Stony รักไม่ยาก

9.0

เขียนโดย WAFFLE_W

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.05 น.

  34 ตอน
  1 วิจารณ์
  28.25K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2562 23.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) ความฉิบหายของชายคนหนึ่ง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

               ดวงอาทิตย์เริ่มลาลับขอบฟ้า ผู้คนต่างหลั่งไหลกลับเข้าบ้าน ชายหนุ่มเดินลากเท้าไปตามซอยเล็กๆ ผ่านบ้านเรือนหลังกะทัดรัดที่ดูแออัด ย่านที่เขาอาศัยอยู่ถือเป็นศูนย์รวมของผู้ไร้ยากก็ว่าได้ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีความเจริญมากนักแม้จะอยู่ในตัวเมืองหลวง เขาโบกมือทักทายคนรู้จักที่เดินสวนกันไปมาอย่างผู้มีอัธยาศัยดีแม้บางคนจะทำหน้าเฉยเมยใส่ก็ตาม

                “ไอ้พีๆ” มานะตะโกนเรียกเพื่อนยากที่เดินอยู่ข้างหน้า เขาเป็นชายร่างสูง ค่อนข้างผอม หน้าตาเจ้าเล่ห์ดูร้ายกาจ

                “อ้าว ไอ้โม่” พิภพเดินมาหยุดตรงหน้ามานะ “หายหัวไปไหนวะ พักนี้ไม่เจอหน้าเจอตาเลย”

                “ไปทำมาหากินสิ เดี๋ยวนี้กูไม่กะโหลกกะลาแล้วนะเว้ย” คนที่พอเงยหน้าอ้าปากได้ยิ้มอย่างอวดภูมิ “แล้วมึงเป็นไงบ้าง ของที่ปักธูปไปให้ได้รับหรือยัง”

                “ยังไม่ตาย” ชายหนุ่มแหว “ช่วงนี้ก็อุปกรณ์ตัดไม้สองปื้น”

                “อะไรวะ”

                “เลื่อยๆ (เรื่อยๆ)”

                “ไป มึงไปเล่นตรงโน่นเลย” เหยียดแขนชี้ขึ้นไปบนฟ้า

                “ว่าแต่มึงเหอะ ทำงานอะไรวะ”

                “ส่งของ”

                “ส่งของ” ทวนคำก่อนจะหัวเราะเยาะเบาๆ “จะได้สักกี่ตังค์กันเชียว บอกให้มาทำงานกับกูก็เล่นตัวอยู่ได้ เปลี่ยนใจตอนนี้ก็ยังทันนะเว้ย กูให้โอกาสเพื่อนรักอย่างมึงเสมอ”

                “โนเวย์ กูบอกให้มึงเลิกได้แล้วไอ้งานนั้นน่ะ เสียดายอนาคต” สองหนุ่มมองสบตาอย่างรู้กัน สุ่มเสียงกวนๆ ของมานะที่แววขอร้องอยู่ในที

                “อ้างว่าเป็นคนดี” แค่นประชดใส่เพื่อน

                “กูดีโดยสันดานอยู่แล้วเว้ย” ยึดอกอย่างภาคภูมิ

                “กูไม่ยึดติดกับอนาคตหรืออดีตหรอก แค่ปัจจุบันมันดีกูก็พอใจแล้ว”

                “คิดว่าดีก็แล้วแต่เลย งั้นโชคดีนะเพื่อน” มานะว่าอย่างอ่อนใจ โบกมือขึ้นเป็นเชิงลา

                “คืนนี้ไปเฟี้ยวกันไหม เดี๋ยวเลี้ยง” พิภพรีบเอ่ยชักชวน

                “ไม่อ่ะ เดือนก่อนยังแสบท้องไม่หายเลย”

                “ฮ่า เชื้อพ่อมึงนี่แรงจริงๆ” พิภพหัวเราะเมื่อนึกถึงสภาพเพื่อนคนนี้ในคืนนั้น

                “เออๆ แล้วเจอกัน”

                “เออ เจอกันเพื่อน” พิภพตบไหล่มานะแล้วเดินผ่านเขาไป มานะขยับหมวกบนหัวหันกลับไปมองแผ่นหลังของเพื่อนสนิทที่คุ้นเคยกันตั้งแต่วัยเด็ก พิภพเป็นเพื่อนทุกข์เพื่อนยากที่ดีที่สุดของเขา นึกแล้วก็สงสารอนาคตมันที่อาจจะพังเพราะอาชีพที่ทำอยู่

                มานะเดินทอดน่องเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่รั้วไม้เตี้ยที่ล้อมอาณาเขตของพื้นที่บ้านหลังเล็กซอมซ่อ เขาดันประตูรั้วก่อนจะเดินเข้าไปในตัวบ้านซึ่งเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวลักษณะเก่าโทรมคร่ำครึ เมื่อขึ้นชานบันไดไขประตูบ้านเข้าไปจะเป็นห้องโล่งๆ ไม่มีโซฟาหรือแม้แต่โต๊ะเก้าอี้รับแขกสักตัว มีโทรทัศน์รุ่นเก่าจอเล็กป้อมที่ต้องลุกไปเปิดปิดเปลี่ยนช่องที่ปุ่มหน้าจอ พื้นที่ตรงหน้าโทรทัศน์มีเสื่อและผ้าห่มวางอยู่ในมุ้งเล็กซึ่งเป็นที่นอนของมานะ พ่อของเขานอนอยู่ในห้องที่มีอยู่เพียงห้องเดียว ถัดออกไปเป็นโรงครัวเล็กจิ๋ว มีเพียงเตาถ่าน หม้อ กระทะ ถ้วย จาน และช้อน ในห้องครัวมีประตูออก ซึ่งเชื่อมไปสู่ห้องน้ำที่แยกกับตัวบ้าน

                มานะมองสภาพครึ้มฟ้าครึ้มฝนของท้องฟ้ายามเย็น ก่อนเดินไปเก็บเสื้อผ้าที่ตากไว้บนราวตากผ้าหน้าห้องน้ำเข้ามาไว้ในบ้าน จัดการเก็บกวาดเช็ดถูฝุ่นที่เกาะหนาเกรอะบนพื้น ยามเหยียบย่ำลงไปจะให้ความรู้สึกเฝื่อนเท้าชอบกล

                สักพักใหญ่เสียงตะโกนโวกเวกก็ดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่งใกล้ๆ มานะนิ่งเงียบพร้อมเงี่ยหูฟัง เมื่อจับใจความได้ก็วิ่งพรวดไปที่หน้าบ้านทันที

                สาวใหญ่ร่างท้วมยืนทำหน้าถมึงทึงอยู่ที่ชานบันได นางแสยะยิ้มเหยียดก่อนจะพูดด้วยเสียงที่เหมือนมีโทรโข่งฝังอยู่ในลิ้นไก่ “โผล่หัวมาสักที ฉันมาเก็บค่าเช่า สามเดือนที่ค้างไว้จ่ายมาซะดีๆ”

                “สามเดือน?” มานะขมวดคิ้วถาม

                “ก็สองเดือนก่อนพ่อแกยังไม่ได้จ่ายฉันเลยนี่” วิภาบอกเสียงกร้าว

                “ผมให้เงินพ่อไปแล้วนะ ป้าจำผิดบ้านหรือเปล่า แก่แล้วหลงๆ ลืมๆ” มานะแย้ง เขาเอาเงินให้พ่อไปจ่ายค่าเช่าทุกเดือน ปกติพ่อเขาก็ไม่เคยติดค่าเช่าบ้านเลยนี่

                “เดี๋ยวเถอะไอ้โม่ ปากแกนี่นะ ฉันยังไม่แก่ความจำยังดี ได้เงินมาฉันจดใส่สมุดบัญชีไว้ตลอด แต่ของบ้านแกมันว่างมาตั้งสามเดือนแล้ว” ยื่นหลักฐานซึ่งเป็นสมุดจดเล่มเล็กไปให้ดู มานะรับไปพินิจก่อนจะส่งกลับคืนให้

                “ผมยังไม่มีหรอกป้า” มานะบอกเสียงอ่อนอ้อน พ่อนะพ่อ... เอาเงินไปทำอะไรหมดวะ “ป้าภาคนสวย เว้นให้ผมอีกเดือนนะ ผมได้งานทำแล้วเดี๋ยวเดือนหน้าจ่ายแน่”

                “เฮ่ย... ได้ยังไงกันยะ ฉันเว้นให้แกมาสองเดือนแล้วนะ ขืนใจดีเว้นให้อีก ปีนี้ทั้งปีฉันก็คงไม่ได้เงินสักบาทน่ะสิ แกสองพ่อลูกนี่ประไร จนวันจนคืนกันเชียว” เบ้ปากเหยียดหยาม

                “ก็คนมันไม่มีนี่ จะให้ทำยังไงล่ะ” มานะเริ่มใส่อารมณ์บ้าง ป้าอ้วนนี่ก็ปากจัดเหลือทน ถ้าเงินมันงอกออกมาจากดินเหมือนต้นหญ้าหรือหล่นลงมาจากฟ้าเหมือนน้ำฝนได้ก็ว่าอย่างไปอย่าง “ถ้ามีผมก็ให้ป้าแล้วสิ”

                “คำก็ไม่มีสองคำก็ไม่มี เบื่อจริงๆ ไอ้พวกมุบมิบเนี่ย คิดว่าฉันจะเชื่อเรอะ เงินแกมีติดตัวเท่าไหร่เอามาให้ฉันทั้งหมดเลยนะ” ขึ้นเสียงกระโชกกระชั้นใส่

                “ป้าจะมารีดเลือดกับปูให้ได้อะไร ทั้งเนื้อทั้งตัวมีอยู่ 200 เนี่ย จะเอาป่ะ” ผู้หญิงสมัยนี้ก็โหดได้โหดดี ยอมรับด้วยความสัตย์จริงเลยว่าชีวิตเขาต่อจากนี้ขึ้นอยู่กับเงิน 200 บาทนี่แหละ จะขึ้นรถเมล์กลับบ้านยังไม่กล้าเลย เสียดายเศษสตางค์

                “เอามา” ยื่นมือแบออกพลัน ได้ติดไม้ติดมือไปบ้างก็ดี ความจริงก็ไม่อยากใจร้ายกับคนที่เช่าอยู่อาศัยมานานหรอก เพียงแต่ลูกสาวของเธอกำลังอยู่ในวัยกำลังเติบโต สิ้นเปลืองเงินทองไปจำนวนมหันต์ทีเดียว

                “โธ่ ป้า” มานะลากเสียงอ่อนใจ กัดริมฝีปากสะกดกลั้นอารมณ์ “ความเมตตาปรานีหายไปจากสังคมนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แล้วผมจะเอาไหนกินไหนใช้ล่ะ”

                “เรื่องของแกสิ จะอยู่ก็จ่ายไม่จ่ายก็ย้ายออกไป แกกับพ่อแกนี่มันกากเดนสังคมจริงเชียวไอ้โม่ อดอยากกันสองคนไม่พอ ยังทำให้คนอื่นลำบากไปด้วย พูดกับพวกแกแล้วเสียดายน้ำลายจริงๆ” กระชากเสียงด่า ดวงตาเล็กรีขุ่นเขียว

                “หยุดเลยนะป้า อย่ามาว่าพ่อผมแบบนี้” แววตาของเขาแผดกร้าวขึ้นมา ก้าวเข้าไปใกล้ร่างท้วมก้าวหนึ่งอย่างพร้อมลงมือทันทีหากไม่หยุดระรานพ่อเขา วิภาถอยกรูดห่างออกไปแววตาหวาดระแวงสั่นสะท้าน ก่อนจะปรับให้มันมั่นคงดังเดิม

                “พ่อแกมันวิเศษวิโสจากไหนกัน ก็แค่ไอ้ขี้เหล้าข้างถนนดีๆ นี่เอง”

                “หุบปากไปเลยนะ” มานะสะบัดหน้า ชักจะรำคาญป้าอ้วนนี่เต็มทนแล้ว “กลับไปเถอะถ้าได้เงินแล้วจะเอาไปถวายให้ถึงที่เลย”

                “หน็อย ไม่เด็กไร้มารยาท ฉันเป็นเจ้าหนี้ของแกนะ พูดกับฉันแบบนี้ได้ยังไง” เธอทำท่าปึงปังขึ้นมาทันที ก่อนจะส่งเสียงขับไล่อย่างไม่ไยดี “ไสหัวออกจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

                มานะเงียบไปชั่วครู่ ถ้ามีที่ไปก็ไม่อยู่หรอกวะ แต่ประเด็นคือ... ไม่มี!

                “เอ่อ... ขะ ขอโทษครับ” ง้างปากเค้นคำพูดออกมาอย่างยากเย็น

                “หึ ไอ้เด็กปากดี” ว่าแสยะอย่างผู้อยู่เหนือกว่า คิดจะเล่นกับนังวิภาหรือ คนอย่างเธอฆ่าแต่หยามไม่ได้ ใครที่มันเผลอมาหยามแล้ว โทษสถานเดียว... “ออกไปเดี๋ยวนี้!”

                “เอะอะอะไรกันโว้ย” ชายวัยกลางคน ร่างผอมเก้ง ผิวกร้านคล้ำเดินโซเซกอดขวดเหล้าเข้ามา

                วิภาหันไปมอง ก่อนจะว่าขึ้นเสียงดังไปสามบ้านสี่บ้าน “ดูสิดู ดูสภาพตายซากของพ่อแกสิไอ้โม่ นี่ถ้าแกเอาเงินค่าเหล้ามาจ่ายค่าเช่าฉัน ฉันก็ไม่ต้องมาบ่นมาด่าปากเปียกปากแฉะแบบนี้หรอก จนแล้วยังจะริกินเหล้าอีก ไม่ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองบ้าง”

                “นังอ้วนนี่ จนแล้วไปหนักหัวใครวะ” บุญมีกราดเข้ากระชากคอเสื้อวิภาทันที หล่อนเบิกตากว้างด้วยความตระหนกขั้นรุนแรง มานะรีบเข้าไปแกะมือพ่อ และแยกออกมาทันที พ่อของเขามักจะมีปฏิกิริยาของขึ้นเสมอเมื่อมีใครมาพูดใส่หน้าด้วยคำว่าจน

                “เฮอะ ไอ้มี” เธอแค่นหัวเราะไม่เต็มเสีย สีหน้ายังเลิ่กลั่กไม่หาย “กล้ามากนะ ไป! ออกไป!” ชี้นิ้วป้อมสั้นที่สั่นระริกไปทางประตูรั้วอันซอมซ่อนั่น

                “ป้าภาผมขอร้องล่ะ...”

                “ไม่ต้องขอเพราะฉันไม่ให้” แทรกขึ้นเสียงแข็ง “ไม่มีเงินก็ไม่ต้องอยู่”

                มานะมองดูพ่อที่ไถลไปกองอยู่บนพื้นหญ้าด้วยสายตาที่จริงจังและคิดหนัก ชนิดที่พบเห็นได้ยากยิ่ง เขากำลังนึกภาพตัวเองกับพ่อแต่งตัวปอนๆ ยิ่งกว่าความปอนในตอนนี้ระหกระเหินเร่ร่อนไปนอนอยู่ใต้สะพานลอยหรือข้างถนนที่มีหมาขี้เรื้อนคอยป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ มานะถอนหายใจด้วยใบหน้าเหยเก ถ้าต้องนอนแบบนั้นจริงๆ เขายอมทำตัวเป็นคนเลวที่ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะเป็นได้แล้วไปทำเรื่องผิดกฎหมายสักอย่าง ให้ถูกจับแล้วเข้าไปนอนเล่นอยู่ในซังเตดีกว่า... ดีหรือ

                ไม่! คุกไม่ใช่สถานที่ที่น่าอยู่สักหน่อย

                วินาทีนี้เขาอดถามตัวเองไม่ได้ว่า จะยอมให้พ่อไม่มีที่นอนจริงหรือ? พ่อที่เลี้ยงเขามาคนเดียวตั้งแต่เด็ก แม้จะไม่ใช่การเลี้ยงดูที่ดีเลิศ หากพ่อก็เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในชีวิตของเขา เขายอมไม่ได้หรอก ในฐานะลูกเขาต้องทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนบุญคุณอันล้นล้ำของพ่อ

                มานะควักแบงค์ร้อยสองใบที่เปรียบแสงสว่างสุดท้ายในชีวิตออกจากกระเป๋ากางเกงยื่นให้วิภา ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งคุกเขาตรงหน้าเธออย่างจำยอม วิภาตวัดมือดึงธนบัตรมาถือไว้ มานะพนมมือไหว้ร้องขอ “ผมขออยู่ต่อนะครับ”

                “ไม่...”

                “แม่เมื่อไหร่จะกลับ อิงเบื่อแล้วนะ” เด็กสาวในชุดมอปลายเดินหน้ามุ่ยเข้ามาแทรกหลังจากที่ทนนั่งรอมารดาในรถอยู่นานสองนาน ใบหน้าหงิกงอและน้ำเสียงหงุดหงิดค่อยๆ คลายเป็นปกติ เมื่อมองเห็นชายที่คุกเข่าต่อหน้ามารดาของเธออย่างถนัดตา “ใครเหรอแม่”

                “ลูกหนี้” ตอบลูกสาวเสียงอ่อนนุ่ม ก่อนจะว่าเสียงแข็งใส่ลูกหนี้ “ออกไปสักทีสิยะ”

                “ป้าภา เห็นใจผมเถอะนะ ให้ผมกับพ่อได้ซุกหัวนอนต่อเถอะครับ” อย่าใจไม้ไส้ระกำเกินไปเลย

                “ไม่...”

                “แม่” อารีย์ขัดขึ้น เรียกแม่แต่จ้องมานะตาหวานเชื่อม “พี่เค้าเช่าบ้านหลังนี้เหรอ”

                “จ้ะ”

                “ให้พี่เค้าอยู่ต่อนะแม่ นะแม่” คำหลังหันไปมองมารดา วิภาจำต้องพยักหน้าเออออให้ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนที่เป็นแก้วตาดวงใจของเธอ

                “ก็ได้จ้ะลูก”

                “ขอบคุณครับป้า” ชายหนุ่มยิ้มออกมา ยกมือไหว้ละล่ำละลัก ก่อนจะยืนขึ้นเต็มความสูง ส่งยิ้มให้เด็กสาวที่เปรียบดั่งอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยเขา “ขอบใจนะ”

                อารีย์กรีดร้องในใจกับความหล่อเท่ของผู้ชายตรงหน้า เธอเดินเข้าไปใกล้เขาอย่างไม่เกรงกลัวสายตามารดา กระซิบเบาๆ ให้ชายหนุ่มได้ยินเพียงคนเดียว “พรุ่งนี้ไปกินเค้กกันนะคะ”

                มานะมุ่นหัวคิ้ว เด็กสมัยนี้ไวไฟกันจริง “พี่ไม่มีเงิน ให้แม่น้องไปหมดแล้ว”

                “หนูจ่ายเอง โอเค๊?” อารีย์ขยับถอยออกไปหลังจากบอกเวลาและสถานที่เรียบร้อย วิภาเข้ามาจับแขนลูกสาวแล้วลากออกไปทันที หากไม่วายหันมาจ้องมานะตาขวางอย่างคาดโทษ

                ชายหนุ่มเดินเข้าไปช่วยพยุงคนเมาที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนพื้นหญ้า “เข้าบ้านเถอะพ่อ”

                “อย่ายุ่ง” คนเป็นพ่อปัดป่ายมือลูกชายออกไป ดวงตาของเขาแดงก่ำ พูดด้วยเสียงแหบแห้งที่เกิดจากการดื่มสุราติดต่อกันหลายปีเกือบ 20 ปีได้ละมัง “มึงไปคุกเข่าไหว้มันทำไม”

                “อะไรที่ทำให้เรามีที่ซุกหัวนอน ผมก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ” ว่าอย่างเหนื่อยกายหน่ายใจ ล้มตัวลงนั่งข้างๆ พ่อ กลิ่นเหล้าจากตัวบุญมีโชยหึ่งเข้ามาในโพรงจมูกชวนให้เวียนหัว เสื้อผ้านี่ไม่รู้ว่านำไปแช่เหล้าแทนน้ำยาปรับผ้านุ่มหรือไร

                “แล้วทำไมมึงไม่จ่ายเงินไปล่ะ เงินน่ะเงิน ไอ้ที่มันเป็นพระเจ้าน่ะ” บุญมีผลักหัวมานะอย่างแรง จนหมวกบนหัวของลูกตกลงมา มานะทำหน้ายุ่งใส่ ขยับตัวออกห่างอีกนิดแล้วเก็บหมวกกลับเข้าที่เดิม

                “ก็ผมไม่มีนี่”

                “ก็ผู้หญิงรวยๆ ที่แกคบล่ะวะ ปอกลอกเอามาสิ คนรวยไม่ต้องไปสงสารมัน ผู้หญิงมันชอบเกาะผู้ชายกิน สมัยนี้ผู้ชายก็ต้องเอาคืนบ้างสิ” ผู้หญิงที่ชอบเกาะผู้ชายกิน มานะรู้ดีว่าพ่อหมายถึงใคร ตั้งแต่จำความได้เขาก็ถูกปลูกฝังสั่งสอนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าให้เกาะผู้หญิงกิน ต้องหาแฟนรวยๆ มาเป็นสะใภ้ให้พ่อ

                “ผมเลิกหมดแล้ว” พูดอย่างซังกะตาย เขาเองก็อึดอัดที่ต้องทนเอาอกเอาใจใคร ต้องทำนู่นนี่ให้ทั้งที่พวกเธอก็มีอวัยวะครบ 32 ประการแต่ทำเหมือนตัวเองเป็นง่อย ใช้เป็นอยู่อย่างเดียวคือปาก จะไม่ยอมงอมืองอตีนอยู่แบบนี้แล้ว

                “ไอ้โม่ไอ้โง่ มึงเลิกทำไมวะ แล้วจะเอาที่ไหนกิน” บุญมียืดแขนส่งกำปั้นทุบลูกรัวๆ มานะลุกขึ้นยืน “ฉันสอนฉันสั่งทำไมไม่จำใส่กะโหลกหนาๆ ของแกด้วย ฉันไม่น่ามีลูกแบบแกเลย ฉันอุตส่าห์สอนให้เป็นเหมือนแม่หน้าเงินของแก ทำไม ทำไมไม่ทำแบบนั้น”

                “พ่อทำไมต้องชอบพูดถึงผู้หญิงคนนั้นด้วย ถ้าเกลียดมากก็ลืมไปสักทีสิ จะตอกย้ำตัวเองให้ได้อะไรขึ้นมา เหล้าน่ะเพลาๆ ลงบ้างนะ ผมไม่มีเงินตามไปจ่ายให้แล้ว เออ อีกอย่าง ผมได้งานทำแล้ว ต่อจากนี้ผมจะทำตามทางของผมเอง” มานะประกาศกร้าวเสียงดังหวังให้คนเป็นพ่อรับรู้และเข้าใจเสียที

                “เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้วกล้าตะคอกใส่กูเหรอ ไอ้ลูกสารเลว! ไอ้ลูกทรพี!”

                “ผมไม่ได้ตะคอกนะ” เขาตะคอกแย้ง “พ่อเข้าบ้านเองแล้วกัน เดี๋ยวผมไปเอารถมอ'ไซค์ มาให้” ว่าจบก็เดินหัวเสียออกไป พ่อของเขาทำงานเป็นวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง พอตกตอนเย็นพ่อชอบเดินไปหาเหล้ากิน ทำให้สมรรถภาพในการขับขี่รถลดลง ต้องทิ้งรถไว้ที่ป้อมวินตรงหน้าปากซอย

                “จับคนรวย จับคนรวย จับคนรวย...” เสียงบุญมีลอยตามหลังมาเป็นห้วงๆ จนกระทั่งเงียบหายไป มานะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่หลายครั้ง ไม่รู้ต้องทำตัวยังไงให้พ่อได้ภาคภูมิใจในตัวเขาบ้าง ปัญหาครอบครัวเป็นปัญหาเดียวที่ทำให้เขารู้สึกเครียดแบบจริงจัง จะละเลยก็ไม่ได้ จะปล่อยทิ้งไปก็ไม่ได้ อย่างน้อยพ่อก็เฝ้าเลี้ยงดูเขาจนเติบโตมาได้แม้จะเป็นแบบตายฝังยังเลี้ยงก็ตามที

                เดินมาถึงครึ่งทางชายหนุ่มก็ยกมือตบหน้าผากตัวเองป้าบใหญ่ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าลืมหยิบกุญแจรถมาจากพ่อ จังหวะนั้นเองที่ชายหนุ่มเผลอเตะกระป๋องน้ำอัดลมที่กลิ้งอยู่ข้างทางใส่รั้วสังกะสีเสียงดังเป้งป้างด้วยความโมโหตัวเอง พอเงยหน้าขึ้นอีกทีเหล่าสุนัขจากบ้านที่ล้อมรั้วสังกะสีนั้นก็กรูกันออกมาทักทายตอบด้วยการแยกเขี้ยวโชว์ฟันแง่งๆ มานะโบกมือยิ้มหวานให้ก่อนจะกลับหลังหัน แล้ววิ่งชนิดไม่ลืมหูลืมตา

                ทำไมชีวิตมันเฮงซวยขนาดนี้วะ!

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา