Sacred Light ภัยแห่งลัทธิแสงศักดิ์สิทธิ์

-

เขียนโดย สิงหาศัพท์

วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 12.27 น.

  9 ตอน
  0 วิจารณ์
  9,682 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559 12.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) ผู้ตามหาแม่มด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     “เป็นความจริงเหรอ น่าอิจฉาจังเลยนะ ฉันก็อยากอยู่ในเมืองหลวงเหมือนกัน”

     “แต่ถ้าเลือกได้ ฉันอยากกลับมาอยู่ที่เมืองนี้มากกว่าค่ะ เมืองหลวงมีอัตราการแข่งขันสูงทั้งการเรียนและการทำงาน สังคมที่นั่นค่อนข้างวุ่นวายมากเลยค่ะ ถ้าคุณได้ไปสัมผัสก็คงเข้าใจมากกว่าฟังที่ฉันพูด แต่ไม่แนะนำหรอก อยู่อย่างสงบในเมืองนี้ดีที่สุดแล้วค่ะ” ลูน่าตอบอย่างสุภาพ ขณะที่ถูกเพื่อนร่วมชั้นหลายคนล้อมจนเอเดรีต้องย้ายไปอยู่หน้าห้อง เธอกลายเป็นแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับเมืองหลวงไปแล้ว ทั้งที่ตอนแรก ลูน่าเป็นฝ่ายถามเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองนี้ก่อนต่างหาก

     “ถ้าเปิดเรียนวันแรกจะไม่มีอะไรทำขนาดนี้ ฉันนอนอยู่บ้านตามที่อาจารย์บอกดีกว่า” เอเดรียนถอนหายใจ

     “เอาน่า บ่นไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก ว่าแต่นายไม่สนใจเรื่องเกี่ยวกับเมืองหลวงเลยเหรอ หรือไม่ก็เข้าไปทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่สักหน่อยดีไหม” โฮราคิสที่ยืนอยู่ด้วยกันถามขึ้น เอเดรียนส่ายหน้าเบาๆ ขณะที่ยังมองเข้าไปในวงล้อมของเพื่อนร่วมห้องไม่หยุด จากตรงนั้นมองไม่เห็นเพื่อนใหม่เลย แต่สายตาของเขาจ้องราวกับจะมองทะลุไปถึงข้างในได้ โฮราคิสสังเกตเห็นจึงพูดต่อ “หรือว่านายสนใจลูน่าขึ้นมาแล้ว การเข้าไปทำความรู้จักตั้งแต่วันแรกก็สำคัญนะ หรืออยากให้ฉันเข้าไปด้วย เผื่อมีอะไรที่ไม่กล้าพูดเวลาอยู่คนเดียวจะได้เริ่มกล้าขึ้นมาบ้างไง”

     “ไม่ต้องหรอก ฉันก็แค่…”…สนใจแค่สีผมเท่านั้น ก็อยากจะพูดอย่างนั้นอยู่หรอก แต่ถ้าพูดไปตอนนี้มีแต่จะถูกมองแปลกๆ เท่านั้น “ช่างเถอะ ไม่มีอะไรหรอก” คำพูดนั้นดึงดูความสนใจของโฮราคิสเข้าเต็มเปา แต่เพื่อนชายกกลั้นหัวเราะ แล้วมองตามเอเดรียนเข้าไปในวงล้อมด้วยรอยยิ้มที่ไม่ยอมหุบ

     “แล้วก็นะคะ พูดถึงสิ่งที่ทำได้ในเมืองหลวงแล้ว ที่เมืองนี้สามารถทำอะไรได้บ้างเหรอคะ” ลูน่าเป็นฝ่ายถามบ้าง เพื่อนร่วมห้องที่เป็นฝ่ายให้คำถามกับเธอมาตลอดก็หันมองกันเล็กน้อย แล้วจึงตอบกลับไป

     “ก็มีเรื่องที่ทำได้เยอะแยะนะ เอาอย่างนี้ไหมล่ะ ตอนนี้ก็เลิกเรียนแล้ว พวกเราพาเพื่อนใหม่ไปเที่ยวด้วยกันดีไหม ฉันจะแนะนำสถานที่ในโรงเรียนนี้ แล้วก็สถานที่ดีๆ ในเมืองนี้ให้รู้จักเอาไหม เผื่อว่าเวลาอยากไปไหนแล้วจะได้ไม่หลงทาง แล้วก็จะได้ทำความรู้จักไปด้วยกันเลย” คนที่เสนอความคิดนี้คือ เครเซล เป็นผู้นำกิจกรรมในกลุ่มเพื่อน แล้วก็เคยเสนอตัวเป็นหัวหน้าห้อง ก่อนจะเสียตำแหน่งให้กับคำพูดของอาจารย์ว่า ห้องนี้ไม่จำเป็นต้องมีหัวหน้าห้องหรอก

     “ไม่รบกวนเกินไปหน่อยเหรอคะ ทุกคนก็มีเรื่องที่ต้องทำหลังเลิกเรียนเหมือนกันไม่ใช่เหรอคะ ไม่ดีกว่าค่ะ…”

     “ไม่เป็นไรหรอก ถึงยังไงฉันก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ไม่ได้รบกวนอะไรหรอก ไปด้วยกันนะ” เครเซลชักชวนลูน่าโดยไม่มีช่องว่างให้ปฏิเสธ แล้วเธอก็พยักหน้าหนึ่งครั้งเป็นการตอบรับน้ำใจ “ดีล่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะให้คนที่ไว้ใจได้มากที่สุดพาเธอเดินชมโรงเรียนเอง เอเดรียนยังว่างใช่ไหม ช่วยพาลูน่าไปสำรวจโรงเรียนหน่อยสิ นายยังไม่ได้คุยกับลูน่าสักครั้งใช่ไหมล่ะ แล้วหลังจากนี้ก็ให้ไปเจอกับพวกฉันในอีกครึ่งชั่วโมงนะ หวังว่านายคงรู้ว่าต้องทำอะไรต่อใช่ไหม”

     “ทำไมต้องเป็นฉัน… ไม่สิ ให้เป็นหน้าที่ของฉันเถอะ” เอเดรียนตอบรับเสียงอ่อน เขาไม่กล้าสู้สายตาที่มองเป็นทางเดียวของเพื่อนร่วมชั้นนับสิบชีวิต ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปหาลูน่าที่ลุกขึ้นหยิบกระเป๋ารอเขาอยู่แล้ว “ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเลยเถอะ ถ้าชักช้าจะเสียเวลาไปเปล่าๆ นะ เริ่มจากที่แรกก็คือ…”

     “ไม่ผ่านๆ นายไม่รู้วิธีพูดกับผู้หญิงเลยหรือไง มันต้องพูดให้ดีกว่านี้สิ อีกฝ่ายเพิ่งย้ายมาจากเมืองหลวงเองนะ”

     เสียงถอนหายใจดังขึ้น เอเดรียนพาลูน่าเดินไปยังส่วนต่างๆ ของโรงเรียนโดยไม่สนใจเสียงของเครเซลที่ดังมาจากประตูห้อง เริ่มจากห้องน้ำประจำอาคารเรียนทั้งสามชั้น ห้องพักอาจารย์ ห้องสมุด ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าผู้หญิง ห้องเรียนแยกที่ต้องเข้ามาใช้ในวันที่เปิดเรียนจริง และโรงอาหาร ลูน่าเดินตามเอเดรียนไปยังจุดหมายทั้งหมดนั้นโดยไม่มีบ่นเลยสักครั้งเดียว ไม่ว่าคำพูดที่เอเดรียนใช้จะต่างจากการใช้คำพูดในเมืองหลวงสักเท่าไหร่ก็ตาม

     เมื่อพาเดินชมทั้งหมดแล้ว เขาจึงนำลูน่าไปยังประตูหน้าโรงเรียนที่พวกเครเซลยืนรออยู่นานแล้ว

     สรุปปฏิทินวันเปิดภาคเรียนวันแรกมีดังนี้

     เริ่มจากให้นักเรียนทุกระดับชั้นเข้าไปรวมตัวในโรงพละในช่วงเช้าเพื่อเข้าสู่พิธีปฐมนิเทศเปิดปีการศึกษาใหม่ รวมถึงนักเรียนที่เพิ่งเข้าเรียนเป็นปีแรก ขั้นตอนทุกอย่างใช้เวลาทั้งเช้าก่อนจะปล่อยให้นักเรียนพักกลางวัน หลังจากนั้น ทางโรงเรียนอนุญาตให้นักเรียนปีหนึ่งกลับบ้านในช่วงเที่ยงได้ ขณะที่นักเรียนชั้นปีสูงกว่าต้องอยู่เรียนในช่วงบ่ายต่อ แต่ในวันแรกก็ไม่มีอะไรให้เรียนอยู่แล้ว การเรียนจึงสิ้นสุดลงในเวลาบ่ายสองโมงเท่านั้น

     ถ้ามีแผนจะไปที่ไหนในช่วงบ่ายก็ต้องทำในช่วงนี้แหละ

     “มาช้าไปสามนาที ถ้านี่เป็นคาบพละ นายโดนสั่งวิ่งรอบสนามเพิ่มสามรอบแล้วนะ” เครเซลเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นเอเดรียนมาช้ากว่ากำหนด “ช่างมันเถอะ พวกเราคงจะไปกันได้แล้วนะ ก่อนที่กำหนดการจะเลื่อนไปมากกว่านี้ แต่ครั้งนี้นายก็ไปด้วยกันสิ ไม่ใช่แค่ลูน่าที่ฉันอยากให้รู้จักเมืองนี้ นายก็น่าจะเปิดหูเปิดตาบ้างเหมือนกันนะ ปกติก็ไม่ชอบไปไหนแท้ๆ”

     “ไม่ชอบไปไหนกับไปไหนไม่ได้มันต่างกันนะ งานเทศกาลเมื่อคืนฉันก็ไปนะ ฉันเปิดร้านอยู่กับคุณเอลรี่ไง คราวนี้จะว่าฉันไม่ไปไหนไม่ได้แล้วนะ” เอเดรียนพูดอวดกลุ่มเพื่อนที่เอือมกับการชวนเขาไปไหนก็ไม่เคยไปด้วยกัน ไม่ใช่ว่าไม่อยากไปหรอก เรียกว่าถูกกักพื้นที่ให้อยู่บ้านนอกจากเวลาไปเรียนกับทัศนศึกษาน่าจะตรงกว่า “แล้วตกลงว่าจะไปที่ไหนแล้วหรือยัง”

     “ยังเลย แต่ถ้าเดินไปเรื่อยๆ ก็คงคิดออกเองนั่นแหละ ไม่ต้องคิดมาก” โฮราคิสที่อยู่ด้วยตอบด้วยรอยยิ้ม แต่เอเดรียนก็ตอบกลับด้วยเสียงถอนหายใจ “ล้อเล่นหรอกน่า พวกเรากำลังรอให้นายพาลูน่ามานั่นแหละ เธอได้ฟังพวกเราแนะนำสิ่งที่ทำตอนปิดภาคเรียนแล้วใช่ไหม เธอสนใจเรื่องไหนที่สุดเหรอ ไปเดินป่าหรือว่าดูดาว พวกเราจะได้นำทางให้”

     “หมายถึงสถานที่ที่ฉันอยากไปเหรอคะ” ลูน่าก้มหน้าใช้ความคิด “เมืองนี้มีโบสถ์หรือเปล่าคะ ครอบครัวของฉันสอนเสมอว่าเวลาไปที่ไหนให้ไปที่โบสถ์ก่อนเสมอ เพราะฉันจะได้รับการคุ้มครองจากสถานที่นั้นค่ะ” เมื่อพูดจบ กลุ่มเครเซลที่มีอยู่เกือบสามสิบคนก็หันมองหน้ากัน สีหน้าของพวกเขาแสดงถึงความสงสัยในคำถามของเธอ แต่คนที่หันกลับมาตอบเธอเป็นคนแรกก็คือ เครเซลที่เป็นผู้นำกลุ่ม

     “เธออยากไปที่โบสถ์ก่อนเหรอ ที่นั่นค่อนข้างไกลอยู่นะ แถมตอนนี้ก็ไม่แน่ใจว่าเส้นทางที่ใช้ไปจะเก็บกวดเสร็จแล้วหรือยัง แต่ก็ได้นะ ฉันจะพาเธอไปที่โบสถ์เอง” แล้วเครเซลก็หันกลับไปถามคนในกลุ่ม “ส่วนทุกคน ถ้าโบสถ์มันไกลเกินไปจะกลับไปก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวฉันกับเอเดรียนจะนำทางลูน่าไปเอง แล้วคิดว่าคงไปที่นั่นได้แค่ที่เดียวด้วย ถ้าใครไปได้ก็ยกมือนะ”

     หลังจากที่ถามเสร็จ จำนวนคนที่ยกมือกลับน้อยกว่าครึ่งของคนที่มีอยู่เสียอีก

     หลังจากนั้นสามนาที พวกเขาที่เหลืออยู่สิบสองคน รวมเอเดรียนกับลูน่าแล้วก็เริ่มเดินทางจากประตูหน้าโรงเรียน ผ่านซุ้มต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านบดบังแสงแดดร้อนอบอ้าวจนไปถึงเขตชุมชน บ้านเรือนสร้างจากหินและไม้เป็นที่แปลกตาสำหรับลูน่า เธอบอกว่าสิ่งก่อสร้างในเมืองหลวงทำจากอิฐและหินอ่อน ทางเดินก็ปูด้วยอิฐ ไม่ใช่ดินเหมือนในเมืองแห่งนี้ รวมถึงการเดินทางที่เรียกรถม้ารับส่งได้ทุกแห่ง การเดินเท้าใช้เวลาเกือบชั่วโมง นักเรียนทั้งสิบสองคนก็มาถึงโบสถ์จนได้

     “ถ้าอย่างนั้น ฉันขอตัวไปทักทายหลวงพ่อก่อนนะคะ” ลูน่าพูดเอาไว้ก่อนจะเดินหายเข้าไปในส่วนลึกของโบสถ์

     พวกเขาเดินเข้าไปข้างในตัวโบสถ์ก็ได้พบการตกแต่งอันมีเอกลักษณ์และความสวยงาม ทุกคนที่อยู่รอจึงนั่งชมภาพภายในโบสถ์ที่ได้รับการดูแลอย่างดีให้คุ้มกับที่เสียเวลาเดินมา เอเดรียนนั่งอยู่ตรงม้านั่งแถวสุดท้ายที่ลุกออกไปได้ทันที เขาทำหน้าราวกับโบสถ์เป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับเขา โฮราคิสซึ่งเห็นดังนั้นจึงเข้าไปคุยด้วย

     “เป็นอะไรไปเหรอ ครั้งก่อนที่มาทัศนศึกษาที่นี่ก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน นายไม่ชอบโบสถ์ขนาดนั้นเลยเหรอ”

     “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” เอเดรียนตอบด้วยเสียงสั่นๆ “ฉันก็แค่รู้สึกไม่ค่อยดีเวลาอยู่ที่นี่เท่านั้นเอง” แล้วเขาก็ลุกเดินสำรวจบริเวณผนังที่มีภาพวาดของศิลปินจากเมืองหลวงแขวนอยู่ มันเป็นรูปแสงประกาศิตที่วาดเป็นรูปกางเขนคล้ายกับตัวหนีบผมของลูน่า เพียงแต่มันถูกวาดด้วยสีขาว แต่กำแพงอีกฝั่งหนึ่ง ภาพวาดที่แขวนอยู่กลับเป็นภาพคนถูกตรึงกับท่อนไม้ ข้างล่างมีกองไฟถูกจุดเอาไว้ราวกับการประหารด้วยการเผาทั้งเป็น

     “อึ่ก!” เอเดรียนกำหมัดแน่น ราวกับเพลิงแค้นลุกโชนขึ้นในใจโดยไม่รู้สาเหตุ “เอาอีกแล้ว อย่างนี้อีกแล้วเหรอ”

     ตอนนั้นเอง ชายวัยกลางคนที่สวมชุดบาทหลวงก็เดินเข้ามาข้างๆ แต่อาการปวดศีรษะทำให้เอเดรียนไม่รู้สึกตัว

     “เธอสนใจภาพวาดนี้เหรอ” บาทหลวงพูดเสียงนุ่ม “…หวนสู่ความมืด ฉันว่าอย่าสนใจภาพนี้เลยจะดีกว่านะ ตรงผนังอีกฝั่งมีภาพที่ดีกว่านี้ตั้งเยอะ อย่างเช่น ภาพแสงศักดิ์สิทธิ์ตรงฝั่งตรงข้ามพอดีน่ะ”

     “คุณเป็นบาทหลวงเหรอคะ” เครเซลที่สังเกตเห็นเป็นคนแรกเอ่ยขึ้น ตามมาด้วยคนอื่นที่เดินเข้ามาหาเป็นจุดเดียว

     “ใช่แล้วล่ะ พวกหนูมีธุระอะไรกับโบสถ์นี้เหรอ หรือจะมาสวดภาวนาขอให้โชคดีกับการเรียนล่ะ” บาทหลวงคนนั้นมองไปยังกระเป๋าที่เครเซลสะพายอยู่ เพื่อนของเธอทุกคนก็สะพายกระเป๋าอยู่ที่หลัง รวมถึงวัยของพวกเขาทุกคนก็พอเดาได้ไม่ยากว่าเป็นเด็กที่เพิ่งกลับมาจากโรงเรียน

     “คือว่า พวกเรากำลังรอเพื่อนค่ะ เธอชื่อว่าลูน่า พวกเราสัญญาว่าจะพาเยี่ยมชมเมืองนี้กันค่ะ แต่เธอก็หายไปสักพักแล้ว”

     “เยี่ยมชมเมืองนี้ เพื่อนของเธอย้ายมาจากที่อื่นเหรอ” บาทหลวงถาม แต่เสียงใสๆ ของเด็กสาวจากเมืองหลวงก็ดึงความสนใจของทุกคนไป

     “ขอโทษที่ให้รอนะคะ กว่าจะเสร็จเรื่องก็ใช้เวลาไปเยอะมากเลย ขอโทษที่ทำให้ต้องรอค่ะ” เสียงเด็กสาวที่ได้ยินจากอีกฝั่งหนึ่งทำให้ทุกคนหันไปมอง แล้วก็ได้เห็นลูน่าเดินกลับมาจากส่วนลึกของโบสถ์ เธอกำลังโบกมือให้กับทุกคน ขณะที่มืออีกข้างถือกระเป๋าใหญ่มาด้วย เธอก้มศีรษะขอโทษอยู่ตลอดเวลา

     “ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้ก็เพิ่งบ่ายสามกว่าๆ เอง ยังมีเวลาให้ไปดูที่อื่นอีกนิดหน่อย ว่าแต่พวกเราต้องขอตัวกลับก่อนนะครับ ต้องขอโทษที่เข้ามาโดยไม่ได้บอกกล่าวกันก่อน” เพื่อนชายที่เห็นเพื่อนอยู่กันครบทุกคนแล้วก็กล่าวลาบาทหลวง ก่อนที่ทุกคนจะพากันเดินออกไป แล้วเมื่อประตูปิดลง ก็เหลือเพียงบาทหลวงที่โบกมือลาพวกเขาจนคลาดสายตา ตอนนั้นเอง ดวงตาของบาทหลวงก็เลื่อนลงต่ำ มีสิ่งหนึ่งที่กวนใจเขามาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว

     “เด็กหนุ่มคนนั้น เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อนนะ”

     หลังจากนั้น พวกเครเซลก็พาลูน่าเดินชมภายในเมืองจนครบหนึ่งในสี่ของเมือง ใช้เวลาจนถึงห้าโมงเย็น เครเซลเป็นคนแรกที่รู้สึกถึงเวลาที่ควรแยกย้ายกันได้แล้ว เธอจึงบอกให้คนอื่นๆ กลับบ้านกันได้แล้ว เธอเป็นคนสุดท้ายที่บอกลา จนเหลือเอเดรียนกับลูน่าอยู่ตามลำพัง ทั้งสองเหลือบตาหลบๆ กันอยู่นานแล้ว จนเอเดรียนเป็นคนแรกที่พูดขึ้นมา

     “เธอคือ ลูน่า ใช่ไหม” เขาไม่มั่นใจในสิ่งที่พูด “ลูน่า ลูเทอร์ร่า เธอก็คือลูน่าคนนั้นสินะ”

     “ใช่ค่ะ นายเรียกไม่ผิดหรอก” ลูน่าตอบกลับด้วยรอยยิ้ม แต่เอเดรียนกลับเพ่งมองเธออย่างจริงจัง

     “ไม่ใช่เรื่องนั้น ฉันหมายถึงเธอคือลูน่า คนที่เคยเรียนกับฉันสมัยประถมใช่ไหม” สายตาของเอเดรียนจริงจังมาก รอยยิ้มของลูน่ากลายเป็นสีหน้าที่จริงจังเมื่อได้เห็นดวงตาคู่นั้น “ตอนแรกฉันก็จำเธอไม่ได้หรอก แต่ว่าเส้นผมของเธอเป็นสีขาว เหมือนกันสีผมของลูน่าคนนั้นเลย สิ่งที่ฉันจำได้เกี่ยวกับลูน่ามีแค่นี้แหละ”

     “เหรอ แล้วทำไมนายถึงคิดอย่างนั้นล่ะ ทั้งที่นายก็จำได้แค่นั้น”

     “ก่อนหน้านี้ เธอพูดใช่ไหมว่าเธออยากกลับมาอยู่ที่เมืองนี้มากกว่าเมืองหลวง ตอนนั้นฉันก็แค่ฟังผ่านๆ แต่พอคิดดูแล้ว มันเหมือนกับว่าเธอเคยอยู่ที่นี่ก่อนจะไปอยู่ที่เมืองหลวง แล้วลูน่าก็เคยอาศัยอยู่ที่เมืองนี้ก่อนจะย้ายบ้านไปเหมือนกัน ฉันก็เลยมั่นใจว่าเธอคือลูน่า ใช่หรือเปล่า อา…” คำพูดของเอเดรียนหยุดไป เขารู้สึกเหมือนจะนึกอะไรได้ แต่ความคิดก็ตัดช่วงไปแค่นี้

     บางอย่างที่ขึ้นต้นว่า "อา" วนเวียนอยู่ในความทรงจำดำมืดมาได้สักครู่แล้ว

     “ฉันพูดอย่างนั้นเหรอ” ลูน่ายกนิ้วชี้แตะริมฝีปาก แล้วเผยรอยยิ้มที่กว้างยิ่งขึ้นกว่าเดิมให้กับเอเดรียน “ดีใจด้วยนะที่นายจำฉันได้ ใช่แล้วล่ะ ฉันเคยเรียนกับนายสมัยประถม ตอนนั้นนายค่อนข้างขี้แยเลยแกล้งซะสนุกเลยล่ะ แต่มันก็โหดร้ายเกินไปหน่อยนะที่จำฉันได้เพราะสีผมน่ะ แล้วนายก็ไม่ต้องขอโทษหรอก เพราะฉันก็เพิ่งนึกเรื่องของนายออกตอนที่ต้องย้ายมาเรียนที่นี่เหมือนกัน” เธอดักเอเดรียนที่กำลังจะเอ่ยคำขอโทษ แต่สิ่งที่เขาพูดออกมาไม่ใช่คำขอโทษ มันเป็นคำอื่น

     “เรื่องที่เธอพูดตอนนั้น มันหมายความว่ายังไง…”

     “เรื่องของแม่มดใช่ไหม ตอนนี้ก็ได้เวลาพอดี สนใจจะตามมาด้วยกันไหมล่ะ” ลูน่าขยับมือที่สะท้อนแสงสีเหลืองของพระอาทิตย์ แล้วเอ่ยชักชวนเอเดรียนยังทำหน้าสงสัยในตัวเธอ สิ่งที่เขาจะพูดต่อจากนี้ก็รู้อยู่แล้วด้วย เธอจึงพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงปกติ

     “ไปยังแหล่งกบดานของพวกแม่มดน่ะ”

     “เธอพูดอะไรนะ”

     เอเดรียนเริ่มมีสีหน้าไม่ไว้ใจ แต่ก็ถูกมือข้างหนึ่งที่ดึงตัวเขาไปข้างหน้าหยุดความคิดเอาไว้ แต่ว่าลูน่าก็สุดยอดเกินไปแล้ว ทั้งที่ใช้มือข้างหนึ่งจับมือของเขาอยู่ มือที่เหลืออยู่อีกข้างก็ยังถือกระเป๋าใบใหญ่ที่เอามาจากโบสถ์เดินไปได้ราวกับขนาดของมันเป็นเพียงการอัดอากาศลงไปเท่านั้น และเธอยังถือมันเดินไปเดินมาตลอดเวลาอีกต่างหาก อย่างกับการที่เธอเหนื่อยกับการเดินทางจากโรงเรียนเป็นแค่การแสดงเท่านั้น

     ทั้งสองเดินออกจากเขตชุมชนไปยังเส้นทางที่ป่าเริ่มรกขึ้นเรื่อยๆ คิดเป็นระยะทางน่าจะใกล้เคียงกับโรงเรียนไปโบสถ์เลย เวลาน่าจะผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมงแล้ว แสงอาทิตย์ก็จางลงเรื่อยๆ ถ้าเดินทางกลับบ้านตอนนี้น่าจะไปถึงตอนมืดค่ำพอดี ถ้าอย่างนั้นจะหาข้อแก้ตัวอย่างไรไม่ให้น่าสงสัยดี

     ระหว่างที่คิดอยู่นั้น รอบตัวก็ไม่มีบ้านสักหลังเดียว แสงไฟที่จุดให้ความสว่างก็ไม่มีแล้ว กลายเป็นว่าทั้งสองคนกำลังเดินอยู่กลางป่าของจริง

     “ใกล้จะถึงหรือยัง สถานที่ที่พูดถึงน่ะ” เอเดรียนพูดลิ้นห้อย เขาเดินช้ากว่าลูน่าที่แบกสัมภาระหนักๆ ติดตัวตลอดเวลา ตอนนั้นเองที่ลูน่าหยุดเดิน ก่อนจะพูดกับเขาโดยไม่หันกลับมามอง แต่สายตาของเธอที่ซ่อนอยู่ตรงใบหน้ากำลังมีความสุขมาก เพราะเธอได้พบสิ่งที่เดินทางมาเป็นเวลานานแล้ว

     “ถึงแล้วล่ะ ที่นี่แหละที่ฉันพูดถึง” ลูน่าพูดแล้วชี้ไปข้างหน้า

     นอกจากป่าทึบแล้ว ยังมีกระท่อมหลังหนึ่งตั้งอยู่โดยถูกปกคลุมด้วยใบไม้สดและแห้ง ไม่มีร่องรอยของการทำความสะอาดหรือการจุดตะเกียงเพื่อให้แสงสว่างเลย แต่ควันที่ลอยจากหน้าต่างบอกว่ามีคนอยู่ในกระท่อมหลังนั้น ถ้าสิ่งที่เธอพูดเป็นความจริง สังเกตจากรอยยิ้มที่เหมือนกับเด็กที่พบจุดฝังขุมทรัพย์มหาสมบัติแล้ว คนที่อาศัยอยู่ในกระท่อมห่างไกลเขตชุมชนเช่นนี้ก็คงไม่พ้นจะเป็น…

     “รังของแม่มดยังไงล่ะ” คำพูดของเธอสร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับเขา

     เอเดรียนกลืนน้ำลายเสียงดัง เขาไม่ได้รู้สึกถูกกดดันจากสิ่งที่รออยู่ในกระท่อมตรงหน้า แต่เขารู้สึกว่าสิ่งลูน่าพูดในตอนแนะนำตัวหน้าชั้นเรียนจะเป็นความจริง สังเกตจากท่าทางที่เอาจริงเอาจังของเธอตอนที่เดินเข้าไปยังกระท่อมหลังนั้น มันไม่มีช่องว่างให้คิดว่ามันเป็นการเล่นอย่างหนึ่งของเด็กในเมืองหลวงเลย เขากลับรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งกำลังบอกให้เดินตามเธอเข้าไป มันคือความอยากรู้อยากเห็น

     “สภาพของมันก็เก่าจริงๆ แล้วดูเหมือนจะไม่มีใครทำความสะอาดมันเลย แม่มดอะไรนั่นอาศัยอยู่ที่นี่จริงเหรอ” เอเดรียนแปลกตากับสภาพกระท่อมที่ได้เห็นในระยะใกล้ ไม้ที่ใช้ทำผนังอยู่ในสภาพโทรมเต็มทีแล้ว ลูกบิดประตูก็ทำท่าเหมือนกับจะหลุดติดมือเมื่อหมุนมัน “จะมีคนอยู่ที่นี่จริงเหรอ ฉันว่าไม่มีหรอก พวกเรารีบกลับกันเถอะ ตอนนี้ก็มืดแล้วด้วยนะ”

     เขาถามไปอย่างนั้น แต่แล้ว...

     “เจ้าแม่มด ข้ารู้นะว่าเจ้าซ่อนตัวอยู่ในนี้ เผยโฉมของเจ้าออกมาซะ หรือจะให้ข้าลากคอเจ้าประจานต่อหน้าประชาชน รับรองว่าเจ้าจะไม่ได้อยู่สุขสบายแน่” ลูน่าตะโกนเข้าไปในกระท่อมที่มีควันลอยจากหน้าต่าง แต่ก็ถูกเอเดรียนกระโจนเข้ามาปิดปากเอาไว้ แต่เธอก็สลัดมือของเขาให้หลุดได้ในทันที “นายคิดจะทำอะไรน่ะ ฉันกำลังทำหน้าที่ของฉันอยู่นะ นายก็แค่ยืนดูฉันอยู่เฉยๆ ก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ อย่าเข้ามาขวางฉันนะ”

     “ไม่ๆ เธอกำลังบุกรุกบ้านคนอื่นเลยนะ ถึงมันจะไม่มีคนอยู่ก็เถอะ แต่เธอก็ไม่ควรทำอย่างนี้อยู่ดี กลับกันได้แล้วน่า”

     “นายกลัวขึ้นมาสินะ ก็ไม่แปลกนักหรอก นายเป็นแค่คนธรรมดานี่นา ถ้าอย่างนั้นก็อยู่ใกล้ๆ ฉันเอาไว้ล่ะ พลังของลัทธิแสงศักดิ์สิทธิ์จะปกป้องนายจากแม่มดเอง” ลูน่าพูดอย่างมั่นใจก่อนจะหันกลับไปตะโกนอีก แต่เอเดรียนก็ปิดปากเธอเอาไว้ ก่อนจะลงเอยด้วยการถูกเธอจับทุ่มไปข้างหน้า เกิดเสียงแปลกปลอมอยู่ในป่าที่มีเพียงเสียงนกร้องกับใบไม้ไหว “ฉันก็บอกว่าอย่าเข้ามาขวางยังไงเล่า เดี๋ยวก็ได้เจ็บตัวหรอก”

     ไม่มีการโต้ตอบ เอเดรียนกำลังอยู่ในสภาวะที่พูดอะไรไม่ออก เขาเพิ่งจะถูกเด็กสาวที่มีร่างกายบอบบางแสดงพละกำลังที่เหนือกว่าถึงสองครั้ง นั่นคือความจริงที่เกิดขึ้น เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะขยับตัวอีกแล้ว อย่างน้อยก็อีกสักพัก จนกว่าที่ลูน่าจะเดินออกไปจนพ้นจากระยะสายตาของเขา เอเดรียนได้ยินเธอกำลังต่อว่าเขาอยู่ แต่ทั้งหมดนั้นไม่ได้เข้าหัวเลยสักนิดเดียว

     ในขณะนั้น ประตูไม้ผุๆ ที่ไม่น่าจะมีใครอยู่ข้างในก็เกิดการขยับ บานพับส่งเสียงร้องอย่างน่ากลัว ลูน่าตอบสนองต่อเสียงนั้นแล้วหันไปหา แล้วคนที่ปรากฏตัวจากด้านหลังบานประตูก็คือ หญิงชราที่มีรอยยิ้มอันน่ากลัว

     “หึๆ เป็นอย่างที่รายงานจริงๆ เหรอเนี่ย” แต่เสียงหัวเราะของลูน่าในตอนนี้น่ากลัวยิ่งกว่า เธอพูดขึ้นทันทีโดยไม่รอให้เจ้าของบ้านได้พูดอะไรเลย “ในที่สุดก็เปิดเผยตัวแล้วสินะ เจ้าแม่มด ถือว่าเจ้ายังโชคดีที่ตอนนี้ข้ายังไม่อารมณ์เสียมาก เอาเป็นว่าเจ้าจะยอมไปกับข้าดีๆ หรือว่าจะให้ข้าใช้กำลังพาตัวเจ้าไป แต่บอกเอาไว้ก่อน ถึงจะเป็นผู้สูงอายุ ข้าก็ไม่ปราณีหรอกนะ”

     “ขอโทษที่เพื่อนของผมเสียมารยาทครับ คุณยายอยู่ที่นี่เหรอครับ” เอเดรียนเข้ามาแทรกระหว่างลูน่าที่หยาบคายขึ้นเรื่อยๆ กับเจ้าของกระท่อม แล้วก้มศีรษะขอโทษอย่างอ่อนน้อมที่สุด พร้อมกันนั้นก็จับศีรษะของลูน่ากดลงให้ขอโทษด้วย การกระทำนั้นเป็นที่ไม่ชอบใจของลูน่าอย่างมาก ถึงขนาดที่เธอปัดมือของเขาออกเลยทีเดียว

     “นายทำอะไรน่ะ ไม่มีทางที่ฉันจะไปก้มหัวให้กับแม่มดนั่น ฉันว่านายกลับไปได้แล้ว หลังจากนี้ฉันจะจัดการเอง”

     “เข้ามาก่อนสิจ๊ะ” คำพูดที่สุภาพและเป็นกันเองนั้นมาจากหญิงชรา

     “เฮอะ ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าจะได้ยินคำนี้จากคนที่มอบวิญญาณให้กับปีศาจ ก็เอาสิ ในเมื่อเจ้าอยากให้ข้า…”

     “ไม่รบกวนดีกว่า พวกเราขอตัวกลับก่อนดีกว่าครับ” เอเดรียนพูดตัดบทแล้วหันหลังเดินกลับไป แต่ลูน่าก็เข้ามาขวางไว้ เธอกางแขนกว้างราวกับไม่ต้องการให้เขาไปไหน แต่สายตาที่มองลึกมีความรู้สึกที่รุนแรงกว่านั้นแฝงอยู่ อย่างกับโกรธแค้นกันอย่างไรอย่างนั้น น้ำเสียงที่เธอใช้กับเขาก็ฟังดูเก็บกดเช่นกัน

     “พูดอะไรอย่างนั้น ข้าอุตส่าห์ยอมให้เจ้ามาที่นี่เพื่อให้เห็นพิธีชำระล้างอันศักดิ์สิทธิ์ แต่เจ้ากลับตอบว่าไม่ต้องการเห็นมันอย่างนั้นเรอะ” ลูน่าตะโกนเสียงดัง จนเอเดรียนถึงกับชะงักไปชั่วขณะ

     “ทำไมเธอถึงใช้สำเนียงโบราณอย่างนั้น…”

     ก่อนที่ลูน่าจะได้พูดอะไรต่อ หญิงชราผู้เป็นเจ้าของกระท่อมเก่าก็เอ่ยปากชวนทั้งสองเข้าไปในกระท่อมอีกครั้ง ท่าทางว่าหญิงชราก็ไม่ได้หูตึงแต่อย่างใด เช่นนั้นเธอก็น่าจะได้ยินสิ่งที่ทั้งสองคุยกันอย่างชัดเจน ลูน่าหันกลับไปมองอีกครั้ง ไม่มีความน่าสงสัยในท่าทางของหญิงชราสักนิดเดียว แต่ว่านั่นอาจเป็นกับดักให้อีกฝ่ายหลงกลเข้าไปข้างใน แล้วค่อยเชือดทิ้งทีละคนก็ได้ โดยเฉพาะรอยยิ้มอันอบอุ่นบนใบหน้าอันเหี่ยวย่น และคำพูดที่อ่อนหวานเหล่านั้น

     “ท่าทางของมันน่าสงสัยมาก เอเดรียน เจ้าอย่าได้เข้าไปเด็ดขาดเชียวนะ”

     ลูน่าปรามอย่างหนักแน่น ท่าทางเธอจะไม่ต้องการให้เข้าไปข้างในนั้นด้วยเหตุผลสำคัญบางอย่าง เพื่อพิสูจน์ให้รู้ว่าเพราะอะไร เขาจึงนึกอะไรขึ้นมาได้

     “ไม่เป็นไรเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องรบกวนด้วยแล้วล่ะครับ” เอเดรียนหันหลังให้กับลูน่า ก่อนจะเดินเข้าไปยังกระท่อมตามคำเชิญของเจ้าของบ้าน

     “เอเดรียน! ข้าบอกว่าไม่ให้เจ้าเข้าไปข้างในนั้น มันอาจเป็นคำล่อลวงของแม่มด…”

     “พวกเราเดินมาตั้งไกลแล้ว แถมเธอก็แบกกระเป๋านั่นไปไหนมาไหนกับพวกเครเซลตั้งไกลด้วยไม่ใช่เหรอ เข้าไปนั่งพักสักหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรเลย หรือว่าเธอไม่เหนื่อยเลย ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็น่ากลัวเกินไปหน่อยนะ” เขาพูดแล้วเดินเข้าไปในกระท่อม

     ลูน่าเม้มริมฝีปากพูดว่า “แล้วแต่นายก็แล้วกัน” ก่อนจะเดินตามเข้าไป

     แล้วประตูไม้ก็ปิดลง ปิดกั้นทั้งสองคนจากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา