้ว ปืนยาวแทบทุกกระบอกทำได้เพียงแค่ส่งเสียงแชะ! เมื่อถูกเหนี่ยวไก มีเพียงไม่กี่กระบอกที่สามารถยิงได้ แต่กระสุนก็ปะทะกับโล่และเกราะม้าอันแข็งแกร่งของพวกดาร์คเนสดีวิล กองกำลังทหารม้าปีศาจทั้งสองด้านเร่งฝีเท้าใกล้เข้ามาด้วยความเร็วเต็มที่ พวกมนุษย์รีบจัดแถวเตรียมตั้งรับ ปืนยาวเกือบทั้งหมดถูกโยนทิ้ง โล่จำนวนมากยกขึ้นมาเตรียมป้องกันข้าศึกจากสองทิศทาง ทวนของเหล่าอัศวินและหอกยาวของพวกพลหอกวางพาดขอบโล่ เสมือนกำแพงที่ติดหนามแหลม

                สายฟ้าเส้นหนึ่งฟาดผ่าลงไปที่แถวโล่หอกของพวกมนุษย์ด้านขวา และอีกเส้นหนึ่งฟาดลงไปที่แถวโล่หอกของพวกมนุษย์ด้านซ้าย แนวรับทั้งสองด้านกระจัดกระจายไม่เป็นท่า คนตายก็ตายในสภาพศพดูไม่ได้ ส่วนพวกที่รอดจากรัศมีสายฟ้าก็แตกแถวกันใหญ่

          ยังไม่ทันจะทำอะไรต่อ เจ้าเอเลนเซฟเวอรี่สีดำก็โฉบลงบุกเข้าโจมตีแกนกลางกองทัพมนุษย์ ปากทั้งสามพ่นดาวตกที่มีเปลวไฟสีน้ำเงินลุกท่วม กรงเล็บเหล็กคมกริบทั้งสี่โฉบปาดคอพวกอัศวิน ปลายหางลูกศรเหล็กก็ตวัดตัดหัวทหารมนุษย์หลายคนขาดกระเด็น ขณะที่โซลิแทร์ผู้ขับขี่มันชักดาบสองคมเล่มยาวสีดำออกมา ฟาดฟันสังหารพวกนักรบมนุษย์อย่างรวดเร็วจนอีกฝ่ายปัดป้องไม่ทัน มันเป็นดาบยาวสำหรับใช้ด้วยสองมือ แต่เขาก็สามารถใช้มันได้อย่างรวดเร็วด้วยมือข้างเดียวไม่ต่างจากดาบมือเดียวเลย เป็นคนที่ฟันดาบได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ เพียงการโฉบครั้งเดียวก็สามารถฟันเอาชีวิตมนุษย์ไปหลายคน มิหนำซ้ำยังฟันใส่กัปตันเท็มเปิลที่ยกโล่กำบังเกือบไม่ทัน แรงส่งจากการโฉบของพาหนะทำให้ความหนักหน่วงในการฟันเพิ่มขึ้นเสียจนกัปตันเท็มเปิลเซตกหลังม้า โล่กระแทกหน้าตอนถูกดาบปะทะ ทำเอาหมวกเกราะบุบ ทั้งฟ้าผ่าและการโฉบเข้าโจมตีของโซลิแทร์ในจังหวะฉุกละหุก ส่งผลให้แนวรับของพวกมนุษย์เสียรูป แถวโล่และหอกยาวกระจัดกระจายกันเละเทะ ซึ่งมันก็กะทันหันเกินกว่าตั้งหลักใหม่ได้ทัน

                กองทัพทหารม้าดาร์คเนสดีวิลพุ่งเข้าปะทะกองทัพมนุษย์จากสองทางพร้อมๆ กัน ดีเซ็นทรีแต่ละคนคำรามว่า “เราคือกำแพง”  เขี้ยวเงาวับสะท้อนอยู่ในปากระหว่างช่องหมวกเกราะ พวกมนุษย์ถูกฝ่ายตรงข้ามบีบอัดจากสองด้าน ทหารมนุษย์จำนวนมากถูกม้าปีศาจพุ่งชน เหยียบ บดขยี้ และอีกจำนวนมากก็ถูกหอกสามง่ามจากผู้ขี่ม้าแทงตาย ใบดาบคมกริบที่ติดอยู่ตามเกราะหน้าอกและขาหน้าของพวกม้าปีศาจนั้น ทั้งเชือดทั้งเฉือนพวกมนุษย์ลงไปนอนสิ้นชีวิต พวกมนุษย์นอกจากจะเสียเปรียบเรื่องจำนวนแล้ว ยังเสียเปรียบเรื่องชนิดของกำลังพลด้วย กองทัพมนุษย์ชุดนี้มีทหารราบเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่กองทัพดาร์คเนสดีวิลชุดนี้เป็นทหารม้ากันหมด ในพื้นที่โล่งเช่นนี้ ทหารราบย่อมแพ้ทางทหารม้า ม้าของกัปตันมาซูลยกขาหน้าขึ้นสองขา และพ่นเปลวไฟสีเขียวร้อนแรงเผาทหารมนุษย์สี่คนตายเรียบ ม้าปีศาจตัวอื่นๆ ก็เริ่มทำแบบเดียวกันเมื่อเผชิญหน้ากับพวกทหารมนุษย์ที่ยืนรวมกลุ่มกัน เปลวไฟสีเขียวนี้เป็นชนิดเดียวกับไฟของพวกเอเลนเซฟเวอรี่ คือร้อนแรงและเผาไหม้เร็วกว่าไฟธรรมดา แม้มนุษย์หลายคนจะเปียกปอน มีน้ำแข็งเกาะเต็มตัว แต่ก็ถูกไฟชนิดนี้ครอกตายกันหมด ดีเซ็นทรีหลายคนพุ่งหอกไปสังหารพวกทหารมนุษย์ที่อยู่ข้างหน้า แล้วชักดาบคู่ควบม้าเข้าไปต่อสู้กับพวกอัศวินมนุษย์ บางคนก็ปลดหน้าไม้ที่สะพายหลังมายิง แรงส่งจากสปริงกลไกทำให้มันเจาะทะลุเกราะอัศวินมนุษย์ได้สบาย ความรุนแรงเทียบเท่าปืนยาวของพวกมนุษย์ทีเดียว แต่บรรจุกระสุนเร็วกว่ามาก แล้วยังเคลือบพิษไว้ที่หัวลูกศร พวกมนุษย์ไม่คาดฝันว่าจะเจออะไรแบบนี้มาก่อนเลย ศัตรูที่อยู่ใต้เท้าพวกเขามาตลอด จู่ๆ ก็โผล่มาพร้อมกับอาวุธสงครามคุณภาพสูง และเล่นงานพวกเขาเสียหนักหน่วง

          กัปตันเท็มเปิลถอดหมวกเกราะบุบๆ ออกและปีนกลับขึ้นหลังม้า เบ้าตาเป็นรอยช้ำ ปากมีเลือดไหล เขาใช้มือขวาแทงทวนใส่ดีเซ็นทรีคนหนึ่ง มือซ้ายชักดาบแทงใส่อีกคนหนึ่ง ถึงอย่างไรเขาก็เป็นนักรบที่มีฝีมือ ในสถานการณ์ตะลุมบอนเช่นนี้ทวนยาวๆ ดูจะไม่เหมาะสมแล้ว เขาทิ้งทวนไป เปลี่ยนมาถือดาบในมือขวา มือซ้ายคว้าโล่ขึ้นมา แต่ก็ต้องโยนทิ้งไปเพราะมันชำรุดจนแทบจะหักเป็นสองท่อนจากการปะทะกับดาบของโซลิแทร์ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะดาบคมมาก หรือผู้ใช้ดาบมีวิธีฟันที่เฉียบขาด หรือเป็นเพราะทั้งสองอย่างกันแน่ โล่เหล็กหนาอย่างดีสำหรับนักรบมนุษย์บรรดาศักดิ์สูงๆ ไม่น่าจะแตกพังง่ายๆ แบบนี้

          สิ่งที่พวกมนุษย์รับรู้อีกเรื่องคือ พวกดาร์คเนสดีวิลแข็งแรงกว่าพวกเขา ทั้งแข็งแรงและคล่องแคล่วกว่า แม้ปีศาจแต่ละคนจะดูสูงเพรียว แต่การทำงานของกระดูก มวลกล้ามเนื้อ การสูบฉีดเลือดและมวลสารในร่างกายนั้น ล้วนแตกต่างจากร่างกายมนุษย์ เมื่อปะทะกำลังกับพวกมนุษย์ตรงๆ พวกมนุษย์จะเสียเปรียบทันที ความจริงแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องที่พวกมนุษย์ไม่รู้มาก่อน อีกเหตุผลที่พวกมนุษย์พยายามกดขี่ให้พวกดาร์คเนสดีวิลอยู่ในสภาพอ่อนแอ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้พวกดาร์คเนสดีวิลตระหนักได้ว่าพวกตนมีพลังมากแค่ไหนสามารถทำอะไรได้บ้าง แต่ตอนนี้ดูเหมือนพวกดาร์คเนสดีวิลจะตระหนักได้แล้ว ทหารมนุษย์คนหนึ่งร้องลั่นเมื่อถูกนักรบดาร์คเนสดีวิลหักแขน อีกคนไม่สามารถร้องได้เพราะถูกหักคอด้วยด้ามหอกสามง่าม แขนขายาวๆ ของพวกดาร์คเนสดีวิลทำให้เกิดความได้เปรียบ ถึงอย่างไรก็ส่งอาวุธไปถึงตัวฝ่ายตรงข้ามได้ก่อน แม้แต่กัปตันมาซูลก็ไม่ถือว่าเตี้ยเมื่อเทียบกับพวกมนุษย์ เขาพุ่งหอกสามง่ามไปสังหารทหารมนุษย์ แล้วชักดาบคู่ขี่ม้าเข้าไปต่อสู้กับพวกอัศวิน เพราะถนัดใช้ดาบคู่มากกว่าหอก

          เมื่อพวกมนุษย์รวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มใหญ่ ก็จะถูกสายฟ้าฟาดลงมากลางกลุ่มสังหารเรียบ สิบเก้าปีก่อน โซลิแทร์อาจยังใช้อำนาจพิเศษนี้ไม่เก่งนัก แต่ตอนนี้เขาเชี่ยวชาญอย่างไม่ต้องสงสัย การผ่าแต่ละครั้งแม่นยำมาก ไม่พลาดไปถูกพวกเดียวกันเลยสักครั้ง ไม่พลาดไปถูกม้าของพวกมนุษย์เสียด้วย ศึกครั้งนี้พวกดาร์คเนสดีวิลพยายามหลีกเลี่ยงที่จะทำอันตรายม้าของศัตรู เนื่องด้วยต้องการจับม้าไปใช้ประโยชน์ เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่พวกมนุษย์ไม่ถูกระดมยิงด้วยอาวุธระยะไกลตั้งแต่แรก อัศวินทหารม้ามนุษย์คนแล้วคนเล่าถูกฆ่าตกหลังม้า ม้าที่ไร้ผู้ขี่ก็ถูกจูงไปอีกทาง ดีเซ็นทรีหลายคนขี่ม้าออกจากสนามรบ สองแขนจูงบังเหียนม้าสี่ห้าตัวที่ยึดได้ ตรงกลับฐานทัพในเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลด ในเมื่อจำนวนได้เปรียบ ชนิดทหารนักรบก็ได้เปรียบ พวกเขาจึงสามารถทำแบบนี้ได้ ดีเซ็นทรีบางคนปักหอกสามง่ามไว้กับพื้น เมื่อต่อสู้ยึดม้ามาได้ก็นำบังเหียนมันมาคล้องกับด้ามหอก แล้วกลับไปสู้ต่อ เสมือนเป็นการผูกม้าให้อยู่กับที่จนกว่าจะทำการรบเสร็จ ไม่น่าเชื่อว่าบนพื้นที่มีหิมะหนา พวกดาร์คเนสดีวิลจะสามารถทำอะไรได้สะดวกคล่องแคล่วถึงเพียงนี้ พวกเขาสามารถเดินบนผิวหิมะโดยไม่จมลึกลงไปได้ เช่นเดียวกับพวกม้าปีศาจที่วิ่งอยู่บนผิวหิมะอย่างคล่องแคล่ว ขณะที่พวกทหารมนุษย์และม้าของพวกมนุษย์เชื่องช้าลงเพราะจมลงไปในหิมะเสียครึ่งขา  เดินก็ลำบาก เคลื่อนไหวก็ช้า จึงมักหลบหอกและดาบของพวกดีเซ็นทรีบนหลังม้าปีศาจไม่ทัน นี่มันถิ่นของพวกปีศาจ สู้กับเผ่าพันธุ์หิมะในพื้นที่หิมะ ไม่ว่ายังไงก็เสียเปรียบ

          อัศวินมนุษย์ห้าคนควบม้าเรียงแถวหน้ากระดาน ทวนตั้งขนานกับพื้นพร้อมบุกเข้าแทงใส่พวกดีเซ็นทรีเบื้องหน้า แต่เอเลนเซฟเวอร์รี่สีดำก็โฉบลงมาตัดหน้า โซลิแทร์ที่อยู่บนหลังมันลากดาบผ่านเป็นแนวยาว วินาทีต่อมา ศีรษะที่สวมหมวกเกราะอัศวินทั้งห้าก็ขาดกระเด็นในครั้งเดียว พร้อมด้วยเลือดที่กระเซ็นเป็นสาย ร่างไร้ศีรษะหล่นโครมลงจากหลังม้าทีละร่าง พวกดีเซ็นทรีที่เคยเป็นเป้าหมายนั้นหันไปคว้าบังเหียนม้าเมื่อพวกมันวิ่งเข้ามาใกล้ แล้วรวบรวมส่งให้คนหนึ่งจูงม้าทั้งหมดออกไปจากสนามรบ โซลิแทร์บังคับเอเลนเซฟเวอรี่สีดำให้โฉบลงมาอีกครั้ง คราวนี้มันพ่นดาวตกจัดการทหารมนุษย์ถือหอกยาวตายไปอีกหลายคน นอกจากมันจะตัวใหญ่กว่าเอเลนเซฟเวอรี่ทั่วไปแล้ว ดาวตกของมันก็มีขนาดใหญ่กว่าด้วย เปลวไฟสีน้ำเงินของมันก็เผาไหม้รุนแรงและดับยากกว่าเปลวไฟสีเขียวของเอเลนเซฟเวอรี่ทั่วไปเสียอีก

          “เอาปืนสอยพวกมันลงมาสิ” กัปตันเท็มเปิลโวยวาย “ปืนยาวมันจะด้านทุกกระบอกเลยหรือ”

                ปืนยาวหลายกระบอกเล็งไปยังโซลิแทร์และพาหนะของเขา ที่ยิงออกนั้นมีแค่ไม่กี่กระบอก แต่ก็ยังดีที่ยิงเข้าเป้า เอเลนเซฟเวอรี่สีดำรับกระสุนเข้าไปสองนัด แต่ก็แค่เกิดแผลเล็กๆ เพราะเนื้อหนังแข็งแกร่งมาก เลือดไม่ออกสักหยด ไม่มีอาการเจ็บปวดใดๆ ด้วยเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้จิตใจไร้ความรู้สึก ส่วนโซลิแทร์ที่รับกระสุนมากกว่านั้น สามารถใช้ด้านแบนของดาบและสนับแขนซ้ายกำบังกระสุนได้ทุกนัด เขากำบังได้ง่ายดายราวกับสิ่งที่พุ่งมาหานั้นไม่ใช่กระสุน พวกทหารมนุษย์รีบเทดินปืนใส่ปืนยาวเพื่อใช้ยิงกระสุนนัดใหม่ แต่ก็ทำได้แค่นั้น เพราะใบจักรสี่แฉกขนาดเล็กร่อนมาเสียบเข้าซอกคอแต่ละคนลงไปนอนตายคาที่ กัปตันเท็มเปิลเซตกม้าเพื่อหลบใบหนึ่ง แล้วคว้าโล่ไม้จากพื้นมากำบังอีกใบหนึ่งแทบไม่ทัน ใบจักรสีดำเสียบทะลุโล่มาครึ่งใบ เกือบจะทิ่มตาเขาอยู่แล้ว โซลิแทร์มีอาวุธลับ มือซ้ายที่ไม่ได้ถือดาบนั้นหยิบใบจักรที่ซ่อนอยู่ในเสื้อนอกมาร่อนสังหารมนุษย์ทีละคนสองคนด้วยความเร็วสูง แต่ละใบเอาชีวิตมนุษย์ได้หนึ่งคนไม่พลาดเป้า ความแม่นยำสูงมาก มันปักเข้าจุดสำคัญผ่านช่องเกราะของพวกมนุษย์ได้ทุกใบ ดูเหมือนจะเคลือบพิษชนิดเดียวกับที่เคลือบลูกศรหน้าไม้ของพวกดีเซ็นทรีไว้ด้วย

                กัปตันเท็มเปิลแทงดาบสังหารดีเซ็นทรีคนหนึ่งที่บุกเข้ามา แล้วปีนขึ้นหลังม้าอีกครั้ง โซลิแทร์ทำเขาตกม้าสองรอบแล้ว เขาควบม้าบุกเข้าไปต่อสู้กับพวกทหารม้าปีศาจ เริ่มรู้สึกว่าระดับความเสียเปรียบของกองทัพตนมันเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่คิด ศพมนุษย์นอนตายเกลื่อนไปหมด ศพดาร์คเนสดีวิลมีแค่นิดๆ หน่อยๆ แทบจะหาไม่เจอ อย่างนี้ไม่ดีแน่ ยิ่งต่อสู้กันไปนานเท่าไหร่ อัตราส่วนของฝ่ายมนุษย์ก็น้อยลง ดูจากรูปการแล้ว ท่าทางจะแก้ไขสถานการณ์ลำบาก ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้ พวกดาร์คเนสดีวิลควรจะเป็นฝ่ายตายเกลื่อน ขณะที่พวกมนุษย์ชูดาบชูธงอย่างผู้ชนะสิ แผนการที่วางไว้ สถานการณ์ที่ประเมินไว้มันเป็นแบบนั้น ไม่ใช่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าแบบนี้

                “ทหารกล้าแห่งโมราโซมอส อย่ากลัวความมืด อย่ากลัวสิ่งชั่วร้าย” กัปตันเท็มเปิลพยายามตะโกนปลุกใจ กวัดแกว่งดาบที่เปื้อนเลือดสีดำ “พวกมันก็ยังเป็นแค่เผ่าพันธุ์ชั้นต่ำ เป็นฝ่ายอธรรมที่พ่ายแพ้ฝ่ายธรรมะอย่างเราอยู่วันยังค่ำ จงสู้เพื่อพระราชา”

                คงจะมีมนุษย์สักคนเชื่อเขาอยู่บ้างหรอก หากสถานการณ์มันไม่ย่ำแย่ขนาดนี้

กัปตันมาซูลจับดาบคู่กางแขนออกกว้างเหมือนกางปีก แล้วควบม้าวิ่งสวนกับพวกทหารม้าและอัศวินมนุษย์ ดาบคู่ทั้งสองเล่มลากผ่านตัดเฉือนศัตรูทุกคนที่สวนมาตายเรียบ เขาลดระดับดาบให้ต่ำลงขณะควบตรงเข้าหาพวกทหารราบมนุษย์ แต่ละคนล้มลงไปนอนตาย หรือไม่ก็คอขาดกระเด็นเป็นทางๆ อัศวินมนุษย์สองคนขี่ม้าบุกมาขวางหน้า อาศัยความยาวของทวนแทงไขว้กันเป็นกากบาทเพื่อปิดทางกัปตันมาซูล แต่กัปตันมาซูลก็ใช้ด้ามดาบทั้งสองเล่มเสยทวนทั้งสองให้แทงกระดกข้ามหัวไป แล้วจึงตวัดดาบปาดคอเจ้าของทวนร่วงตกม้าตายทั้งคู่ กระสุนปืนหลายนัดพุ่งมาทางเขา แต่เขาก็ก้มตัวหมอบราบกับหลังม้าหลบได้ทั้งหมด ขณะที่ก้มตัวนั้น มือข้างหนึ่งก็เก็บดาบลงฝัก และคว้าหอกสามง่ามที่ปักอยู่บนศพขึ้นมา พุ่งมันเสียบทะลุทหารมนุษย์คนหนึ่งตายคาที่ ดูเหมือนว่าจิ้งจอกหิมะตัวนี้จะอันตรายกว่าเมื่อสิบเก้าปีก่อนมาก ก่อนหน้านี้คงไม่มีใครเชื่อว่ามาซูล เดอะ สโนว์ฟ็อกซ์ผู้นี้ จะมีทักษะการต่อสู้สูงถึงเพียงนี้

          แต่ถ้าจะมีใครพัฒนาฝีมือต่างจากเมื่อสิบเก้าปีมากที่สุด คนผู้นั้นคือโซลิแทร์ แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม ทั้งทักษะการต่อสู้ ทั้งความแปลกใหม่ของกลยุทธ์ ทั้งความเลือดเย็นในการฆ่าคน ทุกสิ่งพัฒนาจนแทบจะเปลี่ยนเป็นคนละคน เขากระโดดลงจากอานพาหนะตอนที่มันโฉบลงต่ำ สนับเข่ากะโหลกปีศาจเหล็กกระแทกทหารม้ามนุษย์คนหนึ่งตกหลังม้า เมื่อเท้าสัมผัสพื้นก็หันไปคว้าบังเหียนม้ามาคล้องไว้กับด้ามทวนที่ปักอยู่บนพื้นใกล้ๆ เพื่อจับม้าไว้ชั่วคราว เบี่ยงตัวหลบทวนเล่มหนึ่งจากอัศวินมนุษย์ที่ควบม้าเข้ามาแทงใส่ ดาบในมือขวาแทงสวนกลับไปทะลุหัวใจอัศวินคนนั้น มือซ้ายคว้าบังเหียนม้าอีกตัวไปคล้องกับด้ามทวน ผลักศพผู้ขับขี่ลงจากหลังม้าด้วย จากนั้นก็บุกเข้าไปกลางกลุ่มทหารราบมนุษย์ ใช้ดาบฟันแทงจัดการพวกนั้นอย่างรวดเร็ว ชนิดที่ว่าศพแรกยังไม่ทันลงถึงพื้น ศพสองก็เริ่มล้มแล้ว กัปตันเท็มเปิลมองตามอย่างแปลกใจ เจ้านักรบในผ้าคลุมดำคนนี้เคลื่อนไหวได้เร็วราวกับปีศาจในนิทาน เยือกเย็นและลื่นไหล ละสายตาแปบเดียวก็ไปปรากฏตัวอีกที่หนึ่งราวกับหายตัวไป

          พลปืนมนุษย์คนหนึ่งเล็งปืนใส่โซลิแทร์ที่กำลังใช้ข้อพับเข่าหักคออัศวินมนุษย์ มีม้าวิ่งผ่านหน้าไปเสี้ยววินาที แล้วโซลิแทร์ก็หายไปเสียเฉยๆ พลปืนมนุษย์พยายามเล็งหาไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบ จนกระทั่งหันไปข้างหลังและสะดุ้งจนหัวใจแทบหยุดเต้น แต่ก็ตกใจได้ไม่นานเพราะสนับป้องกันหลังมือของโซลิแทร์ที่มีเงี่ยงแหลมสามเงี่ยงนั้นเสยขึ้นมาเสียบใต้คาง โซลิแทร์ถอนมือออกจากร่างไร้วิญญาณพร้อมกับเลือดที่พุ่งกระจาย มืออีกข้างฟันอัศวินมนุษย์ตกจากหลังม้าและคว้าสายบังเหียนไว้ เอเลนเซฟเวอรี่สีดำบินโฉบต่ำผ่านมาอีกครั้ง โซลิแทร์ปักทวนเล่มหนึ่งที่พื้น คล้องบังเหียนม้าไว้กับทวน แล้วกระโดดเหยียบอานม้าตัวนั้นถีบตัวตีลังกาขึ้นไปนั่งบนหลังเอเลนเซฟเวอรี่สีดำที่บินผ่านมาอย่างพอดิบพอดี เป็นคนที่กระโดดสูงและดีดตัวได้สูงมาก แขนขายาวๆ ของเขาคงมีส่วนช่วยไม่น้อย

          ทหารมนุษย์ที่ยืนอยู่ข้างๆ กัปตันเท็มเปิลเล็งปืนยาวยิงใส่โซลิแทร์ โซลิแทร์ยกสนับแขนซ้ายกำบังได้เสมือนโล่ใบเล็ก จากนั้นจึงมองหาต้นตอกระสุน จะเรียกว่าเป็นความโชคร้ายโดยไม่จำเป็นของกัปตันเท็มเปิลก็ว่าได้ ดาบของโซลิแทร์ชี้ตรงมายังทิศทางที่เขาอยู่ ประกายสายฟ้าสว่างวาบที่ปลายดาบ กัปตันเท็มเปิลรีบควบม้าหนีไม่คิดชีวิต สายฟ้าเส้นบางพุ่งออกจากปลายดาบของโซลิแทร์ฟาดใส่ตำแหน่งเดิมของกัปตันเท็มเปิลเมื่อวินาทีก่อน กัปตันเท็มเปิดรอดไปได้อย่างหวุดหวิดขณะที่ทหารมนุษย์ในรัศมีหลายคนตายกันหมด

          การที่โซลิแทร์กวาดตามองนั้น ทำให้เขาเหลือบไปเห็นรถลากบรรทุกดินปืนของพวกมนุษย์คันหนึ่ง มันล้มตะแคงอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ เขาหันมือซ้ายไปทางรถลากคันนั้น พวกดีเซ็นทรีที่อยู่ใกล้รีบควบม้าหนีไปอย่างรู้งาน ขณะที่พวกมนุษย์ในบริเวณนั้นมีแต่ทหารราบ ไม่มีใครมีม้า ต้องวิ่งลุยหิมะหนีด้วยความเชื่องช้า เนื่องจากไม่สามารถเดินบนผิวหิมะได้เหมือนพวกดาร์คเนสดีวิล

          สายฟ้าพุ่งออกจากฝ่ามือและปลายนิ้วของโซลิแทร์ ฟาดใส่รถลากบรรทุกดินปืนคันนั้น แม้ดินปืนบางส่วนจะเป็นน้ำแข็งและถูกความชื้นของหิมะ แต่ก็มีส่วนที่แห้งอยู่อีกครึ่งหนึ่ง มันระเบิดออกด้วยความรุนแรง ทหารมนุษย์ที่อยู่ในรัศมีต่างกระเด็นกระดอนกันไปคนละทาง ร่างของบางคนแยกส่วนเป็นชิ้นๆ อย่างไม่น่าดู

          “ตกลงเจ้าปีศาจนี่เป็นตัวบ้าอะไรกันแน่” กัปตันเท็มเปิลกัดฟันพึมพำอย่างหัวเสีย “เรียกเมฆฝนทำฟ้าผ่าได้ไม่พอ ยังถ่ายเทสายฟ้าออกจากร่างได้อีก”

                “กัปตันเท็มเปิล ท่านต้องให้สัญญาณถอยทัพ” อัศวินมนุษย์คนหนึ่งควบม้าเข้ามาหา เสียงสั่นด้วยความหนาวเย็น หยาดน้ำแข็งเกราะเต็มชุดเกราะไปหมด “เรากำลังจะตายกันหมด”

                “ข้าเป็นผู้บัญชาการกองทัพนี้ อย่ามาบอกว่าข้าต้องทำอะไร” กัปตันเท็มเปิลตะคอก

                “ถึงข้าไม่บอก ท่านก็คงจะสังเกตเห็นว่า กองทัพของเราเริ่มจะไม่เหลือแล้ว”

                กัปตันเท็มเปิลจึงหยิบแตรทองขึ้นมาเป่าส่งสัญญาณ เสียงเป่าก็สั่นๆ ไม่เป็นจังหวะ แต่พวกมนุษย์ฟังออกว่าเป็นสัญญาณถอยทัพเพราะเฝ้ารอมานานแล้ว แต่ละคนพยายามตีฝ่าออกไป

          ปรากฏว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด พวกดาร์คเนสดีวิลล้อมกรอบโจมตีแน่นหนา ศึกครั้งนี้พวกปีศาจต้องการให้มีมนุษย์เหลือรอดกลับไปน้อยที่สุด เป้าหมายหลักคือจับม้าและฆ่าผู้ขับขี่ โซลิแทร์ลงจากพาหนะมาต่อสู้บนพื้นอีกครั้ง เพื่อจะได้ต่อสู้สะดวกขึ้นและจับม้าง่ายขึ้น ดาบยาวในมือของเขาทำหน้าที่ปลิดชีพข้าศึกอย่างว่องไว ราวกับน้ำหนักของมันเบามาก เขาถือมันด้วยมือข้างเดียวบ้าง สองมือบ้าง ตามแต่สถานการณ์ แต่การลงดาบทุกครั้งล้วนรวดเร็วและเฉียบขาด สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวที่ว่องไวเหมือนปีศาจในนิทาน นอกจากจะเร็วแล้วเขายังแข็งแรงมากกว่าที่เห็นนัก ดาบไม่ใช่อาวุธเดียวของเขา แขนขาที่ว่างอยู่ยังคอยขัดเกี่ยวหักกระดูกพวกมนุษย์ในท่าศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่า มือซ้ายข้างเดียวบีบคอมนุษย์คนหนึ่งจนตาย ขณะที่มือขวาจับดาบต่อสู้ไปเรื่อยๆ เท้ากระทืบหักคอมนุษย์ไปหลายต่อหลายศพแล้ว ใบจักรที่ซ่อนอยู่ทั่วชุดเกราะถูกร่อนใช้จนหมด ทหารมนุษย์สี่คนบุกเข้าล้อมโจมตีเขา ไม่ใช่ความคิดเข้าท่าเลย เพราะในจังหวะที่มนุษย์ทั้งสี่บุกเข้ามาพร้อมกัน โซลิแทร์ก็สะบัดผ้าคลุมเป็นวงกลมหมุนบังหน้าบังตาทั้งสี่กะทันหัน ทหารมนุษย์ทั้งสี่เสียหลัก และก่อนที่ใครจะทันได้ตั้งตัวนั้น ศีรษะของแต่ละคนก็ลงไปกลิ้งกับพื้นด้วยคมดาบของโซลิแทร์ ผ้าคลุมยาวผืนนี้ไม่ใช่สิ่งเกะเกะสำหรับเขา มันเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ช่วยต่อสู้ เขาฆ่ามนุษย์และจับม้าไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับนักรบดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ เลือดมนุษย์เลอะเปรอะชุดเกราะและเสื้อนอก แต่ไม่เลอะผ้าคลุม ดูเหมือนมันจะป้องกันสิ่งจับเกาะไม่ว่าน้ำหรือเลือด

                อย่างไรก็ตาม หลังจากพยายามต่อสู้อยู่นาน กัปตันเท็มเปิลและอัศวินอีกกลุ่มเล็กๆ ก็สามารถตีฝ่าหนีออกไปได้ บางคนถูกหน้าไม้ยิงไล่หลังตายคาหลังม้า พวกที่หลบหลีกได้ก็ควบหนีสุดชีวิต ไม่แม้แต่จะหันหลังไปมองพวกที่ถูกทิ้งอยู่ในวงล้อมปีศาจ ซึ่งแน่นอนว่าตายกันหมดแน่ พวกดาร์คเนสดีวิลไม่ได้ควบม้าไล่ตามกลุ่มของกัปตันเท็มเปิล เพราะต้องรักษาวงล้อมจัดการกับมนุษย์ที่เหลือ ไม่มีคำว่าเชลยศึกทั้งนั้น ศึกครั้งนี้พวกดาร์คเนสดีวิลไม่ต้องการจับเป็น

          “เร่งฝีเท้าม้าเต็มที่ อย่าหยุดจนกว่าจะออกนอกเขตอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล” กัปตันเท็มเปิลบอกพวกอัศวินที่เหลือขณะลงแส้ม้า แม้จะพอรับรู้ว่าพวกดาร์คเนสดีวิลไม่ได้ขี่ม้าไล่กวดตามมา แต่ก็ไม่คิดจะชะลอม้าเลย “พวกปีศาจไม่ชอบออกนอกพื้นที่ของตน พวกมันจะไม่ไล่ตามหากเราออกนอกเขตของพวกมันแล้ว รักษาความเร็วไว้ อีกไม่ไกล”

                อัศวินคนหนึ่งถูกโยนข้ามหัวกัปตันเท็มเปิล และถูกกลุ่มม้าของพวกเดียวกันเหยียบตายเพราะไม่มีใครหยุดม้า ทุกคนหันหลังไปมอง พบโซลิแทร์กำลังขี่เอเลนเซฟเวอรี่สีดำบินไล่กวดมาติดๆ แขนข้างหนึ่งของเขาหอบหอกสามง่ามของพวกดีเซ็นทรีไว้หลายเล่ม เขาพุ่งมันลอดช่องบังเหียนม้าที่ไร้ผู้ขับขี่ คมหอกปักที่พื้น ด้ามหอกเกี่ยวสายบังเหียนหยุดม้าไว้ได้พอดี เจ้าเอเลนเซฟเวอรี่สีดำโฉบอัศวินอีกสองคนตกหลังม้าตาย แล้วโซลิแทร์ก็พุ่งหอกสกัดม้าสองตัวนั้นไว้อีกเช่นเคย 

          “เร่งม้าเต็มที่” กัปตันเท็มเปิลตะโกนสุดกำลัง “หนีมันให้ได้”

                พูดบ้าๆ ม้าที่วิ่งอยู่บนพื้นจะสามารถเทียบความเร็วกับสัตว์ปีศาจที่บินอยู่บนฟ้าได้อย่างไร อัศวินมนุษย์คนแล้วคนเล่าถูกโฉบตกม้าตายอย่างไร้ทางช่วย ม้าก็ถูกหอกสกัดไว้กับที่ พวกดาร์คเนสดีวิลคงจะมาตามเก็บไปภายหลัง กัปตันเท็มเปิลกัดฟันแน่น ตาหยีสู้ลมที่พัดสวนมา ไม่แน่ใจว่าตอนนี้อัศวินที่ตามตนมาเหลืออยู่เท่าไหร่ แต่อีกไม่นานก็จะพ้นเขตโฟรเซ็นทิเนลแล้ว ถ้าออกนอกเขตได้เขาก็รอด

                แล้วอัศวินคนสุดท้ายก็ถูกโฉบตกจากหลังม้า เหลือกัปตันเท็มเปิลเพียงคนเดียว หอกสามง่ามที่โซลิแทร์นำมาด้วยหมดแล้ว แต่เขาคงไม่จำเป็นต้องใช้ เจ้าเอเลนเซฟเวอรี่สีดำสยายปีกออกกว้าง เตรียมโฉบกรงเล็บเหล็กคมกริบเอาชีวิตเป้าหมาย กัปตันเท็มเปิลควบม้าสุดชีวิต ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองข้างหลัง

                รอดตายปาฏิหาริย์ ม้าของเขาวิ่งออกนอกเขตอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลพอดี โซลิแทร์หยุดพาหนะไว้ ไม่ว่าจะยังไงปีศาจก็ยังคงหลีกเลี่ยงที่จะออกนอกพื้นที่ของตน เป็นนิสัยธรรมชาติทั่วไปของปีศาจ ตรงกับคำกล่าวที่ว่า ปีศาจเป็นสิ่งมีชีวิตติดพื้นที่ มักอยู่แต่ในพื้นที่ของตน หากออกนอกพื้นที่จะทำให้ฤทธิ์อำนาจลดน้อยลง

                กระนั้น ดาบสีดำของโซลิแทร์ก็ถูกชักออกมา ปลายดาบชี้ไล่ตามกัปตันเท็มเปิล มือที่ว่างอีกข้างก็หันตามเป้าหมายไปด้วย ประกายสายฟ้าสว่างวาบออกมาจากทั้งปลายดาบและมือ กัปตันเท็มเปิลรู้ดีว่ากำลังจะโดนอะไร เขาเห็นเนินน้ำแข็งเตี้ยๆ ทางขวา จึงรีบควบม้าเลี้ยวเข้าไปให้มันช่วยกำบัง สายฟ้าสองเส้นพุ่งออกจากปลายดาบและมือของโซลิแทร์ ฟาดใส่เนินน้ำแข็งลูกนั้น สะเก็ดหิมะและน้ำแข็งแตกกระจายเป็นวงกว้างราวกับพลุสีขาว เนินแหว่งไปซีกหนึ่ง แต่มันก็รักษาชีวิตกัปตันเท็มเปิลไว้ได้ กัปตันเท็มเปิลควบม้าหนีต่อไปในสภาพหิมะและน้ำแข็งจับเกาะเต็มตัว เกือบจะกลายเป็นตุ๊กตาหิมะก็ว่าได้

                โซลิแทร์บังคับพาหนะให้ร่อนลงพื้น ก้าวลงจากอาน เก็บดาบคืนฝัก มนุษย์เป็นกองทัพ เหลือรอดกลับไปแค่คนเดียว ถือว่าทำได้ดีกว่าที่ตั้งเป้าไว้ เขาแหงนหน้ามองฟ้าเหนือศีรษะ เมฆฝนอำนาจพิเศษของเขาลอยอยู่ข้างบน ไม่ว่าเขาจะไปที่ใด เมฆนี้จะลอยตามเขาไปเสมอ แกนกลางของเมฆจะอยู่เหนือหัวเขาตลอดเวลา อาจสังเกตยากเพราะเป็นเมฆก้อนใหญ่ แผ่คลุมพื้นที่ค่อนข้างกว้าง เขาหงายมือทั้งสองขึ้น เมฆฝนเปลี่ยนสภาพกลายเป็นกลุ่มไอใสและถูกดูดกลับเข้าไปในมือของเขาอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้าบริเวณนั้นจึงกลับมาโปร่งและสว่างขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่มาก เพราะปกติท้องฟ้าของอาณาจักรนี้ก็ครึ้มๆ ทึมๆ อยู่แล้ว

                บางอย่างบนพื้นหิมะสะดุดสายตาโซลิแทร์ รอยเท้าม้าไม่ต่ำกว่าสิบตัวมุ่งตรงไปชายป่าสนหิมะที่เห็นอยู่ไม่ไกลนัก บริเวณนั้นเป็นป่าสนเขตหนาว กว้างขวางและทึบทึม มีหิมะปกคลุมค่อนข้างหนา จากรอยเกือกม้าที่จมลึกลงไปในหิมะ บอกให้ทราบว่าเป็นรอยม้าของพวกมนุษย์ มันมุ่งไปคนละทางกับกองทัพมนุษย์ตั้งแต่ก่อนเริ่มศึก คาดว่าคงเป็นรอยของหน่วยลาดตระเวน พวกนี้อาจยังป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆ แนวป่าสนที่เห็นอยู่ตรงนั้น

                ก่อนจะทำอะไรต่อ โซลิแทร์หันขวับไปมองร่างอัศวินมนุษย์คนหนึ่งที่นอนคว่ำแน่นิ่งอยู่บนพื้น มือขวาชักดาบออกมา แล้วย่างสามขุมเข้าหา ร่างนั้นรีบพลิกตัวตะเกียกตะกายถอยหลังด้วยความหวาดกลัว เขาเป็นหนึ่งในอัศวินที่หนีตามกัปตันเท็มเปิลและถูกโฉบตกจากหลังม้า เป็นคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งตอนนี้ก็ถูกจับได้แล้วว่าแกล้งตาย เขาพยายามถอยหนีโซลิแทร์ที่ก้าวฉับๆ เข้าไปหาอย่างเลือดเย็น

                “ได้โปรด ข้ามีลูกชาย” เขาอ้อนวอน

                “พ่อของข้าก็มีลูกชาย” โซลิแทร์พูดเสียงเย็น “แต่พวกเจ้าไม่เห็นจะสนใจเลย ตอนส่งเขาไปตาย”

                ดาบสีดำสะบัดปาดคออัศวินคนนั้นลงไปนอนตายสนิทจริงๆ  ข้อดีของดาบเล่มนี้คือเลือดและฝุ่นไม่จับเกาะ จะฆ่าสักกี่คน ดาบก็ยังสะอาดเอี่ยม โซลิแทร์เก็บดาบลงฝัก หันกลับไปสนใจรอยเท้าม้าที่เดิมอีกครั้ง เขาตัดสินใจจะตามรอยไป มือข้างหนึ่งชูขึ้นส่งสัญญาณพลุสีเขียวขึ้นฟ้า ให้ดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ มาเก็บม้าที่เขาสกัดเอาไว้ตามทาง ทิ้งเอเลนเซฟเวอรี่สีดำให้เฝ้าต้นทางที่นี่ ส่วนตัวเขาเดินตามรอยเท้าม้าไป บริเวณนี้ห่างไกลจากการต่อสู้ ร่องรอยบนพื้นจึงสังเกตง่ายไม่มีอะไรมากลบเกลื่อน

          เขาตามรอยเข้าไปในป่าสน รู้ว่าในนี้มีสัตว์ดุร้ายแดนหนาวซ่อนเร้นอยู่เต็มไปหมด แต่ก็ไม่ได้หวั่นเกรงอะไร มันเป็นส่วนหนึ่งของเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลด เมืองที่เขาคุ้นเคยมากกว่าเมืองใด เขาจึงเชี่ยวชาญพื้นที่เป็นอย่างดี ร่องรอยพาลึกเข้าไปในป่า แสงแดดที่มีน้อยอยู่แล้วยิ่งอ่อนลงไปอีกเมื่อส่องผ่านกิ่งก้านสนที่อยู่เหนือหัว ความมืดส่งผลให้ดวงตาของโซลิแทร์เรืองแสงแจ่มชัดมากขึ้น มือซ้ายของเขาหงายขึ้น มีเปลวไฟสีน้ำเงินซีดๆ ลุกติดขึ้นมาบนฝ่าถุงมือเหล็ก มันปราศจากความร้อนใดๆ แต่ให้ความสว่าง ช่วยส่องแสงให้เห็นร่องรอยที่กำลังติดตาม จากลักษณะร่องรอยบนพื้นหิมะและกิ่งสนที่ถูกชนหักนั้น เดาได้ว่าอาจมีการต่อสู้เกิดขึ้นบริเวณนี้

                แล้วเขาก็พบศพ ศพทหารมนุษย์สองคน เป็นทหารม้าลาดตระเวนแน่นอนหากดูจากลักษณะเครื่องแบบและอาวุธที่ใช้ ถูกฆ่าตายตกหลังม้า ไม่ได้ถูกโจมตีโดยสัตว์ร้ายแน่ บาดแผลเกิดจากการถูกฟันเข้าที่จุดสำคัญให้ตายในครั้งเดียว ด้วยอาวุธที่มีความคมสูง ผู้สังหารจะต้องใช้อาวุธเป็นและใช้เก่งเสียด้วย อีกทั้งคงจะต้องฟันขณะขี่พาหนะ เพราะเอื้อมอาวุธถึงคอหอยทหารม้าลาดตระเวนสองคนนี้ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ย่อมไม่ใช่ดาร์คเนสดีวิล เพราะโซลิแทร์เรียกหน่วยลาดตระเวนทุกหน่วยกลับฐานทัพก่อนเริ่มศึก จึงดูเหมือนว่าศึกครั้งนี้ จะไม่ได้มีแค่พวกมนุษย์ที่ล่วงล้ำเข้ามาในอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล

                แล้วเขาก็พบทหารมนุษย์ลาดตระเวนอีกสามศพ ตายในลักษณะเดียวกัน มีรอยเท้าม้าแตกหนีไปคนละทาง เป็นการโจมตีที่สมบูรณ์แบบ พาหนะไม่ได้รับอันตราย ผู้ขับขี่ตายในครั้งเดียว เห็นทีผู้สังหารคนนี้จะไม่ธรรมดาเสียแล้ว โซลิแทร์ชักดาบออกมาด้วยมือขวา มือซ้ายถือไฟส่องตามร่องรอย อีกฝ่ายแม้จะมีพาหนะแต่ก็คงไปได้ไม่ไกลนัก เขารู้จักป่าแห่งนี้ดี พาหนะไม่ได้ช่วยให้ไปได้เร็วเท่าไหร่ในพื้นที่แบบนี้ ซ้ำร้ายจะสับสนทิศทางเสียด้วย เชื่อว่าในไม่ช้า เขาจะได้พบกับผู้สังหารพวกมนุษย์คนนั้นแน่

                จนกระทั่งตัดผ่านแมกไม้มาถึงพื้นที่โล่งกลางป่า มีศพทหารลาดตระเวนมนุษย์อีกห้าศพกระจัดกระจายอยู่บนพื้นหิมะ แต่คราวนี้ไม่ได้มีแต่ศพ โฮเซ่คนหนึ่งกำลังปลดสัมภาระออกจากหลังม้าที่ตายแล้ว เขาสวมเกราะหนาสีน้ำตาลทั่วทั้งตัว เกราะหัวไหล่ สนับแขน และสนับหน้าแข้งติดหนามเหล็กเรียงกันสองแถว หน้าผากหมวกเกราะติดหนามเหล็กห้าแฉกในมุมเฉียง หลังไหล่ขวาติดริ้วธงประจำเผ่าพันธุ์ผืนแคบๆ  ขวานสีเงินเงาวับวางอยู่ข้างตัว ด้ามขวานมีความยาวสำหรับจับด้วยสองมือ ใบขวานมีลักษณะแคบๆ ยาวๆ คล้ายเสี้ยวจันทร์โค้งขึ้น ปลายด้านบนยาวพอจะใช้แทงได้ มันเปื้อนเลือดมนุษย์แห้งกรังอยู่ โซลิแทร์ดับไฟในมือซ้าย จ้องมองอีกฝ่ายจากในแมกไม้อย่างเงียบเชียบ

                โฮเซ่หนุ่มรู้สึกสังหรณ์ใจเหมือนกำลังถูกใครจ้องมองอยู่ เขาพยายามวางตัวปกติ ทำท่าเหมือนไม่รู้สึกตัว แล้วในวินาทีหนึ่งก็คว้าขวานลุกขึ้น หันไปยังตำแหน่งที่ตนสงสัยว่ามีคนมองมา แต่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว

                แทบจะในทันทีทันใด ดาบสีดำก็ฟาดเข้ามาใส่จากทางซ้าย โฮเซ่หนุ่มตะแคงด้ามขวานรับไว้ได้ทัน รับรู้ว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนตำแหน่งได้ไวและเงียบราวกับหายตัวได้ ยิ่งสวมผ้าคลุมดำสวมหน้ากากมิดชิดยิ่งให้ความรู้สึกเหมือนปีศาจในนิทาน ดาบสีดำเล่มเดิมฟาดฟันใส่อีกหลายจังหวะด้วยความเร็วสูง แต่โฮเซ่คนนี้ก็สามารถปัดป้องหลบหลีกได้ และตอบโต้ด้วยความเร็วสูงเช่นกัน นั่นทำให้โซลิแทร์ค่อนข้างแปลกใจ ไม่บ่อยนักหรอกที่เขาจะพบเจอกับคู่ต่อสู้ที่ว่องไวใกล้เคียงกับเขา อีกทั้งยังมีลักษณะการต่อสู้คล้ายๆ กัน ถนัดขวาเหมือนกัน สามารถสลับใช้อาวุธสำหรับจับสองมือด้วยมือข้างเดียวหรือด้วยมือทั้งสองข้าง ตามแต่สถานการณ์   

                ในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังต่อสู้กัน มีเสียงคำรามดังกึกก้องเหนือหัว แล้วมังกรสีดำตัวใหญ่มหึมาก็โฉบลงมา โซลิแทร์และโฮเซ่กระโดดพุ่งตัวกลิ้งไปคนละทาง หลบการถูกตะครุบได้อย่างหวุดหวิด ต้นไม้บางต้นถูกมังกรดำชนล้มเสียงดังสนั่น โซลิแทร์ไปหลบอยู่หลังต้นไม้ต้นหนึ่ง โฮเซ่ก็หลบอยู่อีกต้นใกล้ๆ กัน เจ้ามังกรคำรามลั่นพร้อมส่งประกายไฟสีน้ำเงินออกจากปาก ท่าทางดุร้ายและก้าวร้าว ตาที่ว่างเปล่าเหมือนกระจกนั้นฉายแสงสีน้ำเงินเจิดจ้า มันรู้ว่าเหยื่อสองชีวิตกำลังซ่อนตัวอยู่แถวนี้

                โฮเซ่โยนขวานออกไป มันลุกติดไฟและลอยหมุนเหมือนกงจักร ทิศทางการร่อนของมันถูกควบคุมโดยสายตาของเขา เขาบังคับให้มันบินไปดึงความสนใจของมังกรดำ ซึ่งรีบหันมองตามเมื่อขวานไฟร่อนผ่านหน้าไป ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าควรทำอะไรต่อ ทั้งโซลิแทร์และโฮเซ่รีบวิ่งหนีออกจากที่ซ่อนในจังหวะที่มังกรดำหันไปทางอื่น โฮเซ่คว้าเป้สัมภาระของตนบนพื้น ตายังคงบังคับทิศทางการร่อนของขวาน นับว่าเก่งมากที่ไม่สะดุดล้ม

          เจ้ามังกรดำรู้ตัวแล้ว มันรู้ว่าเหยื่อทั้งสองฉวยโอกาสหนี จึงละความสนใจจากขวานและหันมองตามความเคลื่อนไหวที่อยู่ตรงข้าม โซลิแทร์ร่อนโล่ที่เก็บได้จากศพทหารลาดตระเวนมนุษย์เข้าใส่หน้ามัน ขณะที่ขวานไฟลอยกลับไปเข้ามือโฮเซ่พร้อมด้วยไฟที่ดับลงทันที เจ้ามังกรคำรามลั่น อ้าปากพ่นไฟสีน้ำเงินที่ร้อนแรงจนหิมะละลายและระเหยเป็นไอ แน่นอนว่าโซลิแทร์กับโฮเซ่หนุ่มไม่อยู่ให้ไฟเผาแน่ พวกเขาโกยอ้าวกันไม่คิดชีวิต ไอความร้อนแผ่ไล่หลังมาทำเอาสะดุ้ง เสียงกระพือปีกบอกให้รู้ว่ามังกรดำเริ่มออกบินไล่ตามพวกเขามา เงาของมันทาบลงมาจากฟ้า ทำเอาพื้นที่รอบตัวมืดมิด แล้วก็สว่างจ้าด้วยแสงสีน้ำเงินอีกครั้งเมื่อมันพ่นไฟลงมา โซลิแทร์กลายเป็นเป้าหมาย เขากระโดดพุ่งตัวตีลังกาไปข้างหน้าหลบเปลวไฟแทบไม่ทัน ต้นไม้หลายต้นถูกเผาเกรียมล้มระเนระนาด มือข้างหนึ่งของโฮเซ่ดึงแขนโซลิแทร์ให้รีบลุกขึ้นยืน ทั้งสองวิ่งหนีไปในทางเดียวกัน บางจังหวะก็ต้องพุ่งตัวแยกไปคนละทางเมื่อมังกรดำพ่นไฟลงมาอีก เนื่องจากมีสองเป้าหมาย สร้างความลังเลสับสนให้แก่มัน มันจึงพ่นไฟได้ไม่แม่นยำเฉียบขาดเท่าที่ควร

                โฮเซ่วิ่งนำหน้าโซลิแทร์ไปก่อน แต่ไปได้อีกเพียงนิดเดียวก็ต้องหยุดชะงัก ข้างหน้าเป็นทางลาดชันกึ่งๆ หน้าผา สูงไม่น้อยทีเดียวหากพลัดตกลงไป เกือบจะยั้งเท้าไว้ไม่ทัน

                โซลิแทร์ที่วิ่งตามหลังมาผลักเขาลงเนินนั่นเสียดื้อๆ แล้วก็กระโดดตามลงไป ทั้งคู่กลิ้งลงไปตามทางลาด หิมะเกาะติดร่างจนเป็นสีขาวทั้งตัว พวกเขากลิ้งลงมาจนถึงพื้นราบ ไถลเข้าไปในหิมะที่ปกคลุมพื้นหนาจนถูกมันกลบมิดชิด เจ้ามังกรดำบินผ่านขอบเนินที่พวกเขาตกลงมา มองหาว่าพวกเขาหนีไปทางไหน เนื่องจากมันบินอยู่สูง จึงมองไม่เห็นเหยื่อที่ถูกหิมะกลบมิดชิดอยู่ตรงนี้ เจ้าสัตว์ร้ายบินตีวงหนึ่งรอบก่อนจะมุ่งหน้ากลับไปทางเก่า พร้อมด้วยเสียงคำรามและเสียงกระพือปีกที่ค่อยๆ เบาหายไป

                โซลิแทร์กับโฮเซ่ลุกขึ้นมานั่ง หิมะร่วงกราวออกจากร่างท่อนบน โฮเซ่ถ่มหิมะออกจากปาก เคาะหมวกเกราะให้หิมะออกมา พยายามสะบัดหัวให้หายมึนจากการกลิ้งลงมา

                ยังไม่ทันจะทำอะไรต่อ ดาบสีดำก็ตวัดมาทางคอหอยของเขา โฮเซ่หนุ่มยกขวานขึ้นมาขวางไว้อย่างรู้ทัน สีหน้าอ่อนใจ

                “สวัสดี ยินดีที่ได้รู้จัก นั่นคือสิ่งที่เผ่าพันธุ์ข้าทักทายกัน” เขาพูดอย่างเบื่อหน่าย “ข้าไม่รู้ว่าคนที่นี่ทักทายกันด้วยการเหวี่ยงอาวุธใส่ ซึ่งถ้าเป็นไปได้ ข้าขอให้ท่านเลิกทำแบบนี้ได้แล้ว”

                “ท่านเป็นใคร มาทำอะไรในถิ่นของเรา” โซลิแทร์ถามอย่างไม่เป็นมิตร

                “ข้าไม่มีเจตนาจะบุกรุกหรอกนะ แต่ข้ามีความจำเป็นต้องคอยสังเกตการเคลื่อนไหวของกองทัพมนุษย์ชุดนี้ ตามที่ได้รับคำสั่งมา” โฮเซ่บอก บุคลิกและการพูดจาแสดงให้เห็นว่าเขายังเป็นหนุ่มวัยรุ่น

                “กองทัพมนุษย์ชุดนี้ถูกกำจัดเรียบร้อยแล้ว” โซลิแทร์พูดเสียงเย็น

                “น่าแปลกใจ ตอนแรกข้าคิดว่าพวกมันจะเป็นฝ่ายกำจัดพวกท่านเสียอีก” โฮเซ่หัวเราะ แม้มือข้างหนึ่งจะถือขวานไว้คอยกันคมดาบของโซลิแทร์อยู่ก็ตาม “กลับกลายว่าเป็นพวกท่านที่ได้ชำระแค้น เสียดายที่ข้าไม่ได้เห็น มัวแต่สู้กับพวกทหารลาดตระเวนของพวกนั้นอยู่ ซวยจริงๆ อุตส่าห์สะกดรอยอยู่ห่างๆ ดันมาเจอกับพวกมันเสียได้ พวกมันเห็นว่าข้ามีแค่คนเดียว จึงควบม้าไล่จับข้ากันใหญ่ แน่ล่ะโฮเซ่มาปรากฏตัวในโฟรเซ็นทิเนล ย่อมเป็นคำถามที่พวกมันต้องการคำตอบ ในตอนแรกข้าจะไม่สู้ด้วยแล้ว แต่พวกมันยิงม้าข้า สกัดทางหนีของข้า ข้าจึงต้องสู้กับพวกมัน”  

                นี่คือเหตุผลว่าทำไมหน่วยลาดตระเวนมนุษย์จึงไม่ได้กลับไปรายงายความผิดปกติให้ทางกองทัพได้รับรู้ พวกนั้นถูกโฮเซ่คนนี้ฆ่าตายหมดนี่เอง ซึ่งก็ส่งผลให้กองทัพมนุษย์ชุดนี้ถูกกองทัพดาร์คเนสดีวิลขนาบข้างโจมตีตามแผนอย่างพอดิบพอดี เพราะไม่มีใครกลับไปเตือน

                “ท่านคนเดียวฆ่าทหารลาดตระเวนมนุษย์สิบคนเลยหรือ” โซลิแทร์ลดดาบที่จ่อหน้าอีกฝ่ายลง โฮเซ่ก็ลดขวานลงเพราะไม่ต้องนำมาใช้กันคมดาบแล้ว

                “ท่าทางท่านจะเกลียดมนุษย์จริงๆ เมื่อรู้ว่าข้าฆ่ามนุษย์สิบคน จึงยอมลดดาบลง” โฮเซ่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ข้าเริ่มถูกชะตากับท่านแล้ว”

                “บอกตรงๆ เลยว่าข้าค่อนข้างประหลาดใจ” โซลิแทร์พูด “ข้าไม่ค่อยพบเจอคนที่มีรูปแบบการต่อสู้ที่คล้ายๆ กัน โดยเฉพาะพวกที่ใช้ขวานเป็นอาวุธ”

                “ข้าอาจเร็วพอที่จะรับมือกับการโจมตีของท่านได้ แต่ถ้าวัดกันจริงๆ แล้วข้าว่าท่านไวกว่าแน่นอน เพราะเกราะท่านเบากว่า อาวุธก็เบากว่า ร่างของท่านก็เพรียวกว่า” โฮเซ่ว่า “ที่เรามีรูปแบบการต่อสู้ที่คล้ายกัน ก็เพราะเราใช้อาวุธยาวสำหรับถือด้วยสองมือเหมือนกัน อาวุธที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยใช้กันนัก และที่มีใช้กันบ้างก็ไม่ได้ว่องไวเท่าพวกเรา หรือเปลี่ยนถือเป็นอาวุธมือเดียวไม่ได้บ่อยๆ เหมือนพวกเรา”

                “ขวานของท่านสามารถใช้ได้เหมือนดาบ ใบของมันไม่หนาและไม่กว้างเหมือนขวานทั่วไป ปลายด้านบนของมันก็สามารถใช้แทงได้เหมือนดาบ” โซลิแทร์เสริม “ข้าจึงรู้สึกเหมือนว่าท่านใช้ดาบ”

                “แต่ขวานมันก็ยังเป็นขวาน ยังไงมันก็หนักหน่วงกว่าและช้ากว่าดาบ” โฮเซ่มองขวานในมือของตน “แม้ขวานของข้ามันจะเบาและเร็วกว่าขวานทั่วไปก็เถอะ”

                “ท่านมีเลือดพิเศษธาตุไฟ”

                “ใช่แล้ว ข้าสามารถขว้างขวานออกไปให้มันติดไฟ แล้วใช้สายตาบังคับทิศทางการร่อนของมันได้ ระหว่างที่มันร่อนติดไฟอยู่ อำนาจการตัดของมันจะค่อนข้างสูงทีเดียว แต่อย่าปิดตาข้าตอนนั้นเชียว ขวานมันจะหล่น แล้วข้าก็คงต้องเดินไปเก็บไกล”

                “น่าสนใจ” โซลิแทร์บอก “ความสามารถพิเศษที่น่าทึ่ง และท่านก็ใช้มันได้ดีทีเดียว”

                “ได้ยินว่าแซริค หัวหน้ากบฏหัวรุนแรงและขี้โวยวายก็มีความสามารถพิเศษนี้เหมือนกัน แต่ข้าไม่ได้บ้าดีเดือดเหมือนเขาแน่นอน คนเมายังไม่บ้าเลือดเท่าเขาเลย” โฮเซ่พูด “แล้วท่านล่ะมีเลือดพิเศษธาตุอะไร ทำสิ่งใดได้บ้าง”

                “ข้ามีเลือดพิเศษธาตุสายฟ้า สามารถถ่ายเทสายฟ้าออกมาจากร่างกายหรือปลายอาวุธได้” โซลิแทร์ตอบ

                “สามารถแปรรูปพลังงานได้โดยใช้อาวุธและไม่ใช้อาวุธ ข้าเห็นไม่ค่อยบ่อยนักหรอก” โฮเซ่พูด

                “จะใช้อาวุธ ไม่ใช้อาวุธ หรือทำได้ทั้งสองอย่าง มันก็ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหน พลังงานมันก็ถ่ายเทออกมาได้อยู่ดี” โซลิแทร์พึมพำ

                “ก่อนหน้านี้มีพายุประหลาดเกิดขึ้น มันผิดธรรมชาติมาก คงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับท่านใช่ไหม” โฮเซ่ถามอย่างสงสัย

                “อำนาจพิเศษของข้าเอง ได้รับมาโดยบังเอิญก่อนจะจำความได้” โซลิแทร์ตอบ

                “อีกคนที่มีอำนาจพิเศษ” โฮเซ่หัวเราะ “พี่ชายของข้าก็ได้รับอำนาจพิเศษมาโดยบังเอิญก่อนจะจำความได้เหมือนกัน ตั้งแต่เขายังอยู่ในฝักตะบองเพชรด้วยซ้ำ”

                “ในฝักตะบองเพชรอย่างนั้นหรือ”

                “ใช่แล้ว ก่อนที่จะแหวกฝักออกมาดูโลกเสียอีก” โฮเซ่อธิบาย “เหยี่ยวแดงตัวหนึ่งมันไปกินน้ำในสระน้ำปีกนกในอาณาจักรโมราโซมอส สระน้ำที่พวกไซคัสเคยสร้างไว้ สระน้ำที่เปี่ยมไปด้วยพลังแฝงที่พวกมนุษย์หรือเผ่าพันธุ์ใดไม่เคยรู้วิธีใช้ แล้วมันก็บินมาตายใต้ต้นตะบองเพชรที่มีเทอร์รินอยู่ในฝัก”

                “บินไกลนะนั่น”

                “ธรรมชาติของนกชนิดนี้มันบินไกลอยู่แล้ว และร่างกายของมันก็มักจะทำปฏิกิริยาแปลกๆ อยู่เสมอ ซึ่งมันก็ทำปฏิกิริยากับน้ำที่กินเข้าไป” โฮเซ่ว่าต่อ “มันตาย และร่างมันก็สลายเป็นสารอินทรีย์อย่างรวดเร็ว ต้นตะบองเพชรของเทอร์รินดูดซับสารนี้เข้าไป ทำให้เทอร์รินได้อำนาจพิเศษจากเหยี่ยวแดง เขาสามารถมองสิ่งที่อยู่ไกลๆ ได้โดยไม่ต้องใช้กล้อง แล้วยังได้ยินเสียงของสิ่งที่ตนมองอยู่อีกด้วย”

                “แล้วมีร่างกายส่วนไหนของเขาบกพร่องไหม จากการได้รับอำนาจพิเศษนี้” โซลิแทร์ถาม

                “ไม่นี่” โฮเซ่ส่ายหน้า “ท่านได้รับผลข้างเคียงจากอำนาจพิเศษหรือ”

                “ได้รับเยอะทีเดียว” โซลิแทร์มองมือที่สวมถุงมือเหล็กและสนับกรงเล็บเหล็กของตน

                “อย่างน้อย อำนาจพิเศษของท่านก็ดูมีพลังไม่น้อย เรียกเมฆประหลาดมาควบคุมได้ ดีว่ามองไกลได้ยินไกลเสียอีก” โฮเซ่กล่าว “แต่ก่อนข้าเองก็อยากมีอำนาจพิเศษบ้าง แต่ถ้าข้ารู้ว่าอำนาจพิเศษบางประเภทนั้นมาพร้อมกับผลข้างเคียง ข้าขอเป็นอย่างเดิมนี่ล่ะดีแล้ว”

                “แน่นอน เป็นอย่างที่ท่านเป็นตอนนี้มันมีอะไรไม่น่าพอใจล่ะ แค่อาจเตะตาหน่วยลาดตระเวนมนุษย์กับมังกรตัวใหญ่เท่านั้นเอง”

                โฮเซ่หนุ่มหัวเราะชอบใจ เขาถอดหมวกเกราะออก ยื่นมือซ้ายไปหาโซลิแทร์

                “กอร์ริน เฮนิเคม รองผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อค” เขาเอามืออีกข้างยกขวานชี้ริ้วธงที่ติดอยู่หลังไหล่ขวา หากเป็นผู้นำสูงสุดจะติดริ้วธงไว้ที่หลังไหล่ทั้งสองข้าง ส่วนรองผู้นำสูงสุดจะติดไว้แค่ข้างเดียว

                โซลิแทร์รีรอเล็กน้อย ก่อนจะถอดหน้ากากกับหมวกฮู้ดออก แล้วยื่นมือไปจับกับกอร์ริน ซึ่งกอร์รินก็จับมือด้วยอย่างระมัดระวัง ไม่ให้พลาดไปถูกเงี่ยงแหลมที่หลังมือและกรงเล็บเหล็กที่อยู่หลังนิ้วของอีกฝ่าย

                “โซลิแทร์ แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม” เขาแนะนำตัว “ผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนล”

                “ข้าเจอผู้นำสูงสุดที่อ่อนวัยกว่าพี่ชายข้าจนได้” กอร์รินหัวเราะ “เดี๋ยวนี้พวกผู้นำผู้ปกครองทั้งหลายพากันลดอายุลงเรื่อยๆ อีกไม่นานคงได้มีเด็กทารกเป็นผู้นำสูงสุดแน่”

                “ท่านเองก็ถือว่าอายุน้อยมากเหมือนกัน สำหรับเป็นรองผู้นำสูงสุด”

                “ข้าโตแล้วนะ อายุสามสิบสองปีแล้ว”

                “งั้นข้าก็โตแล้วเหมือนกัน เพราะข้าก็อายุสามสิบสองปี”

                “รู้ไหม เพื่อนปีศาจ---ข้าเรียกท่านว่าโซลิแทร์ได้ไหม นามสกุลท่านมันยาว แล้วความหมายก็หลุดโลกจริงๆ”

                “เรียกข้ายังไงก็ได้ตามที่ท่านต้องการ ขออย่าเรียกข้าเป็นตัวอะไรที่ใกล้เคียงกับถังขยะเปียกๆ ก็พอ”

                “รู้ไหมโซลิแทร์ ข้าคิดว่าคนรุ่นเราดูจะสูญเสียวัยหนุ่มไปล่ะ เพิ่งจะเริ่มเป็นหนุ่มก็ต้องมารับผิดชอบภาระหน้าที่ต่างๆ นาๆ ที่ใหญ่เกินตัว” กอร์รินรำพัน

                “คิดเสียว่า ดีกว่าปล่อยให้พวกคนรุ่นเก่าที่มักจะมีแต่ความคิดทื่อๆ มารับผิดชอบเรื่องพวกนี้” โซลิแทร์พูด “มันอาจทำให้เราเดือดร้อนยิ่งกว่านี้”

                “ข้าชอบคำพูดของท่าน” กอร์รินยกนิ้วอย่างชอบใจ “แข็งกระด้าง ระคายต่อมรับรู้ แต่เข้าท่า และเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น”

                “ไม่บ่อยนักที่จะมีคนชมคำพูดอันระคายหูของข้า” โซลิแทร์ยิ้มและยกคิ้วขึ้นหนึ่งข้าง

                “คนบ้าย่อมเข้าใจคนบ้า แล้วก็ต้องบ้าแบบเดียวกัน” กอร์รินส่ายนิ้วอย่างอารมณ์ดี

                “แค่กลิ้งลงมาจากเนินสูงขนาดนั้นก็บ้าพอแล้วล่ะ”

                “จำได้ว่าท่านผลักข้าลงมานะ”

                “ข้าเกือบจะถีบท่านลงมาด้วยซ้ำ แต่นึกได้ว่ารองเท้าเหล็กของข้ามันมีส่วนคมเต็มไปหมด”

                “ทำไมสีผมท่านไม่เหมือนดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ จะว่าไปก็รู้สึกจะไม่เหมือนเผ่าพันธุ์ใดเลย” กอร์รินเพิ่งจะสังเกตเห็น “แล้วดวงตาของท่านก็เหมือนจะเรืองแสงในที่มืดด้วย”

                “ผลข้างเคียงจากอำนาจพิเศษ ทำให้ข้ามีลักษณะที่ประหลาดกว่าคนทั่วไป ช่างหัวมันเถอะ”

                โซลิแทร์ลุกขึ้นยืน ปัดหิมะออกจากตัว เก็บดาบลงฝัก สวมหน้ากากกับหมวกฮู้ดเหมือนเดิม ช่วยดึงแขนกอร์รินให้ลุกขึ้นยืน กอร์รินคล้องขวานไว้กับเข็มขัด สวมหมวกเกราะ เคาะเอาหิมะออกจากช่องเกราะตามตัว แล้วจึงหยิบเป้สัมภาระขึ้นมาปัดเอาหิมะออก

                “คงมีของสำคัญอยู่ในนั้น ท่านถึงยังอุตส่าห์คว้ามันมาด้วยขณะหนีมังกรดำ” โซลิแทร์ชี้ไปที่เป้

                “มันก็แค่มีมาร์ชเมลโล่ ของโปรดของข้าอยู่ด้วยน่ะ”

                “อะไรคือมาร์ชเมลโล่”

                “ไม่รู้จักจริงๆ หรือ ก็ขนมสีขาวนุ่มเหมือนสำลี เผ่าพันธุ์ข้านิยมย่างกินหน้ากองไฟ”

                “ท่านเสี่ยงถูกเผาเพียงเพื่อขนมหรือ”

                “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้าหนีตาย” กอร์รินตอบ “จริงอยู่ที่เมื่อเวลาหนีตาย เราไม่ควรห่วงสัมภาระ แต่เมื่อท่านหนีตายจนชำนาญ ท่านจะพบว่าการคว้าสัมภาระสักชิ้นขณะวิ่งหนี มันไม่ทำให้ช้าลงนักหรอก”

                “ดูเหมือนว่าจะไม่มีเสื้อกันหนาวรวมอยู่ในสัมภาระของท่านนะ” โซลิแทร์ตั้งข้อสังเกต “ท่านเป็นเผ่าพันธุ์เขตร้อน มาที่เมืองหิมะแบบนี้ ไม่รู้สึกหนาวบ้างหรือ น่าจะสวมเสื้อกันหนาวสักตัว”

                “ข้าสวมมาตัวเบ้อเริ่ม แต่ต้องถอดทิ้งตอนที่สู้กับพวกมนุษย์” กอร์รินชี้แจง “ตอนนี้เริ่มรู้สึกหนาวๆ แล้ว แต่ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร ยังแสบๆ ร้อนๆ จากตอนที่ถูกเจ้ามังกรนั่นไล่เผาอยู่น่ะ ความเย็นมันช่วยบรรเทาแผลจากความร้อน”

                “ตอนนี้พาหนะของท่านก็ตายแล้ว ท่านก็เหน็ดเหนื่อยจากการเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้ หากท่านต้องการ ท่านสามารถเข้าไปพักในฐานทัพของเราได้” โซลิแทร์เอ่ยชวน “นอกเสียว่าท่านยังอยากเดินเล่นชมทิวทัศน์นอกกำแพง ที่มีพร้อมทั้งสัตว์ร้ายหิวโหย และสภาพอากาศที่มีแต่หมอกหนาทึบอันจะเกิดขึ้นเป็นเวลาหลายวัน”

                “ท่านชวนข้าเข้าไปในเมืองของท่านอย่างนั้นหรือ” กอร์รินหัวเราะอย่างไม่อยากเชื่อ

                “มันทำให้ท่านประหลาดใจขนาดนั้นเลยหรือ” โซลิแทร์หัวเราะตาม

                “แน่นอนที่สุด เราทุกคนรู้ดีว่าพวกดาร์คเนสดีวิลเป็นเผ่าพันธุ์ที่ต้อนรับคนแปลกหน้าน้อยที่สุด พวกท่านอยู่ติดพื้นที่ หวงพื้นที่ และไม่ชอบให้ใครล่วงล้ำเข้าไป” กอร์รินบอก

                “จริงทุกประการ” โซลิแทร์พยักหน้า “แต่มันอาจเปลี่ยนแปลงได้ สำหรับคนที่ฆ่ามนุษย์ให้เราถึงสิบคน และมีส่วนทำให้กองทัพของพวกมันติดกับพวกเราได้ตามแผน ถือว่าเป็นใบเบิกทางที่ดี”

                “ถ้าการฆ่ามนุษย์สิบคนถือเป็นใบเบิกทาง ข้ายินดีฆ่าให้อีกหลายๆ รอบเลย” กอร์รินชอบใจ

                “ตามข้ามาสหาย” โซลิแทร์เดินนำ “ขอต้อนรับสู่เมืองฟรอสท์ไอรอนแคลด หน้าด่านของอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล เมืองนี้มันไม่ค่อยน่าอยู่เท่าไหร่ แต่ก็ยังดีกว่าอยู่ตรงนี้ รอให้มังกรมาเจออีกรอบ”

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา