ห้องสามเดอะซีรี่ย์

9.0

เขียนโดย มุมฉาก

วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 12.14 น.

  26 ตอน
  0 วิจารณ์
  21.33K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 กันยายน พ.ศ. 2560 08.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

21) ตูน เมกะแดนซ์ 2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตูน เมกะแดนซ์ 2

          แสงแดดยามบ่ายร้อนระอุราวเตาเผาถ่าน ทว่ามีคุณอเนกอนันต์ต่อทุกชีวิตบนโลก ต้นหูกวางแตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มโต เพื่อให้ใบเดี่ยวรับการสังเคราห์แสงเต็มกำลัง ลมหนาวสัปดาห์แรกของปีกำลังพัดผ่าน กระแสลมคลายความรุ่มร้อนของเปลวแดด ทว่าเด็กหนุ่มซึ่งยืนผิดที่ผิดทางและผิดเวลา ดันมีเม็ดเหงื่อผุดซึมจากทั่วร่างกาย

          ขณะที่ผมกำลังจะเข้าห้องพักอาจารย์พละ เพื่อทำการจารกรรมข้อมูลลับสุดยอด ก็ดันเจอเพื่อนเก่าชื่อวนิดาเข้าโดยบังเอิญ เธอเป็นลูกสาวเฮียใช้หรือผู้อำนวยการโรงเรียนเสาร์ห้า ทีมบาสเกตบอลคู่แข่งที่เราต้องการโค่นล้ม กระทั่งใช้วิธีสกปรกโดยส่งคนมาล้วงความลับ แต่ดูเหมือนความลับฝ่ายเราจะแตกเสียก่อนมั้ย

“วนิดาจริง ๆ ด้วย ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยเนอะ” สายลับจำเป็นเริ่มบทสนทา

          “นานเนินอะไรเล่า เพิ่งเจอกันที่วัดหมูแดงเดือนที่แล้วนี่เอง” วนิดาเริ่มมีหางเสียงเล็กน้อย

                    “อุ่ย…เออใช่ เราลืมไปเลย” คนอุทานเกาหัวเป็นการแก้เขิน

          “ใช้มุขนี้กับสาวทุกคนหรือเปล่า” เธอสัพหยอกใส่ก่อนพูดต่อ “แต่ก็ช่างเถอะ แล้วเราเป็นไงบ้าง”

          “เอ่อ…. เธอสุงขึ้นนะ” ครั้นเห็นอีกฝ่ายเริ่มตาเขียว ผมจึงต้องรีบหาคำชม “น่ารักขึ้นตั้งเยอะด้วย จริง ๆ นะ”

          “สุงขึ้น น่ารักขึ้น มันใช่มั้ย !! นายมองเราให้เต็มตาแล้วตอบอีกที”

          คนน่ารักโรงเรียนเสาร์ห้าทำหน้าบึ้ง สาวน้อยหมุนตัวเองอย่างช้า ๆ กระทั่งครบรอบ จากนั้นจึงหยุดจ้องหน้าเหมือนอยากฆ่ากันให้ตาย เท่านั้นเองผมจึงถึงบางอ้อขึ้นมาทันที วนิดาแต่งหน้าทาปากเขียวคิ้วและเกล้ามวยผม ห่มสะไบสีเขียวมรกตปักดิ้นสีทองงามอร่าม ชายสะไบทอดยาวต้องใช้มือช่วยประคอง นุ่งซิ่นผ้าไหมแท้สีน้ำเงินคาดแดงปีกนก ถักทอสอดดิ้นเงินสลับดิ้นทองตลอดทั้งชิ้น เสื้อเกาะอกตัวจิ๋วแนบแน่นเนื้อนวลน้องนาง ถ้าเดาไม่ผิดเธอคงสวมเสื้อในไร้สายแน่นวล ก็ผ้าสะไบมันดันบางจ๋อยเหลือเกินนี่ ไม่ใช่ความผิดของคนมองซักนิดเดียว ผมพยายามแก้ตัวให้กับเพื่อนชายทุกคน

          “ชุดสวยมาก” อีกฝ่ายยังคงตาเขียวปั๊ด “คนใส่ก็น่ารักมาก อ้อยใส่ชุดไทยขึ้นมากเลยรู้หรือเปล่า จริง ๆ นะ”

                    “ขอบใจ ! นี่ถ้าไม่ชมจะของขึ้นแล้วด้วย จริง ๆ นะ” คนโดนชมค้อนเข้าให้หนึ่งดอก ผู้หญิงนี่เหมือนกันหมดทุกคน

          “โทษที เราไม่ทันสังเกตุ ไม่เคยมาเสาร์ห้าเลยเดินมั่วไปหมด” ผู้มาเยือนแก้ตัวไปเรื่อย

          “เราได้เป็นนางรำโรงเรียนด้วยล่ะ วันนี้มีซ้อมใหญ่เลยจัดเต็มเสียหน่อย” เจ้าตัวยิ้มกว้างพลางจัดสะไบเข้าที่

          “การแสดงชุดนี้ต้องเจ๋งแน่นอน รำจริงวันไหนบอกด้วย” ผมแสดงความยินดีจากใจ

           “ขอบใจจ้า แล้วนายมาที่นี่ได้ยังไง มาทำอะไร มากับใคร แล้วจะกลับเมื่อไหร่ พูดดดด…!”

          วนิดาเริ่มยิงคำถามราวกับปืนกลลำกล้องแฝด ปรกติเธอเป็นคนอัธยาศัยดีแบบนี้เสมอ เจอกันทีไรเป็นผมต้องนั่งฟังอยู่ฝ่ายเดียว แล้วคอยพยักหน้าหงึก ๆ เวลาสาวเจ้าสบตาด้วย ทว่าคราวนี้เธอดันตั้งคำถามมากมาย สำคัญก็คือเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ ขณะที่ผมสรรหาคำแก้ตัวที่ฟังเข้าที พลันมีเสียงตะโกนมาจากตึกชั้นเดียวทาสีเหลืองทานตะวัน

          “วู้…พยาบาลไม่อยู่ซักคน พี่ปวดท้องจะไม่ไหวแล้วนะ อ้าว นั่น น้องอ้อยวนิดาใช่ไหมคะ”

          คนที่ตะโกนนั่นคือพี่ตูนของผมนี่เอง เธอเข้าไปในห้องพยาบาลตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ประธานนักเรียนโผล่ออกมาเพียงครึ่งตัว ใบหน้าแสดงอาการเจ็บปวดปนความหงุดหงิด แต่พยายามฝืนทนอดกลั้นด้วยว่าตนเป็นรุ่นพี่

          “พี่ตูน ! พี่ตูนจริง ๆ ด้วย พี่มาได้ไงคะ แล้วพี่ตูนเป็นอะไรถึงมาห้องพยาบาล”

          วนิดาโผตัวเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว เธอเองก็ชื่นชมพี่ตูนเหมือนกับทุกคน ครั้นเห็นไอดอลคนดังไม่สบายต่อหน้าต่อตา จึงเลิกสนใจนายหัวหน้าห้องสายลับจอมซื่อบื้อ ผมถอนหายใจแผ่วเบาก่อนเดินตามสาวไป

          “พี่ปวดท้องจ้าอ้อย วันนี้มาประชุมเรื่องแข่งบาส บังเอิญปจด.ดันนั่งรถตามมาด้วย เลยมาขอยาแก้ปวดประทังชีพไปก่อน แต่ไม่มีใครอยู่ในห้องเลย” คนป่วยกำมะลอแต่งละครจนจบตอน

          “จริงเหรอคะ ไม่น่าเป็นไปได้” วนิดาเดินลากสะไบเข้าไปในห้อง ก่อนโผล่ออกมาพร้อมใบหน้าเคร่งเครียด “หรือว่าอาจารย์เบญวรรณ ออกไปรับยาที่โรงพยาบาลช่วงบ่าย แย่จังเลย หนูขอโทษพี่ตูนนะคะ”

          “ไม่เป็นไรจ้า พักซักครู่คงหายแหละ ดีว่าได้น้องคนนี้พามาทีนี่ เขาเป็นสต๊าฟทีมบาสโรงเรียนนะจ้า”

          พี่ตูนนั่งอยู่บนเก้าอี้ภายในห้อง เธอใช้คำพูดค่อนข้างเหินห่างกับเพื่อนร่วมงาน เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายล่วงรู้ความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง ซึ่งอันที่จริงมันก็ไม่มีอะไรมากมาย แค่เป็นหัวขโมยตีนแมวย่องเบาด้วยกันทั้งคู่

          วนิดานั่งลงคู่กันเพื่อคอยประคบประหงม เพราะเข้าใจความรู้สึกลูกผู้หญิงด้วยกันดี อาการปวดท้องน้อยหรือบริเวณอุ้งเชิงกราน เป็นสิ่งพิเศษมีเฉพาะเพศแม่แค่เดือนล่ะครั้ง บางคนปวดมาก บางคนปวดน้อย บางคนปวดหนัก บางคนก็ปวดจนขาชาขับรถไม่ไหว ส่วนพี่ตูนไม่ได้ปวดท้องซักนิดเดียว ทว่าแสดงได้สุดเนียนจนผมยังแอบหลงเชื่อ

          “สหกรณ์โรงเรียนอยู่ไหนจ๊ะ หนูพาพี่ไปซื้อยาแก้ปวดได้ไหม”

          “ที่สหกรณ์ไม่น่ามี แต่หน้าโรงเรียนมีร้านขายยา เดี๋ยวหนูไปซื้อมาให้เอง”

          “พี่ไปด้วยคน ไม่อยากรอที่นี่กับน้องผู้ชาย พี่อายเขาน่ะอ้อย”

          “พี่ตูนนอนรอดีกว่า แต่…ก็นะ เป็นหนูก็คงอายเหมือนพี่แหละ”

          สายตาสองสาวจับจ้องมายังใบหน้าผม วนิดาออกอาการลังเลว่าควรทำอย่างไรดี ส่วนพี่ตูนแอบยักคิ้วข้างเดียวให้ซะงั้น ทั้งมีรอยยิ้มมุมปากแสดงอาการเย้ยหยัน ว่าทำแบบฉันไม่ได้หรอกนายอ่อนหัดจ๋า นาทีนี้ผมจึงเข้าใจพี่เต้อย่างถ่วงแท้

          “ตกลงค่ะ หนูพาพี่ตูนไปซื้อยาเอง นายอยู่ที่นี่ไปก่อนนะ”

          ลูกสาวผอ.โรงเรียนเสาร์ห้าตัดสินใจปุบปับ เธอประคองพี่ตูนไปยังด้านหน้าอาคารสีขาวสลับสีฟ้า ตรงนั้นเองมีรถอีแต๋นคันหนึ่งจอดอยู่ น่าจะเป็นรถขนของภายในโรงเรียนแห่งนี้ นางรำคนสวยกระโดดขึ้นประจำที่คนขับ ซิ่นผ้าไหมถลกสุงเพื่อความสะดวกในการขับขี่ สาวน้อยหยิบกุญแจรถจากใต้เบาะยาว (คงเป็นที่ซ่อนลับ) พี่ตูนตะเกียกตะกายขึ้นไปนั่งเคียงคู่กัน (จริง ๆ เธอก็กระโดดขึ้นรถได้) เสียงเครื่องยนต์ดีเซลไดเร็คอินเจคชั่นดังกระหึ่ม แล้วรถอีแต๋นก็หายลับไปจากสายตา

          ผมถอนหายใจเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ขณะนั่งพักที่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นหูกวางใหญ่ ขณะนี้เป็นเวลาบ่ายสองโมงสี่สิบสองนาที ยังเหลือเวลาอีกสิบแปดนาทีก่อนเปลี่ยนคาบเรียน มากเพียงพอสำหรับทำงานที่ได้รับมอบหมาย ไม่มีใครอยู่ในห้องพักรวมทั้งห้องพยาบาล สถานที่แห่งนี้เงียบสงบราวกับป่าช้า นักเรียนต่างถิ่นตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่สมควรทำ

          ภายในห้องพักอาจารย์พละค่อนข้างสะอาด ผมเดินเข้าไปหยุดบริเวณด้านในสุดฝั่งขวามือ มีตู้เก็บเอกสารตั้งชิดติดฝาผนัง ใช้บดบังแสงแดดร้อนระอุในยามบ่าย ตรงนั้นเองเป็นโต๊ะประจำอาจารย์สมมาส เอกสารและหนังสือวางปะปนจนแยกไม่ออก ไม่ต่างไปจากโต๊ะอาจารย์วิบูลย์แม้แต่น้อย สมแล้วที่ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกัน แถมยังหลงรักผู้หญิงคนเดียวกันเสียด้วย

          สายลับจำเป็นนั่งบนเก้าอี้โดยพละการ แล้วเริ่มควานหาสิ่งที่ต้องการอย่างเร่งรีบ สมุดบันทึกปกสีฟ้ามีรูปโดเรม่อนแลบลิ้นอยู่หนใด ผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นถี่ระรัว เวลาเพียงหนึ่งนาทียาวนานเป็นหนึ่งชั่วโมง ประหนึ่งพล็อตเรื่องละครน้ำเน่าที่ทรงเดชชอบมาก และแล้วจารชนอ่อนหัดก็เริ่มมีโชด

          สมุดบันทึกปกสีฟ้าเล่มดังกล่าว ซ่อนอยู่ในลิ้นชักขวามือด้านล่างสุด ผมหยิบขึ้นมาวางพร้อมล้วงสิ่งของในเสื้อตัวเอง เป็นเอกสารเก็บรายละเอียดข้อมูลที่ต้องการทั้งหมด ขณะที่ผมสุดลมหายใจรวบรวมสติสตัง ต่อด้วยท่องบทแผ่เมตตาจนเกือบแล้วเสร็จ โทรศัพท์มือถือเจ้ากรรมดันสั่นพรั่บ ๆ อยู่ในกางเกง ชิดชนกนั่นเองเป็นคนไลน์เข้ามา

          เธอคนนั้น : โดนจับแล้วดิ เดี๋ยวเอาข้าวผัดกับโอเลี้ยงไปฝาก เอาอะไรอีกป่ะ

          ฉันคนนี้ : ยังไม่โดนโว้ย ! เราได้ฝิ่นมาแล้วนะนก ไม่รู้คัดลอกทันหรือเปล่า

                    เธอคนนั้น : นายจะคัดลอกทำแมวอะไร ลายมืออย่างกับไก่เป็นโปลิโอเขี่ยดินเล่น

          ฉันคนนี้ : แล้วจะให้เราทำยังไง ขโมยกลับมาทั้งเล่มเลยรึ

          เธอคนนั้น : ไอ้บ้า ! ขโมยมาเขาก็รู้ตัวสิ

          เธอคนนั้น : อีตาหัวหน้าห้องติงต๊อง ใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปสิยะ !! คิดสิคิด

เธอคนนั้น : !@#$%^&*()_+!@#$%^&*()_+

          ชิดชนกส่งสติ๊กเกอร์แดกดันจำนวนมาก ก่อนจากไปด้วยว่าเบื่อหน่ายหรือไรนี่แหละ ผมลอบถอนหายใจไม่ให้ใครได้ยิน ทั้งที่ภายในห้องมีแค่ผมแต่เพียงลำพัง หลังมองซ้ายแลขวาเป็นครั้งสุดท้ายของท้ายสุด จึงตัดสินเปิดสมุดบันทึกหน้าแรกออกมาอ่าน ภายในนั้นมีอะไรต่อมิอะไรมากมาย เห็นเข้าถึงกับสะดุ้งเฮือกขนแขนแสตนอัพ

          “…เธอคือดาววาววับจับฟากฟ้า ฉันดั่งหญ้าต่ำต้อยด้อยราศี

          เธอคือจันทร์ส่องกระจ่างกลางราตรี ตัวฉันนี้แค่กระต่ายเฝ้าหมายจันทร์…”

          “…สิทธิ์ของใจใครรักใครก็ไม่ผิด ขอเธอคิดเพียงสักนิดฉันผิดไหม

          ฉันรักเธอก็ไม่ผิดสิทธิ์ของใจ เธอรักใครก็ไม่ผิดสิทธิ์ของเธอ…”

          “…เมื่อมีรักนักบัญชีต้องเดบิต ถือเป็นสิทธิ์สินทรัพย์ของเจ้าของ

          หากวันใดรักลาน้ำตานอง ถึงคราต้องเครดิตปิดบัญชี…”

          พระเจ้าช่วยกล้วยทอดบนยอดเห็ด !! นี่มัน…นี่มันกลอนรักน้ำเน่าที่สุดในสามโลก ผมพยายามกลั้นใจเปิดอ่านหน้าอื่น ด้วยหวังว่าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับบาสบ้าง กระทั่งมาถึงบทกลอนหรืออะไรซักอย่าง เขียนด้วยปากกาเมจิกสีแดงตัวเบ้อเริ่ม

          “ขอบคุณโชดชะตา ที่นำพาให้เราพบกัน ขอบคุณที่ทำให้รู้…ว่าผมนั้นอยู่เพื่อรักคุณ”

          ไม่สามารถทนอ่านต่อได้อีก รู้สึกผะอืดผะอมขมคอขึ้นมากระทันหัน ถ้าทรงเดช (อีกแล้ว) ได้เห็นเข้าคงดีใจแน่ หมอชอบอะไรแนวนี้มากมายก่ายกอง แต่ไม่ใช่กับผมคนนี้และในเวลานี้ ไม่เข้าใจว่าเจ้าตัวทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร

          หรือว่า…อาจารย์สมมาสแต่งกลอนให้อาจารย์ปิยะดา ผมกลืนน้ำลายพลางเก็บสมุดกลับที่เดิม ไม่มีอะไรเกี่ยวกับบาสเกตบอลเลย เป็นบันทึกส่วนตัวอาจารย์หนุ่มผู้มีเคราเข้ม ในนั้นยังมีเรื่องราวสยดสยองอีกมากมาย รวมทั้งคำตัดพ้อต่อว่าต่อโชดชะตา ที่ทำให้ตนไม่อาจสมหวังในความรัก (ที่คิดไปเอง) ได้ ทว่าเพื่อน ๆ อย่าไปรับรู้มันเลยนะครับ

          ฉับพลันมีเสียงประตูห้องพักเปิดขึ้น ผมชะโงกหน้ามองด้วยคิดว่าเป็นพี่ตูนแน่ แต่กลับได้พบใบหน้าเจ้าของโต๊ะที่ตนนั่งอยู่ อาจารย์สมมาสหนวดหงอกกำลังเดินเข้ามาในห้อง เขาจะไปไหนได้นอกจากด้านในสุดฝั่งขวามือ

          “เฮ้อ…อีกวันแล้วสินะ เมื่อไหร่ของขวัญชิ้นนี้ จะถึงมือเจ้าของเสียทีหนอ”

          โค้ชบาสคนเก่งเริ่มระบายความในใจ พลางทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ประจำ ถ้าอาจารย์สมมาสนึกเอะใจซักนิดเดียว เขาจะทราบได้ทันทีว่าใต้โต๊ะมีสิ่งผิดปรกติ สิ่งที่ว่านั่นก็คือตัวกระผมนั่นเอง เพราะหนีไม่ทันจึงรีบแฝงกายลงใต้ดิน สายลับหน้าหยกอยู่ท่ามกลางความเป็นความตาย แค่เป้าหมายดันเข่ามาข้างหน้าเพียงนิดเดียว ก็จะชนใบหน้าอันหล่อเหลาของเด็กหนุ่มคนนี้

          โชดดีเป็นของจารชนอ่อนหัดอีกครั้ง อาจารย์สมมาสลุกขึ้นยืนโดยไม่บอกกล่าว เขานำสิ่งของหลายอย่างวางบนโต๊ะ ทำให้มันรกกว่าเดิมซึ่งจัดว่าแย่อยู่แล้ว ชายร่างกำยำหนวดเคราหนาเตอะได้เดินจากไป พร้อมฮัมเพลง “เธอมีฉัน ฉันมีใคร” ของดา เอ็นโดรฟิน พร้อมออกลีลาท่าทาง ครั้นได้ยินเสียงประตูห้องพักปิดดังโครม สุดยอดสายลับจึงโผล่หัวออกจากกระดอง

          มีขวดโหลขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางโต๊ะ ในนั้นมีดาวกระดาษจำนวนมากเต็มปากขวด ไม่จริงใช่ไหม ! อย่าบอกนะว่า…อาจารย์สมมาสพับดาวกระดาษให้อาจารย์ปิยะดา พ่อเจ้าพระคุณเอ๊ย ! ช่างมีนิสัยตัดกับบุคลิกหน้าตาเป็นล้นพ้น

          ข้างขวดโหลมีโปสการ์ดใบน้อยห้อยโตงเตง ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงอดอ่านไม่ได้

          “ของขวัญวันเกิดสำหรับอาจารย์ดาครับ ผมทำไว้นานแล้ว และหวังว่าซักวันผมจะกล้ามอบให้กับอาจารย์”

          ด้านล่างสุดของโปสการ์ดลงวันที่ 21-06-255x เดี๋ยวก่อนนะ…มันผ่านมาตั้งครึ่งปีแล้วไม่ใช่เหรอ ผมถอนหายใจแทนเจ้าของโปสการ์ด ชาตินี้ทั้งชาติอาจารย์สมมาสคงหาเมียไม่ได้ ว่าแต่ว่า อาจารย์วิบูลย์จะเป็นเหมือนกันหรือเปล่าหนอ

          ขณะจัดวางขวดโหลกลับคืนที่เก่า มือขวาเจ้ากรรมดันปัดกองหนังสือร่วงหล่นพื้น ผมเคาะกระโหลกตัวเองแล้วก้มลงไปเก็บ นิสัยซุ่มซ่ามเซ่อซ่าติดตัวแก้ยังไงก็ไม่หาย เมื่อนำหนังสือกลับมาจัดวางบนโต๊ะอีกครั้ง ก็พลันสะดุ้งตกใจตาเหลือกร้องว๊าย สมุดบันทึกปกสีฟ้ามีรูปโดเรม่อนแลบลิ้น วางอยู่โดดเดี่ยวบนโต๊ะตัวเดิมหน้าตาเฉย มันคงอยู่ใต้กองหนังสือที่ร่วงหล่นพื้น นับไปนับมาถือเป็นโชดดีคราวที่สาม ด้วยความดีใจผมจึงรีบเปิดหน้าแรก หวังว่าไม่มีกลอนรักน้ำเน่าแบบเล่มก่อน

          ใช่แน่นอน ภายในสมุดมีข้อมูลบาสเกตบอลเต็มไปหมด ทั้งข้อมูลสำคัญของทีมเสาร์ห้าและทีมคู่แข่งขัน อาจารย์สมมาสเก็บสถิติได้อย่างละเอียดละออ ไม่เว้นกระทั่งทีมผักหนองน้ำที่แสนอ่อนหัด และแน่นอนที่สุด มีข้อมูลของทีมเราตั้งสิบกว่าหน้ากระดาษ เขารู้จุดอ่อนจุดด้อยดีกว่าผู้เล่นเสียด้วยซ้ำ พลอยหมดกำลังใจจนต้องวางสมุดลง

                    เหลือเวลาอีกแค่เพียง 5 นาที ถ่ายรูปแล้วรีบชิ่งดีกว่าเรา นาทีนั้นเองภายในสมองก็เริ่มฟุ้งซ่าน หวนคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อน ทีมบาสเสาร์ห้าชนะทีมเราถึงในถิ่น ใบหน้าแสดงอาการเย้ยหยันจากผู้ชนะ คราบน้ำตาและความเสียใจของผู้แพ้ ใบหน้าแสนหดหู่ของอาจารย์วิบูลย์ สายตาเศร้าโศกของพี่ตูนผู้นำเชียร์ รวมทั้งเด็กหญิงหน้าใสคนหนึ่งบนอัฒจันทร์ เธอโดนเกณท์ให้มาช่วยเชียร์พร้อมกับทุกคน หลังรู้ว่าทีมเราต้องพ่ายแพ้แน่นอนแล้ว เธอก็เริ่มองให้ตาบวมโดยไม่อายใคร

          ผมหยิบโทรศัพท์พร้อมเปิดสมุดบันทึกอีกครั้ง แล้วเริ่มถ่ายภาพด้วยความตั้งใจจนครบทุกหน้า

                   ---------------------------------------------           

          “เอ็งเนี่ยนะ เอ็งเนี่ยนะ…มีสมองไว้กั้นสองหูจริง ๆ เล๊ยยย…”

          อาจารย์พละจอมโหดเป็นผู้เอ่ยปาก ใบหน้าอาจารย์วิบูลย์ไร้สิ้นซึ่งรอยยิ้ม ถ้าเปรียบกับยักษ์คงเป็นยักษ์วัดโพธิ์รูปร่างสันทัด เหมือนจะน่ากลัวแต่ก็ไม่น่ากลัว เหมือนจะไม่น่ากลัวแต่ก็น่ากลัว ขึ้นอยู่กับคุณจะมองจากมุมไหน

          ขณะนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมงห้าสิบนาที การประชุมระหว่างสองโรงเรียนได้เสร็จสิ้นลง ตัวแทนของโรงเรียนเราจึงเดินทางกลับ โดยไม่ลืมแวะปั๊มน้ำมันเอสโซ่ห้วยบงที่มีชื่อเสียง ครั้นเห็นว่าปลอดคนเสาร์ห้าทั้งปั๊มแล้ว อาจารย์พละจอมโหดจึงได้ทวงผลงาน และนี่ก็คือผลงานของสุดยอดสายลับสติเฟื่อง

          “ใช้มือถือถ่ายภาพถือว่าไอเดียดีนะ แต่…อาจารย์ต้องการข้อมูลทีมบาสเสาร์ห้านะ ไม่ใช่กลอนน้ำเน่าอกหักรักคุด !”

          เจ้าของคำพูดจ้องหน้าดวงตาถลน เมื่อเห็นภาพถ่ายที่ได้มาด้วยความยากลำบาก ไม่มีข้อมูลที่เขาต้องการซักนิดเดียว ไม่มีกระทั่งรายชื่อนักบาสเสาร์ห้าตัวจริง แม้ว่าเจ้าของโทรศัพท์จะพยายามชี้แจง ว่าถ่ายมาจากสมุดบันทึกปกสีฟ้ามีรูปโดเรม่อนแลบลิ้น บนโต๊ะอาจารย์สมมาสโค้ชทีมเสาร์ห้าตามแผนการ แต่นั่นไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย

          “ไม่คิดจะอ่านซักนิดเหรอนะ ว่าในสมุดมีแต่กลอนเวิ่นเว้อเพ้อเจ้อนะ” คนโมโหสุดลมหายใจยาว ๆ “คงคิดแบบนี้ใช่ไหมนะ พอกรรมการเป่านกหวีดเริ่มแข่งนะ ฝ่ายนั้นก็เดินมาทำตาหวานใส่ทีมเรานะ แล้วเอ่ยปากโดยพร้อมเพรียงว่า…”

          “…แอบชื่นชมหวังลมลมว่าเธอรัก แอบรู้จักอยากทายทักไม่ยักกล้า

          แอบเมียงมองอยากจะจองไว้ห่วงหา แอบมองตาอยากให้รู้ว่าสนใจ… ”

          อาจารย์วิบูลย์ท่องกลอนด้วยหวังประชดประชัน ทำเอาผมถึงกับหน้าชาด้วยความอับอาย ทว่าพี่ตูนกับพี่เต้ไม่คิดแบบนั้น ทั้งคู่พากันหัวเราะเสียงดังน้ำหูน้ำตาไหล จนคนท่องกลอนต้องหันไปดุพร้อมทำตาเขียว

          “น้องเขาทำตามแผนการทุกอย่าง ก็ในสมุดมีแต่กลอน จะให้ทำยังไงล่ะครับอาจารย์” พี่เต้ช่วยพูดแก้ต่าง

          “ใครจะรู้ว่ามันกลายเป็นแบบนี้ เกือบหัวใจวายกลางห้องประชุมเลยนะ” ชายหน้าโหดยังคงบ่นอุบ

          “โรคหัวใจกำเริบเพราะอาจารย์ดาหรือเปล่าคะ หนูเห็นคุยกันกระหนุงกระหนิงเลยนี่”

          พี่ตูนช่วยตบมุขสดได้ทันท่วงที ทำเอาอีกฝ่ายหน้าแดงเถียงไม่ออก สุดท้ายจึงโวยวายกลบเกลื่อนตามนิสัย

          “เปล่านะ อะไรเนี่ย ไม่รู้ล่ะ…ถ้าทีมเราไม่ชนะเอ็งซวยคนแรก” คนพูดจ้องหน้ายอดจารชนราวกับอยากกินเลือด

          “อาจารย์คะ อาจารย์แต่งกลอนเก่งเหมือนอาจารย์สมมาสหรือเปล่าคะ” ประธานนักเรียนคนสวยถามต่อ

          “อย่าเอาซาเล้งมาเทียบกับรถสปอร์ต อาจารย์เก่งกว่าหมอนั่นตั้งเยอะ เฮ้ย…!!”

          หลังจากรู้ตัวว่าโดนอีกฝ่ายแกล้งอำ อาจารย์วิบูลย์จึงเดินจากไปเพื่อเข้าห้องน้ำ ทิ้งนักเรียนทั้งหมดไว้ด้านหน้าร้านสะดวกซื้อ สองหนุ่มหนึ่งสาวจึงได้กลับมาเป็นอิสระอีกครั้ง เด็กหนุ่มอาวุโวกว่ากล่าวกับเด็กหนุ่มอาวุโสน้อยกว่า

          “อย่าถือสาคำพูดอาจารย์เลย เดี๋ยวพรุ่งนี้แกก็ลืมเชื่อพี่”

          “ครับพี่เต้ แต่ผมรู้สึกไม่ดียังไงก็ไม่รู้” คนพูดถอนหายใจ

          “เฮ่ย ! อย่างคิดแบบนี้สิ เราน่ะทำดีที่สุดแล้ว ก็ในสมุดมันไม่มีข้อมูลจะทำยังไงได้”

          ไอ้หนุ่มหัวเม่นปลอบใจรุ่นน้องเต็มกำลัง พลางจัดทรงผมเข้าที่เข้าทางเหมือนแต่ก่อน ประตูอัตโนมัติร้านสะดวกซื้อพลันเปิดกว้าง พี่ตูนเดินออกมาพร้อมแอร์เย็นเจี๊ยบจากด้านใน เธอมีของกินมากมายอยู่ในสองมือ

          “หาอะไรรองท้องหน่อยนะเรา ไม่ต้องเกรงใจพี่หรอก งบประมาณโรงเรียนเบิกได้หมด”

          ดูเหมือนพี่ตูนอ่านความคิดผมได้อีกครั้ง จึงพูดดักคอพร้อมยื่นของในมือให้ ผมรับขวดน้ำส้มคั้นและแฮมเบอร์เกอร์มาจัดการ บ่ายนี้ใช้พลังงานเยอะจนท้องร้องโครกคราก ๆ สายตาก็จับจ้องรุ่นพี่ที่นั่งติดกัน

          “ไม่ต้องมองทางนี้เลย กินเค็กปีใหม่ในที่ประชุมอิ่มพุงกางแล้ว” คนโดนมองปฎิเสธเสียงหลง

          “อ่อนก็บอกมาเถ๊อะ !” ประธานสาวพูดแขวะ “ แล้ววันนี้เขาประชุมอะไรกันบ้าง เรากลับมาไม่ทันโทษที แฮ่…”

          พี่ตูนแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เพื่อนร่วมห้อง ทำเอาพี่เต้ค้อนประหลับประเหลือกไม่หยุด พวกเขาเป็นคู่แข่งเรื่องการเรียนมาโดยตลอด แต่ก็เป็นเพื่อนสนิทกันได้โดยไม่มีเคอะเขิน นี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผมโคตรประทับใจ

          หลังขึ้นรถอีแต๋นไปกับวนิดาลูกสาวผอ.เสาร์ห้า พี่ตูนได้ยาแก้ปวดประจำเดือนมาแผงหนึ่ง เธอแอบคายทิ้งตอนที่อีกฝ่ายจ้องมองทางอื่น พี่ตูนไม่ได้กลับมาประชุมแต่ไปรอที่รถเลย โดยใช้เวลาว่างนั่งดูสาวน้อยวนิดาซ้อมรำไทย

          เจ้าตัวอ้างว่ากลัววนิดาทำความลับแตก จึงพานางรำเดินช๊อปปิ้งเพื่อถ่วงเวลาให้ ติดกันกับร้านขายยาหน้าโรงเรียน เป็นร้านขายเสื้อผ้าวัยรุ่นขนาดสองคูหา ต่อด้วยร้านกิ๊ฟชอป ร้านขนมปังเย็น ร้านขนมจีบซาลาเปา และร้านอุปกรณ์เครื่องเขียน ผมกับพี่เต้ไม่ค่อยอยากเชื่อซักเท่าไหร่ เพราะพี่ตูนมีถุงกระดาษ 3 ใบเพิ่มขึ้นมาหน้าตาเฉย

          “ประชุมอะไรน่ะเหรอ เหมือนตูนว่าไว้ไม่มีผิด พวกนั้นต้องการอัดเราจมดิน” พี่เต้ยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนเล่าต่อ “สรุปความตามนี้นะ วันแข่งบาสระหว่างสองโรงเรียน กองเชียร์ฝั่งเราจะเข้าไปนั่งก่อน พวกเขาให้นั่งอัฒจันทร์ฝั่งทิศตะวันตกทั้งหมด เสร็จเรียบร้อยจึงปล่อยเด็กตัวเองเข้าสนาม เลิกแข่งให้นั่งรอที่เดิมไปก่อน จนกว่ากองเชียร์เสาร์ห้าเดินทางกลับบ้านทั้งหมด”

          “ได้ไง ถ้ากองเชียร์ฝ่ายนั้นแกล้งถ่วงเวลา พวกเราไม่กลับบ้านดึกกันหมดเหรอ” พี่ตูนปากเร็วจึงโวยวาย

          “ก็ใช่ไง เรากับอาจารย์วิบูลย์เถียงหัวชนฝาเลย ไม่ว่ายังไงต้องให้ฝั่งเรากลับบ้านก่อน”

          “แล้วสำเร็จหรือเปล่า ?”

          “สำเร็จสิ” คนพูดยิ้มกว้างด้วยยินดี “ตูนคิดว่าตัวเองคุยอยู่กับใคร นี่ “เต้ หัวเม่น” เชียวนะเฟ้ย”

          รอยยิ้มและเสียงหัวเราะกลับคืนสู่พวกเราอีกครั้ง การเดินทางกลับบ้านกำลังจะเริ่มในไม่ช้า อาจารย์วิบูลย์ยังคงพร่ำบ่นไม่หยุดปาก ว่าตัวเองเตรียมแผนมาดีแล้วนะ ทั้งยังทำหน้าที่ได้อย่างสุดยอดนะ ไฉนฟ้าดินจงใจกลั่นแกล้งนะ ราวกับว่าเขาเป็นผู้ร้ายตัวโกงเลยนะ (ก็ผู้ร้ายจริง ๆ นี่นา) ได้ยินได้ฟังแล้วปวดแก้วหูยังไงพิกล  ผมจึงตัดสินใจออกไปนั่งกระบะท้าย ด้วยว่าไม่มีแสงแดดและไม่อยากฟังเสียงพร่ำบ่น พี่ตูนเห็นเข้าจึงกระโดดมานั่งเป็นเพื่อน ทิ้งให้พี่เต้ต้องนั่งเคียงข้างอาจารย์ขี้บ่น คนโดนทิ้งโยนเสื้อแจ๊คเก๊ตมาด้านหลัง พร้อมกำชับให้พี่ตูนสวมกันลมหนาว ประธานนักเรียนทำตามโดยไม่รีรอ

          รถกระบะสีบอร์นเงินติดตราโรงเรียนเริ่มเคลื่อนตัว มุ่งไปยังสถานที่ซึ่งอยู่ห่างออกไป 30 กิโลเมตร ผมนั่งกอดเข่าจ้องมองท้องฟ้ากว้างไกล พลางคิดถึงเรื่องราวมากมายจากในอดีต ขณะที่ความคิดเตลิดเปิดเปิงจนกู่ไม่กลับ พลันมีมือเรียวขาวปริศนาวางลงบนไหล่ขวา กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ โชยปะทะรูจมูก เป็นกลิ่นคุ้นเคยเหมือนครั้งประชุมหัวหน้าห้อง

          “เป็นอะไรหรือเปล่า ทำหน้าอย่างกับคนอกหัก” เจ้าของมือเรียวขาวพูดแซวตามนิสัย

          “ไม่มีอะไรครับ ผมแค่คิดโน่นนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย”

          เป็นคำตอบที่ฟังยังไงก็ไม่เข้าท่า ผมมักมีปัญหาตอนพูดไม่จริงอยู่เสมอ ชิดชนกเคยบอกว่า…ทุกครั้งที่ผมพูดโกหก รูจมูกข้างขวาจะบานกว่าข้างซ้ายนิดหน่อย จะมีใครที่ไหนนั่งจับผิดรูจมูกชาวบ้าน นอกจากยายคนนั้นแสนซนของนายคนนี้

          “พี่ตูนครับ พี่คิดว่ายังไง” หลังจากลังเลใจอยู่นาน ผมจึงตัดสินใจอ้าปากได้

          “เรื่องอะไรล่ะ” อีกฝ่ายถามกลับพร้อมชายตามอง

          “ก็เรื่อง…เรื่อง สมุดบันทึกอาจารย์สมมาส ที่กลายมาเป็นกลอนรักน้ำเน่า”

          แดดยามบ่ายอบอุ่นละมุนละไม ดวงอาทิตย์แฝงกายหลังก้อนเมฆา กระแสลมแรงตีเส้นผมปลิวสยาย เจ้าของผมรีบมัดรวบด้วยโบว์สีฟ้าสด ประธานนักเรียนขยับตัวเข้าใกล้อีกนิด แววตาขี้เล่นหายไปแววตาจริงจังแทนที่

          “พี่คิดว่า อะไรยังไงก็ไม่สำคัญ ในเมื่อมันเป็นแบบนี้ ทีมเราจะต้องชนะด้วยฝีมือตัวเองแล้ว”

          เหมือนพี่ตูน…จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในความคิดผม แต่เธอเลือกที่จะไม่พูดทั้งต่อหน้าและลับหลัง ใครคนหนึ่งเคยบอกผมว่า “ผู้หญิงทุกคนเก็บความลับได้ตลอดกาล แม้ว่าเธอต้องทนแบกความทุกข์ตลอดไป” ใครคนนั้นนั่นแหละครับ ^_^

          “แต่ถ้า…เราแพ้เสาร์ห้าอีกครั้ง” คนพูดกระแอมไอเล็กน้อย “การแข่งบาสครั้งต่อไป พี่ฝากเราล้างแค้นด้วย”

          พี่ตูนกล่าวสรุปแล้วตบไหล่ พร้อมรอยยิ้มหวานหยดอันเป็นเครื่องหมายการค้า ผมพยักหน้ารับคำพลางฉีกยิ้ม ไม่มีเรื่องค้างคาใจให้ต้องกังวล พี่ตูนครับ พี่เป็นประธานนักเรียนที่สวยและรวยมาก ผมหมายถึงรวยน้ำใจไมตรีจิตกับทุกคน

          ขอพาเพื่อน ๆ ย้อนกลับไปยังช่วงเวลาสำคัญ ผมตัดสินใจไม่ถ่ายภาพในสมุดเล่มจริง ทั้งที่อาจารย์วิบูลย์นั้นได้กำชับนักหนา สาเหตุเป็นเพราะวนิดาสาวหน้าใส สองปีก่อนเธอเรียนที่เดียวกับพวกเรา สวมเสื้อพละสีเดียวกับพวกเรา นั่งตากแดดจนหัวแดงอยู่กับพวกเรา ตะโกนแหกปากเชียร์บาสอยู่กับพวกเรา และถูกตราหน้าว่าไอ้ขี้แพ้เหมือนกับพวกเรา

          หลังทีมแพ้เธอร้องให้จนตาบวมฉึ่ง เด็กหญิงวนิดาร้องให้เพราะความเสียใจ เสียใจที่โรงเรียนต้องโดนเย้ยหยัน เสียใจที่ตนเองส่งเสียงเชียร์ไม่ดังพอ เสียใจที่ตนเองทำอะไรไม่ได้เลย วันนี้เธอโดนผมและพี่ตูนล่อหลอกหัวปั่น แต่ก็ยังยินดีช่วยเหลือโดยไม่มีข้อกังขา นางรำคนสวยถลกซิ่นขึ้นสุงเพื่อขับรถอีแต๋น เพียงเพราะต้องการยาแก้ปวดให้แก่ผู้ป่วยกำมะลอ

          ผมทำร้ายเพื่อนคนนี้ไม่ได้หรอก…ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมก็ทำไม่ได้ ถ้าทีมเราจะบุกมาเอาชนะทีมเสาร์ห้า ก็ต้องชนะด้วยวิธีขาวสะอาดเท่านั้น อาจารย์สมมาสอาจเตรียมทีมไว้อย่างดีเยี่ยม รู้จุดด้อยจุดอ่อนวางแผนแก้เกมส์ล่วงหน้า แต่อาจารย์วิบูลย์คงไม่ยอมให้เคี้ยวลื่นคอ และมีข้อมูลบางอย่างที่ฝ่ายนั้นคำนวนผิด เฉพาะอย่างยิ่งความสามารถของทรงเดช

          ต้องเคี่ยวเข็ญเพื่อนรักหนักกว่าเดิม ยังพอมีเวลาและเขาสามารถพัฒนาได้ แต่ต้องเก็บไว้เป็นความลับชนิดสุดยอด ถ้าเรื่องนี้หลุดเข้าหูอาจารย์วิบูลย์ล่ะก็ คงโดนจับเผานั่งยางไม่เหลือชิ้นดีแน่ ตั้งใจเชิญเฮียสี่มาช่วยฝึกซ้อมช่วงวันหยุด พี่ชายคนโตของชิดชนกไม่มีวันปฎิเสธ เพราะเขาเคยเป็น “ท่านใต้เท้า” รุ่นบุกเบิกมาก่อนใคร

                    ---------------------------------------------

          รถกระบะสีบอร์นเงินติดตราโรงเรียนเดินทางจากไป รถเก๋งนิสสันมาร์ชสีเขียวสดวิ่งมาจอดแทนที่ หญิงสาวแก่คราวแม่สองคนก้าวลงจากรถ พลางจ้องมองรถกระบะเลี้ยวเข้าถนนใหญ่ ทั้งคู่เป็นอาจารย์สอนภาษาไทยโรงเรียนเสาร์ห้า ที่มีชื่อเสียงเรื่องบาสเกตบอลระดับมัธยมปลาย อาจารย์ภาษาไทยเอ่ยปากถามอาจารย์ภาษาไทย

          “เด็กคนนั้นใช่ไหมพี่ตุ๊ก นักเรียนดีเด่น 3 ปีซ้อนของผอ.ยอดรัก”

          “คิดว่าไม่ผิดตัวนะน้องตื๊ก ผอ.ใช้เคยเอารูปให้พี่ดูตอนประชุม เห็นว่าปีนี้ก็คงได้อีกนะ”

         “เจ๋งอ่ะ ทำไมโรงเรียนเราไม่มีนักเรียนแบบนี้บ้างนะพี่ตุ๊ก”

         “เพื่อนพี่ที่อยู่แถวนั้นบอกว่า เด็กคนนี้อยู่กับยายซึ่งป่วยหนักตามลำพัง ต้องเดินเท้ามาเรียนไปกลับวันล่ะหลายสิบกิโลเมตร กลางวันก็ต้องกลับไปป้อนข้าวยายด้วยนะน้องติ๊ก”

         “ต๊ายยย...!! โรแมนติก ผู้ชายแสนดีแบบนี้ยังมีอยู่บนโลกนะคะพี่ตุ๊ก”

                  ---------------------------------------------

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา