The Dancing Room อย่าบอกใคร เก็บไว้คนเดียว

8.5

เขียนโดย AriA

วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 22.44 น.

  5 chapter
  0 วิจารณ์
  5,866 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 09.45 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) Episode 3 - Three

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เขาเปิดประตูไม้สีเข้มและเดินเข้าห้องของเขาในคอนโดมีเนียม เขาถอดสูทของเขาและ  แขวนไว้ที่มุมห้องและเดินไปบิดตัวไป และจะล้มลงโซฟาที่อยู่ข้างหน้า แต่เขาตัดสินใจอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อก่อนที่จะล้มลงตัวนอนบนโซฟา พักนี้เขาไม่ได้ใช้เตียงนอนเลย เพราะนอนบนโซฟาบ้าง    นอนในห้องครัวบ้าง ขนาดในอ่างอาบน้ำเขายังเคยหลับในนั้นมากแล้ว

          เขาถอนหายใจและลุกขึ้นลากเก้าอี้ไม้ออกมาจากใต้โต๊ะ เขาทิ้งตัวลงและกดรีโมททีวีที่วาง  ไว้บนโต๊ะของเขา เขาตักสลัดที่ทิ้งไว้ข้ามคืนเข้าปาก และต้องคายทิ้งไว้ที่เดิมเมื่อเคี้ยวเข้าไปครั้งแรก 

          “เหมือนเดิม, เหมือนเดิม, เหมือนเดิม, เหมือนเดิม” เขาบ่นพึมพำและไล่เปิดช่องที่มีแต่  รายการน่าเบื่อๆ ที่เอามารีรันได้ทุกวี่ทุกวัน และเขาก็สะดุดกับช่องหนึ่งจนต้องลุกขึ้นไปจ้องทีวี ใกล้ๆ

          “ข่าวต่อไปนะคะ นักเขียนชื่อดังเจ้าของผลงาน ‘Oddland’ และ ‘The Dancing Room’ ถูกนักเขียนคู่แข่งเปิดโปงผลงาน และแฉว่าเธอคือฆาตกรในคดีฆาตกรรมข่มขืนต่อเนื่อง เมื่อยี่สิบปี ที่แล้วค่ะ” เขากลืนน้ำลายเข้าไปโดยไม่รู้ตัว และจ้องรูปภาพทุกรูปภาพที่เด้งออกมา จากหน้าจอ  ฟังทุกคำพูดที่เขาได้ยิน เขาได้กลิ่นอันตรายที่เหมือนกำลังจะมาเคาะประตูบ้านหาเขาในไม่ช้า 

          “โดยนักเขียน ราเชล นอร์ช นักเขียนสังกัดสำนักพิมพ์เดียวกันได้ออกมาบอกกับสื่อมวลชล   ว่านักเขียนที่มีนามปากกาว่า เอดา เป็นฆาตกรคดีฆาตกกรรมเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว พร้อมรูปภาพ  หลักฐานชัดเจน และมีเนื้อหาจากนิยาย The Dancing Room ที่เหมือนกับรายละเอียดคดี ฆาตกรรมไม่มีที่ติ โดยนอร์ชได้กล่าวว่า เธอแทบไม่อยากเชื่อว่านักเขียนในสำนักพิมพ์เดียวกับเธอจะเป็นฆาตกร แต่อย่างไรก็ตาม เธอก็จะสาวไปถึงฆาตกรเพื่อการจับกุมให้ได้ค่ะ” น้ำตาของเขา สะท้อนแสงจากทีวีเป็นประกาย เขาไม่แน่ใจว่ามันคือน้ำตาจากความเศร้า ความดีใจ หรือความโกรธกันแน่ เขากัดริมฝีปากอย่างทุรนทุราย หยิบรีโมตและกำมันไว้แน่น แน่นเสียว่าถ้ารีโมตเป็น คอของเขา ป่านนี้เขาคงขาดอากาศหายใจไปแล้ว

          “โดยคดีฆาตกรรมนี้ เกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีก่อน สำนักข่าวตั้งชื่อเล่นไว้ว่า Palindrome Kills  เพราะเหยื่อทุกคนมีชื่อหรือนามสกุลเป็นชื่อพาลินโดรมค่ะ ตั้งแต่ 20 ปีที่แล้วจนปัจจุบัน ยังไม่มีใครทราบได้ว่าใครเป็นฆาตกร โดยทุกรายจะถูกข่มขืนก่อนฆ่าทุกรายค่ะ”

          “ฝ่ายตำรวจก็ไม่นิ่งนอนใจค่ะ Gloriante Tihandria ผู้บัญชาการตำรวจได้กล่าวว่า ไม่ได้ทิ้งหรือลืมคดีนี้ เพียงยังหาหลักฐานไม่ได้ และหลักฐานจากราเชลเป็นหลักฐานที่สำคัญมาก ผู้บัญชาการยังกล่าวด้วยนะคะว่า ในปัจจุบันเทคโนโลยีทางการสืบสวนมีความเจริญมากกว่าสมัยก่อน ยืนยันว่าจะรื้อฟื้นคดีนี้ขึ้น และจะหาฆาตกรมาให้ได้ค่ะ”

 

          “ไม่มีคำจะด่าไอเจ้านี่จริงๆ” ฟลอยด์เอามืออังแก้วมัคของเขา ครั้งนี้เขาลองกินชาอังกฤษบ้าง แต่รสชาติไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักสำหรับเขา มีตำรวจสองสามคนนั่งดูทีวีเครื่องเดียวในสถานีพร้อมกับเขา และทำหน้าตาบูดบึ้งไม่ต่างกัน

          “ก่อนหน้านี้ก็บอกว่าให้ลืมๆ มันไป พอข่าวดังขึ้นมา ก็จะบอกว่ารื้อฟื้นคดีนี้เอาหน้า” แซนเฟอร์คบ่นใส่หูฟลอยด์ ถึงเขาจะเป็นน้องเล็กสุด ไม่ค่อยรู้คดีนี้เสียเท่าไหร่ แต่ก็ด่าได้คันปากคันหูเลยทีเดียว พาสกาลได้แต่นั่งเงียบๆ แคะขี้เล็บไป และเหลือบมาดูทีวีบางครั้ง

          “อย่างนี้แหละ ตำรวจขาใหญ่ๆ ในประเทศนี้ไม่มีใครสุจริตกันหรอก” ฟลอยด์พูดไปหัวเราะแบบแห้งๆ ไป และหันมามองซูซานที่กำลังหลับบนโซฟาที่มุมห้องอ้าปากค้างน้ำลายยึด โถ ถ้าไม่บอกว่ากินเหล้าจะไม่เชื่อเลยว่าเธอเมา

          “แล้วแกไม่จับซูซานเรอะ เห็นกินวอดก้ามาสามช็อตแล้วขับรถด้วยหนิ” แซนเฟอร์คเห็นฟลอยด์จ้องซูซานตาเขม็งเลยพูดขึ้น ฟลอยด์ไม่ตอบอะไร เพียงแต่หัวเราะเบาๆ แล้วยกชาอังกฤษขึ้นมาซดเสียงดัง

          “แล้วเมื่อไหร่แกสองคนจะคบกัน ฉันรอมานานแล้วนะเนี่ย” พาสกาลหันมาถามแบบเงียบๆ แซนเฟอร์คทำหน้าเหมือนจะพูดว่า โดนซะแล้วสิ ฟลอยด์ แต่ก็ยังห้ามปากตัวเองไว้ได้ทัน

          “รายนั้นน่ะไม่ใช่สเปคฉันหรอก อีกอย่างเธอก็มีเพื่อนสาวสุดสนิทแล้ว”

          “อ้อ หมายถึงว่า แฟนสาวน่ะ” เขาเห็นทั้งสองคนทำหน้างงๆ เลยตอบความจริงไป ทั้งสองคนทำหน้าเหมือนพยายามจะรับความจริงและเข้าใจ ที่จริงซูซานก็เป็นคนหน้าตาไม่แย่เท่าไหร่นัก ก็เรียกว่าสวยก็ได้ ถ้าไม่ติดว่าหัวปักหัวปำกับวอดก้า ทำตัวแปลกๆ ชอบไปส่องสาวๆ แถวมหาลัยเงียบๆ แล้ว เธอถือว่าคงมีทั้งผู้ชายผู้หญิงมาหมายปองอยู่สมควร

          “เออ แล้ววิลล์ล่ะ” แซนเฟอร์คหันมาถาม บรรยากาศกลับมาเงียบอีกครั้งเหมือนคุณครูสั่งให้เด็กอนุบาลเงียบแลกกับเทอร์กิชดีไลท์ ฟลอยด์แววตาเปลี่ยนไปจนเห็นได้ชัด และกดปิดทีวีเสีย

          “อย่าไปพูดถึงมันเลย ฉันน่ะคับแค้นใจแทนจริงๆ” พาสกาลตอบแทนให้ ฟลอยด์วางแก้วของเขาที่ยังมีชาอยู่ครึ่งแก้วบนโต๊ะของเขาข้างๆ และหันไปมองวิวลานจอดรถข้างนอก แสงอาทิตย์ตกดินช้าๆ ผ่านกำแพงกระจกข้างหน้าเขา

          “ทำไมเหรอ...”

          “มันโกหกว่ามันจะไปที่จุดเกิดเหตุใหม่ แต่เปล่าเลย คาสิโนต่างหาก แต่โชคร้ายคงรีบไปเล่นโป๊กเกอร์มากไปหน่อย ปาดรถคนอื่นจนรถตัวเองคว่ำกลางทางด่วนแล้วต้องให้ฉันฝ่ารถเป็นล้านไปช่วยมันส่งโรงพยาบาล ตอนนี้ก็คงได้แต่หยอดข้าวต้มนั่งหงอยๆ อยู่ในโรงพยาบาลคนเดียว” ฟลอยด์จ้องต้นกกสองต้นที่ตั้งอยู่หน้าประตูสถานีที่เริ่มเหี่ยวเฉาเพราะโรคอะไรสักอย่าง มีแต่คนบอกว่ามันอาจจะไม่ใช่ลางที่ดี ให้กำจัดไปก่อนที่มันจะตาย แต่ตอนนี้เขาก็ยังตั้งเอาไว้ที่เดิม

          “หืม” พาสกาลตอบแล้วทำหน้าพยายามจะเข้าใจ เขาไม่ใช่คนที่เข้าใจอะไรง่ายๆ อยู่แล้ว และเขาก็ไม่ใช่คนที่พูดอะไรที่ทำให้คนอื่นเข้าใจง่ายๆ เช่นกัน แหงล่ะสิ นับได้เลยว่าวันนึงเขาพูดกับคนอื่นที่ไม่รู้จักกี่คน กว่าจะสมานสัมพันธ์กับคนในสถานีได้ ต้องใช้เวลาเกือบสองปี

          “ฉํนต้องไปปลุกซูซานแล้วส่งเธอกลับบ้านแล้วล่ะ กลับบ้านเองหวังขึ้นรถรางผิดขบวนเหมือนครั้งก่อนอีกแน่” ฟลอยด์พยุงตัวเองขึ้นจากเก้าอี้และหยิบกระเป๋าสะพายแคนเคนขึ้นมาแล้วเดินไปปลุกซูซาน

 

          เอดาเปลี่ยนช่องมาดูช่องไซไฟ ตอนที่เห็นว่าลูกเธอผลอยหลับไปแล้วหลังจากดูหนังดิสนี่ย์สามเรื่องรวด เธอเดินไปปิดไฟทั้งหมดในบ้าน และนั่งดูขบวนหนังฉลามในความมืด เธอชอบบรรยากาศแบบนี้มากกว่าในโรงหนังเสียอีก ไม่ต้องมีลุงป้าคุยโทรศัพท์ในโรงหนังที่คิดว่าพูดเบาจนคนอื่นไม่ได้ยินแล้ว แต่ก็ยังเสียงดังอยู๋ดี ไม่มีคนมาสะกิดแล้วถามว่าที่นั่งแถว D อยู่ตรงไหน ไม่ต้องหลบให้คนที่เดินออกไปเข้าห้องน้ำ ไม่ต้องทนพวกที่ชอบถอดรองเท้าดูหนังแล้วไม่สนใจคนรอบข้าง

          เธอถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายจากที่เห็นโฆษณารายการเรื่องเล่าสยองขวัญกับการล่าท้าผีรอบที่สองร้อยล้านในวันนี้ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและเลือกที่จะไม่สนใจพวกนักข่าวที่ส่งข้อความมาขอสัมภาษณ์ เธอจินตนาการอนาคตของเธอที่มีแต่ความว่างเปล่าและความมึดมน ความสิ้นหวังและความกลัว เธอคิดว่าขนาดกระจกเธอยังกลัว จะเอาอะไรกับชีวิตที่ได้แต่นับถอยหลังแล้วกระโดดลงเหว

          เธอลุกขึ้นหลังจากได้ยินเสียงไมโครเวฟดังขึ้น เธออบป๊อปคอร์นในไมโครเวฟบ่อยมากจนจำได้ว่าต้องตั้งเวลาเท่าไหร่ เธอจับปากถุงขึ้นแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟา เธอหยิบกรรไกรลายบาร์บี้สุดโปรดของลูกเธอมาตัดปากถุงและเช็ดให้เรียบร้อย เธอคิดว่าลูกเธอคงไม่รู้ว่ากรรไกรสุดโปรดถูกเอามาตัดของสารพัดเสียแล้ว แหงล่ะสิ ลูกของเธอไม่ค่อยสนใจรายละเอียดอะไรพวกนี้อีกแล้ว

          เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นระหว่างไตเติ้ลเรื่อง ซอมบี้ชาร์ก เด้งขึ้นมา เธอทบทวนเบอร์โทรศัพท์สองสามรอบกว่าจะรู้ว่าเป็นเบอร์โทรศัพท์ของใคร

          “ว่าไง” เอดาพูดขึ้น ในสายเงียบไปเสียงสักครู่ และกระแอมสองสามครั้งก่อนพูด

          “นี่ทอร์เจอร์ อิดคาเวน จากรายการ ทอล์กวิธเซเลน่า ลีโอ” ในสายเสียงผู้ชายทุ้มๆ พูด เธอได้ยินเสียงเขาเกาเคราดังแกรกๆ เธอไม่ได้ตกใจอะไร เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาโทรมา

          “คุณได้เบอร์ฉันได้ยังไง” เอดาไม่พูดสุภาพด้วย เพราะเขาก็พูดไม่สุภาพกับเธอเช่นกัน ในสายเลือกเงียบสักครู่

          “ทางรายการเราขอเชิญคุณมาเป็นแขกรับเชิญ....”

          “ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งตำรวจ” เอดาขู่

          “ทางสำนักพิมพ์ให้ผมมา สรุปคุณจะมารายการของเราไหม”

          “ไม่ แล้วไม่ต้องตามตื้อฉันด้วย ฉันรู้นิสัยรายการคุณดี ฉันจะเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ใหม่อีกรอบด้วย”

          “โธ่คุณเอดา อย่าเล่นตัวไปหน่อยเลย ทางเราก็รู้ดีว่าคุณอยากมาร่วมรายการเราแค่ไหน อีกอย่าง คุณก็ได้เครดิต เราก็จะได้เครดิต ถือว่าเราเจ๊ากัน”

          “กล้าจังที่จะให้เครดิตกับฉัน แค่รายการตัวเองยังมีเครดิตเหลืออยู่อีกเหรอ” เอดาจ้วง หยิบป๊อปคอร์นจากถุงมายัดใส่ปาก ในสายชะงักเล็กน้อยแล้วเกาเคราต่อ

          “ไม่มีอะไรพูดแล้วใช่ไหม ฉันจะได้วางสาย” เอดากำลังจะหยิบโทรศัพท์และกดวางสาย

          “เดิ๋ยว!” ชายตะโกนเสียงดังเพื่อให้เธอได้ยินก่อนจะกดปุ่มวางสาย เขาน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเธอกำลังจะวางสาย

          “เรามีหลักฐาน” ชายในสายพูดขึ้น เอดาเหลือบไปมองทีวีแล้วชะงักเล็กน้อย

          “ครั้งก่อนก็บอกแบบนี้” เอดาสวนกลับ ในสายชะงักอีกครั้งและเกาเคราแรงกว่าเดิม

          “ได้มาจากตำรวจ” เอดาคิดเล็กน้อย เธอคิดว่าเธอคงประมาทมากเกินไปที่รายการนี้จะไม่ช่วยอะไรเธอเลย หรืออาจจะไม่ได้ช่วยจริงๆ เหมือนครั้งก่อน รายการทำให้เหมือนจัดฉากและก็ให้เธอดูเป็นฝ่ายผิดมากกว่าเดิม คำขอโทษก็ไม่มี เธอไว้ใจใครไม่ได้แล้ว ตอนนี้เธอมีสองข้างให้เลือกคือ ปฏิเสธ กับ ตกลง แต่เธอเหมือนถูกดึงไปทางปฏิเสธมากกว่า

          “ฉันจะเชื่อได้ยังไง” เอดาพูดขึ้นและเกาหน้าเธอเบา

          “พรุ่งนี้จะเริ่มถ่าย ผมจะไปรับคุณหน้าบ้านตอนแปดโมงครึ่ง ถ้าสายเกินสิบนาทีก็มาที่สตูดิโอเองแล้วกัน” ชายในสายไม่สนใจแล้ว เสียงเขาดูเมาๆ ง่วงๆ ด้วย

          “โอเคนะ” ชายในสายพูดส่งท้ายและกดวางสายใส่เธอ เอดาถอนหายใจจนลมหมดปอด เธอคงได้แต่คิดว่า ถึงจะทำให้แย่ลง แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย

          เธอหยิบป๊อปคอร์นกำที่สองยัดเข้าปาก พาลูกของเธอไปนอนบนเตียง และเตรียมพร้อมสำหรับนรกวันต่อไป

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา