Sacred Light ภัยแห่งลัทธิแสงศักดิ์สิทธิ์

-

เขียนโดย สิงหาศัพท์

วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 12.27 น.

  9 ตอน
  0 วิจารณ์
  9,681 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559 12.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) สร้างความลำบากให้เจ้าของบ้าน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     …ทั้งที่มันเป็นแค่ความฝันก็ดีอยู่แล้วแท้ๆ…

 

     วันที่ 2 พฤษภาคม วันเปิดภาคเรียนใหม่วันที่สอง

     เช้าวันใหม่เริ่มต้นพร้อมกับแสงอาทิตย์ที่ส่องกระทบเปลือกตาพอดี เอเดรียนลืมตาขึ้นพร้อมกับความงัวเงียและปวดขาอย่างรุนแรง คงเพราะเดินไปเดินมาเป็นระยะทางไกลกว่าปกติเมื่อวานนี้ แต่ทั้งที่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกแข็งเช่นนี้ มือซ้ายของเขากลับรู้สึกอ่อนนุ่มเกินกว่าที่จะเป็นที่นอนซึ่งเป็นเพียงผ้าปูนอนติดกับพื้น เพราะว่าเมื่อคืนนี้ เอเดรียนนั่งเฝ้าอยู่ที่ประตูบ้านเพื่อรอเวลาที่ผู้ปกครองคนใดคนหนึ่งจะเปิดประตูเข้ามาแล้วรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงหัวค่ำให้ทราบ แต่ไม่ว่ารอเท่าไหร่ก็ไม่มีใครกลับมาสักที เอเดรียนที่ทนความง่วงไม่ไหวจึงกลับไปที่ห้องนอน แล้วภาพก็ตัดมาถึงเช้าตรู่วันนี้

     ความจริงเมื่อคืนเขาฝันค่อนข้างประหลาด แต่ก็จำรายละเอียดไม่ได้แล้ว

     เท่าที่พอจะนึกออกก็จะมีความเจ็บปวด… ความโกรธแค้น… ความโศกเศร้า… แล้วก็ความร้อน

     “เป็นเช้าที่สดใสจังนะ… ใครอยู่บนที่นอนของฉันน่ะ” เอเดรียนที่กำลังบิดขี้เกียจพูดเสียงต่ำ

     ตอนนั้นเอง เขาก็รู้สึกถึงของแข็งประหลาดที่เมื่อคืนนี้ยังไม่มีอยู่บนที่นอนของเขา และยังถูกมันแย่งผ้าห่มไปอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้ยินเสียงลมหายใจจากใต้ผ้าห่ม ดูเหมือนว่าคนที่ซ่อนตัวอยู่นั้นกำลังหลับฝันดีอยู่เสียด้วย

     “ลูน่า นั่นเธอสินะ ตื่นขึ้นมาคุยกันก่อน” เอเดรียนเขย่าของแข็งที่อยู่ใต้ผ้าห่ม แต่ก็ได้คำตอบเป็นเสียงครางเบาๆ

     “ขอเวลาอีกห้านาที ไม่ใช่สิ อีกสองชั่วโมงนะคะ”

     “ลุกขึ้นมาได้แล้ว เอาเป็นว่าฉันจะคิดว่าเรื่องเมื่อวานนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ส่วนของที่อยู่ในห้องนั้น ฉันจะเก็บให้เธอทีหลัง เพระฉะนั้น รีบกลับบ้านของเธอไปก่อนที่ใครจะมาเจอเถอะ” เอเดรียนเขย่าผ้าห่มแรงขึ้นตอบรับเสียงร้องแหลมเล็ก แต่เวลานั้นเอง เขาก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติที่โผล่พ้นผ้าห่มขึ้นมา

     ความจริงก็ติดใจตั้งแต่เสียงที่ตอบกลับมาตอนแรกแล้ว แต่สิ่งนี้เด่นชัดกว่ามาก ผ้าห่มของเขามีเส้นสีดำเหมือนเส้นด้ายจำนวนมากโผล่ขึ้นมา เมื่อได้ลองจับก็รู้ว่าเป็นเส้นผม เส้นผมของลูน่าเป็นสีขาว แต่ว่าเส้นผมที่เขากำลังสางอยู่นั้นเป็นสีดำสนิท แล้วความสูงของคนที่ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มก็เตี้ยกว่าลูน่าเล็กน้อย หมายความว่า คนที่นอนอยู่ตรงนั้นเป็นคนอื่น

     เป็นใครสักคนที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ มาได้พักใหญ่แล้ว

     “เอ่อ ใครกำลังนอนอยู่ตรงนี้เหรอครับ” เอเดรียนถามเบาๆ แล้วก็ได้รับคำตอบเป็นเสียงครางที่ต่างจากลูน่าเป็นอีกคนหนึ่งไปเลย เป็นเสียงที่เอเดรียนเคยได้ยินมาเป็นเวลานาน อาจจะนานยิ่งกว่าใครทั้งหมดที่เขารู้จัก “ถ้าไม่ตอบ ผมจะเปิดผ้าห่มแล้วนะครับ” เขาเอ่ยคำพูดที่ปรับให้สุภาพขึ้นเล็กน้อย แล้วเมื่อผ้าห่มถูกเอเดรียนเปิดออก เอเดรียนก็ชะงักไปข้างหลังอย่างลืมตัว

     ไม่ใช่ลูน่าอย่างที่คิด

     เส้นผมสีดำยาวประบ่า โครงลำตัวที่อวบสมบูรณ์แต่ยังไม่ถึงกับมีเนื้อหนังส่วนเกิน และดวงตาสีดำที่ลืมขึ้นมามองเขา

     “…บอกว่าขออีกห้านาทีไงคะ อ้าว เอเดรียนหรอกเหรอ เข้ามาทำอะไรที่ห้องนอนของฉันแต่เช้าล่ะ”

     “คุณเอลรี่!” เอเดรียนร้องลั่นจนสาวน้อยตาปรือถึงกับเบิกตาโพลง ก่อนจะพูดติดอ่างด้วยเสียงที่ดังไปทั่วห้อง “ทำไมคุณถึงเข้ามาในที่นอนของผมได้ จำว่าผมล็อกประตูห้องแล้วนะครับ ไม่ใช่สิ ต้องขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อคืนนี้ด้วยครับ” เขาพูดต่อจนจบด้วยคำพูดที่ฟังไม่รู้เรื่อง นี่เป็นการถอดความของเอลรี่จากท่าก้มกราบหน้าผากจรดพื้นห้องต่างหาก

     เอลรี่ที่ได้ฟังคำพูดของเอเดรียนก็ทำสีหน้าสงสัย แล้วถามกลับไป

     “ขอโทษฉันเหรอ เธอขอโทษเรื่องอะไรกันเหรอ”

     “ผมขอโทษครับที่เมื่อคืนนี้กลับบ้านช้า ผมขอโทษที่เรียนเสร็จแล้วไม่รีบกลับมาที่บ้านทันที แล้วเมื่อครู่นี้ก็ยัง…”

     “ไม่ต้องขอโทษฉันก็ได้ เมื่อคืนนี้ฉันก็กลับถึงบ้านดึกเหมือนกัน แล้วเมื่อครู่นี้… เธอกำลังจะพูดอะไรต่อเหรอ”

     จังหวะนั้นเอเดรียนรู้สึกลังเลเล็กน้อย เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเอลรี่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มของเขาจนกระทั่งตื่นนอน เธอน่าจะอยู่ในนั้นมาตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว หลังจากที่ตื่นขึ้นมา เอเดรียนก็รู้สึกถึงความนุ่มนิ่มจากจุดเดียวกับที่เอลรี่กำลังนอนอยู่พอดี และเมื่อเหลือบขึ้นมองไปยังเอลรี่ เธอก็ยกมือขึ้นนาบหน้าอกของตัวเอง แล้วทำหน้าแดงเล็กน้อยอีกด้วย ถ้าเกิดว่าเรื่องเป็นอย่างที่เขาคิด นั่นจะเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากที่สุดเท่าที่เขาเคยทำ

     “เมื่อครู่นี้… ผมลวนลามคุณเอลรี่ครับ” เอเดรียนพูดเสียงดังกว่าเดิม น้ำเสียงของเขาใกล้เคียงกับการตะโกนแล้ว

     แต่เมื่อกลับไปยังเอลรี่ ถึงจะหน้าแดงเมื่อได้ยินคำพูดของเขา แต่เธอก็ยังตอบสนองด้วยท่าทางปกติ เธอเหลียวมองไปรอบห้องก็พบกับภาพที่ผิดไปจากความคิดของเธอ ทั้งเครื่องเรือนและการจัดตำแหน่งของมันแตกต่างจากห้องนอนของเธอโดยสิ้นเชิง แล้วยังค่อนข้างรกอีกด้วย

     “อย่างนี้เองเหรอ ที่นี่เป็นห้องนอนของเธอสินะ แล้วก็เลิกเรียกฉันด้วยคำพูดสุภาพขนาดนั้นได้แล้ว พวกเราอายุต่างกันแค่ปีเดียวเองไม่ใช่เหรอ” เอลรี่โน้มตัวเข้าไปใกล้ แล้ววางมือข้างหนึ่งลงบนฝ่ามือที่วางราบกับพื้นของเอเดรียน แต่เขายังไม่หยุดแตกตื่น กลับจะยิ่งเป็นมากกว่าเดิม

     “ไม่ได้หรอกครับ แม่ของคุณเอลรี่รับเลี้ยงผมเอาไว้ตั้งแต่ที่ผมยังเด็ก คุณเอลรี่ก็ถือเป็นผู้มีพระคุณคนหนึ่งของผมเหมือนกัน แต่เมื่อครู่นี้ ผมได้ล่วงเกินคุณเอลรี่ไปแล้ว ผมผิดไปแล้วครับ”

     “แต่ว่าฉันก็โตมาพร้อมกับเธอ เรื่องที่เป็นผู้มีพระคุณอะไรนั่นน่ะ…” เอลรี่นึกบางสิ่งขึ้นมาได้ จึงเอื้อมมือทั้งสองข้างออกไป มือข้างหนึ่งช้อนแก้มของเอเดรียนให้เงย มืออีกข้างหนึ่งจับมือของเขาอย่างบางเบา แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไรหรอก มันเป็นความผิดที่ฉันเข้ามาในห้องของเธอตั้งแต่แรก แล้วยังนอนเบียดเธอจนต้องหาท่านอนที่สบายกว่า แล้วมือก็ขยับมาโดนใช่ไหมล่ะ มันก็แค่ความบังเอิญ เธอไม่ต้องโทษตัวเองหรอก แต่ถึงเธอจะตั้งใจทำจริง ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ”

     พูดจบ เอลรี่ก็วางมือแนบลงที่หน้าอกของตัวเอง จนเอเดรียนหลบตาโดยอัตโนมัติ

     คำพูดนั้นทำให้เอเดรียนพูดอะไรไม่ออก สิ่งที่เอลรี่พูดมักทำให้เขาใจเย็นลงได้เสมอ ความจริงก็คือ มันทำให้เขาอึ้งจนพูดไม่ออกมากกว่า ต่อให้อยากพูดมากไปกว่านี้ แต่เธอก็มักจะสกัดคำพูดเหล่านั้นได้ทุกครั้งไป ราวกับเธอรู้ว่าต้องทำอะไรจึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดอย่างนั้นแหละ แม้ว่ามันจะเป็นการทำให้หยุดเพราะอึ้งไปก็ตาม

     แต่คำพูดของเธอไม่ได้ครอบคลุมทั้งหมด มันยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ควบคุมท่าทางของเขาเอาไว้ไม่ได้

     “แต่ว่า มันยังมีอีกเรื่องหนึ่งนะครับ” เอเดรียนพูดขณะที่หลบตาเอลรี่ไปด้วย

     สีหน้าของเธอที่ได้ยินคำพูดประโยคใหม่ดูตกใจเล็กน้อย นานมากแล้วที่เอเดรียนไม่ได้เห็นสีหน้าอย่างนั้น ราวกับว่าคำพูดนั้นของเอเดรียนอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเธอ

     “อะไรเหรอ ช่วยเล่ามาให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม”

     “เมื่อคืนนี้คุณเอลรี่ไม่ได้กลับมาก็เลยไม่ได้บอก เมื่อคืนนี้” เอเดรียนรวบรวมความกล้าเพื่อที่จะเล่า แต่ประตูก็กระแทกเปิดออก คนที่เปิดมันเป็นเด็กสาวอายุใกล้เคียงกับทั้งสองคน

     “เมื่อกี้ฉันได้ยินเสียงร้องดังมาก ถึงฉันจะตื่นนานแล้วก็เถอะ แต่ช่วยอธิบายได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน” เด็กสาวผมสีเงินโผล่เข้ามาในห้องพร้อมกับสายตาอันขุ่นเคือง เธอเพ่งมองสลับไปที่เอเดรียนกับเอลรี่ แต่สภาพของเอเดรียนกับเอลรี่ที่หันหน้าเข้าหากันในระยะประชิดก็ทำให้เธอเข้าใจ ถึงจะผิดไปมากก็ตาม

     แล้วก็ปิดประตูลงเบาๆ โดยไม่พูดอะไรอีกเลย

     “เรื่องนี้แหละครับ” เอเดรียนถอนหายใจหลังจากที่ลูน่าปิดประตูไปแล้ว เขาได้ยินเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไปเงียบๆ เธอคงกำลังลงไปอาบน้ำที่ชั้นล่าง ท่าทางไม่ได้เข้าใจอะไรเลยว่าขณะนี้ เอเดรียนกำลังอยู่ในสถานการณ์แบบไหน

     “เข้าใจแล้ว เอาไว้ฉันจะกลับไปคิดเรื่องนี้อีกทีนะ”

     เอลรี่พยักหน้าสั้นๆ ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง เมื่อเธอลงไปชั้นล่าง ห้องน้ำที่ลูน่าเข้าไปใช้อย่างไม่เกรงใจเจ้าของบ้านก็ว่างพอดี เธอจึงเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปโรงเรียน ส่วนลูน่าในตอนนี้กำลังนั่งรออาหารเช้าที่เอลด้า แม่ของเอลรี่และผู้ปกครองของเอเดรียนกำลังเตรียมอยู่ ซึ่งเอเดรียนก็ตามลงมาหลังจากนั้นอีกครึ่งชั่วโมง

     เมื่อเขาเดินไปยังห้องน้ำ เอลรี่ที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จก็เดินสวนมาในสภาพที่เส้นผมยังไม่แห้งดี

     “เอเดรียน เธอลงมาพอดีเลย ตอนนี้ห้องน้ำว่างแล้วนะ เข้าไปอาบเร็วๆ นะ”

     “ขอบคุณมากครับ” เขาก้มศีรษะให้กับเอลรี่ เธอชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มรับอย่างไม่พอใจเล็กน้อย

     สำหรับเอเดรียน เอลรี่ไม่ใช่แค่รุ่นพี่ที่โรงเรียน หรือว่าพี่สาว

     แม้จะอายุมากกว่าแค่ปีเดียว แต่เอลรี่เป็นลูกสาวเจ้าของบ้านที่เอเดรียนอาศัยอยู่นี้ เอลด้ารับเลี้ยงเอเดรียนที่สูญเสียครอบครัวไปตั้งแต่ยังเด็กด้วยสาเหตุบางประการ และแนะนำให้รู้จักกับลูกสาวของเธอ ทั้งสองคนจึงเติบโตมาด้วยกัน เพราะเป็นหนึ่งในคนที่อุปการะและมอบชีวิตใหม่ให้กับเขา ประกอบกับคอยดูแลเขาอย่างใกล้ชิด เอเดรียนจึงมองเอลรี่เป็นผู้ปกครองของเขาอีกคนหนึ่ง มีความสำคัญและให้ความเคารพเหมือนคนในครอบครัว

     ในสายตาของเขา เอลรี่ก็เป็นเหมือนน้าสาวคนหนึ่ง

     แต่เมื่อวานนี้ เอเดรียนก็เพิ่งยอมให้คนแปลกหน้าเข้ามาอาศัยอยู่โดยไม่ได้ขออนุญาตจากทั้งสองคนเลย หลังจากที่เขาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จพร้อมไปโรงเรียน สิ่งที่เอลรี่จะรับเอาไว้พิจารณาก็ถูกยกขึ้นมาพูดในห้องนั่งเล่น ระหว่างที่พวกเขาทั้งสาม รวมถึงลูน่าที่กำลังนั่งปนอยู่ด้วยกำลังกินข้าวเช้ากันอยู่ และเป็นเรื่องอะไรไปไม่ได้เลยนอกจากเรื่องที่ลูน่าเข้ามาอาศัยอยู่เมื่อวานนี้ เอเดรียนสัมผัสได้ถึงบรรยากาศคุกรุ่นจากเอลด้าที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ รองลงมาก็เอลรี่ที่กัดแผ่นขนมปังกรอบอยู่

     สายตาของเอลด้าจับจ้องไปยังเด็กสาวผมสีเงินตลอดเวลา จนเมื่อเธอดินอาหารเช้าเสร็จเป็นคนแรกและลุกเอาจานไปล้างที่ห้องครัว เธอก็ลุกขึ้นเอามือกระแทกโต๊ะเสียงดังจนเอเดรียนสะดุ้งโหยง

     “ไม่มีอะไร แค่เครียดจากตอนที่ส่งผลวิเคราะห์ชิ้นส่วนเมื่อวานนี้เฉยๆ” เอลด้า ปรับลมหายใจให้ผ่อนคลายลงบ้าง แล้วพูดต่อ “เอเดรียน เด็กคนนั้นเป็นเพื่อนของเธอเหรอ ฉันจำไม่ได้เลยว่าเธอมีเพื่อนผมหงอกอย่างนั้น แล้วก็ได้ยินว่าเธอเป็นคนให้เด็กคนนั้นเก็บข้าวของมาอยู่ที่บ้านของฉัน หวังว่าเธอจะมีคำอธิบายที่พอฟังขึ้นนะ”

     “ถ้าพูดตามสิ่งที่เกิดขึ้น เรื่องก็ประมาณนั้นครับ…” เอเดรียนตอบอย่างเกรงใจ แล้วเสียงทุบโต๊ะก็ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เป็นเสียงที่เอลรี่วางแก้วน้ำดังเกินไป “ลูน่าเพิ่งจะย้ายมาจากเมืองหลวงเมื่อวานนี้ คิดว่าหลังจากที่มาถึงก็คงไปที่โรงเรียนทันทีเมื่อคืนเธอบอกกับผมว่าไม่ได้เตรียมหาที่อยู่ในเมืองนี้เลย แล้วก็เข้ามาขอค้างที่บ้านหลังนี้ก่อน”

     “ที่นี่ไม่ใช่โรงแรมที่ให้เพื่อนเข้ามาพัก เธอคงไม่รู้ใช่ไหม แล้วเธอก็คงไม่รู้ว่างานของฉันยุ่งถึงขนาดที่จะทนรับเรื่องที่บ้านของฉันจะมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งได้เหมือนกันนะ” เอลด้าพูดพร้อมกับคิ้วที่ขมวดแน่น “แล้วทำไมเด็กจากเมืองหลวงถึงย้ายมาเรียนในเมืองที่ห่างไกลแล้วปราศจากความเจริญอย่างที่นี่ล่ะ ไม่มีพ่อแม่ตามมาด้วย แล้วก็ไม่ได้หาที่พักเตรียมเอาไว้ก่อนด้วยซ้ำ ถ้าเธอเป็นเด็กจากเมืองหลวงจริงก็น่าจะมีเงินเช่าห้องพักอยู่ไม่ใช่เหรอ หรือว่าเด็กคนนั้นไม่อยากอยู่ลำบากแล้วจะมาสิงพวกเราอยู่แทน ถ้าอย่างนั้นคงต้องบอกให้ไปหาที่อยู่ใหม่แล้วล่ะนะ”

     “ข้าวของที่เธอขนมาด้วยก็ไม่ใช่เล่นๆ ฉันเข้าไปดูในห้องนั้นตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้วค่ะ” เอลรี่กล่าวเสริม

     เอเดรียนพูดไม่ออก เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นเลยสักนิด

     คนจากเมืองหลวงมีฐานะดีกว่าคนที่รวยที่สุดในเมืองนี้มาก ถ้าเธอจะย้ายมาเรียนที่นี่ถึงสองปี ไม่มีทางที่เธอจะไม่ได้เตรียมหาที่อยู่เลย แล้วถึงเธอไม่ได้จัดการเรื่องที่พัก ถ้าไปอาศัยอยู่ที่โบสถ์โดยแลกกับการทำงานภายในโบสถ์ก็พอทำได้ แต่ลูน่ากลับขนกระเป๋าเดินทางมาจากในโบสถ์ด้วยตัวเอง ถ้าเธอไม่ได้หาที่พักได้อยู่แล้ว เธอก็ตั้งใจที่จะสิงบ้านคนอื่นอยู่ตั้งแต่แรก

     “ทำไมเมื่อวานนี้ ฉันถึงไม่ไล่เธอไปซะนะ” เอเดรียนเอามือกุมรอยช้ำที่แก้มอย่างเจ็บใจ

     “มันเป็นปัญหาของเธอ” จังหวะนั้นเอง ลูน่าก็กลับเข้ามาในห้องนั่งเล่น เธอเผยรอยยิ้มที่สดใสโดยไม่ได้เข้าใจเลยว่าทั้งสามคนที่ยังอยู่ในห้องนี้กำลังคุยอะไรกันอยู่ก่อนที่เธอจะเข้ามา เอลด้าหันไปมองก็สะดุดเข้ากับตัวหนีบผมรูปไม้กางเขนสีทองของเธอ ท่าทางของเอลด้าเปลี่ยนไปทันที “แต่ก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่อย้ายของเข้ามาแล้วก็ช่วยไม่ได้ เธอมีความคิดเห็นว่ายังไง ทั้งหมดอยู่ที่การตัดสินใจของเธอแล้วนะ”

     เอลด้ากำลังพูดอยู่กับเอลรี่ เอลรี่ที่ถูกถามใช้ความคิดอย่างหนัก สีหน้าของเธออาจจะเครียดที่สุดเท่าที่เอเดรียนเคยเห็นมาแล้วก็ได้ เธอหันไปมองลูน่าอยู่เป็นระยะ จนในที่สุด เธอก็เงยหน้าขึ้นมาให้คำตอบ

     “คิดว่าไม่มีปัญหาอะไรนะคะ ลูน่าเป็นรุ่นน้องโรงเรียนเดียวกัน แถมยังเรียนอยู่ห้องเดียวกับเอเดรียนด้วย มันคงจะดีถ้าเอเดรียนจะมีเพื่อนอ่านหนังสือโดยที่ไม่ต้องเสียเวลานัด แล้วดีไม่ดี พวกเราอาจจะได้เห็นอะไรดีๆ จากทั้งคู่ด้วยก็ได้ ขอแค่ไม่ได้ก่อเรื่องอะไรเกินเลย ฉันก็ไม่ขัดข้องค่ะ”

     “คิดว่าอย่างนั้นเหรอ” เอลด้าเอามือลูบคาง ท่าทางความกังวลใจจะหายไปแล้ว ความกดดันที่ส่งมาถึงเอเดรียนจึงหายไปด้วย “เอาอย่างนั้นก็ได้ แม่สาวจากเมืองหลวง เธอชื่อว่าลูน่าสินะ ฉันยอมให้เธอเข้ามาอยู่กับพวกเราก็ได้ แต่มีเงื่อนไขว่าห้ามทำเรื่องเดือดร้อนให้กับพวกฉันเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น ฉันจะโยนเธอออกไปพร้อมกับข้าวของของเธอ แล้วก็เอเดรียนด้วย”

     “ทำไมต้องผมด้วยล่ะ… ไม่มีอะไรครับ” เอเดรียนก้มหน้าหลบสายตาที่จ้องเขม็งของเอลด้า

     “หมายความว่ายังไงเหรอคะ” ลูน่าเริ่มพูดขึ้นมาเป็นครั้งที่สองของวัน ท่าทางเธอจะไม่รู้สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้จริงๆ

“     ก็หมายความว่า เธออาศัยอยู่ที่บ้านของฉันจนกว่าจะเรียนจบได้ แต่ต้องทำตามเงื่อนไขที่ฉันวางไว้ ตกลงหรือเปล่าล่ะ”

     ลูน่าทำหน้างงไปพักหนึ่ง กว่าที่เธอจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นก็ผ่านไปอีกหนึ่งนาที แล้วเธอก็ตอบว่า “ขอบคุณค่ะ”

     หลังจากนั้น เอเดรียนกับเอลรี่ก็เก็บจานอาหารที่กินจนเกลี้ยงไปที่ห้องครัว แต่เพราะใช้เวลาช่วงเช้านานเกินไป เอลด้าที่ไม่ต้องไปทำงานตลอดหนึ่งสัปดาห์จึงเป็นคนล้างจานทั้งหมดเอง ก่อนจะไล่ให้พวกเขาไปโรงเรียน เพราะไม่มียานพาหนะใดๆ ผ่านหน้าบ้าน พวกเขาจึงต้องเดินเท้าไปตามทางเดินต้นไม้ แต่เมื่อเดินไปได้ไม่นาน ลูน่าก็เริ่มเหนื่อยและเดินช้าลง ทั้งที่เมื่อวานนี้เพิ่งแบกกระเป๋าใบใหญ่เดินไปเดินมาอย่างคล่องแคล่วให้เห็นอยู่เลย แต่เอเดรียนก็ส่งสายตาเอือมระอาได้เพียงอย่างเดียว

     เพราะเหตุนั้น ทั้งสามจึงเดินไปถึงโรงเรียนก่อนที่ชั่วโมงโฮมรูมตอนเช้าจะเริ่มเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น

     เมื่อเอเดรียนเข้าไปในห้องเรียนพร้อมกับลูน่า เครเซลก็เดินเข้ามาหา โดยที่กลุ่มเพื่อนของเธอกำลังมองอยู่จากหน้าห้อง

     “เอเดรียน ฉันขอคุยด้วยสักครู่หนึ่งสิ” เธอพูดอย่างนั้น ก่อนจะจับมือเดินไปหากลุ่มเพื่อนของเธอ แล้วทั้งกลุ่มก็เข้าล้อมเอาไว้ทุกทิศทาง โดยเครเซลยืนอยู่รงหน้าเอเดรียนอยู่ที่กลางวงล้อม ราวกับกรงขังนักโทษไม่มีผิด “ฉันขอถามนะ หลังจากที่พวกเรากลับไปแล้วเมื่อวานนี้ นายกับลูน่าเป็นยังไงกันบ้าง”

     “เป็นยังไงที่ว่า หมายถึงสบายดีหรือเปล่าเหรอ พวกฉันก็สบายดี เพียงแต่เมื่อเช้าเจอเรื่องไม่ค่อยดีนิดหน่อย”

     “ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันขอถามตรงๆ ไปเลยแล้วกัน ดูเหมือนว่านายจะมาโรงเรียนด้วยกันกับลูน่าใช่ไหม ทำไมนายกับนักเรียนใหม่ที่เพิ่งย้ายมาจากเมืองหลวงเมื่อวันก่อนถึงมาโรงเรียนพร้อมกันได้ แถมยังมาสายขนาดนี้ นายคงไปรับเธอถึงที่บ้านหรอกใช่ไหม แต่ถ้าเมื่อวานนี้นายไปส่งลูน่าถึงบ้าน เรื่องมันก็ชักจะเข้าเค้าแล้วล่ะ”

     “พูดเรื่องอะไรอยู่เหรอ ฉันไม่ได้…”

     …ไม่ได้ไปรับถึงบ้าน แต่เธออยู่ที่บ้านของฉันเลยต่างหาก…

     ขืนลองพูดออกไป มีหวังจบไม่สวยแน่

     เอเดรียนเพิ่งสังเกตว่ากลุ่มของเครเซลมีกันอยู่เก้าคน จากปกติที่มีกันอยู่สิบคน

     “เธอมาโรงเรียนพร้อมกับเอเดรียนได้ยังไงเหรอ เจอกันระหว่างทางแล้วเดินมาด้วยกัน หรือเอเดรียนไปรับเธอถึงบ้าน” เพื่อนสาวในกลุ่มของเครเซลที่มีผมสั้นหยักศก มิเรนน่าเข้าไปคุยกับลูน่าที่อยู่ท้ายห้อง

     เพราะเธอเป็นคนที่ใกล้ชิดกับเครเซลมากที่สุด สิ่งที่เธอถามก็ต้องถูกไหว้วานมาจากเครเซลอยู่แล้ว

     และถ้าหากว่าลูน่าอ่านบรรยากาศได้ เธอจะไม่ตอบเช่นนี้เด็ดขาด

     “ไม่ใช่หรอกค่ะ ฉันจะอธิบายว่าอย่างไรดีล่ะ ตอนนี้ฉันกับคุณเอเดรียนอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันค่ะ”

     ลูน่าตอบด้วยรอยยิ้ม และด้วยมาดของสาวน้อยจากเมืองหลวงที่สุภาพนอบน้อม แต่คำตอบของเธอสร้างความปั่นป่วนได้มากกว่าสิ่งใดทั้งหมด ทุกคนในห้องที่ได้ยินคำตอบนั้นวางทุกสิ่งที่ทำอยู่ลงกับพื้น แล้วหันไปสนใจเด็กสาวผมเงินเป็นทางเดียวกัน และอีกคนหนึ่งที่ตกอยู่กลางวงล้อมของเพื่อนร่วมห้องอีกเก้าคน

     ทุกคนต่างมีคำถามด้วยกันทั้งนั้น แต่ส่วนใหญ่จะเอ่ยมันอย่างลำบากใจ

     “เดี๋ยวก่อนนะ ไม่ใช่สิคะ ฉันกับคุณเอเดรียนไม่ได้สร้างบ้านอยู่ด้วยกัน แต่คุณแม่ของคุณเอเดรียนยอมให้ฉันอาศัยอยู่กับเขา ฉันถึงได้พูดว่าฉันกับเขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน เรื่องก็มีเท่านี้เองค่ะ” คำพูดของลูน่าทำให้เรื่องทุกอย่างเลวร้ายลงไปอีก ไม่ว่าเอเดรียนจะพยายามแก้คำใดๆ ก็ถูกมองด้วยสายตาเหมือนกับมองดูแมลงกำลังคลานหนีจากรองเท้าที่หล่นใส่ตลอด

     “ไม่ใช่อย่างนั้นนะ เรื่องมันเป็นอย่างนี้ เมื่อวานนี้หลังจากที่ทุกคนกลับไป ลูน่าก็พาฉันไปที่กระท่อมในป่าจนกลางคืน ลูน่าถึงเพิ่งมาบอกกับฉันว่าไม่ได้หาที่อยู่ในเมืองนี้เอาไว้เลย พวกเธอยังจำกระเป๋าที่ลูน่าถือเดินไปในเมืองกับพวกเราได้ใช่ไหม กระเป๋าใบนั้นแหละที่ลูน่าขนของจากเมืองหลวงมาไว้ที่บ้านของฉัน แล้วคุณเอลด้าก็ยอมให้เธอเข้ามาอยู่ด้วยเมื่อเช้านี้ พวกนายรู้จักฉันตั้งแต่ตอนอยู่ม.4 ก็น่าจะรู้ว่าฉันเป็นคนยังไงใช่ไหมล่ะ”

     “กระท่อมในป่า… ด้วยกันถึงตอนกลางคืน… ฉันไม่อยากฟังแล้ว” มิเรนน่าเอามือปิดหูแล้วถอยห่างจากเอเดรียน แม้ว่าพวกเธอจะอยู่ห่างกันเกือบสุดห้องแล้วก็ตาม

     “มีอะไรหรือเปล่าค่ะ ทำไมทุกคนถึงมองคุณเอเดรียนแปลกๆ” ลูน่าถามอย่างไร้เดียงสา แต่เกือบทุกคนในห้องก็เข้ามาล้อมปกป้องเธอเอาไว้ที่ศูนย์กลาง แล้วหันหน้าเข้าเผชิญกับเอเดรียนด้วยสีหน้าที่จริงจัง

     “ท่าทางจะก่อเรื่องกับเพื่อนใหม่ที่เพิ่งย้ายมาแล้วสินะ จำเอาไว้เลยนะ หลังจากนี้ห้ามนายเข้าใกล้ลูน่าในระยะสิบเมตร ฉันขีดเส้นกั้นเอาไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลย เธอไม่ต้องห่วงนะ ถ้าฉันยังอยู่ อย่าหวังว่าผู้ชายคนนั้นจะเข้ามาทำอะไรเธอได้”

     เอเดรียนพยายามจะแก้ตัวอีกครั้ง แต่ลูน่าก็ฝ่าวงล้อมของเพื่อนร่วมห้องหญิงออกไปยังหน้าห้อง แล้วพูดอย่างแน่วแน่ต่อหน้าพวกเครเซลที่ยืนล้อมเอเดรียนอยู่ ก่อนจะพูดว่า “ไม่ค่ะ มีแค่คุณเอเดรียนคนเดียวที่ฉันเล่าความลับของฉันให้ฟังแล้วไม่หัวเราะเยาะ ฉันไม่อยากให้พวกคุณทำอะไรคุณเอเดรียนค่ะ”

     “เรื่องล่าแม่มดนั่นเหรอ” เอเดรียนบ่นพึมพำ

     “ความลับของเธอ… เจ้าเอเดรียนนั่นเหรอ ถ้าอย่างนั้นลองเล่ามาให้พวกฉันฟังหน่อยได้ไหม ฉันสัญญาว่าจะไม่หัวเราะกับทุกเรื่องที่เธอพูด และสัญญาว่าจะไม่เอาความลับของเธอไปเล่าให้คนอื่นฟังด้วย พวกฉันอยากจะเป็นเพื่อนกับเธอจริงๆ นะ เพราะฉะนั้น เล่าเรื่องที่เธอเล่าให้เอเดรียนฟังกับพวกเราเถอะ เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องทนอยู่กับเอเดรียนแค่คนเดียว”

     “จะให้ฉันเล่าตรงนี้เลยเหรอคะ มันไม่น่าเชื่อเท่าไหร่นะคะ แต่ว่า…” ลูน่าในคราบสาวน้อยจากเมืองหลวงบิดตัวไปมา ทำท่าทางลังเลใจ ก่อนจะค่อยๆ เล่ามันออกไปอย่างเข้มแข็งที่สุด “ความจริงแล้ว ฉันเป็นนักล่าแม่มดค่ะ ฉันเป็นนักล่าแม่มดแห่งลัทธิ… ทำไมทุกคนถึงเดินหนีจากฉันล่ะคะ ฉันบอกความลับของฉันให้ฟังแล้ว ไหนทุกคนสัญญาว่าจะไม่หัวเราะยังไงล่ะคะ”

     ลูน่าเอ่ยถาม แต่สิ่งที่เพื่อนร่วมห้องส่งกลับมาก็คือ สายตาที่เย็นชาราวกับมองดูเด็กไร้ความคิดคนหนึ่ง

     “เป็นอะไรไปเหรอ ทำไมทุกคนถึงมองฉันอย่างเย็นชาอย่างนั้นล่ะคะ”

     “ไร้สาระที่สุด…” เพื่อนร่วมห้องคนแรกที่เบือนหน้าหนีโพล่งเสียงดัง

     “สรุปว่าเมื่อวานนี้พูดจริงสินะ ฉันไม่น่าเสียเวลากับเธอเลยจริงๆ”

     วงล้อมที่ปกป้องลูน่าเริ่มบางลงเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ไม่เหลือใครเลย นับเป็นครั้งแรกเลยที่นักเรียนที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ และมีลักษณะพิเศษถูกเพื่อนเกือบทุกคนในห้องละเว้นความสนใจหลังจากที่เข้าเรียนได้แค่วันเดียว แต่เอเดรียนก็ไม่แปลกใจเลยสักนิด เขาน่าจะมีความคิดอย่างเดียวกันก่อนหน้านี้เมื่อสิบชั่วโมงก่อน แล้วเสียงกริ่งเริ่มชั่วโมงโฮมรูมก็ดังขึ้น อาจารย์ประจำชั้นเดินเข้ามาในห้องราวกับรอจังหวะที่เสียงกริ่งจะดังอยู่แล้ว ก่อนที่เอเดรียนจะมีโอกาสอธิบายความเข้าใจผิดของตัวเองเสียอีก

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา