Laurel ภาค เสียงเพรียกหาจากดินแดนที่ถูกลืม

8.0

เขียนโดย zusuran

วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.15 น.

  13 ตอน
  4 วิจารณ์
  10.15K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 20 มีนาคม พ.ศ. 2565 13.21 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) สวอร์ดแมนกับนักเวทมือหนึ่ง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ในห้องโถงบนยอดหอคอยสีเทาเป็นอาณาเขตต้องห้ามสำหรับคนนอก มีเพียงอาจารย์ระดับสูงกับเสาหลักบางคนเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาได้

“คุณทำเกินไปรึเปล่า”

“อะไร”

“คุณรู้ว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่คนธรรมดา แต่คุณก็ยังไม่ยัวโมโหจนเกิดเรื่องซะได้”

“น่าๆ สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ใช่รึไง”

ไรเกอร์มองแขนตัวเองที่ถูกต่อกลับเข้ามาใหม่ ขยับนิ้วมือทดสอบความเรียบร้อยหลังจากที่แผลหายสนิท แอนนาเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดลงกล่อง การรักษาที่ต้องใช้ทั้งเครื่องมือแพทย์และเวทมนตร์ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับอาจารย์แพทย์ทั่วไป เธอจึงต้องจัดการเอง

ถึงจะโกรธอยู่บ้างแต่ก็แอบโล่งใจที่ต่อได้ทันเวลา

“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงจะดีหรอกนะ ดีเท่าไหร่แล้วที่ยังต่อกลับคืนได้ทันเวลา”

“แอนนา”

“อะไร”

“เด็กพวกนั้นเป็นลูกศิษย์ผมนะ”

“หึ….สำนึกของความเป็นครูตื่นขึ้นแล้วเหรอ”

“เฮ้อ…นั่นสินะ”

“…..ต่อไปคุณอาจจะไม่โชคดีแบบนี้อีกแล้วก็ได้ เพราะฉะนั้น ระวังเด็กพวกนั้นเอาไว้บ้างก็จะดีกับตัวคุณเยอะ”

“………….”

…………………

หอพักตะวันออก

“จาเลน”

ชายหนุ่มนั่งชันเข่าอยู่ริมหน้าต่างตรงทางเดินหันมาเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าเป็นคนเซเลียจึงเดินเข้าไปหา

“ยังไม่นอนเหรอ”

“อืม”

“แล้วมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ”

“เธอล่ะ”

ชายหนุ่มปากหนักเริ่มถามกลับ

“ฉันเหรอ อืม….ไปหาคีระมาน่ะ”

“เธอ…..สนิทกับหมอนั่นจังเลยนะ”

“แปลกเหรอ”

“ใช่”

“อ่า…..เหรอ”

เซเลียยกมือลูบท้ายทอยแก้เก้อ นั่นสินะ เธอกับคีระสนิทกันจนออกนอกหน้าขนาดนั้น ไม่แปลกหรอกที่คนข้างนอกจะมองแปลกๆ

“ดึกดื่นเธอไม่ควรจะอยู่ในห้องสองต่อสองกับผู้ชายนะ ถึงแม้ว่าจะเป็นอะไรกันก็เถอะ”

“เอ๊ะ? อะไรเหรอ เป็นอะไรกัน”

“เธอกับหมอนั่น”

“พวกผู้ใหญ่ชอบบอกว่าเราเป็นคู่หมั้นกัน แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่ เราแค่เป็นเพื่อนที่ขาดกันไม่ได้น่ะ”

กึก!

รู้สึกว่าจะพูดอะไรผิดอีกแล้วสิ สีหน้าจาเลนตอนนี้เหมือนกับคนที่กลืนอะไรไม่เข้าคายอะไรไม่ออก เซเลียเหลือกตาขึ้นเพดานคิดคำพูดเหมาะๆมารังสรรค์

“เรา…เป็นเพื่อนที่สนิทกันมากๆ….น่ะ”

แบบนี้พอไหวไหมนะ ถ้าขืนพูดออกไปมากกว่านี้มีหวังได้อธิบายกันยาว

“ถึงยังไงก็ไม่ครจะมาอยู่ที่ฝั่งห้องพักของผู้ชายยามวิกาลแบบนี้”

“จ้าๆๆ งั้นฉันไปล่ะ ราตรีสวัสดิ์”

เซเลียเดินผ่านจาเลนจะไปอีกฝั่งที่เป็นห้องพักของผู้หญิง

ดวงตาสีน้ำเงินเข้มมองหลังไวๆของหญิงสาวร่างเล็กอยู่สักพักก่อนจะหันเหความสนใจไปอีกทาง เมื่อมีอีกคนเดินกลับเข้ามาในหอพัก

“ไง”

“…….ยังไม่นอนอีกเหรอ”

“แล้วนายล่ะ….โลเวล”

“…….”

เงาร่างหนึ่งยังไม่ก้าวพ้นออกมาจากเงาของห้องโถงเบื้องล่าง ถึงแม้แสงจันทร์สลัวจะลอดทะลุกระจกหน้าต่างเข้ามาในตัวตึก แต่มันก็ไม่สามารถส่องไปถึงผู้ที่ยังเร้นกายอยู่ในเงา

“ไปนอนเถอะ…แอล”

“…….”

“ฉันไม่เป็นไร….ไปเถอะ”

เสียงนั้นแหบพร่าและแผ่วเบา จาเลนมองเงาตะคุ่มในโถงชั้นล่างอยู่ไม่นานก็ถอนหายใจและลุกเดินกลับเข้าไปในห้องตัวเอง

เมื่อเสียงประตูปิดลงเสียงถอนหายใจก็ดังตามมาจากเงาเลือนรางในโถงชั้นล่าง

ฟู่ว…….

………………..

เพราะเอาชนะไรเกอร์ได้เมื่อวานทำให้เซเลียเป็นที่จับตามองตั้งแต่เช้า แต่ละคนก็แสดงอาการแตกต่างกันออกไป ทั้งชื่นชม ทั้งหวาดกลัว หรือแม้แต่ท่าทางหมั่นไส้อยากกลั่นแกล้ง

“ไม่ชอบสายตาพวกนี้เลยพับผ่าสิ”

ไรรีย์นั่งเท้าคางสีหน้าหงุดหงิดมาครึ่งวันพูดออกมาประโยคแรกในคาบเรียนที่กำลังจะจบ

เซเลียพอจะรู้ทันทีว่าไม่ได้มีแค่ตัวเองที่ถูกมองแปลกๆ

“ไรรีย์ก็เป็นที่จับตามองเหมือนกันสินะ”

“ฮืม…คงไม่ใช่แค่คนเดียวหรอก”

“เอ๋?”

“ว่าแต่เธอเถอะ เมื่อวานได้ยินมาว่าเล่นงานครูไรเกอร์จนแขนขาดเลยนี่ เซเลีย”

“เอ๋…เอิ่ม…แหะๆ แค่ฟลุ๊คน่ะ”

จะบอกว่าคีระเป็นคนกัดแขนครูขาดคงไม่มีใครเชื่อหรอก

“หืม….ฉันว่าไม่หรอกมั้ง ก็เล่นซะแขนขาดกระจุยขนาดนั้น แถมเธอยังรัดคอครูจนเกือบจะขาดใจตายด้วยนี่นา”

“นั่นมัน…”

“เห็นว่าแขนนั่นต้องใช้วิชาชั้นสูงต่อเข้าที่เดิมซะด้วย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอมีพลังน่ากลัวขนาดนี้”

“ฉันก็แค่….แรงเยอะกว่าคนทั่วไปน่ะ” หมดทางแก้ตัวแล้วเซเลียเอ๊ย

“ส่วนทีมของฉัน โลเวลเป็นคนจบเกมล่ะ”

“ว้าว สุดยอดเลย”

“ฮึ่ม แต่ฉันเจ็บใจมากเลยที่ไม่ได้กระชากผ้าคลุมของเจ้านั่นออก”

“เจ้านั่นเหรอ”

“คนที่สู้กับเราเมื่อวานน่ะ สวมเสื้อคลุมและก็หมวกฮู้ดอันใหญ่เหมือนพ่อมดเลย แต่ว่าเร็วชะมัด สายฟ้าของฉันตามเขาไม่ทันเลย เมื่อวานฉันถูกเล่นตั้งแต่สองรอบแรก สุดท้ายก็ต้องเป็นผู้ชมนั่งมองโลเวลกับเจ้านั่นสู้กัน”

“ว้าว ฉันอยากเห็นตอนโลเวลสู้จังเลย”

“เมื่อวาน……….โลเวลน่ากลัวมาก พอจบการประลองเขาก็หายตัวไป”

“เอ๋?”

“ไม่พูดละๆๆ ไปหาอะไรกินกันเถอะ เห็นว่าวันนี้มีการประลองนักเรียนสายเวทด้วย คนของบ้านตะวันออกก็จะมีเลล่ากับบรุ๊ค”

“ไปดูกันไหม”

“ตาเป็นประกายเชียวนะ”

“นะๆๆๆ”

“ก็ได้ๆ”

“เยส!!!!!”

เซเลียเกาะแขนไรรีย์เดินไปด้วยกันอย่างอารมณ์ดี ไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งเล็กๆที่เร้นกายแอบมองพวกเธอจากเงาต้นไม้ข้างหลัง

ตาสีเทาไร้ประกายไม่ต่างจากลูกแก้วกำลังสะท้อนร่างของเด็กสาวทั้งคู่และส่งไปยังผู้เป็นนายที่อยู่ใกลออกไป

“ฮิๆๆๆ น่าสนุกขึ้นมาแล้ว”

สิ้นเสียงหัวเราะลิ้นเล็กๆก็ตวัดขึ้นมาเลียริมฝีปากไม่ต่างจากสัตว์ร้ายที่กำลังขย้ำเหยื่อ

สนามประลองของนักเรียนสายเวทถูกจัดขึ้นในลานประลองที่อยู่จุดกึ่งกลางของโรงเรียน และมีศิษย์เก่าพลังเวทสูงกับอาจารย์หลายคนคอยคุมเชิงป้องกันอยู่บนอัฒจันทร์รอบสนาม

“คนเยอะจังเลย”

“ฮื่อ ท่าทางพวกสายเวทจะเยอะกว่าสายพลังการต่อสู้”

“ว่าแต่ไรรีย์ก็มีเวทมนตร์นี่”

“มันอยู่ที่ตัวนักเรียนจะเลือกเองย่ะ ฉันไม่ชอบเป็นฝ่ายสนับสนุนที่เอาแต่อยู่ในวงคุ้มกันของคนอื่นหรอกนะ”

“อย่างนี้นี่เอง”

“ว่าแต่เธอเถอะ น่าจะมีเวทมนตร์ทำไมไม่ลงประลองเวทล่ะ”

“ยายนี่ถนัดใช้มือเปล่าจัดการศัตรู แม้แต่สัตว์เทพยังถูกกำราบไปแล้ว”

เสียงของแขกผู้มาใหม่แทรกเข้ามา และมันก็ทำให้ไรรีย์เปลี่ยนอารมณ์ทันที

“มาด้วยเหรอ”

“ที่นี่ของเธอคนเดียวรึไง”

คีระนั่งไขว่ห้างกอดอกเชิดมองต่ำลงมาที่ไรรีย์กับเซเลีย

“ฉันได้ยินมาว่าเมื่อวานนายถูกครูไรเกอร์จัดการจนสลบไปเลยนี่นา”

“เฮอะ! เธอเองก็แพ้ตั้งแต่สองรอบแรกเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

“ชิ!”

“เอาน่าทั้งคู่ เลิกทะเลาะกันได้แล้ว”

เสียงทุ้มต่ำดังแทรกเข้ามาอีกเสียงพร้อมกับสองร่างที่เดินเข้ามานั่งใกล้ๆ

“จาเลน โลเวล มาเหมือนกันเหรอเนี่ย”

“เด็กบ้านตะวันออกลงประลองทั้งที พวกเราก็ต้องมาให้กำลังใจสิ”

โลเวลไม่ลืมจะขยิบตาขี้เล่นเหมือนเดิม

“การประลองเริ่มแล้ว”

จาเลนผู้เงียบสงบพูดประโยคสั้นๆให้ทุกสายตาหันกลับลงไปมองยังสนามประลอง

คนแรกที่ก้าวออกมาคือบรุ๊ค ในมือเขาไม่มีอาวุธอะไร ผิดกับอีกฝ่ายที่ดูจะได้เปรียบทั้งรูปร่างที่ใหญ่กว่ากับอาวุธที่เป็นฆ้อนกับโซ่หนักหลายตัน

“บรุ๊คดูตัวเล็กตัวน้อยไปเลย”

“นั่นสิ”

“พวกเธอนี่ชอบตัดสินคนจากภายนอกจริงๆเล้ย ดูซะก่อน”

“นายเข้าข้างคนอื่นเป็นด้วยเหรอเนี่ย”

อีกยกสำหรับคู่กัดตลอดกาลอย่างไรรีย์กับคีระ

บนลานประลอง….

“เรางมีนักเวทที่เป็นทั้งรุ่นพี่ฝีมือระดับสูงกับคณะอาจารย์ที่เป็นเลิศทางการป้องกัน เพราะฉะนั้นจงอย่าเกรงใจและปลดปล่อยพลังของพวกเธอออกมาให้เต็มที่ มีกฎข้อเดียวคือห้ามถึงชีวิต”

เสียงอาจารย์ที่รับหน้าที่เป็นกรรมการพูดออกมาด้วยเสียงกึกก้องโดยไม่ต้องใช้โทรโข่ง

“การแข่งขันรอบแรก บรุ๊ค ชารอยด์ จากบ้านตะวันออก และ กรินด์ จากบ้านตะวันตก เริ่มได้!”

การประลองเริ่มขึ้น และกรินด์ก็เริ่มโจมตีก่อนด้วยฆ้อนสายฟ้าอันทรงพลังของเขาที่ฟาดลงทีเดียวพื้นสนามก็ยุบลงเป็นหลุมและร้าวไปยันขอบสนาม

ตู้ม!!!

“ว้าว สายฟ้าเหรอเนี่ย”

“ก็งั้นๆ”

ไรรีย์นั่งกอดอกดูจะไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ที่เห็นเวทสายเดียวกับตน

สายตาของผู้ชมมองการประลองในสนาม และดูจะเป็นกรินด์ที่โจมตีอยู่ฝ่ายเดียว โดยที่บรุ๊คได้แต่หลบไปเรื่อยๆและไม่มีท่าทีจะตอบโต้

และคนที่คาดหวังจะได้ชมการต่อสู้เร้าใจก็เริ่มจะออกอาการไม่พอใจและตะโกนเชียร์ให้กรินด์รีบจบเกมน่าเบื่อนี้เสีย

“ทำไมเขาโจมตีกลับเลยล่ะ อย่าบอกนะว่าไม่มีเวทมนตร์”

ตึก!

คำคำนี้แทงใจเซเลียไปแล้วหนึ่ง มือสองข้างที่วางอยู่ข้างตัวเผลอกำชายกระโปรงจนสั่น

“ดูเหมือนกรินด์จะเหนื่อยมากกว่าเมื่อกี้อีกนะ”

สายตาแหลมคมของโลเวลมองการเคลื่อนไหวที่ดูจะช้าลงของกรินด์ การโจมตีเริ่มสะเปะสะปะแถมการทรงตัวของคนร่างใหญ่ที่เคยคล่องแคล่วก็เหมือนจะหนักจนมองเห็นชัดเจน

“ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีเวทมนตร์ แต่เราแค่มองไม่เห็นต่างหาก”

จาเลนที่เงียบมาตลอดพูดขึ้นบ้าง

“เขาใช้มันมาตลอด”

คีระเสริมขึ้นมา สายตามองม่านใสๆที่หากไม่เพ่งให้ดีอาจจะมองไม่ออก

“หมอนี่เจ๋งใช้ได้เลย ท่าทางจะเป็นหน่วยซุ่มโจมตีได้”

“เวทสายน้ำสินะ”

“ไม่ใช่แค่นั้นหรอก ดูนั่นสิ”

เศษซากของลานประลองเริ่มลอยขึ้นกลางอากาศ รวมทั้งฆ้อนของกรินด์ด้วย

ตึง!

“แฮ่กๆๆๆ กะ แกทำบ้าอะไร”

“ก็กำลังสู้กับคุณไง”

“โกหก ฉันไม่เห็นว่าแกจะสู้กับฉันตรงไหน!”

“อ้อ เหรอครับ ที่ผ่านมาคุณคงรังแกผมอยู่ฝ่ายเดียวสินะ แล้วทำไมคุณถึงเหนื่อยขนาดนั้นล่ะ”

“แฮ่กๆๆๆ”

“ผมเบื่อจะเล่นแล้ว เรามาจบเกมกันเถอะ กรินด์”

พรึ่บ!

บรุ๊คยื่นมือออกไปด้านหนังและกำมือ ฉับพลันสิ่งของที่ลอยอยู่ก็ถูกอัดเป็นผลและร่วงกราวกลับลงสู่พื้น รวมทั้งฆ้อนของกรินด์ก็มีชะตาที่ต้องแหลกกลายเป็นผงเหล็กไม่ต่างกัน

“ไม่น่าเชื่อ คะ ฆ้อนของฉัน”

“เอาล่ะ เกมจบแล้ว”

แล้วเวทมนตร์ที่ใครๆต่างก็มองไม่เห็นก็เริ่มปรากฏขึ้นมาเป็นรูปร่าง กลายเป็นดายยาวลวดลายน่าเวียนหัวในมือของบรุ๊ค

“เฮอะ! น้ำเหรอ งั้นก็มาลองกับสายฟ้าของฉันหน่อยเป็นยังไง!”

กรินด์ยังเหลือโซ่อยู่ในมือ และมันก็ไม่ต่างไปจากดาบสายฟ้าชั้นดี

บรุ๊คเป็นฝ่ายพุ่งเข้าโจมตีครั้งแรก

“เขาถูกช๊อตตายแน่”

“ไม่หรอก”

น้ำเป็นตัวนำไฟฟ้าได้ดี แต่ไม่ใช่กับบรุ๊ค พลังสองขั้วเข้าประทะกัน แต่สายฟ้าของกรินด์ไม่อาจแทรกเข้าไปหาตัวบรุ๊คได้เลย หากแต่มันกลับถูกสะท้อนออกมาและกลายเป็นสะเก็ดดาวหางที่พุ่งออกไปคนละทิศละทาง

เปรี้ยง!

ตู้ม!!!

นักเวทที่คอยคุ้มกันอยู่รอบสนามสร้างบาเรียป้องกันไม่ให้พลังรั่วไหลใส่ผู้ชม และการต่อสู้ในสนามก็ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ

กระบวนท่าและการจับดาบของบรุ๊คสวยงามและมั่นคง ในขณะที่กรินด์สูญเสียฆ้อนและการควบคุมไปเกินครึ่งก็ยังรับแรงปะทะอย่างมั่นคงไม่ต่างกัน

“ทำได้ไม่เลว ท่าทางนายกับฉันจะเป็นคู่หูในภารกิจได้”

“ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะครับ”

ฟึ่บ!

“อ๊าก!!!”

ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มดูเป็นมิตรนั้นไม่มีใครคาดคิดว่ามันคือสรพิษล่องหน เพียงพริบตาเดียวร่างของกรินด์ก็ถูกเกลียวคลื่นที่มีรูปร่างเหมือนงูรัดตรึงไว้กลางอากาศ และที่มาของหางอสรพิษนั้นมันก็ออกมาจากร่างของบรุ๊คนั่นเอง

“แต่วันนี้ผมเหนื่อยแล้ว ขอจบเกมเลยละกัน”

กึด!

“อ๊ากกก!!!”

ร่างของกรินด์ถูกบีบรัดแน่นเข้าไปอีก เสียงร้องโหยหวนดังก้องทั้งลานประลองบาดหูบาดใจผู้ชมเป็นอย่างมาก

“ผู้ชนะ บรุ๊ค ชารอยด์จากบ้านตะวันออก!”

เสียงอาจารย์ควบคุมการแข่งขันประกาศก้อง พร้อมกับนักเวทที่พุ่งเข้าไปในลานประลองเพื่อหยุดเวทมนตร์ของบรุ๊คและช่วยชีวิตของกรินด์

สถานการณ์กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เสียงปรบมือเกรียวกราว

“ร้ายกาจ ไม่คิดว่าเขาจะร้ายขนาดนี้นะเนี่ย แบบนี้บ้านตะวันออกของพวกเราชนะแหงๆ”

“ยังเหลืออีกคนนะ”

“อ้อ จริงสิ เลล่า”

“นั่นไง ออกมาแล้ว”

สายตาหลายคู่มองไปที่หญิงสาวบอบบางที่กำลังเดินขึ้นมาบนลานประลอง ใบหน้าเรียบเฉยยังไงเธอก็ยังน่ารัก หากแต่สิ่งที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่รอบตัวเธอนั้นกลับไม่ได้น่ารักอย่างที่คิด

“นั่นอะไรนะ”

“มีอะไรเหรอเซเลีย”

“ฉันเห็น….เอ่อ ไม่มีอะไร”

เซเลียเงียบลงและไม่คิดจะบอกใครว่าสิ่งที่เห็นนั้นมันมืดดำและน่ากลัวขนาดไหน

ปั่บ!

มือหนักของคีระที่นั่งอยู่บนที่นั่งสูงกว่าเอื้อมมาวางบนไหล่เซเลียและบีบลงน้ำหนักพอให้รู้สึกเจ็บ เซเลียปล่อยลมหายใจออกมายาวๆผ่อนคลายความตรึงเครียดลงไปได้พอสมควรแล้วจึงมองลงไปยังลานประลองอีกครั้ง

คู่ต่อสู้ของเลล่าเป็นนักเรียนรุ่นพี่จากหอคอย เอเลนอร์ หญิงสาวผมสีม่วงมัดตึงเป็นหางม้าไว้ด้านหลังสวมเสื้อคลุมสีขาวและถือคฑาทับทิม

“การต่อสู้ของนักเวทคู่ที่สอง เลล่า บลัด จากบ้านตะวันออก และประธานนักเรียนแห่งหอคอย เอเลนอร์ เป็นการทดสอบความแข็งแกร่งของเวทมนตร์เฉพาะตัว หน่วยภารกิจสายเวทมนตร์จะเป็นคนวัดระดับความแข็งแกร่งของพวกเธอ และจะให้คะแนนเพื่อจัดให้เข้าไปอยู่ในหน่วยเป็นกรณีพิเศษ เริ่มได้”

เสียงอาจารย์ประกาศออกมาอีกรอบ และเป็นเอเลนอร์ที่ร่ายเวทเร็วกว่า คฑาทับทิมของเธอหมุนคว้างราวกับกังหันก่อนที่จะมีหงส์สีแดงพุ่งออกมาและโจมตีเลล่า

ฟึ่บ!

ผลัวะ!

ร่างน้อยๆที่ว่าบอบบางของเลล่าถูกปีกหงส์ตบเข้าฉาดใหญ่จนล้มกลิ้งไปอยู่ข้างสนาม เรียกเสียงฮือฮาจากคนที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์

“สมแล้วที่เป็นศิษย์เอกของหนึ่งในเสาหลัก”

“เธอเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์จริงเลยนะว่าไหม”

เสียงเซ็งแซ่ดังขึ้นมาจนเซเลียเริ่มเวียนหัว

มันต้องไม่ใช้แบบนี้สิ มันมีอะไรมากกว่านั้น เลล่ากำลังซ่อนอะไรบางอย่าง และเจ้าสิ่งนั้นก็อันตราย

“เลล่า กำลังซ่อนมันเอาไว้”

“เอ๋? อะไรเหรอ”

“ฉันเองก็ไม่รู้”

เซเลียบอกไม่ถูกว่าเจ้าสิ่งนั้นคืออะไร สิ่งที่มองเห็นตอนนี้มีเพียงเงาสีดำลอยอ้อยอิ่งอยู่รอบตัวเลล่า

บนลานประลอง

“จะเอายังไง แม่เด็กใหม่ จะยอมแพ้รึไง”

“…………”

“ฮึ! ท่าทางจะเป็นใบ้สินะ ถ้าอย่างนั้นมาจบเกมกันเลยก็แล้วกัน แค่หักกระดูสองสามท่อน อย่าโกรธกันเลยนะ”

ใบหน้าที่ว่าสวยสง่าของเอเลนอร์กลับดูน่าเกลียดเมื่อเธอแสยะยิ้ม

หญิงสาวยกคฑาขึ้นเหนือหัวพร้อมกับร่ายเวทมนตร์ออกมา ท้องฟ้าเริ่มมีเมฆครึ้มหมุนเป็นวงกลมเหมือนพายุงวงช้าง

“เจ็บหน่อยนะ แต่จบแค่นี้แหละ!”

พายุงวงช้างในตอนแรกกลายเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ที่กำลังคืบคลานเข้ามาและดูดกลืนทั้งอัฒจันทร์ให้อยู่ในความมืด

“เฮ้ยๆๆ ยายนั่นเล่นใหญ่ไปไหม”

“เลล่า!”

เซเลียเผลอตะโกนลงไปในลานประลองก่อนที่ความมืดมิดจะเข้ามาปกคลุมทั้งหมด เลล่าเงยหน้าขึ้นมามองพร้อมกับสายตาที่ดูจะประหลาดใจหน่อยๆก่อนที่หญิงสาวจะยิ้มอ่อน และ…

พรึ่บ!

ยโสโอหังไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง

เสียงก้องกังวานดุจระฆังทองดูกลืนความมืดจากหลุมดำของเอเลนอร์หายไปจนหมดสิ้นภายในพริบตาเดียว

ตึง!

ฟึด!

ทุกอย่างกลับมาสว่างไสวอีกครั้ง และทุกสายตาก็ได้พบกับความน่ายำเกรงสิ่งใหม่ที่เพิ่งปรากฏขึ้นมา

ข้างกายเลล่าคือม้าสีดำเมี่ยมตัวใหญ่เกินม้าทั่วไป ดวงตาสีทองเจิดจรัสชำเลืองมองเอเลนอร์อย่างประเมินค่า

พลังน้อยนิดแบบนั้นบังอาจมากลืนกินข้ารึ

 

“นั่นมันสัตว์เทพ ไม่ใช่เหรอ”

“ม้าราชัน อาปาเช่ เทียร์”

เซเลียมองม้าราชันสีดำที่ยืนอยู่ข้างเลล่า ที่แท้เงาสีดำที่ที่ล้อมตัวเลล่าอยู่คือม้าราชันนี้เอง แถมเหมือนกับว่ามันกำลังรอคำสั่งจากเลล่ายังไงอย่างนั้น

“ทำไมสัตว์เทพถึงได้เชื่อฟังมนุษย์ล่ะ เลล่า บลัด เธอเป็นใครกันแน่”

ในโลกนี้มีคนบางส่วนที่ทำสัญญากับสัตว์เทพ แต่ก็มีให้เห็นไม่มากนักหรอก ฉันเองก็เพิ่งจะเคยได้เห็นคนอายุน้อยที่ทำสัญญากับสัตว์เทพถึงสองตนอย่างนี้”

“สองตนเหรอ”

“นั่นไง ข้างๆเลล่า บนพื้นนั่น”

บนลานประลองที่เป็นเพียงอิฐเก่าๆตอนนีมีบ่อน้ำสีดำเล็กๆ และสิ่งที่โผล่พ้นขึ้นมาจากบ่อนั้นก็คือหญิงสาวผมสีดำร่างเปล่าเปลือยนางหนึ่ง ถึงแม้จะโผล่ขึ้นมาเพียงครึ่งตัวแต่เธอก็ยังสูงใหญ่เทียบเท่าความสูงของเลล่า

“จิตวิญญาณแห่งเฮลสวอร์ท เจ้าหญิงเงือกโอนิกซ์”

โลเวลผู้รอบรู้เริ่มอธิบาย ยิ่งกระตุ้นความอยากรู้ของเซเลียที่ตาเริ่มจะเป็นประกาย

“สุดยอดเลย เงาสีดำที่ฉันเห็นเป็นสัตว์เทพสองตนนี้เอง

“ยายนั่นเป็นตัวอันตราย”

“นายไม่ควรตัดสินเธอแบบนั้นนะคีระ”

“เธอนี่มันไร้เดียงสาไม่เข้าเรื่อง”

“ว่าไงนะยะ”

“เธอน่ากลัว”

“จาเลนก็ด้วยเหรอเนี่ย”

“คนที่ทำสัญญากับสัตว์เทพได้ต้องใช้วิญญาณของตัวเองเป็นข้อแลกเปลี่ยนนะสิ สัตว์เทพจะรับใช้และปกปักษ์คนที่ทำพันธะสัญญาด้วยเพียงคนเดียว และเมื่อคนคนนั้นตายไป วิญญาณของพวกเขาก็จะกลายเป็นสมบัติหรือไม่ก็อาหารของสัตว์เทพตนนั้นต่อไป เป็นข้อแลกเปลี่ยนที่ไม่ค่อยมีใครทำได้ แต่ที่ฉันคาใจก็คือ….

เสียงอธิบายของผู้รอบรู้เริ่มแผ่วลงจนกลายเป็นเสียงกระซิบ ตาสีเขียวเข้มโฟกัสม้าราชันสีดำตัวเขื่องที่อยู่กลางลานประลองอย่างชั่งใจ

ม้าราชันเป็นจิตวิญญาณมืดของกษัตริย์ ส่วนเจ้าหญิงเงือกแห่งเฮลสวอร์ทก็เย่อหยิ่งแม้แต่เทพเจ้ายังไม่อาจเอาชนะ ทำไมทั้งสองถึงยอมทำสัญญากับเด็กธรรมดาอย่างเลล่ากันนะ….

“มีอะไรเหรอโลเวล”

“อ้อ เปล่าหรอก”

ความกังวลของโลเวลถูกเก็บกลับเข้ากรุ ก่อนที่สายตาจะโฟกัสไปที่ลานประลองเบื้องล่าง

“นี่นะเหรอ เจ้าของเสียงน่ารำคาญ นางเด็กน้อยน่ารังเกียจ”

เจ้าหญิงเงือกโอนิกซ์ปรายตามองเอเลนอร์ด้วยหางตา เหมือนกับว่าหญิงสาวเป็นมดปลวก ส่วนอาปาเช่ก็เพียงแค่สบถลมหายใจเสียทีหนึ่ง การปรากฏตัวออกมาของทั้งคู่ทำเอาเอเลนอร์ที่ว่าเก่งกาจถึงกับปล่อยคฑาหลุดมือและขาสั่นทรุดลงนั่งกับพื้นเหมือนคนอ่อนเปลี้ยเสียขา

“ปะ ปีศาจ”

“ฮึ! ท่าทางคำพูดสามหาวเช่นนี้คงไม่จำเป็นต้องมีปากเอาไว้อีกแล้วสินะ ถ้าอย่างนั้น

พรืด!

ร่างของโอนิกซ์หายไปจากบ่อน้ำข้างกายเลล่าก่อนที่นางจะไปโผล่ขึ้นมาต่อหน้าเอเลนอร์ ปลายนิ้วเรียวยาวแต่งแต้มด้วยเล็บสีดำเป็นเงาราวอัญมณีแห่งความืดเฉกเช่นดวงตาเอื้อมไปแตะใบหน้าของหญิงสาวและลูบไล้มันอย่างอ้อยอิ่ง

“น่าเกลียด”

ตึก!!!!

เพียงสองพยางค์ที่กล่าวออกไปก็ถึงกับทำให้เอเลนอร์สติหลุดและล้มตึงลงไปทันที

ตุบ!

“สลบไปแล้ว น่าเบื่อจริงๆ”

ทุกอย่างถูกความเงียบปกคลุม ก่อนจะมีเสียงกระป๋องน้ำหล่นจากมือของผู้ชมคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์

แก๊ง

และสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อนักเวทและคณะอาจารย์ที่รายล้อมลานประลองอยู่ด้านนอกได้พุ่งเข้ามาล้อมรอบเลล่าเอาไว้พร้อมกับอาวุธและเวทมนตร์ที่พร้อมจะโจมตีเธอได้ทุกเมื่อ

ฟึ่บ!

พรึ่บ!

“อะไรกันน่ะ ทำไมพวกเขาทำแบบนั้น”

“นั่นสิ นี่มันการประลองของนักเรียนนะ”

“พวกเขาเห็นว่ายายนั่นอันตรายเกินไปไงล่ะ”

“ไม่จริงน่า”

“นักเรียนทุกคนออกไปจากสนาม เดี๋ยวนี้!

อาจารย์ผู้คุมการประลองได้ประกาศด้วยเสียงอันกึกก้องของเธออีกครั้ง และคราวนี้ก็เกิดการชุลมุนจากเหล่านักเรียนที่ต่างก็พาวิ่งไปที่ทางออก

เซเลียที่ตัวเล็กกว่าคนอื่นถูกชนเข้าซ้ายทีขวาทีจนเสียหลักจะล้มกลิ้งตกบันได

ปึก!

“เฮือก!

หมับ!

มือหนาคว้าข้อศอกหญิงสาวเอาไว้ได้ทันและดึงเธอออกมาจากเส้นทางชุลมุน

“ขะ ขอบใจนะ จาเลน”

ชายหนุ่มไม่ได้ตอบรับใดๆนอกจากการพยักหน้ารับรู้ และสายตาของเขาที่เบือนไปทางลานประลองให้เซเลียหันมองตาม

พวกนักเวทและอาจารย์ยังคงล้อมรอบเลล่าพร้อมด้วยอาวุธ โดยที่เจ้าตัวยังไม่ได้ขยับตัวไปไหน และสัตว์เทพคู่สัญญาของเธอทั้งสองก็ยังนิ่งเฉยราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“จาเลน เราต้องไปห้ามพวกอาจารย์นะ”

“ใจเย็นๆ ดูนั่น”

จาเลนพูดเสียงโทนเดิมและชวนเซเลียมองการเคลื่อนไหวบนลานประลองต่อไป

ภายในไม่กี่นาทีทั้งอัฒจันทร์ก็เหลือเพียงสมาชิกของบ้านตะวันออกกับเหล่าอาจารย์ที่ยืนล้อมรอบเลล่าบนลานประลอง

คีระกับไรรีย์ร่อนตัวลงมาจากอากาศและยืนอยู่อีกฟากของอัฒจันทร์ ส่วนโลเวลกระโดดลงมาจากยอดเสาลงมาคุกเข่าบนมุกประตูทางออก

ทุกอย่างเงียบเชียบ ไม่มีใครเอ่ยปาก จนกระทั่งเสียงของโอนิกซ์ที่ดูจะหงุดหงิดกว่าใครเพื่อนเริ่มเปล่งออกมา ซึ่งเสียงของเธอก็ไม่ได้ธรรมดาเสียด้วย

“เจ้าพวกอ่อนหัด….

วี้ดดดดดดดดด!!!!

“อ๊ากก!!!หูฉัน!

“กรี๊ดดดดด!!!!

ความเร็วเสียงและพลังทำลายทำให้เอานักเวทหลายคนล้มดิ้นทุรนทุรายอย่างทรมาน

“พอเถอะ กลับไปซะ”

เลล่าเริ่มพูดออกมาประโยคแรกของเธอคือออกคำสั่งให้โอนิกซ์กลับไป แต่การออกคำสั่งของหญิงสาวเป็นการเคารพอย่างให้เกียรติมากกว่าจะเป็นคำสั่งของเจ้านายด้วยซ้ำ

โอนิกซ์แสยะยิ้มเล็กน้อยและหายกลับเข้าไปในบ่อน้ำสีดำที่หายไปในเวลาต่อมา เลล่าถอนหายใจก่อนเงยหน้ามองอาปาเช่ที่ยังยืนส่งเสียงฟึดฟัดอยู่ข้างกาย

“แน่ใจรึว่าเจ้าไม่เป็นไร”

“ค่ะ”

ม้าราชันก้มหัวลงมาและใช้จมูกชนแก้มหญิงสาวเสียทีหนึ่ง เหมือนการจุมพิตบอกลาก่อนที่ร่างสีดำนั้นจะหายไปเช่นเดียวกัน

ทุกอย่างกลับสู่ความว่างเปล่า เลล่าไม่มีอาวุธใดๆไว้ป้องกันตัวอีกต่อไปแล้ว และเธอก็ยังถูกเหล่าอาจารย์และนักเวทล้อมรอบเอาไว้ หมดทางหนี

“เจ้าพวกกระจอก ฉันจะเผามันซะ”

คีระกัดฟันในมือมีลูกบอลไฟพร้อมจะเผาทุกอย่างที่ขวางหน้า ส่วนไรรีย์ก็ไม่น้อยหน้าเหมือนกัน อารมณ์ของเธอไม่ต่างจากเมฆครึ้มที่โอบอุ้มสายฟ้าเตรียมลงทัณฑ์

“ใจเย็น เจ้าพวกลูกศิษย์หัวร้อนทั้งหลาย”

เสียงไรเกอร์แทรกเข้ามาท่ามกลางอารมณ์คุกรุ่นของทั้งคู่ ก่อนที่ร่างสูงโปร่งสวมเสื้อคลุมอาจารย์ของฟีนิกส์จะปรากฏกายขึ้นข้างกายเลล่าท่ามกลางเหล่าอาจารย์และนักเวทที่ตกตะลึงกันจนเก็บอาวุธแทบไม่ทัน

“ครูไรเกอร์”

“สวัสดียามบ่าย ท่านนักเวททั้งหลาย ผมมาขัดจังหวะอะไรรึเปล่า”

“คะ คุณมาก็ดีแล้ว เราต้องการแรงเพื่อจับกุมบุคคลอันตรายผู้นี้อยู่พอดี”

นักเวทคนหนึ่งพูดขึ้น

“บุคคลอันตรายเหรอ ไหนล่ะ”

“นี่คุณคงไม่รู้สินะคะ ว่าเด็กคนนี้เพิ่งทำร้ายอาจารย์ไปถึงสามคน แถมยังทำให้ลูกศิษย์แห่งหอคอยอยู่ในอาการผวาอีก”

“หึๆๆๆ ฮ่าๆๆๆๆๆ!!!!

เสียงหัวเราะของไรเกอร์ดังก้องพอๆกับเสียงประกาศของอาจารย์ผู้คุมสอบก่อนหน้านี้

“คุณหัวเราะเหรอ”

“อ้อ ใช่ หึๆๆๆ ผมก็แค่ขำน่ะ ไม่คิดว่าพวกนักเวทของฟีนิกส์จะล้าหลังจนมองสมบัติล้ำค่าไม่ออกเสียขนาดนี้”

“ว่าไงนะ”

“เด็กคนนี้คือนักเวทชั้นแนวหน้าและเป็นลูกศิษย์คนที่ผมถ่อสังขารไปเชิญมาที่นี่ด้วยตัวเอง แน่นอนว่าเด็กๆที่ยังอยู่ที่นี่ก็ด้วย พวกเขาคือเด็กของบ้านตะวันออกและเป็นลูกศิษย์ในความดูแลของผม อย่างนี้แล้ว ยังจะบอกว่าเป็นบุคคลอันตรายอยู่ไหม”

“แต่เธอคนนี้เป็นผู้ครอบครองพลังมืดถึงสองส่วนด้วยกัน มันจะอันตรายกับฟีนิกส์นะคะ”

“ฟีนิกส์จะเลือกผู้แข็งแกร่งเข้ามารับการทดสอบและสานต่อเจตนารมณ์เท่านั้น เพราะฉะนั้น การที่โรงเรียนเลือกเธอไม่ถือว่าเป็นอันตรายหรอกนะ  และถ้าพวกคุณยังไม่เข้าใจแล้วละก็ พวกคุณทั้งหมดอาจจะต้องจบเส้นทางการเป็นอาจารย์ของฟีนิกส์หรือไม่ก็ต้องกลายเป็นขี้เถ้าอยู่ที่นี่ด้วยมือของเด็กคนนั้นจริงไหม สวอร์ดแมน บรุ๊ค ชารอยด์”

ไรเกอร์หันไปพูดกับอีกคนที่ยังยืนนิ่งอยู่ข้างลานประลอง ในมือของบรุ๊คมีม่านโปร่งใสและเขาก็พร้อมที่จะบีบมันแตกได้ทุกเมื่อ และเมื่อมันแตกลง ทุกชีวิตในอัฒจันทร์แห่งนี้ก็จะกลายเป็นขี้เถ้า

นักเวทและเหล่าอาจารย์ยอมแพ้และล่าถอยและยื่นข้อเสนอให้กับเลล่า

“เรายินดีหากคุณจะเข้าร่วมทีมภารกิจกับเรา เลล่า บลัด”

…………

ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ ความอึดอัดทั่วทั้งอัฒจันทร์กลับมาโปร่งสบายหายใจคล่องอีกครั้ง

“ให้ตายสิ ท่าทางต้องสอนตั้งแต่การควบคุมพื้นฐานเลยสินะ”

ไรเกอร์เกาหัวแรงๆพอให้คลายความหงุดหงิด ตาสีขี้เถ้ามองลูกศิษย์ของตัวเองที่นั่งหน้าสลอนเรียงตัวอยู่ในห้งโถงของบ้านพักตะวันออก

จะเรียกว่าเป็นการพบปะกันอย่างเป็นทางการจะได้รึเปล่านะ

แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร

“เห็นทีว่าฉันต้องอบรมพวกเธอตั้งแต่พื้นฐานแล้วสินะ ทั้งเจ้าคนที่กัดแขนครูจนขาด”

ไรเกอร์ย้ำประโยคหลังเสียหนักๆและมองมาที่คีระกับเซเลียที่สะดุ้งตัวเกร็ง ก่อนจะหันไปร่ายประโยคสุดแสบกับลูกศิษย์ที่เหลือแบบเรียงตัว

“หมาบ้าที่กัดทุกอย่างแล้วหนี”

โลเวลถึงกับยิ้มแห้ง

“เจ้าหญิงขี้วีนลงทัณฑ์คนไม่เลือกหน้า”

ไรรีย์หน้าแดงสะบัดไปอีกทางอย่างงอนๆ

“เจ้านกใบ้ที่จิกหัวครูจนตกบ่อน้ำ”

จาเลนหลับตาเหมือนยอมรับความผิดพลาด

“แล้วก็….เจ้าพ่อสวอร์ดแมนกับท่านนักเวทมือหนึ่งครับ ท่านทั้งสองมีอะไรจะแก้ตัวกับสิ่งที่ทำลงไปในวันนี้ไหมวะ ครับ!!!!

เหมือนสองคนหลังจะหนักเอาเรื่อง ไรเกอร์แทบจะกลายเป็นกาต้มน้ำชาที่เดือดปุดๆแล้ว

“แหะๆ ก็แหม อาจารย์บอกว่าให้เราแสดงฝีมือออกมาให้เต็มที่เลยนี่ครับ”

บรุ๊คหัวเราะสดใสตอบคำถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผิดจากเลล่าที่อมยิ้มน้อยๆพร้อมกับเสียงหัวเราะเล็กๆพอเป็นพิธี

“นี่ฉันต้องดูแลปีศาจพวกนี้ไปจนจบการศึกษาเลยเหรอเนี่ย”

ไรเกอร์เริ่มมีสีหน้าปั้นยากขึ้นมาทันที

งานนี้เขาต้องหาผู้ช่วยด้วยไหม

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา